ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1683


    ตอนที่ ๑๖๘๓

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมศุภาลัย จ.สระบุรี

    วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ เพื่อที่จะได้ไม่ลืมว่าเมื่อสมาธิเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องรู้ด้วยว่าไม่ใช่รูปธรรมแน่ๆ รูปธรรมจะมีสมาธิได้อย่างไร ดังนั้นก็ต้องเป็นนามธรรม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก เป็นเจตสิก ตอบโดยจำ หรือว่าตอบโดยคิด หรือตอบโดยเข้าใจว่า จิตต้องเป็นสภาพที่เพียงรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ทำหน้าที่ใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นสภาพที่แม้เกิดกับเจตสิก แต่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเรามักจะพูดกันว่า เห็นไหม คำตอบก็คือเห็น เราไม่ได้พูดถึงจิตเจตสิกเลย แต่พูดว่าเห็น

    เพราะฉะนั้น เห็น นั่นเองเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการที่กำลังรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้ เวลาเสียงปรากฏ ถามว่าได้ยินไหม ก็ตอบว่าได้ยิน ได้ยินเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก ได้ยินกำลังรู้ลักษณะของเสียง ไม่ทำหน้าที่อื่นเลยทั้งสิ้น นอกจากรู้ลักษณะที่เป็นเสียง ทั้งๆ ที่มีเจตสิกนามธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย แต่หน้าที่ของการที่จะรู้เสียง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ คือ จิต นอกจากนั้นเป็นเจตสิกหมด

    ดังนั้น ถ้าได้ยินชื่อของนามธรรมอื่นๆ ก็เป็นเจตสิกทั้งนั้น แม้แต่ได้ยินคำว่าสมาธิ สมาธิเป็นเจตสิก เพราะเหตุว่าสมาธิเป็นสภาพที่ตั้งมั่น เอกัคคตา หมายความว่าอย่างไร คุณคำปั่นช่วยแปลความหมายด้วย

    อ.คำปั่น ซึ่งมีคำอยู่คือ "เอกะ" หมายถึง หนึ่ง ซ้อนกับ "คะ" แล้วก็บวก "คตา" หมายถึง "ไปแล้ว" หรือ "ถึง" รวมกันเป็น เอกัคคตา หมายถึง สภาพที่ตั้งมั่น หรือว่า ถึงในอารมณ์หนึ่งในขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะต้องรู้อารมณ์เดียว จะรู้ ๒ อย่างไม่ได้เลย เพราะเอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิต ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตเกิดขึ้น จะเกิดพร้อมกับเอกัคคตาเจตสิก ไม่แยกกันเลย ถ้าศึกษาจะทราบว่ามีเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภทอย่างน้อยที่สุด ๗ เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท รวมทั้งเอกัคคตาเจตสิกด้วย

    ในขณะนี้มีจิตไหม มี กำลังเห็น ในขณะเห็นมีเอกัคคตาเจตสิกไหม มี เพราะเป็นสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เมื่อเอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่นในอารมณ์ จิตรู้ในอารมณ์พร้อมกับการตั้งมั่นของสมาธิ หรือว่าเอกัคคตาเจตสิก

    เราจะได้ยินคำว่า สมาธิ มากกว่าคำว่า เอกัคคตา ใช่ไหม เพราะเหตุว่าสมาธิเป็นความตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ภาษาไทยธรรมดาเราก็ใช้คำนี้ใช่ไหม เวลาที่เรากำลังทำอะไรและคนอื่นมาพูดคุย เราบอกว่าเสียสมาธิ หรือว่าไม่มีสมาธิ เพราะเหตุว่าขณะนั้นทำให้เราไม่ได้รู้สิ่งที่เรากำลังรู้เฉพาะอย่างๆ ขณะที่กำลังตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์นั้น

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบแม้ว่าเป็นนามธรรมซึ่งก็มี ๒ อย่าง คือจิต เเละเจตสิก จิตไม่ใช่เจตสิก ขณะที่กำลังตั้งมั่นเป็นเจตสิก ถ้าตั้งมั่นในอารมณ์เดียวบ่อยๆ เราก็เรียกว่าสมาธิ เพราะเหตุว่าลักษณะของสมาธิปรากฏ

