ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1682


    ตอนที่ ๑๖๘๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมศุภาลัย จ.สระบุรี

    วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ ได้รับผลของกรรมอะไรบ้าง ขณะที่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นวิบากเป็นผลของกรรมเกิด ขณะนั้นได้รับผลอะไรอีกหรือเปล่า ไม่เห็นใช่ไหม แค่เกิด เห็นกำลังของกรรมไหม บางคนก็สงสัยว่าทำกรรมอย่างนี้แล้วไปถึงสวรรค์ตั้งเเสนไกลได้อย่างไร ซึ่งความจริงไม่ใช่ไปโดยขา โดยมือ โดยเท้า เเต่โดยกำลังของกรรมที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นในที่นั้น เหมือนกับขณะนี้ใครจะรู้ว่า จิตเห็นกำลังเห็นขณะนี้เกิดที่จักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ และจิตเกิดขึ้นเห็นตรงกลางตา ขณะเดียว หลังจากนั้นจิตไม่ได้เกิดตรงนั้นแล้ว เกิดที่อื่น ไปได้อย่างไร แขนขาก็ไม่มี แต่มีปัจจัยที่จะทำให้จิตไม่ได้เกิดตรงนั้นอีกต่อไป เพราะไม่ได้ทำทัสสนกิจ แต่เกิดที่รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต คือ หทยวัตถุ ยังเกิดได้

    เพราะฉะนั้น เวลาที่จากโลกนี้ไปแล้ว กรรมก็มีกำลังของกรรมที่จะทำให้เกิดที่ไหนก็ได้ เวลาที่มีจิตเห็นเกิดเรามักจะคิดถึงสถานที่ว่าเห็นที่ไหน ใช่ไหม แต่ความจริง เห็น มีที่ไหนหรือเปล่า เห็นที่จักขุปสาทรูปแล้วดับ ไม่ว่าจะบนสวรรค์ เห็นที่ไหน เห็นก็เกิดที่จักขุปสาทรูป

    ดังนั้น ถ้านำคำว่าสวรรค์ คำว่านรก คำว่ามนุษย์ คำว่าเทวโลก ออกไปทั้งหมด จิตเห็นเกิดที่ไหน ก็เกิดที่จักขุปสาท ไม่ต้องไปคำนึงถึงภูมิ หรือสภาพของจิตซึ่งเกิดต่อ กล่าวถึงเฉพาะจิตแต่ละขณะๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา จิตเห็นเกิดแล้วดับ ไม่ว่าที่ไหน เกิดที่จักขุปสาทรูปเท่านั้น เกิดที่อื่นไม่ได้เลย แล้วก็ดับไปแล้วทั้งจักขุปสาทรูป ทั้งรูปที่ปรากฏให้เห็น และจิต ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

    นี่คือ การกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้มีความเข้าใจในความเป็นอนัตตา ในความเป็นธรรม ในความที่ไม่ใช่ของใคร และในความที่ไม่ใช่ตัวตน ทุกๆ ขณะที่กำลังเห็นไม่ใช่ของใครเลย เป็นอย่างนั้น เมื่อถึงทางหู ได้ยินก็ไม่ใช่ของใครอีก เป็นสภาพธรรมที่เกิดตรงนั้น ได้ยินตรงนั้นแล้วดับไปตรงนั้น แล้วไม่เหลือเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่ความรวดเร็วทำให้เข้าใจว่าสืบต่อ จนกระทั่งเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา

    เพราะฉะนั้น ตามความไม่รู้ที่สะสมมานานแสนนานพร้อมด้วยอกุศล ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งมานะ ทั้งอิสสา เหล่านี้ ใครสามารถที่จะทำให้ดับไปได้ในเมื่อสะสมอยู่ในจิต ใครแตะต้องไม่ได้เลย แดดเผาไม่ได้ ลมพัดไม่ได้ เป็นที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อเก็บกรรม ผลของกรรมใดๆ ที่จะเกิดสืบต่อจะให้เหมือนกันได้อย่างไร แค่ตาหูสองข้างนี้ก็ยังต่างกันไปมากมาย ไม่มีใครที่เหมือนใครได้อย่างชนิดซึ่งไม่มีอะไรที่ต่างกันเลย เวลาที่เห็นมดเเต่ละตัวต่างกันไหม เห็นวัว ต่างกันไหม

