ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1681
ตอนที่ ๑๖๘๑
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมศุภาลัย จ.สระบุรี
วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ ถ้าสิ่งใดถูกต้องยอมรับว่าถูก สิ่งใดผิดก็ต้องผิด ไม่ใช่ว่าจะมีความเห็นโดยที่ไม่ฟังในเหตุผล ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คือไม่ได้สาระจากพระธรรม ไม่ได้สาระจากการที่เกิดมาเป็นมนุษย์เเล้วมีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรม แต่ยังไม่สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงที่ได้ฟัง
ดังนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่อ่อนน้อม เป็นผู้ที่ว่าง่าย ไม่ใช่เชื่อง่าย สิ่งใดที่ผิด รู้ว่าผิดแล้วก็ทิ้งไปเลย จะเก็บความผิดนั้นไว้ทำไม
ถ้าเป็นสิ่งที่ถูก แม้ว่ายาก แต่ก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น คงไม่ลืมว่า เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะแสดงพระธรรม ไม่ใช่ว่าท้อถอย ไม่ใช่เพราะอะไรเลย แต่เพราะขณะนั้นธรรมปรากฏในความลึกซึ้ง และในการทวนกระแสของชาวโลก เพราะว่าชาวโลกเป็นเรื่องได้ เป็นเรื่องต้องการ แต่พระธรรมตรงกันข้ามเพราะเป็นเรื่องละ ส่วนการที่จะแสวงหาหรือการได้นั้นเหมือนลูกศรที่ปักติดอยู่ในใจ แต่เป็นลูกศรที่มองไม่เห็น เพราะฉะนั้น จะถอนลูกศรที่มองไม่เห็น ต้องมีปัญญาอย่างเดียวที่สามารถจะเห็นว่า สิ่งใดเป็นโทษและสิ่งใดเป็นประโยชน์
เมื่อได้คิดถึงเมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะแสดงพระธรรม เห็นความลึกซึ้งของธรรมไหม เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะรู้ความลึกซึ้งของธรรม จึงเห็นว่ายากแสนยากที่ชาวโลกซึ่งเป็นผู้ที่ติดในโลก ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรสต่างๆ จะเข้าใจและเห็นโทษของความติดข้อง แต่ก็มีบุคคลที่ได้สะสมปัญญาในอดีตมา เมื่อฟังแล้วสามารถเข้าใจได้
ดังนั้น การฟังแต่ละครั้งเราจะเห็นผลของการฟังที่ต่างๆ กันไป บางคนฟังแล้วบอกยากมากไม่เข้าใจเลย บางคนว่ายากแต่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เมื่อพูดถึงสิ่งที่มีจริง และมีสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏให้เข้าใจ ก็ค่อยๆ เข้าใจสิ่งนั้นได้ เพราะเหตุว่าถ้ายากโดยไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เข้าใจ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้เพราะไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่มีจริงนี้ยาก เพราะแม้จะพูดว่าเป็นธรรมไม่ใช่ของใคร แต่ขณะที่เพียงฟังโดยที่ยังไม่รู้ความจริง คือการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม ก็ไม่มีอะไรจะไปคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะเป็นเราทุกขณะเลย เห็นก็เป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา คิดก็เป็นเรา สุขก็เป็นเรา ชอบก็เป็นเรา ไม่ชอบก็เป็นเรา ไม่เห็นมีอะไรที่จะไม่ใช่เราเลย ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเพียงปรากฏ
ถ้าฟังธรรมจริงๆ จะทราบว่า สิ่งนั้นเพียงเกิดปรากฏแล้วดับไป แต่ก็ยังติดยังพอใจ เเละลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับนี้ ทรงแสดงว่ามีลักษณะ ๓ อย่าง คือ ไตรลักษณะ เกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้น เป็นเรา หรือไม่ใช่เรา แค่เพียงคำสองคำ แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ ว่าต้องไม่ใช่เรา แต่เมื่อยังมีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรามานานมาก การที่จะไม่เห็นว่าเป็นเราก็ต้องสะสมอบรมความรู้เพิ่มขึ้น
