ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1690
ตอนที่ ๑๖๙๐
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมแล้วก็ฟังเพื่อจะรู้ว่า ที่เข้าใจคือเข้าใจธรรมที่กำลังมีขณะนี้นั่นเอง ฟังจนตายอาจจะไม่เข้าใจอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดอีก การสะสมบุญที่ได้ฟังมาแล้วเป็นปัจจัยทำให้มีศรัทธาที่จะฟังอีก เมื่อวานนี้เราฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน วันก่อนๆ โน้น ๔๐ ปีความเข้าใจที่ได้ฟัง ๔๐ ปีกับวันนี้มากขึ้นแค่ไหน หรือว่าก็คล้ายๆ เก่าแต่เพิ่มขึ้น เพราะว่าธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจได้โดยง่ายเลยทั้งๆ ที่มี เป็นสิ่งที่ยากจนกระทั่งทุกคนที่ศึกษาวิชาการทั้งหมดทุกวิชา พูดอย่างเดียวกันว่าไม่มีอะไรยากเท่าธรรม เพราะเหตุว่าเป็นการตรัสรู้ความจริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าจะเป็นนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ นายแพทย์ นักก่อสร้าง จะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเพราะคิดเรื่องต่างๆ จากเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แต่ไม่รู้สภาพธรรมที่เห็น ได้ยิน และคิด ว่าเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่เพียงจำชื่อ จำเรื่อง แต่ให้รู้ความจริงว่าขณะนี้เป็นธรรมที่กำลังฟังความจริง จนกว่าจะรู้ความจริงว่าเป็นธรรม
ผู้ฟัง มีคำว่า ชีวิตประมวลมาซึ่งธรรมทั้งปวง สะสมมาทุกอย่างถ่ายทอดมาสู่จิตดวงใหม่ ก็คือปฏิสนธิจิต อยากทราบว่าคนที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ดำเนินชีวิต คือถ่ายทอดจากดวงหนึ่งไปสู่อีกดวงหนึ่ง คือเหมือนกับถูกกำหนดไว้แล้ว
ท่านอาจารย์ จิตที่เกิดหลากหลายมากไหม เกิดในนรกได้ไหม เกิดบนสวรรค์ได้ไหม เกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม เกิดเป็นมนุษย์พิการได้ไหม เกิดเป็นมนุษย์ที่ไม่สนใจธรรมเลยได้ไหม เกิดแล้วมีความสุขสบายไปวันๆ หนึ่งแล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ได้เงินได้ทองมามากมายแต่ใจไม่สงบ ไม่ดี เงินทองที่ได้มาช่วยอะไรได้หรือเปล่า นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเหมือนจะมีอะไรที่กำหนดแต่ว่าธรรมเป็นธรรม ธรรมที่เป็นฝ่ายดีมี ธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดีก็มี ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น เกิดเป็นมนุษย์ต่างกับเกิดเป็นนก เกิดเป็นแมว เกิดเป็นปลา ถึงแม้ว่าจะอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีโอกาสจะเข้าใจเสียงที่ได้ยินว่ามีความหมาย หรือว่าเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จะไปเข้าใจอะไรที่ไม่ปรากฏ กับสิ่งที่ปรากฏแล้วยังไม่เข้าใจเลยแล้วก็จะไม่มีวันเข้าใจ ถ้าขณะนี้ไม่ได้กำลังเริ่มที่จะเข้าใจก็จะไม่ถึงวันที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะได้
แม้การเกิดเลือกได้ไหม อะไรกำหนด ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่คน เพราะเหตุว่าเป็นธรรมต้องแล้วแต่กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว เลือกไม่ได้เลย ทุกคนไม่อยากจะเกิดในนรก เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเปรตอสูรกาย อย่างน้อยก็อยากเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมากกว่านั้นก็คืออย่าพิการ บ้าใบ้บอดหนวก ยิ่งกว่านั้นอีกก็ขอให้มีสติปัญญาสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ เพราะว่าปัญญาที่เราเข้าใจไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง
ถ้าใครก็ตามบอกว่าคนนั้นมีปัญญา เขาเรียนเก่ง เขาคิดอะไรๆ ที่คนอื่นคิดไม่ได้ อาจจะสร้างเครื่องมืออะไรต่ออะไรที่คนอื่นไม่สามารถที่จะทำอย่างนั้นได้ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ความจริง ขณะนี้ที่ก่อนจะคิดเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่จะจำ นึกถึงวิชาการต่างๆ ต้องมีเห็นก่อน ต้องมีได้ยิน ต้องมีได้กลิ่น ต้องมีลิ้มรส ต้องมีชีวิตจริงๆ ทุกขณะ