    ถ้าจะทดสอบความเข้าใจขณะนี้ จิตเห็น มีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม จิตคิด มีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม กำลังชอบสิ่งที่กำลังได้กลิ่น ชอบกลิ่นหนึ่งกลิ่นใดที่กำลังได้กลิ่น ขณะนั้นมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดไหม ธรรมไม่เปลี่ยน ถึงที่สุดคือความจริงแท้ไม่แปรผัน ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย

    เมื่อรู้ว่าเอกัคคตาเจตสิกเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ ไม่เว้นเลย ต่อไปนี้ง่ายมากเลย ถ้าถามถึงเรื่องเอกัคคตาเจตสิกก็คือ สภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้แต่ละขณะนั้นเอง ขณะนี้มีเอกัคคตาเจตสิก แต่ถ้าเปลี่ยนเดี๋ยวอารมณ์นั้น เดี๋ยวอารมณ์นี้ สภาพลักษณะของความตั้งมั่นไม่ปรากฏ

    ที่เราใช้คำว่า สมาธิ หมายความถึง ตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดนานๆ จนกระทั่งปรากฏว่าต่างกับขณะที่เดี๋ยวเปลี่ยนอารมณ์จากนี่ไปนั่น ก็แสดงให้เห็นว่า บางคนเขาไม่ชอบที่จะมีอารมณ์หลากหลายมากมายในวันหนึ่ง เพราะว่าเป็นอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ชอบ ใช่ไหม อยากจะไม่ไปไหน ให้อยู่ที่หนึ่งที่ใด ไม่รับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อยากจะให้ใช้คำว่า นิ่ง หรือว่า ตั้งมั่น หรือบางคนอาจจะใช้คำว่า สงบ เพราะเหตุว่าไม่เปลี่ยนอารมณ์บ่อยๆ

    แต่ความจริงทั้งหมดที่ใช้ยังงูๆ ปลาๆ ได้ยินแต่ชื่อเเล้วเข้าใจถูกบางประการ เช่นรู้ว่า เมื่อจิตเกิด ต้องมีเอกัคคตาเจตสิก ถ้าเอกัคคตาเจตสิก หรือ จิตรู้อารมณ์เดียวบ่อยๆ ลักษณะของความตั้งมั่นก็ปรากฏ

    บางคนเข้าใจว่านั่นคือดี นิ่ง เหมือนกับเป็นกุศล เหมือนกับสงบ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท เพราะฉะนั้น เอกัคคตาเจตสิกเกิดกับอกุศลจิต จิตที่ไม่ดีก็ได้ แล้วจะไปเข้าใจว่าสงบได้อย่างไร

    คำว่า สงบ ต้องหมายความว่า สงบจากอกุศล ขณะใดที่สงบจากโลภะ สงบจากโทสะ สงบจากโมหะ ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ และอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดกับจิต ขณะนั้นจึงสงบจากอกุศล ไม่ใช่สงบโดยไม่รู้อะไร และก็นิ่งเฉยๆ แล้วก็ชอบพอใจในสภาพที่นิ่งแล้วก็ไม่รู้อะไร แต่ความจริงจิตนิ่งได้ไหม เกิดแล้วดับ จะนิ่งตอนไหน ขณะที่กำลังรู้อารมณ์หนึ่ง จะไม่รู้อารมณ์อื่น ชั่วหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นลักษณะของจิตก็คือ เกิดและเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเจตสิกหนึ่งคือ เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเกิดกับอกุศลจิตก็ได้

    เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจว่า เวลาที่เป็นสมาธิแล้วจะเป็นกุศล

    ผู้ฟัง ขอเรียนทำความเข้าใจเรื่องของการรู้ทุกข์ คือความทุกข์เหมือนจะรู้ได้ อย่างทุกขเวทนาซึ่งก็จะต่างจากสุขเวทนา

    ท่านอาจารย์ ทุกข์ที่ทุกคนรู้จัก เวลาเจ็บปวด เป็นไข้ เมื่อย หิว ทุกคนรู้ใช่ไหมว่านั่นคือไม่สบายเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นทุกขทุกข คือ ทุกข์ที่ทุกคนรู้จัก ทุกข์ที่ปรากฏ นอกจากกายจะเป็นทุกข์แล้ว ใจเป็นทุกข์ ทุกคนก็รู้จักอีกใช่ไหม ไม่มีใครไม่รู้จักทุกข์ใจ กายสบายดีแต่ใจเป็นทุกข์ ทำไมเราเป็นอย่างนี้ เกิดมาเป็นอย่างนี้ ทำไมทุกข์ถึงเกิดกับเรา ทำไมเราต้องพลัดพราก ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็เป็นทุกข์ไป โดยที่กายไม่ได้เป็นทุกข์เลย