เราอยู่มาในสังสารวัฏฏ์นี้นานเท่าไหร่ ใครตอบได้ ถ้าฟังพระธรรมจะทราบว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ อดีตชาติเคยเป็นใคร และกว่าจะบำเพ็ญพระบารมีแต่ละพระชาติ จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เมื่อได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรแล้ว บำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่วัน ไม่ใช่เดือน ไม่ใช่ปี ไม่ใช่ชาติ แต่เป็นกัปป์ แสดงถึงความลึกซึ้งของธรรมซึ่งมี แต่จะต้องมีการที่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ตั้งแต่เช้ามาใครรู้ว่าเป็นธรรมบ้าง หรือใครนึกได้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ จริงไหม แต่ก็ไม่มีใครนึกได้ ลืมไปเลย เมื่อฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม นี่เป็นเหตุที่จะต้องฟังบ่อยๆ เพราะว่าก่อนนั้นจิตรู้อารมณ์อื่นบ่อยๆ มาทุกชาติด้วยความติดข้องแล้วมีการสะสม เพียงการพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏครั้งหนึ่งดับไป ไม่ได้หายไปไหนเลย อยู่ในจิตนั่นเองและจิตก็ดับ แต่ว่าสิ่งที่จิตขณะก่อนสะสมไว้อย่างไรก็สืบต่อถึงจิตขณะต่อไป จนถึงเดี๋ยวนี้ จึงไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า ความไม่รู้และความติดข้องที่สะสมมานานแสนนานนั้นมากมายเท่าไหร่ แล้วจะให้หมดสิ้นไปเพียงแค่ได้ยินได้ฟังธรรมไม่กี่ครั้ง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่อดทน ที่ทรงแสดงพระธรรมไว้ว่า ขันติ ความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง ตบะคือ การเผากิเลส ไม่มีอะไรจะทำให้กิเลสเหือดแห้งหมดสิ้นไปได้ นอกจากปัญญาที่รู้จริงๆ ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเห็นประโยชน์จึงทราบว่ากว่าจะได้ฟังพระธรรม ซึ่งจะฟังไปอีกนานเท่าไหร่เเละจะได้ฟังอีกกี่ครั้งก็ไม่ทราบ
เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งที่ฟังจึงเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรม ซึ่งเป็นคำจริงทุกคำ เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจ และได้สนทนาให้หมดความสงสัย เพื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เพิ่มขึ้น
ถ้าไม่อยากจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ คงจะอยู่นอกห้องนี้ ไม่มานั่งอยู่ตรงนี้แน่ๆ ซึ่งข้างนอกก็มีสิ่งที่เราเห็นเป็นประจำไม่ว่าที่ไหน แต่ไม่รู้ ตรงนี้ก็มีสิ่งที่เหมือนข้างนอกคือ เห็น เเต่ว่าเริ่มที่จะเข้าใจเเละมีความรู้ว่าเป็นธรรม ใครก็ตามที่พูดว่าธรรม อย่าเพียงเเต่พูดโดยที่ไม่รู้จริงๆ ว่า ธรรมคืออะไร
อันตรายประการหนึ่งคือรู้ไม่จริง แล้วพูดงูๆ ปลาๆ จับโน่นผสมนี่ โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ตามปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์และค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นได้
อ.คำปั่น เป็นความจริงอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไป มีแต่จะเดินหน้าไปถ่ายเดียว ซึ่งเมื่อวานท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปเหมือนอดีตที่ผ่านมาได้เลย มีแต่จะเดินหน้ามุ่งไปสู่ความตายเข้าไปทุกทีๆ อุปมาเหมือนกับก้อนเมฆที่ตั้งขึ้นแล้ว มีแต่จะล่องลอยไปตามลมถ่ายเดียว
ดังนั้น ชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ดี ที่จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจพระธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะไม่สามารถที่จะทราบได้ว่า โอกาสของการที่จะได้ฟังธรรมในชาตินี้ภพนี้ จะเหลืออยู่อีกเท่าใด
ท่านอาจารย์ ฟังดูไพเราะหรือไม่ ทุกคนเคยเห็นเมฆเเล้วก็ไม่ได้คิดถึง เห็นก็เห็นไป แต่ข้อความที่คุณคำปั่นกล่าว แม้แต่เมฆซึ่งมีจริงๆ ก็ไม่ละโอกาสที่จะแสดงอุปมา เพื่อที่จะให้เห็นความจริงของชีวิต เพื่อที่จะได้รู้ความเป็นไปว่าชีวิตที่เกิดมาต้องเป็นไป แล้วจะเป็นไปอย่างไร จะเป็นไปอย่างเลว หรือว่าจะเป็นไปอย่างดี แต่ต้องเป็นไป
เมื่อก้อนเมฆตั้งขึ้น เราจะเห็นว่าค่อยๆ เปลี่ยนใช่ไหม บางคนอาจจะมองเป็นรูปนั้นแล้วเปลี่ยนเป็นรูปนี้ แต่ขณะนั้นก็คือเคลื่อนไป กระจัดกระจายไป เเละในที่สุดก็แตกสลายไปจนมองไม่เห็นรูปเดิม หรือเห็นเป็นเมฆอย่างเดิมได้อีก ซึ่งถ้าจะอุปมาก็คือชีวิต ต่อไปนี้เวลาเห็นก้อนเมฆอาจจะนึกได้ว่าก็เป็นอย่างนี้เอง ตั้งขึ้นแล้วก็พัดไปเรื่อยๆ และแตกสลายไปในที่สุด
ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ แต่เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสูรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมนุษย์ที่เกิดมาก็หลากหลายต่างกันมากมาย ตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว และกรรมแต่ละกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ยังประมวลมาซึ่งกรรมที่สามารถที่จะให้ผลในชาตินั้นด้วย อย่างเช่น ม้ากัณฐกะ ทุกคนรู้จักใช่ไหม เกิดเป็นม้าที่สวยงามมีกำลังมาก ม้าก็มีตั้งหลายตัว แต่ทำไมตัวนี้จึงพิเศษ