คนที่มีวิชาทางโลกที่คนอื่นเข้าใจว่าเก่งมากฉลาดมากไม่มีความสุขได้ไหม ฆ่าตัวตายได้ไหม เบียดเบียนคนอื่นได้ไหม เพราะฉะนั้น นั่นไม่ใช่ปัญญาแน่นอน เพราะปัญญาจะไม่นำมาซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้น กุศลกรรม กุศลธรรมทั้งหลายจะไม่นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยใดๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับอกุศลกรรมทั้งหลายหรืออกุศลธรรม ไม่สามารถจะนำมาซึ่งสิ่งดีๆ สักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปราณีตที่ปรากฏให้เห็นทางตา หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือสิ่งที่กระทบกาย
ดังนั้น ต้องมีความมั่นคงในเรื่องสภาพธรรมที่เป็นเหตุและผล ไม่ใช่ใครจะไปกำหนด แต่เมื่อกุศลธรรมเกิดเป็นปัจจัยให้จิตนั้นเป็นไปในการกุศล ผลก็คือนำมาซึ่งสิ่งต่างๆ เราเกิดมาเราหวังหรือเปล่าว่าจะได้สุขได้ทุกประการใดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นึกไหมว่าจะได้วันไหน หรือจะสูญเสียวันไหน เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่มีเหตุที่ได้กระทำแล้วโดยไม่ใช่ใครกำหนด แต่เป็นกรรมและธรรมนั่นเองที่ได้กระทำแล้วที่เป็นปัจจัย
เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิต คือ จิตขณะแรกของทุกคนที่เกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลแน่นอน แต่กุศลหลากหลายต่างกันมาก แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังธรรมขณะนี้เป็นกุศลจิต ไม่ไปแสวงหาทรัพย์สมบัติ รูป เสียง กลิ่น รส อะไร แต่มีศรัทธาที่จะได้ฟังความจริง ได้ฟังธรรม แต่ในขณะที่กำลังฟังจิตที่เป็นกุศลต่างกันหรือเหมือนกัน หรือมีระดับที่ต่างๆ กันไป นี่เป็นเหตุ เพราะฉะนั้น ผลหลากหลายมาก
ด้วยเหตุนี้ แม้ปฏิสนธิจิตจะเป็นผลของกุศลกรรม อาจจะเป็นผลของทานหรือผลของศีล หรือเป็นผลของการฟังธรรมเข้าใจที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ว่าความหลากหลายของกรรมที่ได้ทำแล้วประมวลมา ซึ่งจะทำให้ชีวิตของแต่ละคนมีอะไรที่เกิดขึ้นเป็นไป ทั้งในทางฝ่ายที่เป็นผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม เพราะจะไม่มีใครเลยที่มีแต่กุศลกรรมอย่างเดียว แล้วก็ไม่มีใครที่มีแต่เฉพาะอกุศลกรรมอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น เวลาที่มีผลของอกุศลกรรมเกิดขึ้น ใครทำ ใครกำหนด ก็รู้เองใช่ไหมว่าเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งนั้น ถ้าจะตอบคำถามว่าทำไมต้องเป็นเรา ตอบได้ใช่ไหมว่าเพราะต้องเป็นเรา จะเป็นคนอื่นได้อย่างไร ทำกรรมมาจะให้คนอื่นได้รับผลได้ไหม ก็ต้องเป็นคนที่ทำนั่นเองที่ได้รับผล ต้องไม่ลืมว่าธรรมไม่ใช่เรา
การที่จะเข้าใจธรรมได้ก็คือขณะนี้ ไม่ว่าทุกคำถามจะต้องเกี่ยวข้องที่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ อย่างเช่นคำถามเรื่องโทสะ เมื่อครู่นี้โทสะปรากฏให้รู้บ้างหรือเปล่า กำลังพูดเรื่องโทสะ และมีตัวโทสะที่กำลังปรากฏหรือเปล่า แต่ถึงแม้ว่าจะมีโทสะก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะมีเรื่องราวมากมายของสภาพธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ เมื่อไหร่จะรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นธรรมไม่ใช่เรา เมื่อพูดแล้วก็เข้าใจใช่ไหม เราเข้าใจก็เป็นเราอีก
เวลาที่เข้าใจก็เป็นความเห็นถูกต้องซึ่งเกิดในขณะนั้นก็เป็นธรรมทั้งหมด ชื่อทั้งหลายก็เป็นธรรมซึ่งมีจริงๆ ในขณะนั้น แล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น การศึกษากว่าจะเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมนี้ก็ไม่เร็วเลย เพราะว่าเรามัวแต่คิดถึงเรื่องของธรรมในขณะที่ตัวธรรมเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว ต่อจากโทสะก็เรื่องโลภะซึ่งก็รู้ยากกว่าโทสะ เพราะเหตุว่าโทสะผิดปกติ เกิดมาวันนี้เห็น ปกติก็เป็นโลภะ ธรรมดาจนไม่รู้สึก แต่เมื่อเกิดความขุ่นข้องหรือความขุ่นใจนิดหน่อย ลักษณะนั้นต่างจากปกติ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ต่าง นานๆ เกิดขึ้นปรากฏก็ยังรู้ว่าไม่เหมือนเดิม
