ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1689
ตอนที่ ๑๖๘๙
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓
ท่านอาจารย์ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงว่าเป็นธาตุ หรือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง มีจริงๆ แต่จะปรากฏก็ต่อเมื่อสามารถมีจักขุปสาทอยู่กลางตาที่เราเรียกว่า ตา ความจริงเป็นรูปพิเศษที่ต่างกับรูปอื่น ต่างกับรูปแข็ง ต่างกับรูปหวาน ต่างกับรูปเสียง เพราะว่ารูปที่อยู่กลางตานี้สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น กระทบอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็น ต้องมีตา แล้วเราก็พูดว่าคนตาบอดมองอะไรไม่เห็น
แต่เมื่อไม่ใช่คนตาบอดก็สามารถที่จะเห็น เมื่อจิตซึ่งอาศัยการกระทบกันของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ กับตา คือ จักขุปสาท แล้วก็มีธาตุที่สามารถที่จะอาศัยตาและสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ นี่คือ ธรรม ต้องเดี๋ยวนี้ถึงจะเข้าใจธรรม
เวลาพูดถึงเห็นแล้วทำไมเราไม่เข้าใจ เพราะเราคิดเรื่องอื่น แต่กำลังมีเห็น ไม่คิดเรื่องอื่นเลย มีเห็น ตรงเห็น เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น นั่นคือการเริ่มต้นที่จะรู้ความจริงของธรรม ซึ่งไม่ง่ายที่จะทำให้สามารถที่จะรู้เฉพาะเห็นจริงๆ ที่กำลังเห็น แต่ถ้ามีการเข้าใจมากขึ้นๆ ก็จะรู้ว่าแม้กำลังเห็นอย่างนี้ คิดเรื่องอื่นก็ไม่ใช่กำลังเข้าใจสิ่งที่กำลังเห็น ต่อเมื่อไหร่ที่เห็นแล้วฟังเรื่องเห็น และกำลังเริ่มเข้าใจขณะที่เห็นจริงๆ นั่นคือการศึกษาธรรมที่แท้จริง
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็ย้ำเสมอว่าธรรมมีลักษณะ แต่ว่าการที่ต้องกล่าวชื่อก็เพื่อให้รู้ว่ามีลักษณะต่างๆ กัน เช่น เสียงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินไม่ใช่เห็น ประมาณอย่างนี้ว่าลักษณะต่างๆ ของธรรมก็ต้องใช้ชื่อ ใช้คำ มาอธิบายเพื่อเข้าใจ แต่ในหมู่ผู้ศึกษารวมทั้งตัวดิฉันเองด้วย ดูเหมือนว่าจะไปติดในชื่อ ในพยัญชนะ ก็จะข้ามลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏให้รู้ ตรงนี้จะค่อนข้างเป็นปัญหา เป็นเครื่องกั้นที่ทำให้ไม่น้อมไปสู่การเข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ
ท่านอาจารย์ ทราบไหมว่าเพราะอะไร ต้องมีเหตุ สภาพธรรมเกิดแล้วดับ แต่ว่าไม่เคยรู้ในลักษณะที่มีจริงๆ ที่เพียงปรากฏ แล้วก็ชินต่อการที่คิด ทุกคนคิด เมื่อเห็นแล้วก็คิด มีไหมที่เห็นแล้วไม่คิด ได้ยินแล้วก็คิด มีไหมที่ได้ยินแล้วไม่คิด มีใครบอกว่าไม่คิดบ้าง ไม่มีเลย
แสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในโลกของความคิดมานานแสนนาน โดยไม่รู้สภาพธรรมที่ทำให้เกิดคิด ถ้าไม่มีการเห็นจะคิดถึงอะไร แต่เมื่อเห็นแล้วคิดถึงอะไร คิดถึงสิ่งที่เห็นก่อนโดยเราไม่รู้สึกตัวเลย มิฉะนั้นเราจะไม่รู้ว่าขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น มีคิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏเร็วสุดที่จะประมาณได้ ทำให้เข้าใจว่ากำลังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นดอกไม้ เห็นคน คิดหรือเปล่า
ถ้าไม่คิด ดอกไม้กับคนต่างกันไหมเพราะว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ สีต่างๆ สีดำ สีเหลือง สีเขียว สีแดง ที่ไหนก็มีใช่ไหม แต่ว่าสีดำ สีเหลือง สีเขียว สีแดง พร้อมกับรูปร่างสัณฐาน ทำให้เกิดความคิดว่า ดำนี้เป็นคิ้ว ดำนั้นเป็นไมโครโฟน หรือว่าดำนี้เป็นแว่นตาก็แล้วแต่ความคิด ทั้งๆ ที่เป็นสีเดียวกันแต่ความคิดและความจำซึ่งเริ่มตั้งแต่เกิด