แสดงให้เห็นว่ากรรมนั่นเองที่ทำให้ต่างไปกัน แต่ละตัว แต่ละคน แต่ละชีวิตก็ต่างๆ กันไปตามกรรมที่ทำให้เกิด และยังประมวลมาว่าระหว่างที่ยังไม่ตาย กรรมใดสามารถที่จะให้ผลในชาตินั้น เวลาเกิดเป็นม้ากัณฐกะจะเหมือนกับเกิดเป็นมนุษย์ไหม แม้จะแข็งแรงมีกำลังมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะเหมือนมนุษย์ได้เลย
เนื่องจากสิ่งที่สะสมมา หลังจากที่สิ้นชีวิตตามกรรมซึ่งทำให้สิ้นสุดการเป็นม้ากัณฐกะเเล้ว ก็ได้เกิดเป็นเทพบุตรตามกรรมที่ทำให้เกิดเป็นเทพบุตร จึงมีโอกาสที่กุศลทั้งหลายที่สะสมมาสามารถที่จะให้ผล ซึ่งในขณะที่เป็นม้ากัณฐกะไม่สามารถที่จะให้เกิดผลอย่างนั้นได้เลย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเป็นเทพบุตรเเล้ว ได้ลงมาเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรม สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรม เป็นพระโสดาบัน
เพราะฉะนั้น แต่ละขณะนี้ประมาทไม่ได้เลย การที่สะสมความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ทีละขณะ ทีละเล็กทีละน้อย จะไปเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แม้ว่าจะเกิดในภูมิที่ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ แต่สิ่งที่สะสมไว้ก็ไม่สูญหาย
เมื่อถึงกาลที่มีโอกาสจะเกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าเกิดเป็นเทพ ก็มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรม และสิ่งที่เคยเข้าใจมาแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง และก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมแล้วรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ซึ่งมีม้าอื่นอีกมากมายที่ไม่ได้สะสมมาอย่างม้ากัณฐกะ เมื่อตายแล้วก็ไม่สามารถที่จะเกิดเป็นเทพบุตร ลงมาเฝ้าและฟังธรรมจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
ดังนั้น ให้ทราบว่าเเต่ละคนนั้นหลากหลายมาก ขณะนี้ไม่มีใครสักคน กล่าวอย่างนี้ได้ไหม มีแต่ธรรม ถูกหรือผิด ธรรมคือจิต เจตสิก เเละมีรูปด้วยแน่ๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นคน หรือเป็นสิ่งที่มีชีวิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ มีทั้งนามธรรมและรูปธรรม ขณะที่เกิด กรรมทำให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมเกิด ใช้คำว่า วิปากะ หรือวิบากจิต
จิตแต่ละขณะที่เป็นเหตุ แม้ดับไปแล้ว ถึงกาลที่จะทำให้จิตที่เป็นผลเกิดขึ้น แม้ว่ากรรมที่ได้ทำไปจะนานเเล้ว เเต่ถ้าสามารถที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อจากจุติคือจิตขณะสุดท้าย ในขณะนี้ก็ได้ โดยที่เลือกไม่ได้เลยว่าจะให้จิตประเภทไหนเกิด แต่มีเหตุพร้อมที่จะให้เกิดแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เวลาที่เกิดเป็นมนุษย์ก็ยังหลากหลายต่างกันไปตามกรรม และทั้งหมดคือ จิตกับเจตสิกเกิด ไม่มีสัตว์บุคคลเลย ถ้าไม่มีจิตกับเจตสิกเกิด ไม่มีสภาพรู้เกิด มีแต่ต้นไม้ ใบหญ้า ภูเขาแม่น้ำ แต่ไม่มีสภาพรู้ หรือไม่มีธาตุรู้ซึ่งเป็นจิต ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
เพราะฉะนั้น ที่เป็นสัตว์เป็นบุคคล ไม่ใช่มีเพียงแต่รูป แต่ต้องมีสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิตและเจตสิกด้วย ได้ยินคำว่า จิต เจตสิก เพียง ๒ คำ เหมือนรู้ แต่กว่าจะรู้จริงๆ ในลักษณะที่เป็นจิตไม่ใช่เจตสิก และเจตสิกไม่ใช่จิต ยังต้องอาศัยการฟังต่อไปอีก
ด้วยเหตุนี้ การฟังเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพียงแต่รู้คร่าวๆ ว่า ขณะนี้มีทั้งสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นรูป อย่างเช่นแข็ง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก็แข็ง แต่แข็งไม่รู้อะไรเลย ไม่ว่าแข็งที่ตัวของคน ของสัตว์ หรือที่โต๊ะ ที่เก้าอี้ แข็งเป็นแข็งเหมือนกันเลย เกิดเป็นแข็งแล้วก็ดับไป แต่แข็งที่ตัวเกิดจากสมุฏฐานที่ต่างจากสมุฏฐานที่ไม่มีจิต คือที่ตัวของแต่ละคนมีรูป จะใช้คำว่า แข็ง รูปเดียวก็ได้ ซึ่งความจริงไม่ได้มีเฉพาะแข็งรูปเดียว ต้องมีรูปอื่นเกิดพร้อมกันด้วย แต่ตอนนี้จะกล่าวถึงเฉพาะรูปเดียว