ดังนั้น เวลาธรรมดาๆ แล้วโลภะเกิด จะไม่รู้ว่าลักษณะนั้นเป็นธรรมชนิดหนึ่ง แต่เมื่อโทสะเกิดก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่เป็นเราซึ่งผิดจากเดิม คือแทนที่จะสบายใจธรรมดาก็กลายเป็นขุ่นใจ ไม่พอใจ ขณะนั้นเป็นธรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรทั้งหมดแล้วก็มีจริงๆ แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่าขณะนั้นเป็นธรรมตามที่ได้ฟัง ฟังเรื่องธรรม โลภะเป็นธรรม โทสะเป็นธรรม สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นธรรม ฟังจนจำได้ พูดตามได้ แต่ขณะนี้ไม่ได้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงตามที่เข้าใจ
ประโยชน์จริงๆ ของการฟังธรรมก็คือ สามารถที่จะสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย แม้เพียงขั้นคิดก็ขาดไม่ได้เลย เมื่อวานนี้เราพูดถึงเรื่องสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้ววันนี้ก็เห็น แล้วก็เห็นมาแล้ว มีใครรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้บ้าง ตอนที่พูดทุกคนก็เข้าใจและขณะนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ แล้วก็เริ่มเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ แต่ถ้าไม่ได้ยินคำนี้ก็ลืมแล้วใช่ไหม
ตั้งแต่เช้า ทุกอย่างแม้ขณะนี้กว่าจะเข้าใจลึกซึ้งจรดเยื่อในกระดูก คือไม่ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรมที่ปรากฏให้เห็นได้แล้ว ลองคิดดูว่าคิดเรื่องอื่นมากมาย เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจริงๆ ขณะนี้เมื่อไหร่จะเริ่มแม้แต่คิด และก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าเห็นเมื่อไหร่ก็รู้ว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น เป็นธรรมทั้งหมด แต่ชื่อปิดบังไว้ทั้งหมดทำให้เรานึกถึงแต่คำ อย่างเช่นเห็น กำลังเห็น มีจริงๆ กำลังเห็น รู้ที่เห็น เข้าใจที่เห็นว่าขณะนี้เป็นธรรม เป็นสภาพที่สามารถเห็นและกำลังเห็นด้วย แค่นี้ แต่ละทางก็เป็นสิ่งที่ยาก แล้วก็ลึกซึ้งต้องอาศัยความอดทนและความมั่นคงจริงๆ ในเมื่อสิ่งที่มีจริงเป็นสัจจะสามารถรู้ได้แน่นอนก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรมได้เพียงในครั้งเดียวที่ได้ยินว่าเป็นธรรม ลืมแล้วว่าเป็นธรรม ก็เป็นอย่างนี้จนกว่าจะมั่นคง
ตั้งแต่เกิดจนตายพ้นรูปไหม พ้นนามไหม ไม่พ้นเลย แต่ว่าเวลาที่เราพูดถึงเรื่องความเกี่ยวข้องของนามธรรมและรูปธรรม เราจะคิดเป็นเรื่อง การที่ได้กล่าวถึง ๓ นัยคือเกี่ยวข้องโดยเป็นที่เกิด ขณะนี้ไม่ได้ปรากฏที่เกิด เกี่ยวข้องโดยการที่เป็นทวาร ขณะนี้ก็ไม่ได้ปรากฏ แต่ว่าขณะนี้เห็นอะไร เพราะฉะนั้นอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ ปกติธรรมดาของพวกภพภูมิที่มีทั้งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จะไม่พ้นจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้
จะเห็นได้ว่าเราไม่ต้องไปจำคำ แต่ทันทีที่ได้ยินระลึกได้เลย ความเกี่ยวข้องก็คือกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เราไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อว่ารูปธรรม และสภาพที่กำลังเห็นก็ไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อว่า เห็น แต่มีแล้วทั้งสองอย่าง คือมีทั้งเห็นแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย เกี่ยวข้องกันไหม จะเห็นอื่นได้ไหมนอกจากรูป เมื่อเสียงปรากฏจิตก็ได้ยินเสียงที่เกิดกระทบกับโสตปสาท
ดังนั้น ชีวิตตามความเป็นจริงไม่พ้นจากรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทุกวันไม่พ้นจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ปรากฏให้ได้ยิน ปรากฏให้รู้เป็นกลิ่นนั้น ปรากฏรสต่างๆ กำลังปรากฏลักษณะที่แข็งด้วย เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าพ้นไม่ได้เลย ไม่มีใครพ้นรูป เมื่อมีรูปและมีสภาพรู้ จะให้ติดข้องในอะไร ก็ต้องติดข้องในรูปใช่ไหม ในภพภูมินี้ปราศจากรูปไม่ได้เลย ทุกวันมีรูปปรากฏให้ติดข้อง เมื่อรูปใดปรากฏก็มีความติดข้องในรูปที่พอใจ แต่ถ้ารูปนั้นเป็นรูปที่ไม่น่าพอใจก็ขุ่นใจ แต่ก็ไม่พ้นจากไม่พอใจในรูป หรือว่าพอใจในรูปนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ความเกี่ยวข้องที่ปรากฏจริงๆ ในขณะนี้ คือการเป็นอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ ถ้าเราจะไม่คิดถึงเรื่องราว แต่เข้าใจเฉพาะสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละอย่าง ขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น โดยการศึกษาทราบว่าเป็นรูปธรรม เพราะว่าปรากฏแล้วมีความไม่รู้และพอใจ ก็เหมือนกับคำถามที่ว่าพูดถึงโลภะ พูดถึงโทสะ และก็ต้องพูดถึงโมหะด้วย