ขณะที่เพิ่งเกิดจำสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดยังไม่ได้ แต่มีเห็น เมื่อเห็นบ่อยๆ แล้วจำได้ไหม เริ่มจำได้แล้วว่าเห็นอะไร แต่ยังเรียกไม่ได้เลย ยังพูดไม่ได้ แต่จำได้ก่อนว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่ายิ่งโตก็ยิ่งรู้ ทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องก็ยิ่งมาก เด็กๆ กับเราเปิดวิทยุเเล้วได้ยินเรื่องเดียวกัน ผู้ใหญ่เรื่องมากกว่าเด็กไหม เด็กไม่รู้เลยว่าเขาพูดเรื่องอะไร เรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการทำอาหาร หรือวิชาการต่างๆ เด็กก็ไม่รู้ เพียงแต่ได้ยินแล้วผ่านหูไป แต่ว่าคนที่โตแล้ว ความจำก็มาก ความคิดก็มาก เรื่องจึงมากด้วย
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าที่ว่าเป็นเรา ที่จริงก็คือเป็นธรรมหรือเป็นธาตุที่มีจริงๆ แต่ในความรู้สึกเหมือนกับว่า มีแล้ว แต่ตามความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม สภาพธรรมใดๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย
ถ้าขณะนี้ถามว่าเห็นไหม ตอบว่าอย่างไร ถามว่าคิดหรือเปล่า ก็คิด แต่คิดต้องไม่ใช่เห็น เพราะว่าถึงแม้ไม่เห็นก็ยังคิดได้เพราะจำสิ่งที่เคยเห็น แล้วแต่ว่าจะจำสิ่งที่ปรากฏทางตาก็คิดเป็นเรื่องต่างๆ รูปร่างต่างๆ สัณฐานต่างๆ อย่างคนที่วาดรูปเขาจะคิดเรื่องอะไร ก็ต้องคิดถึงสี รูปร่างต่างๆ ที่เคยเห็นใช่ไหม ถ้าคนที่เป็นนักดนตรีได้ยินเสียงแล้วจำ เขาจะคิดเรื่องการวาดรูปไหม เขาก็ไม่คิด เขาก็คิดถึงเรื่องเสียงต่างๆ ดนตรีต่างๆ ไม่มีวันจบ จะต้องมีนักดนตรีแล้วก็มีเสียงไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีการได้ยิน
ดังนั้น ทั้งหมดก็มาจากการเห็นแล้วทำให้คิดเรื่องรูปร่างสัณฐานต่างๆ ทางหูก็ได้ยินเสียง ทางจมูกก็ได้กลิ่น เมื่อได้กลิ่นก็มีผู้ปรุงน้ำหอมกลิ่นต่างๆ อีกเป็นไปตามกลิ่นที่มี เมื่อได้รสอาหารหลากหลายมากมายนานาชาติ นานารส ก็มาจากความคิดเรื่องของรส ทางกายก็มีการกระทบสัมผัส มีการปรุงแต่งรูปร่างลักษณะ ความเย็นความร้อนของบ้าน ของห้อง สารพัดอย่าง ทางใจก็คิดนึกทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ ถ้าจะกล่าวถึงขณะแรกของจิตที่เกิดในโลกนี้ ชาตินี้ที่เป็นสัตว์เป็นบุคคลต้องต่างกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีชีวิตคือไม่มีจิต ไม่มีสภาพรู้ ไม่มีธาตุรู้ อย่างเช่นดอกไม้ ดอกไม้คิดอะไรไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นดอกไม้ มีแต่แข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน แล้วก็มีกลิ่น ถ้าจะชิมก็มีรสด้วย นี่ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ไม่มีจิต ไม่มีธาตุรู้ ที่เราใช้คำว่าไม่มีวิญญาณ เพราะคำว่า วิญญาณ หรือ จิต หรือ ธาตุรู้ คือความหมายเดียวกัน ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ในขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่รู้อะไร แข็งรู้อะไรไหม
ถ้ามีใครกระทบแข็ง แข็งเจ็บไหม แข็งโกรธไหม เพราะแข็งไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เสียงเพราะ แล้วคนจะชมว่าเสียงเพราะ เสียงรู้สึกปลาบปลื้มยินดีไหม เพราะเสียงไม่รู้อะไรเลย ใครจะติว่าเสียงไม่เพราะเสียงก็ไม่เดือดร้อน เพราะเสียงก็ไม่รู้อะไร