ธรรม ต้องกล่าวถึงเพียงแต่ละอย่างๆ ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ อย่างเช่น ขณะนี้เเข็งกำลังปรากฏเมื่อกระทบ แต่มีใครสามารถจะรู้ได้ไหมว่า แข็งนี้เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน หรือว่าเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน หรือเกิดจากอุตุความเย็นความร้อน เหมือนต้นไม้ใบหญ้าข้างนอก ซึ่งแข็งตรงนั้นเกิดเพราะความเย็นความร้อน แต่แข็งที่ตัวนอกจากเกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากความเย็นความร้อนที่ใช้คำว่า อุตุ แล้วยังเกิดจากอาหารที่ต้องรับประทาน มิฉะนั้นก็มีชีวิตต่อไปไม่ได้
นี่คือความเป็นไปของสภาพธรรมที่ละเอียดมาก ต้องค่อยๆ ศึกษาไปทีละอย่างๆ จนกว่าจะเข้าใจแต่ละอย่างเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นไม่มีทางจะเข้าใจธรรมที่เป็นอภิธรรม หมายความว่าธรรมละเอียดลึกซึ้ง จึงเป็นการแสดงธรรมนั้นโดยละเอียดให้เข้าใจ ซึ่งใช้คำว่า อภิธรรม ความจริงก็คือธรรมนั่นเอง ซึ่งเมื่อกล่าวและแสดงโดยละเอียดโดยประการต่างๆ ก็ทำให้เข้าใจสภาพธรรมนั้นขึ้น เพราะว่าถ้ากล่าวชื่อโดยไม่ละเอียดก็ยังคงเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งยังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ ว่าเป็นธรรม
ผู้ฟัง ในการพูดคุย ในการสนทนาธรรม พูดคุยอย่างไร กล่าวธรรมอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้จักประมาณตนในการกล่าวธรรม
ท่านอาจารย์ มีข้อความที่ควรประพฤติมากมายเลย แต่ขณะที่ฟังธรรมก็คือเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เป็นผู้ตรงว่าศึกษาธรรม อ่านธรรม สนทนาธรรม เพื่อเข้าใจธรรม และธรรมคือสภาพที่กำลังมีจริงๆ ขณะนี้ ไม่ใช่หลงไปตามตัวหนังสือ เเต่เมื่อไหร่ที่ฟังแล้วสามารถที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ นั่นคือประโยชน์
ผู้ฟัง มีความรู้สึกว่าเมื่อกล่าวพยัญชนะธรรมออกไป ก็ได้รับคำตอบที่กระทบความรู้สึก ผมเลยมีความเกรงใจ
ท่านอาจารย์ คิดถึงตัวเองใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ตัวเองจะเป็นอย่างไร จะใช้คำอะไร นั่นคือยังไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น สนทนาธรรมกับใคร เราไม่ใช่เป็นผู้กล่าวธรรมที่จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เข้าใจธรรมในขณะที่กล่าวว่าเป็นความถูกต้อง เป็นความเข้าใจของเรา แล้วผู้ฟังนั้นจะเข้าใจมากหรือน้อย ก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่ให้รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ต้องไปเตรียมตัวเตรียมใจ เปลี่ยนแปลงอะไรในเวลาที่เป็นผู้กล่าวธรรม
ขณะนี้ ทุกคนฟังธรรมแล้วกล่าวธรรม เป็นธรรมดา เป็นปกติ เพราะฉะนั้น ธรรมคือปกติ อย่าคิดว่าฟังธรรมแล้วจะเปลี่ยนจากเดิม ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่าสะสมมาที่จะเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ว่าได้ฟังธรรม
เพราะฉะนั้น ชีวิตแต่ก่อนนี้มีการสะสมมาที่จะคิด จะทำ จะพูด แล้วๆ มาอย่างไรก็ผ่านไป ต่อไปข้างหน้าจะคิด จะทำ จะพูด ก็ต้องเป็นไปตามการสะสมของแต่ละคน ซึ่งจะนั่งจะนอนเหมือนกันไหม แม้แต่จะพูด จะคิด ก็ไม่เหมือนกัน มีเหตุปัจจัยที่ต้องเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนไม่ได้ แต่ที่เปลี่ยนคือ มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิต ซึ่งก็เหมือนแต่ก่อน เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน คิดก็คิด ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่รู้ว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มีใครที่จะต้องไปทำอย่างอื่นเป็นพิเศษเพิ่มขึ้น เพราะว่าเราเป็นผู้กล่าวธรรม หรือเราเป็นผู้ฟังธรรม แต่เป็นปกติ ชีวิตเป็นปกติ อย่างชีวิตของผู้ที่บวชเป็นพระภิกษุ ท่านเห็น ได้ยิน ฟังธรรม ทำกิจของพระภิกษุ ไม่ใช่ทำกิจของคฤหัสถ์ ซึ่งก็เหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนเพศ จากการที่จะต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ประกอบธุรกิจการงานต่างๆ มาเป็นการงานของท่าน คือดำเนินชีวิตประจำวันแล้วยังต้องศึกษาพระธรรม เพราะว่าบวชเพื่อศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม
ดังนั้นกิจของสงฆ์คือ คันถธุระ การศึกษา และวิปัสสนาธุระ การอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะรู้ความจริงตามที่ได้ฟัง สำหรับชีวิตของคฤหัสถ์ก็เห็นได้ยินเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้มีเพศอย่างบรรพชิต ซึ่งก็มีการคิดเหมือนเดิม
ภิกษุเเต่ละรูปก็ต่างๆ กันไป คิดต่างๆ กันไปเหมือนเดิม เพียงแต่ภาวะของเพศบรรพชิตต่างกับเพศคฤหัสถ์ แต่จิตใจที่สะสมมาแล้วจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร ที่จะไม่ให้พูด ไม่ให้ทำ ไม่ให้คิด เหมือนอย่างเมื่อเป็นคฤหัสถ์ เพียงแต่ว่ามีการฟัง มีการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นฉันใด คฤหัสถ์ก็ฉันนั้น ไม่ได้เป็นพระภิกษุ ชีวิตก็เหมือนเดิมตามการสะสม และก็มีการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น
สิ่งที่เปลี่ยนคือการเข้าใจธรรม แต่ไม่ใช่ว่าจะไปเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หรือใครจะมาบอกว่า คนนี้ศึกษาธรรมแล้วทำไมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือคนที่พูดธรรมแล้วต้องเปลี่ยนไหม ต้องเปลี่ยนอะไรหรือเปล่าว่าเราจะต้องพูดธรรมวันนี้ เราเลยจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าเป็นปกติ และก็มีสิ่งที่เข้าใจธรรมที่ทำให้มีการพูดถึงธรรม ถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมจะพูดถึงธรรมได้ไหม
เพราะฉะนั้น การพูดธรรมไม่ใช่อยู่ที่อื่น อยู่ที่การเข้าใจแล้วก็พูดเท่านั้นเอง ซึ่งก็เป็นปกติ ไม่ได้ต่างจากคำพูดของคนที่ไม่รู้ธรรม พูดเป็นพูด แต่ความเข้าใจธรรมมี จากคนที่ไม่มีความเข้าใจธรรม ก็จะพูดเรื่องอะไรด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเรื่องกีฬา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็พูดไปแต่ละเรื่อง โดยที่ไม่ได้เข้าใจธรรม คนที่ศึกษาธรรม ฟังธรรม พูดธรรม เเล้วพูดเรื่องกีฬาได้ไหม ได้ เหมือนเดิม เป็นปกติ ไม่ได้ต่างกันเลย แต่ก็ยังเข้าใจธรรม และพูดธรรมที่เข้าใจได้ เท่านั้นเอง
ผู้ฟัง มีคำถามมา คือ การเจตนาฆ่าบิดามารดาโดยตรงเลย กับจะฆ่าคนอื่น แต่บังเอิญมาฆ่าบิดาตนเอง ผลเท่ากันใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เจตนาฆ่าเหมือนกันหรือต่างกัน ไม่ว่าคนนั้นเป็นใคร เฉพาะเจตนาฆ่า จงใจที่จะทำลายชีวิตของบุคคลนั้น ไม่ว่าใคร ความจงใจฆ่าเหมือนกันไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร เจตนาเป็นเจตนา ไม่ใช่เจตนาไปช่วย ไม่ใช่เป็นเจตนาที่จะเบียดเบียนแค่ทำร้ายเล็กๆ น้อยๆ แต่เจตนาฆ่า ถึงฆ่า
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่มารดาบิดา การกระทำนั้นก็เป็นอกุศลกรรม ใช่ไหม สามารถที่จะให้ผลแน่นอน แต่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าจะให้ผลเมื่อไหร่ เพราะเหตุว่ากรรมที่เป็นสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้ว แม้เกิดกับจิตใดและดับไปพร้อมจิตนั้น แต่ขณะต่อไปสืบต่อจากจิตขณะนั้นก็สะสมทุกอย่าง แม้แต่การกระทำที่ได้กระทำสำเร็จไปแล้ว สะสมโดยเป็นกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยหนึ่งคือกรรมที่สามารถจะทำให้ผล คือ วิบากจิตเกิด
ดังนั้น ไม่ควรที่จะคิดถึงแต่เฉพาะอนันตริยกรรม เพราะการฆ่าทั้งหมดให้ผลทำให้เกิดในอบายภูมิได้ เเละถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เกิดในอบายภูมิ เมื่อเกิดเป็นคนก็หนีอกุศลกรรมที่ได้ทำไปแล้วไม่พ้น เพียงแต่ว่าถึงกาลที่จะให้ผลเมื่อไหร่มากน้อยแค่ไหน
แต่สำหรับอนันตริยกรรม ทันทีที่ตายคือจุติจิตดับ จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับ ปฏิสนธิในอบายภูมิทันที เพราะผู้ตายเป็นผู้ที่มีคุณ ไม่ใช่เฉพาะแต่มารดาบิดา เเม้พระอรหันต์อีกด้วย ดังนั้นให้ทราบว่า ถ้าเป็นการฆ่าโดยเจตนาจงใจต้องให้ผล คือสามารถที่จะให้เกิด หรือว่าหลังจากเกิดแล้วก็ยังให้ผลได้
ดังนั้นจึงควรรู้ผลของกรรม ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวถึงกรรมและผลของกรรม แต่ควรที่จะรู้ว่าขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนเป็นผลของกรรม จิตขณะแรกที่เกิดไม่ใช่กรรม กรรมได้กระทำแล้วทำให้วิบากคือผล เกิดต่อจากจุติจิตทันที
เพราะฉะนั้น จิตที่ทำปฏิสนธิกิจนั้นต้องเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ได้รับผลของกรรมอะไรบ้าง ขณะที่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมเกิด ขณะนั้นได้รับผลอะไรอีกหรือไม่
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1681
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1682
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1683
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1684
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1685
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1686
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1687
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1688
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1689
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1690
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1691
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1692
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1693
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1694
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1695
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1696
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1697
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1698
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1699
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1700
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1701
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1702
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1703
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1704
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1705
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1706
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1707
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1708
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1709
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1710
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1711
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1712
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1713
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1714
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1715
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1716
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1717
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1718
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1719
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1720
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1721
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1722
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1723
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1724
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1725
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1726
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1727
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1728
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1729
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1730
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1731
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1732
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1733
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1734
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1735
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1736
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1737
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1738
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1739
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1740