เมื่อไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นก็เป็นเหตุให้มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ลืม ติดข้องในสิ่งที่ชั่วคราวที่สุด คือเพียงปรากฏให้เห็นและความจริงก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงไม่เผินและไม่ฟังด้วยความเป็นเราที่ต้องการรู้เรื่องเรา เราโกรธ เราโลภ ต่อไปเราจะเป็นอย่างไร ต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นตัวตนที่กำลังฟังเพื่อความเป็นตัวตน คิดว่าต่อไปเราจะโกรธมากขึ้นไหม หรือว่าเราจะดีขึ้นอย่างไร แต่ไม่ได้ละความไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่มีจริงๆ ทุกขณะ ทุกวัน ทุกกาล ระลึกได้เมื่อไหร่เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการตั้งต้นเลย
ถ้าฟังธรรมเรื่องนามธรรมและรูปธรรม เช่นเห็น ฟังเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจความจริงว่าขณะนี้เป็นธรรม จนกว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วเวลาที่มีความเข้าใจว่าเป็นธรรม ขณะนั้นก็รู้ว่าไม่ใช่เราเพราะเป็นธรรม
ด้วยเหตุนี้ ฟังแล้วบางคนอาจจะรู้สึกว่าน่าเบื่อ ซ้ำไปซ้ำมา อยากจะมีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมดาอย่างนี้ แต่เมื่อสิ่งนี้มีแล้วเป็นปกติอย่างนี้ เป็นธรรมดาอย่างนี้ยังไม่รู้แล้วจะรู้อะไรได้ นอกจากเพียงคิดว่าอยากจะรู้อย่างนั้น อยากจะรู้อย่างนี้ อยากจะรู้อนาคตว่าเป็นอย่างไร อยากจะรู้ว่าชาติหน้าเป็นอย่างไร หรือว่าก่อนจะตายเป็นอย่างไร จะตายโดยวิธีไหน ในบ้าน นอกบ้าน บนอากาศ ในน้ำหรืออะไร ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เพราะเป็นเพียงคิด อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่ายังไม่เกิดแล้วจะรู้ได้อย่างไร แต่สิ่งที่เกิดแล้วทำไมไม่รู้
แต่ละคนอยากจะทราบว่า สะสมอัธยาศัยทั้งกุศลและอกุศลมามากมากน้อยเพียงไร ถ้าไม่เกิดขึ้นจะมีทางรู้ได้ไหม ต่อเมื่อใดสภาพธรรมใดเกิด เมื่อนั้นก็ปรากฏชัดถึงการสะสมว่า มีปัจจัยที่จะทำให้ขณะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศลประเภทไหนๆ ซึ่งแต่ละคนจะไม่ชอบอกุศลเพราะว่าไม่อยากให้เรามีอกุศล แต่ไม่ได้เข้าใจถูกต้องว่าอกุศลเกิดขึ้นให้รู้ว่ายังมีอยู่ ยังไม่ได้ดับ แล้วก็จะมีเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมที่มีลักษณะที่เกิดตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา
เพราะฉะนั้น เวลาที่อกุศลเกิดขึ้นมีประโยชน์ไหม มีเมื่อไหร่ เมื่อเข้าใจถูกใช่ไหม แต่ถ้าอกุศลเกิดแล้วไม่อยากให้อกุศลนั้นเกิดเลย เพิ่มอกุศลอีกประเภทหนึ่งเข้าไปแล้ว คือไม่อยาก ไม่ชอบอกุศลนั้น เวลาที่มีความสุข ความพอใจเกิดขึ้นก็อยากจะให้มีความสุขมากกว่านั้นอีก ดังนั้นแม้ขณะที่เป็นสุขก็ยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้มีความติดข้อง และก็เพิ่มความติดข้องขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่มีอะไรเลยที่จะมีค่าในชีวิตที่เกิดมาแล้ว ซึ่งแต่ละคนที่ได้มาสู่การฟังธรรมไม่ใช่โดยบังเอิญ แต่การมาแสดงถึงปัจจัยที่ได้สะสมมาแล้ว ถ้าไม่มีการสะสมมาจะมาสู่ที่นี่ไหม จะฟังแล้วก็ค่อยๆ พิจารณา และรู้ว่าความไม่รู้มากมาย ไม่ต้องมีใครบอก เห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม คิดก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม วันหนึ่งๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ก็ยังมีการฟังซึ่งกำลังเริ่มที่จะเข้าใจธรรม