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงในโลกนี้มีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่างใหญ่ๆ คือ สภาพอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่ว่าอีกสภาพหนึ่ง ซึ่งถ้าโลกมีแต่เพียงสิ่งที่มีทั้งนั้นเลย เย็นก็มี ร้อนก็มี รสก็มี กลิ่นก็มี เสียงก็มี แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลยก็ไม่เดือดร้อนใช่ไหม แต่ว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีแต่เฉพาะธาตุที่เป็นรูปธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ยังมีอีกธาตุหนึ่งซึ่งเมื่อมีปัจจัยจะเกิด จะบังคับไม่ให้เกิดได้ไหม ธาตุชนิดนี้ต่างกับรูปธาตุซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะว่าธาตุนี้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น มองไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะไม่รู้ไม่ได้เลย
ขณะนี้ก็มีธาตุนั้นคือเห็น เห็นสามารถที่จะรู้ว่ามีอะไรกำลังปรากฏให้เห็น เพราะกำลังเห็นสิ่งนั้น แต่เมื่อเห็นเกิดแล้วจะบอกว่าไม่เห็นก็ไม่ใช่คนที่ตรง เมื่อเห็นเกิดแล้วเห็นกำลังมีจริงๆ ขณะนี้ แล้วเห็นอะไร ก็เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง จะเห็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เห็นเกิดเมื่อไหร่ก็ต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะที่เห็น กำลังเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนไม่ได้โดยไม่ต้องเรียกอะไรเลยทั้งสิ้น
ขณะนี้มีธาตุ ๒ อย่างคือ รูปธาตุ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ที่ตัวมีไหม กระทบแข็ง แข็งรู้อะไรไหม แข็งที่ไหนๆ ในโลกกี่โลก แข็งรู้อะไรไม่ได้เลย นี่คือธรรม เพราะฉะนั้น แข็งมีจริงๆ เกิดเมื่อไหร่ที่ไหนไม่ใช่สภาพรู้ แต่ที่จะรู้ว่าแข็งมีเพราะมีธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้แข็ง ขณะนั้นไม่ได้รู้เสียงเพราะเสียงไม่ได้แข็ง ขณะนั้นไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ลักษณะของแข็ง เดี๋ยวนี้เองพิสูจน์ความเป็นธรรมได้ แข็งมีจริงๆ เมื่อมีสภาพที่กำลังรู้เฉพาะแข็ง ตรงแข็ง ไม่ใช่พูดเปล่าๆ พูดลอยๆ ว่าแข็งมี แล้วก็มีสภาพที่รู้แข็ง แต่ในขณะที่แข็งปรากฏ แข็งปรากฏ ไม่ใช่คิดถึงแข็ง แข็งที่ปรากฏเพราะมีสภาพหรือธาตุที่กำลังรู้แข็ง ซึ่งลักษณะนั้นก็คือชีวิตประจำวัน เป็นนามธาตุหรือนามธรรม
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีว่า สิ่งที่มีต่างกันเป็น ๒ อย่าง ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นเป็นรูปธรรม และสภาพรู้ ไม่ว่าจะเห็น หรือได้ยิน หรือคิดนึก หรือสุข หรือทุกข์ หรือจำ ทั้งหมดเป็นนามธรรม
การศึกษาธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะรีบร้อนแล้วก็ข้ามไป โดยไม่รู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหนทั้งๆ ที่กำลังศึกษาธรรม ศึกษาเรื่องจิตแต่ไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าขณะนี้อะไรเป็นจิต ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ถ้าอย่างนั้นไม่ชื่อว่าศึกษาธรรมเพราะเหตุว่าไม่รู้จักธรรม ไม่รู้ว่าธรรมจริงๆ อยู่ที่ไหน ในขณะไหน
ถ้าจะพูดถึงคำหลายๆ คำโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ แล้วเราจะเข้าใจได้ไหม แต่ถ้าเราได้ยินคำไหนแล้วเข้าใจคำนั้นขึ้น เราก็จะเข้าใจต่อไปอีกถูกต้องเพราะมีพื้นฐานที่มั่นคง เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่รู้จักจิต ได้ยินชื่อก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าเราเริ่มเข้าใจจิต เวลาที่พูดถึงจิตประเภทต่างๆ คือ กิจหน้าที่ของจิตแต่ละประเภทก็ต่างๆ กันไป เราก็จะเข้าใจยิ่งขึ้นว่าจิตหลากหลายมาก มีปัจจัยเกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีก แต่ก็เป็นจิตที่เกิดอีกแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก แต่ก็เป็นปัจจัยให้เกิดจิตขณะต่อไป