    ถึงเเม้ว่าเราไม่สามารถเห็นความละเอียดที่จะรู้ความต่าง แต่สิ่งใดก็ตามที่เกิดเพราะกรรมต่างๆ กัน กรรมนั้นก็เป็นปัจจัยทำให้รูปซึ่งแม้เป็นสัตว์ก็ยังต่างกัน อย่างเช่นผีเสื้อ ปีกผีเสื้อหลากหลายมากเลย เป็นไปได้อย่างไร ใครไปทำให้ ใครไปวาดหรือเปล่า กรรมนั่นเองที่เหมือนจิตกร ขณะนี้กำลังวาดภพภูมิต่อไปว่าจะมีรูปร่างอย่างไร รวมทั้งจิตใจที่ได้สะสมมา แม้ว่าบางคนมีรูปร่างหน้าตาที่สวยมากแต่ใจเป็นอย่างไร

    แสดงให้เห็นว่าเรื่องของจิตใจก็เป็นส่วนหนึ่ง และกรรมที่ทำให้รูปแต่ละรูปเป็นไปก็ต้องเป็นส่วนหนึ่ง แสดงให้เห็นการสะสมของกรรมมากมายตั้งแต่เกิดนานแสนนานจนถึง ณ บัดนี้ นับกรรมไม่ได้ ประมาณไม่ได้เลย

    ดังนั้นก็จะมีความต่างและความแปลกไป ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าพูดถึงหรือสนใจอนันตริยกรรม เห็นโทษแล้วก็อย่าทำ ถึงแม้ไม่ใช่อนันตริยกรรม อกุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรจะสะสม เพราะว่าก่อนที่จะมีมากๆ ก็ต้องมาจากทีละเล็กทีละน้อย

    อ.คำปั่น มีคำถามจากท่านผู้ฟัง วิปัสสนากรรมฐาน และ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ กำลังเข้าใจขณะนี้เป็นปัญญาหรือเปล่า เป็นเรา หรือเป็นปัญญาที่เข้าใจ ถ้ากล่าวโดยธรรมก็ไม่ใช่เรา แต่มีจริงๆ คือ ขณะที่เข้าใจเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เข้าใจแค่ไหน กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้

    ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นธรรม ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพราะเป็นเพียงลักษณะของรูปสิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จะเป็นสีสัน เขียว แดง ขาว น้ำเงิน รูปรู้ตัวไหมว่าตัวรูปเป็นเขียว เป็นขาว เป็นแดง เป็นน้ำเงิน รูปไม่ใช่สภาพรู้ แต่มีธาตุที่ทำให้แม้สีก็ต่างกัน ยังมีกลิ่นด้วย บางอย่างกลิ่นก็ต่างกัน แต่รูปไม่ใช่สภาพรู้เลย มีความเข้าใจอย่างนี้หรือยัง

    ถ้ายังไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ สติปัฏฐานเป็นชื่อที่ได้ยินแล้วก็ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ปัฏฐาน สติ วิปัสสนา เป็นชื่อทั้งหมดเลย งูๆ ปลาๆ กำลังจะมาถึง เพราะไม่รู้ว่างูหรือปลา ใช่ไหม อย่างเช่นสติ พูดถึงสติ ใครพูดคำนี้ไม่ได้บ้าง พูดได้ แต่เข้าใจหรือเปล่าว่าหมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องชื่อ หรือไม่ใช่เรื่องสิ่งที่เป็นตัวหนังสือในคัมภีร์ อ่านออกว่า สติ และก็คิดเองว่าเข้าใจสติ มีคำว่า สติปัฏฐาน แต่ธรรมทั้งหมดต้องมาจากเบื้องต้น เหมือนฝั่งทะเลที่ค่อยๆ ลาดไปตามลำดับ เปรียบได้กับความลึกซึ้งของธรรม