ดังนั้นก็เป็นความอดทนอย่างยิ่ง ในเมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ถ้าเป็นโรคร้ายแรงจะหายช้าหรือว่าจะหายเร็ว แล้วก็เป็นทาสของโลภะ สภาพที่น่าชื่นใจ น่าพอใจมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ มีทางที่จะพ้นได้ไหม คนหนึ่งก็ส่ายหน้า อีกคนหนึ่งก็พยักหน้า มีทางไหม มี แต่เร็วไหม เป็นทาสมานานแสนนาน มาก กล่าวได้เลยว่าบางทีก็มีคำกล่าวว่า โลภะมาทางอากาศมองไม่เห็นตัว บางทีก็กล่าวว่า โลภะเป็นอากาศที่แทรกอยู่ในระหว่างกลาป กลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดทุกกลุ่ม
ในกลีบดอกไม้ต้องมีอากาศธาตุแทรกคั่น แยกออกได้เป็นส่วนที่เล็กที่สุด แล้วโลภะ ทุกวาระที่เห็น ติดข้องแล้ว เหมือนไหมกับอากาศที่แทรกคั่นอยู่ทุกกลาปของการเห็น การได้ยิน ในขณะนี้การเห็นเกิดดับนับไม่ถ้วน ก็ลองคิดถึงโลภะว่าจะมากแค่ไหน แล้วจะพ้นจากโลภะได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็ไม่มีทางเลย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดความติดข้อง และเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลทุกประเภท
ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของธรรมจริงๆ เพียงแต่พูดเรื่องธรรม เอ่ยเรื่องธรรม ทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็เป็นธรรมทุกอย่าง แม้แต่ที่ว่านามธรรมและรูปธรรมเกี่ยวข้องกันอย่างไร ไม่ใช่ให้ไปนึกตอบ ขณะนี้เห็นก็ต้องไม่ปราศจากรูปคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ขณะนี้ได้ยินก็ไม่ได้ปราศจากเสียงที่ทำให้จิตได้ยินเกิด ขณะที่ได้กลิ่นก็ไม่ได้ปราศจากกลิ่นที่ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้กลิ่นนั้น
เพราะฉะนั้น นามธรรมและรูปธรรมไม่ได้แยกกันไปเลย โดยการปรากฏเป็นอารมณ์ นี่คือขั้นธรรมดาที่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ละเอียดยิ่งกว่านั้นก็คือ ต้องมีรูปอื่นอีกที่ทำให้สิ่งนี้ปรากฏได้ เพราะถ้าเป็นสิ่งที่สามารถกระทบตา แต่ถ้าไม่มีตา ไม่มีจักขุปสาท รูปนี้ก็ปรากฏไม่ได้ ดังนั้นก็เพิ่มการเห็นปัจจัยที่ทำให้ แม้ขณะนี้ซึ่งเป็นเพียงขณะที่สั้นมากเกิด มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วก็ดับ แต่ยังต้องอาศัยรูปที่มองไม่เห็นคือจักขุปสาทรูป ก็จะเห็นได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกันโดยเป็นอารมณ์ประการหนึ่ง แล้วโดยเป็นทางที่จะทำให้จิตเกิดขึ้น รู้ตามรูปที่กระทบทางนั้นๆ
ขณะนี้ทุกคนมีตาและทุกคนก็รู้ว่า เมื่อมีตาจึงมีการเห็น แม้จักขุปสาทไม่มีการที่จะปรากฏให้เห็นได้เลย เห็นขณะใดเป็นรูปที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง แต่จักขุปสาทไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเป็นสีสันวัณณะต่างๆ แต่เป็นรูปที่มีลักษณะพิเศษ มีจริงๆ เพราะว่าสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ และจิตเห็นเกิดขึ้นกำลังเห็น
นี่คือพูดถึงธรรม และคำตอบก็จะมากับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะถามเรื่องความสัมพันธ์ หรือความเกี่ยวข้องของนามธรรมและรูปธรรมก็คือ เดี๋ยวนี้ มีรูปปรากฏแล้วต้องมีนามเกิดขึ้นเห็น และรูปนี้จะปรากฎได้ก็ต้องมีรูปซึ่งอาศัยเป็นทางที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นเห็นได้ ถ้าไม่มีรูปนั้นจิตเห็นก็เกิดไม่ได้ และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดไม่ได้ นี่คือชั่วขณะที่แสนสั้นขณะที่เห็น แต่เห็นดับแล้วก็ยังมีการคิดนึก ซึ่งต้องมีรูปอื่นซึ่งเป็นที่เกิดของจิต
ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็จะเข้าใจและรู้ลักษณะของธรรม ตามกำลังของปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็ต้องอาศัยการที่ฟังแล้วรู้ถึงความเป็นอนัตตา จุดประสงค์คือให้รู้ว่าเป็นธรรม อีกนานไหมกว่าจะรู้ว่าเป็นธรรม ถ้าสามารถรู้ได้เดี๋ยวนี้จริงๆ ก็ต้องอบรมมานานแสนนานจึงสามารถที่จะรู้ได้
ดังนั้น ธรรมพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ขณะนี้ยังรู้ไม่ได้แต่เริ่มเข้าใจแล้ว และถ้ามีความอดทน ทำไมคนอื่นรู้ได้แล้วใน ๒๕๐๐ กว่าปี เพราะฉะนั้น มาจากปัญญาที่มีความเห็นถูก เข้าใจถูก ค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1681
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1682
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1683
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1684
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1685
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1686
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1687
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1688
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1689
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1690
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1691
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1692
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1693
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1694
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1695
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1696
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1697
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1698
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1699
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1700
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1701
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1702
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1703
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1704
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1705
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1706
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1707
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1708
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1709
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1710
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1711
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1712
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1713
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1714
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1715
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1716
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1717
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1718
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1719
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1720
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1721
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1722
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1723
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1724
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1725
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1726
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1727
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1728
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1729
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1730
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1731
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1732
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1733
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1734
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1735
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1736
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1737
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1738
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1739
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1740