    เพราะฉะนั้น มีทุกข์ ๒ อย่าง คือ ทุกข์กายกับทุกข์ใจซึ่งทุกคนรู้จักไม่สงสัย ชื่อว่า ทุกขทุกข ทุกข์แน่ๆ แต่ว่าทุกข์ที่เป็นวิปริณามทุกข์ก็มี หมายความว่า ทรงแสดงสภาพของความรู้สึก ๓ อย่าง คือ ทุกขเวทนา กับโทมนัสเวทนา เป็นทุกข์ที่ทุกคนรู้จัก เป็นทุกขทุกข และก็แสดงโสมนัส หรือสุขเวทนาว่าเป็น วิปริณามทุกข์ ทุกข์เพราะเปลี่ยน เพราะแปรไป ขณะหนึ่งๆ ที่เรากำลังเป็นสุข ยังไม่พูดถึงการเกิดดับ ซึ่งเป็นสังขารทุกข์ ทุกข์ของสังขารทั้งหลาย แต่จะพูดเฉพาะความรู้สึกที่เป็นสุข ยั่งยืน มั่นคงอยู่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอไปหรือเปล่า แม้ความรู้สึกเป็นสุข

    ทำไมเรารับประทานอาหารแล้วมีกับข้าวหลายอย่าง อย่างเดียวไม่พอหรือ เมื่อวานนี้เราก็มีน้ำพริก ผักหนึ่งจาน เเละก็ไม่ใช่ผักชนิดเดียวกัน ทำไมเราต้องมีหลายอย่าง แล้วยังจะมีแกงอีก มีผัดอีก มีเห็ด มีอะไรต่างๆ ทำไมต้องหลายอย่าง ถ้าเรามีความชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอไปไม่เปลี่ยนเลย เราต้องมีอะไรหลายๆ อย่างไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้อง

    ท่านอาจารย์ แต่เพราะเหตุว่าความสุขก็ไม่ยั่งยืน ถ้าใครคิดว่าสุขของเราเกิดจากสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วจะพอใจเป็นสุขเฉพาะในสิ่งนั้นอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความสุขซึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง เป็นทุกข์

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ยั่งยืน ไม่ได้มั่นคง แล้วก็ยังต้องแสวงหา ถ้ามีสุขเพราะชอบรับประทานน้ำพริกอย่างเดียวได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ชอบรับประทานน้ำพริกกับมะเขือต้มเท่านั้น ได้ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่พอ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าความสุขของเราที่ว่าเราชอบ แล้วทำไมไม่ชอบให้จริงๆ คือชอบไปโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ความรู้สึกเป็นสุขก็เปลี่ยน เป็นทุกข์ที่มองไม่เห็น แต่ทุกข์ที่มองเห็นก็คือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เห็นง่ายมาก เห็นคนร้องไห้ รู้ไหมว่าเขาต้องเป็นทุกข์ถึงกับร้องไห้ ถึงกับน้ำตาไหล ถึงกับส่งเสียงออกมาสะอึกสะอื้น ทุกข์เพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่

    เพราะฉะนั้น ขออย่าให้ได้ยินเสียงของความทุกข์ถึงระดับนี้ก็น่าจะดีใช่ไหม ก็ทุกข์ก็มี แต่อย่าต้องให้ถึงกับขนาดได้ยินเสียงที่แสดงความเสียใจอย่างใหญ่หลวงเหล่านี้เลย มีความเห็นใจคนที่เป็นทุกข์มากเหลือเกิน ไม่อยากให้เขาเป็นทุกข์ถึงอย่างนั้น ทุกข์อย่างนี้ทุกคนรู้จัก แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าคนนั้นเป็นทุกข์ขนาดไหนคือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ

    แต่ทุกข์ที่เห็นยากขึ้นจะตามลำดับ คือ แม้แต่สุขเวทนา หรือ โสมนัสเวทนา ซึ่งเปลี่ยน โดยไม่รู้เลยว่าทำไมเราถึงได้ไม่พอเพียง ไม่เพียงพอ ไม่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ตามสมควร ยังมีการแสวงหามากมายอยู่เรื่อยๆ เพราะว่าแม้สุขเวทนา หรือโสมนัสเวทนา ก็เปลี่ยนไปจากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง มองไม่ค่อยเห็น ใช่ไหม