    สิ่งที่กำลังปรากฏเหมือนไม่ลึกซึ้งเลย แต่ยิ่งมีความเข้าใจมากขึ้นก็ยิ่งรู้ว่าเป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าขณะนี้มีสภาพธรรมที่ปรากฏ ใช้คำว่า ธรรม ได้ยินแล้วเข้าใจ แต่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา และสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธาตุ ถ้าเพียงสามารถที่จะเข้าใจว่า เป็นธาตุที่ปรากฏสั้นมากนิดเดียว แล้วก็ดับไป นั่นคือ วิปัสสนา แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นขั้นฟัง ซึ่งขณะใดที่เข้าใจเป็นปัญญาต้องมีสติเกิดร่วมด้วย

    สภาพธรรมที่เป็นสภาพธรรมฝ่ายดีกว่าจะเกิดได้นั้น เกิดง่ายหรือยาก โลภะเกิดไม่ยากเลยใช่ไหม โลภะ ไม่อยากให้เกิดก็เกิดแล้ว โทสะ ไม่อยากให้เกิดก็เกิดแล้ว เกิดง่ายมาก อกุศลไม่ต้องมีใครไปทะนุบำรุง ไม่ต้องมีใครไปพยายามทำให้เจริญขึ้นแต่ก็มากมายมหาศาล โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า เพียงแค่เห็นนี้เป็นอกุศลแล้ว ซึ่งต่างกับพระอรหันต์ เพียงแค่เห็น อกุศลใดๆ ก็ไม่มี

    ดังนั้น สิ่งที่ทำให้ปุถุชนต่างกับผู้ที่หมดกิเลสโดยประการทั้งปวงคือ ปัญญา ซึ่งปัญญาเพียงขั้นฟังอย่างนี้ยังไม่มีความเข้าใจที่มั่นคง จะไม่เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะ ซึ่งใช้คำว่าสติปัฏฐานเกิด แต่นี่เป็นเพียงชื่อไม่ใช่ตัวจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ตัวจริงสำคัญกว่าชื่อ ที่จะต้องมีความเข้าใจว่า แม้ขณะนี้ปัญญาความเข้าใจก็ไม่ได้เกิดตามลำพัง ขณะใดที่มีความเข้าใจ ขณะนั้นมีสภาพธรรมที่เป็นสติ ใช้คำว่า "เป็นสติ" ไม่ใช่เพียงชื่อสติ แต่เป็นสติ ซึ่งขณะที่ฟังไม่ได้นึกถึงอย่างอื่นเลย กำลังฟัง นึกถึงบ้านบ้างหรือเปล่า คนที่มาจากสุพรรณบุรี คิดถึงสุพรรณหรือเปล่า คนที่มาจากลพบุรี คิดถึงลพบุรีหรือเปล่าขณะที่กำลังฟัง คนที่มาจากกรุงเทพฯ คิดถึงกรุงเทพฯหรือเปล่าขณะที่กำลังฟัง

    ขณะที่กำลังฟังเเล้วไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะสติเกิดในขณะที่ฟังและเข้าใจ ใครจะรู้หรือไม่รู้ พูดว่าสติ แล้วก็ต้องมีสภาพธรรมอื่นด้วย มีปัญญา แล้วก็มีสติ มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีอโลภะ มีอโทสะเกิด ไม่มีโมหะด้วย ขณะนั้นเพราะปัญญาเป็นอโมหะ มีตัตรมัชฌัตตตา มีสภาพธรรมที่เป็นโสภณเกิดร่วมด้วย