นี่คือเรากำลังเริ่มจะเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ และคำว่าไม่เที่ยง ไม่ได้หมายความเฉพาะเกิดแล้วดับเท่านั้น ยังไม่กลับมาอีกเลยด้วย จากที่ไม่มี แล้วเกิดมี แล้วไม่มีอีกเลย เช่น เสียงเมื่อครู่นี้ ก่อนที่เสียงจะเกิดขึ้นให้รู้ว่าเสียงนั้นมี ก่อนนั้นก็ไม่มีเสียงนั้น เวลาที่มีเสียงนั้นเกิดแล้วก็ดับไป แล้วเสียงนั้นไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเห็น เห็นแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีก ได้ยินเกิดแล้วดับแล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่คือ ความหมายของธรรมที่จะทำให้คลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรามานานแสนนาน เพราะเหตุว่าเข้าใจความละเอียดของธรรมยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้น เรื่องจิตไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครจะรู้ได้ง่ายๆ แม้ว่ากำลังมีจิต ต้องฟังแล้วก็รู้ความต่างของนามธรรม เมื่อครู่นี้เราพูดถึงธรรม ทุกอย่างเป็นธรรมแต่ว่ามีลักษณะต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ ธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ใช้คำว่า รูปธรรม แต่ต่อไปก็จะมีความหมายอื่นของรูปธรรมอีก แต่การศึกษาธรรมต้องตามลำดับจริงๆ แล้วก็ไม่เปลี่ยน
ถ้าหมายความถึงลักษณะของธรรมที่เป็นธาตุที่ไม่รู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นเสียง เป็นกลิ่น มองไม่เห็น แต่เพราะไม่รู้อะไร ไม่สามารถจะรู้ได้ก็เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม นี่คือพื้นฐานขั้นต้น แต่ที่โลกวุ่นวายเดือดร้อนเพราะเหตุว่าไม่ได้มีแต่ธาตุที่เป็นรูปธรรม ยังมีธาตุรู้ ธาตุคิด ธาตุจำ ธาตุสุข ธาตุทุกข์ เกิดขึ้น เวลาที่มีปัจจัยจะเกิดจึงเกิดได้ แต่ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดใครก็ทำให้เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ก็ใช้คำว่านามธาตุ หรือนามธรรม นามธาตุหรือนามธรรมมี ๒ อย่าง เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกันเพราะเป็นธาตุรู้
ในขณะนี้ที่กำลังเห็น ถามว่าเห็นไหม ตอบว่าเห็น ไม่ใช้คำอะไรเลยก็ได้ แต่ถามว่าชอบไหม ไม่ได้ถามว่าเห็นไหม เปลี่ยนคำถามเป็นชอบไหม จะตอบว่าอย่างไร ตอบได้เลยว่าชอบหรือไม่ชอบ ชอบก็จริงเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ชอบก็จริงก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่เห็น
ดังนั้น แต่ละคำๆ แสดงถึงธรรมแต่ละอย่างๆ จริงๆ ในขณะที่เห็นหมายความว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏและขณะที่เห็นไม่ต้องไปนึกคิด เหมือนเวลาที่ไม่เห็นแล้วเราก็ต้องย้อนมาคิดว่าเห็นอะไร เช่น ถ้าจะคิดถึงเสื้อตัวหนึ่ง ถ้ากำลังเห็นก็ไม่สงสัยเลยเพราะเห็นจริงๆ แต่เมื่อไม่เห็นแล้วก็ต้องคิดว่าสีอะไร ปกอย่างไร มีกระเป๋าหรือเปล่า แขนเป็นอย่างไร ก็เริ่มคิดเพราะไม่ได้เห็น
เพราะฉะนั้น ขณะเห็น เป็นขณะที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นจริงๆ โดยที่ไม่ต้องคิดเลยก็ปรากฏแล้ว เหมือนขณะนี้ที่กำลังปรากฏให้เห็น ซึ่งการรู้แจ้งสภาพที่ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น เป็นลักษณะของธาตุที่ใช้คำว่า จิตตะ ในภาษาบาลี ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อเสียงปรากฏ ทุกคนที่กำลังได้ยินเสียงนั้น จะเปลี่ยนเสียงนั้นให้ต่างๆ กันไปได้ไหม ให้คนนี้ได้ยินอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งได้ยินอีกอย่างได้ไหม ไม่ได้ เสียงนั้นเป็นเสียงที่ทุกคนได้ยิน ต้องเป็นเสียงนั้นไม่ใช่เสียงอื่น