    ถ้าไม่มีปัญญาเจตสิกเกิด กุศลที่เกิดนั้นต้องประกอบด้วยเจตสิกไม่น้อยกว่า ๑๙ ประเภท เพราะว่าปกติหนาแน่นหนักด้วยอกุศล ไม่ต้องทำก็เกิดอีกๆ ๆ ไปเรื่อยๆ ดังนั้นกว่ากุศลจะเกิดได้ก็ต้องมีปัจจัย เพราะฉะนั้น ขณะที่เพียงฟังเข้าใจยังไม่ใช่สติปัฏฐาน ยังไม่ใช่สติสัมปชัญญะ แต่แม้ขณะนั้นก็ต้องมีปัญญาเกิดพร้อมกับสติ เพราะว่าปัญญาเป็นสภาพที่เข้าใจ ปัญญาเกิดเมื่อไหร่จะไม่มีสติเจตสิกเกิดไม่ได้เลย นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องรู้ความต่างกันของธรรมที่ได้ยินได้ฟัง โดยละเอียด โดยถูกต้องว่า จิตไม่ใช่เจตสิก

    ถ้าใช้คำว่าเจตสิก คือ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เพียงเเค่ชื่อต่างกัน แต่ลักษณะของความเป็นจริงของธาตุ ของสภาพธรรมนั่นเองที่ต่างกัน เพราะว่าทั้งจิตเเละเจตสิกเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง ไม่ปรากฏ ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่นที่จะรู้ว่าเป็นจิตเเละเจตสิก แต่เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย ซึ่งในการรู้ของจิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เวลาที่ใช้คำว่า สภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ใช่ไหม ถ้ารู้ลอยๆ ก็ไม่รู้ว่ารู้อะไร

    ดังนั้น เวลาที่ใช้คำว่า สภาพรู้ หรือ ธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่กำลังถูกรู้ เช่น ขณะที่เสียงปรากฏต้องมีได้ยิน เราพูดภาษาไทยว่า ได้ยิน รู้เรื่องทันที แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นจิตและเจตสิกเกิด เป็นธาตุที่กำลังได้ยินเสียง ขณะนั้นรู้เฉพาะเสียง จะไปได้กลิ่น จะไปเห็น หรือว่าคิดนึกก็ไม่ได้เลย นี่คือการแสดงสภาพธรรมโดยเป็นธรรมละเอียด แต่ละอย่างๆ จะปะปนกันไม่ได้เลย

    ในขณะที่กำลังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอารมณ์ เพราะจิตเกิดขึ้นต้องรู้ สิ่งที่จิตรู้ ภาษาบาลีใช้สองคำ คือคำว่า อารัมมณะ หรืออาลัมพนะ คำหนึ่งคำใด แต่ภาษาไทยจะคุ้นหูกับคำว่า อารมณ์ เพราะเรามักจะตัดพยางค์หลังออก แทนที่จะออกเสียงอย่างภาษาบาลีก็ใช้คำว่า อารมณ์ แทน อารัมมณะ

    คนไทยก็ใช้ภาษาบาลีกันมากเลย ยิ่งสมัยนี้มีบริบท มีอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกมากมายเกินกว่าที่เคยใช้กันอยู่ ก็ต้องหาคำแปลว่าเป็นอะไร เมื่อกลับไปหาที่มาของคำถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็คือคำนั้น หรือบางทีก็เป็นคำที่มาจากภาษาอื่น เช่น ภาษาอังกฤษ และก็ไม่เข้าใจ จนกว่าจะกลับไปหาภาษาเดิมถึงสามารถที่จะเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วลักษณะของธรรมต่างกัน ปนกันไม่ได้ จึงใช้คำต่างกันเพื่อให้เห็นความต่างว่า แม้จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกัน เป็นธาตุรู้ รู้สิ่งเดียวกัน จิตรู้อะไร เจตสิกก็รู้สิ่งนั้นพร้อมกันแล้วก็ดับไปพร้อมกันด้วย แต่จิตไม่ใช่เจตสิก ถ้าไม่รู้อย่างนี้สติปัฏฐานจะเกิดได้อย่างไร เพราะว่า ปัฏฐาน หมายความถึง ที่ตั้งของสติและปัญญา เฉพาะทีละหนึ่ง

    ถ้าขณะนั้นไม่รู้สภาพที่เป็นธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่นขณะนี้ ถ้าถามว่าเห็นไหม จะตอบว่า ชอบ หรือว่าตอบว่า เห็น ถ้าถามว่าเห็นไหมก็ต้องตอบว่า เห็น ใช่ไหม เห็นนั่นเองเป็นจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็นว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ตรงนี้ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรที่ปรากฏทางตานั่นคืออารมณ์ คือสิ่งที่จิตกำลังเห็น ซึ่งขณะนั้นก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ถ้าไม่มีความเข้าใจในธาตุรู้ สภาพรู้ สติจะเกิดแล้วก็รู้เฉพาะลักษณะนั้นด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นธรรม ในความเป็นธาตุ ซึ่งเป็นสติปัฏฐานไม่ใช่สติขั้นฟังได้ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงก่อน เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เห็นเป็นอนัตตาหรือเปล่า บังคับไม่ได้

    ขณะนี้กำลังเห็นแล้วไม่รู้ว่าเห็นเป็นธรรม ถูกไหม หรือว่ารู้ รู้หรือฟังเรื่องเห็นว่าเป็นธรรม แสดงให้เห็นว่าความรู้ต้องมีหลายขั้น กำลังเห็น ถ้าไม่ใช่สติและปัญญา ไม่สามารถที่จะรู้จักตัวเห็น สภาพเห็นตามความเป็นจริง เพียงแต่กำลังนึกเรื่องเห็น และเข้าใจว่ามีจริงๆ ขณะนี้ แล้วก็เป็นธรรม นี่คือการฟังเรื่องราว เป็นเรื่องเป็นราวทั้งหมด ไม่ใช่สติปัฏฐาน ไม่ใช่ปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ คือตัวจริงๆ ซึ่งแม้จิตก็ต่างกับเจตสิก ถ้าไม่มีการฟังเเละมีความเข้าใจอย่างนี้ จะไม่มีปัจจัยที่จะทำให้สติปัฏฐานเกิด

    เพราะฉะนั้นงูหรือปลา ยังไม่รู้เลยว่าจิตหรือเจตสิก แล้วสติปัฏฐานจะไประลึกรู้อะไร ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่เราเพียงได้ยินแล้วก็คิดว่าเข้าใจแล้ว ง่ายมาก เพียงแค่บอกมาว่าสติปัฏฐานคืออะไรก็สามารถที่จะเป็นสติปัฏฐาน นั่นงูปลาแน่ๆ เลยปนกันแล้ว แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจละเอียดจริงๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่สามารถจะเกิดได้โดยไม่มีปัจจัยที่สมควร แม้แต่การที่จะฟังธรรม ทุกคนบอกว่าฟังธรรม ศึกษาธรรมจากที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง เเล้วเข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าบางทีฟังแล้วไม่เข้าใจเลย พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้แต่บอกว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจแล้วนั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าฟังธรรม หรือไม่ได้ฟังธรรม ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร ขณะนี้มีธรรม กำลังฟังสิ่งที่มีจริง และรู้ในความจริงขณะนี้ที่กำลังฟังว่า เห็น เราไม่ได้ทำ เกิดแล้วด้วย ถ้าไม่มีปัจจัยก็เห็นไม่ได้ แค่นี้ก็เริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตาของสิ่งที่มีเล็กน้อย แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกเมื่อมีการฟังอีก

    ดังนั้น ก็ต้องรู้ด้วยว่าความเข้าใจมีหลายระดับ จึงมีปริยัติ ปฏิปัตติ และปฏิเวธ แต่คนไทยไม่สนใจปริยัติ ข้ามไปเลย ได้ยินคำว่าปฏิบัติธรรมก็จะปฏิบัติธรรม และปฏิบัติธรรมคืออะไรก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่มีปริยัติ ไม่มีการฟังให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่รู้ด้วยว่าปฏิบัติทำไม รู้แต่ว่าอยากจะเห็นอะไรที่จะทำให้ไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ว่ากิเลสอยู่ที่ไหน กำลังเป็นกิเลสก็ไม่รู้ว่าเป็นกิเลส