ดังนั้น เสียงก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็หลากหลายด้วย ปรากฏเมื่อจิตได้ยินเกิด ให้นึกถึงเสียงที่ไม่ได้ยิน นึกไปอย่างไรก็ไม่ใช่เสียงที่กำลังได้ยิน เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่คิด แต่กำลังรู้แจ้งเสียงที่กำลังปรากฏให้ได้ยิน เฉพาะเสียงนั้น แล้วเสียงนั้นก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และจิตที่ได้ยินก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นจิต มีลักษณะของสภาพที่ปรากฏกับจิตนั้นโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย เหนียว เหนอะหนะ ลื่นพวกนี้ไม่ต้องเรียก เพราะลักษณะนั้นปรากฏแล้วทางกายก็เป็นธรรม แล้วก็เป็นจิตเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ลักษณะนั้นได้ รู้แจ้ง แจ่มแจ้งในความเป็นลักษณะนั้นซึ่งไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น นี่คือหน้าที่ของจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อจิตเป็นสภาพรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ในภาษาไทย เเต่ในภาษาบาลีไม่ได้ใช้คำว่า เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เเต่ใช้คำว่า อารัมมณะ หรือ อาลัมพนะ ซึ่งคนไทยพูดสั้นๆ ว่าอารมณ์ เมื่อมีจิตเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่ถูกรู้อะไรก็ตามแต่ทั้งหมดที่จิตกำลังรู้เป็นอารมณ์ของจิต
ด้วยเหตุนี้ เมื่อจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ คือสิ่งที่ปรากฏ ก็มีคำเรียกจิตหลายอย่าง เรียก มนะ หทยะ หรือปัณฑระก็ได้ โดยคำภาษาบาลีจะมีความหมายที่ต่างออกไป ซึ่งแสดงลักษณะของจิตเพิ่มขึ้น เช่น ถ้าใช้คำว่า ปัณฑระ หมายความถึง ผ่องใส เพราะตัวจิตเองเป็นกุศลเป็นอกุศลไม่ได้เลย เป็นธาตุที่รู้แจ้งอารมณ์ แต่จะเป็นกุศลหรืออกุศลตามนามธรรมซึ่งเกิดพร้อมจิตและดับพร้อมจิต ซึ่งใช้คำว่า เจตสิก ในภาษาไทย แต่ภาษาบาลีใช้คำว่าเจตสิกะ มีจริงๆ
นามธรรมมี ๒ อย่างคือ จิต กับ เจตสิก จิตไม่จำ จิตไม่รู้สึก จิตไม่อะไรเลย มีหน้าที่อย่างเดียว คือ เห็น เป็นใหญ่เป็นประธานในขณะนี้ที่กำลังเห็น เช่นถามว่า เห็นไหม เห็น เห็นคือจิต ไม่ใช่เรา และไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ ได้ยินไหม ได้ยินก็เป็นจิต กำลังรู้แจ้งเสียง แต่ชอบหรือไม่ชอบ สุขหรือทุกข์ หรือสภาพธรรมอื่นในชีวิตที่เราพูดถึง เช่น ฉลาด ไม่รู้ อิสสา ริษยา หรือเมตตา ทั้งหมดนี้ไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต จึงเป็นเจตสิก ธาตุซึ่งเกิดในจิต เกิดพร้อมจิต
เจตสิกที่ดีก็มี เจตสิกที่ไม่ดีก็มี อย่างเช่นโลภะ ความติดข้องมากๆ เป็นเหตุให้เกิดทุจริตกรรม ไม่ได้มีความพอเพียง หรือว่าพอใจในสิ่งที่มีตามมีตามได้เลย อยากจะได้เกินสิ่งที่มี ไม่พอใจในสิ่งที่มี เป็นเหตุให้เกิดทุจริตได้ เพราะฉะนั้นอกุศลธรรม คือ อกุศลเจตสิก มี เป็นธรรมฝ่ายไม่ดี เกิดกับจิตขณะไหนจิตนั้นก็เป็นอกุศลจิต
ถ้าเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม โสภณเจตสิกเกิดกับจิต จิตขณะนั้นก็เป็นโสภณจิต เป็นเราหรือเปล่า หรือเป็นธาตุที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน แต่ว่าควรจะรู้ความต่าง คือ จิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์