    การฟังธรรมก็สำหรับผู้ที่ได้สะสมมาที่จะไตร่ตรอง และมีความเข้าใจ ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวว่าอยากจะฟังธรรมเรื่องนี้ตอนนี้ หรือว่าจะเข้าใจธรรมเรื่องนั้นตอนนั้น แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่มีวันที่จะเข้าใจธรรมได้ เพราะเหตุว่าธรรมมีจริงๆ กำลังเผชิญหน้า แต่ว่าถูกปิดบังไว้ด้วยอวิชชาและโลภะซึ่งหนาแน่นมาก นานแสนนานมาแล้วไม่เคยมีใครมาบอกว่านี่เป็นธรรม ไม่มีการได้ยินได้ฟังว่าไม่ใช่ของใครเลย เป็นสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

    ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง และสามารถที่จะรู้ได้ว่าทรงแสดงความจริงที่สุด ถึงที่สุดของความจริง ใช้คำว่า ปรมัตถธรรม ไม่มีความจริงที่จะจริงยิ่งกว่านี้ เราอาจจะบอกว่าดอกกุหลาบจริง แล้วดอกกุหลาบเป็นอะไร ลองบอกสิว่าดอกกุหลาบเป็นอะไร บอกจนถึงความจริงถึงที่สุดได้ไหม ถ้าบอกไม่ได้ก็คือไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่ใช่ความจริงที่สุด

    ถ้าความจริงที่สุด ทุกชาติไม่ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นนก เป็นงู ในนรก หรือว่าเกิดเป็นเปรต ความจริงที่สุดก็คือ มีธาตุรู้ กับ สภาพซึ่งไม่รู้อะไร เท่านั้นเอง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไป ถ้าใช้คำว่าธาตุรู้ก็อาจจะงง มีคำว่า ธาตุ กับ รู้ เพราะเราไม่คุ้นเคยกับคำว่า รู้ ซึ่งมีหลายลักษณะ

    เรามักจะคิดว่าความรู้หรือธาตุรู้เป็นปัญญา แต่ความจริงเพียงรู้ว่ามีอะไรขณะนี้ นั่นก็เป็นธาตุรู้แล้ว เพราะว่ามีสิ่งที่เป็นรูปเกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไรเลย แข็งเป็นรูป ขวดเป็นรูป แล้วเราเข้าใจว่าแข็งเป็นโต๊ะ และนี่เป็นขวด แข็งนี้เป็นขวด แข็งนั้นเป็นโต๊ะ แล้วก็แข็งขวดก็ตั้งอยู่บนแข็งโต๊ะ ทั้งโต๊ะทั้งแข็งก็ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นเพราะว่าไม่ใช่สภาพรู้ แต่ไม่ใช่มีแต่เฉพาะความจริงซึ่งเป็นธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไร

    ถ้าเป็นอย่างนั้นจะมีอะไรเดือดร้อนไหม ฝนจะตก น้ำจะท่วม ไฟจะไหม้ ไม่มีใครไปรู้ไปเห็น ไม่ต้องไปเดือดร้อนเลย คลื่นในมหาสมุทรไม่เดือดร้อนเพราะไม่ได้กระทบกายอะไรเลย ใช่ไหม แต่ที่เดือดร้อนเพราะมีธาตุรู้ เป็นธาตุ บังคับได้ไหม ไม่ให้เกิดได้ไหม เพราะเมื่อมีปัจจัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะเป็นธาตุใดๆ ทั้งสิ้นที่มีจริง เมื่อมีปัจจัยเกิดจึงเกิดขึ้นได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นธาตุรู้ หรือนามธาตุ นามธรรม หรือรูปธาตุซึ่งไม่รู้อะไรเลย ทั้งหมดเป็นธาตุ ถ้าฟังอย่างนี้ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ขณะนี้จะไม่มีคนเลยถ้าไม่มีธาตุต่างๆ แต่ที่เห็นว่าเป็นคนนั้นคนนี้ ก็เพราะมีแต่ละธาตุซึ่งทำให้เกิดการคิดนึก และความจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจละเอียดอย่างนี้จริงๆ แล้วกล่าวถึงสติปัฏฐาน ก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้จริงๆ เพียงแต่พูดได้ พูดตามได้ แต่ไม่รู้ว่าสติคืออะไร ปัฏฐานคืออะไร ปัญญาคืออะไร เจริญเพื่อรู้อะไร

    ดังนั้น ก็มีแต่ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และก็ไม่สนใจที่จะมีความเห็นถูกต้องที่เป็นปริยัติก่อน เพราะฉะนั้นอะไรจะนำไปสู่ปฏิปัตติ นอกจากเป็นตัวตนที่ทำด้วยความต้องการ แต่ผลก็คือ ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้เลย นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หรือพระธรรมที่ทรงแสดงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พุทธะ คือ ผู้รู้ พระมหากรุณาแสดงธรรมเพื่อให้คนอื่นรู้และเข้าใจถูกต้อง ตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย

    อ.คำปั่น มีปัญหากราบเรียนถาม อ.อรรณพ ได้ให้ความเข้าใจในเรื่องประโยชน์ของสมาธิ

    อ.อรรณพ ส่วนใหญ่เราจะสนใจสมาธิ แต่จริงๆ สมาธิคืออะไร สมาธิคือความตั้งมั่น เป็นสภาพตั้งมั่น ต้องเป็นสภาพธรรม สมาธิไม่ใช่จิต ไม่ใช่รูป แต่เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิต เจตสิกนั้นชื่อว่า เอกัคคตาเจตสิก คือเจตสิกที่ปรุงแต่งให้จิตตั้งมั่นในสิ่งที่จิตรู้ หรืออารมณ์เพียงอารมณ์เดียว ชั่วขณะที่จิตและเจตสิกนั้นเกิดอยู่ นั่นคือสมาธิ ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก

    เพราะฉะนั้น สมาธิเกิดกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท ไม่ว่าจิตจะเป็นกุศลก็ต้องมีสมาธิ สมาธินั้นก็เป็นกุศลสมาธิ ถ้าจิตนั้นเป็นอกุศลก็ต้องมีสมาธิ เพราะว่าอกุศลจิตมีจริง อกุศลจิตเกิดได้ก็ต้องมีสมาธิในขณะนั้น เป็นอกุศลสมาธิ ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจความต่างกันของกุศลกับอกุศล แล้วเรามุ่งที่อยากจะได้สมาธิ ขณะนั้นก็เป็นความอยากซึ่งก็เป็นอกุศลแล้ว เเต่ถ้าเป็นความตั้งมั่นในทางกุศล ขณะนั้นก็เป็นสมาธิที่ดี

    ขณะที่ท่านสนทนาธรรมอยู่ที่นี่ ในขณะที่กำลังเข้าใจธรรม มีสมาธิไหม ต้องมี สมาธินั้นเป็นกุศลหรืออกุศล เป็นกุศล และก็เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา จากกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาที่เป็นสมาธิจากขั้นการฟัง จะเจริญขึ้นจนเป็นสัมมาสมาธิจริงๆ คือ ในขณะที่สติปัฏฐานเกิด รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งก็ต้องอาศัยสมาธิที่เกิดจากปัญญาขั้นการฟัง

    ท่านอาจารย์ สมาธิเมื่อมีจริงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม ดูเหมือนว่าถามทำไม หรือว่าถามซ้ำ เพื่อที่จะได้ไม่ลืมว่า เมื่อสมาธิเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องรู้ด้วยว่าไม่ใช่รูปธรรมแน่ๆ รูปธรรมจะมีสมาธิได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นนามธรรม เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 197
    1 พ.ย. 2568