ด้วยเหตุนี้ ตัวจิต เฉพาะจิตเป็นปัณฑระ ผ่องใส ไม่นับไม่เนื่องกับเจตสิก เพราะไม่กล่าวถึงเจตสิกกล่าวถึงแต่ลักษณะของจิต เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงอกุศลจิต เฉพาะตัวจิตเป็นปัณฑระ แต่ไม่ผ่องใส เพราะเหตุว่ามีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย จึงเป็นอกุศลจิต นี่คือการที่เราจะเข้าใจธรรมคือจิต แล้วก็ยังมีชื่ออื่นอีก เฉพาะชื่อจิตก็มีทั้ง มนะ ปัณฑระ หรือว่าหทยะ เพราะเป็นสภาพที่เป็นภายใน หทยะ ในที่สุดของแต่ละคนแต่ละชีวิตอยู่ที่ไหน ในที่สุดเลย รูปที่ตัวนี้เป็นภายในหรือยัง รูปแม้อยู่ที่ตัวก็มีทั้งภายในและภายนอก แต่ว่าไม่มีอะไรจะในยิ่งกว่าจิต ลึกที่สุดของความลึกที่เป็นภายในก็คือจิต แม้เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกับจิต แต่ตัวจิตเป็น หทยะ เป็นภายในจริงๆ
แสดงว่าสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เราไม่รู้ความละเอียดแล้วเราก็ข้ามๆ ไป ได้ยินชื่อก็อยากจะรู้แล้วว่าชื่อนั้นเป็นอะไร แต่ธรรมไม่ใช่ให้ไปจำชื่อ หรือว่าให้รู้หน้าที่ของชื่อต่างๆ ว่า สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณะจิตต่างกันอย่างไร อะไรเกิดก่อน เมื่อไหร่ ทางไหน พวกนั้นไม่ใช่เลย แต่ไม่ว่าเราจะศึกษาโดยการที่ฟังเรื่องราวแล้วค่อยๆ เข้าใจตัวจิตว่า เรื่องราวทั้งหมดในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงความจริงของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ทั้งหมดประเภทต่างๆ นั่นเอง อย่างเช่น จิตเห็น ในอดีตชาติก่อนๆ มีไหม ชาติหน้าจะมีไหม และเดี๋ยวนี้ก็ยังเห็น เพราะฉะนั้น จิตเห็นก็ไม่เปลี่ยน
เราก็เริ่มรู้จักจิตละเอียดขึ้นๆ ทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เพียงแต่จำชื่อเท่านั้น เพราะเหตุว่าไม่ได้ฟังธรรมเพื่อจำเรื่องราว บางคนชอบเรื่องราวมากเลย ชอบฟังธรรมเพราะว่ามีเรื่องราวมาก ประวัติของท่านพระสารีบุตร ประวัติของท่านพระมหาโมคคัลลานะ เรื่องราวที่เมืองสาวัตถี เรื่องราวของพาราณสี เราก็ไปชอบเรื่องราวแต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ ไม่ใช่ทรงแสดงพระธรรมเพื่อเรื่องราว แต่แสดงให้รู้ความจริงว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้สิ่งที่มีปัจจัยเกิดไม่ให้เกิด เกิดเป็นอะไร เกิดเมื่อไหร่ เกิดอย่างไร ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จากชาติโน้นๆ จนกระทั่งถึงชาตินี้ แล้วก็ยังถึงชาติต่อๆ ไปด้วย
ฟังเพื่อเข้าใจธรรมว่าไม่ใช่เรา แต่ถ้าเราไปฟังเรื่องราว ชาติหน้าเราก็ลืม ยังไม่ต้องถึงชาติหน้าเดี๋ยวก็ลืมแล้ว ใครเล่าเรื่องยาวๆ ให้ฟังจำได้หมดไหม ก็ยากที่จะจำเรื่องยาวๆ ได้อย่างละเอียด แต่ว่าบางคนเป็นอย่างนั้น แต่ก็แค่เรื่องราว วันหนึ่งก็ต้องลืม หรือถึงไม่ลืม ขณะที่ไม่คิดถึง เรื่องราวนั้นก็ไม่มีแล้ว จะมีชั่วขณะที่คิดเท่านั้นเอง
ดังนั้นจุดประสงค์ไม่ใช่จำคำ ไม่ใช่จำเรื่อง แต่จุดประสงค์เพื่อรู้ว่าขณะนี้ธรรมที่มีจริงๆ เป็นธรรมซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพียงชั่วคราวซึ่งแสนสั้น จนกว่าเราจะรู้ความจริง เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เป็นธรรมและฟังเพื่อจะรู้ว่าที่เข้าใจ ก็คือเข้าใจธรรมที่กำลังมีขณะนี้นั่นเอง ฟังจนตายอาจจะไม่เข้าใจอย่างนี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1681
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1682
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1683
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1684
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1685
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1686
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1687
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1688
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1689
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1690
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1691
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1692
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1693
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1694
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1695
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1696
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1697
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1698
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1699
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1700
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1701
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1702
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1703
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1704
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1705
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1706
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1707
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1708
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1709
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1710
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1711
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1712
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1713
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1714
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1715
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1716
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1717
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1718
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1719
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1720
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1721
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1722
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1723
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1724
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1725
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1726
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1727
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1728
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1729
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1730
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1731
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1732
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1733
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1734
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1735
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1736
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1737
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1738
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1739
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1740