    แต่ยากกว่านั้นคือ สังขารทุกข์ ทุกข์ของสังขารทั้งหลาย เพราะคำว่า สังขาร หมายความถึง สิ่งใดๆ ทั้งสิ้นทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นนามธรรม รูปธรรม ใดๆ ทั้งสิ้นที่เกิดแล้วต้องดับ ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน แล้วเร็วมาก และก็ไม่กลับมาอีกด้วย ใครจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้สังขารเที่ยง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย นี่คือ ธรรม

    ดังนั้นทุกข์แท้จริง ก็คือ สังขารทุกข์ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างทุกข์กาย ยังแก้ไขได้ใช่ไหมเพราะชั่วคราว ทุกข์ใจกำลังเป็นทุกข์อยู่ เมื่อมีเรื่องดีๆ มาก็หัวเราะเบิกบานได้แล้ว เร็วอย่างนั้นเลย แต่สังขารทุกข์ สภาพธรรมใดๆ ก็ตาม ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม มีปัจจัยเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย คือเป็นทุกข์ที่เห็นยาก เพราะฉะนั้น มีทุกข์ ๓ อย่าง

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้ขยายความเรื่องทุกข์ให้ได้เข้าใจว่าทุกข์ มีอยู่ ๓ ประการ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เป็นทุกขทุกข ทุกข์เพราะสุขที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นวิปริณามทุกข์ แล้วก็ทุกข์ที่ ๓ ก็คือ สังขารทุกข์ ทุกข์ของสภาพธรรมที่เกิดดับ นี่คือ ทุกข์ ๓ ประการ

    อ.อรรณพ พระอภิธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กับเทวดา แล้วท่านพระสารีบุตรก็ได้แสดงพระอภิธรรมกับพระภิกษุทั้งหลาย จนสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งอภิธรรมก็เป็นธรรมส่วนละเอียด เป็นการแสดงถึงลักษณะสภาพธรรมต่างๆ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ในการศึกษาพระอภิธรรม ศึกษาอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์เกื้อกูล

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ก่อนอื่นก็คือว่าธรรมคืออะไร ถ้ายังไม่รู้ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมคืออะไร และเดี๋ยวนี้มีธรรมหรือเปล่า แล้วที่จะศึกษาธรรมก็คือ มีธรรมที่กำลังปรากฏ ฟังแล้วเข้าใจว่าเป็นธรรมยิ่งขึ้น นั่นคือศึกษาธรรม ไม่ใช่ฟังแล้วก็อยากจะได้ผล แต่เป็นไปเพื่อละทั้งหมด คือ ละความไม่รู้

    ก่อนศึกษาไม่รู้เลยว่าขณะนี้เป็นจริงอย่างไร ชั่วครู่ที่เกิดขึ้น สั้นมากแล้วก็ดับไปก็ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมเพื่อรู้และละความไม่รู้ อย่างเดียว เป็นปกติ ไม่ต้องไปหวังอะไรทั้งสิ้น ก่อนศึกษาก็มีธรรมเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่รู้ เวลาที่กำลังฟังแล้วก็รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ ให้ทราบว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วจึงปรากฏ ก็เป็นปกติ ไม่ต้องมีเราที่จะไปทำอะไร เพราะเหตุว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรมทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ให้มีความเข้าใจที่มั่นคง

    อ.อรรณพ ในวัญจกธรรม หรือธรรมหลอกลวง ท่านก็แสดงว่าความฟุ้งซ่าน คืออุทธัจจะ ย่อมลวงเหมือนกับเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ในการศึกษาพระธรรมอาจจะมีความฟุ้งซ่านในการที่จะศึกษาตรงนั้นตรงนี้ สิ่งนี้ก็ลวงเหมือนกับว่าเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ศึกษาข้อความจากในพระไตรปิฎกอะไรเลย เราก็คงจะไม่สามารถที่จะมีการอบรมเจริญปัญญาได้ ท่านอาจารย์จะสงเคราะห์ ๒ อย่างนี้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปัญญาคือความเข้าใจของใคร ต้องของผู้ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง คนที่มีปัญญาก็สามารถที่จะพูดถึงสิ่งที่ตนเองเข้าใจได้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าอ่านพระไตรปิฎกก็จำข้อความในพระไตรปิฎก แล้วก็กล่าวข้อความในพระไตรปิฎกตามที่จำได้ อย่างนั้นไม่ใช่เข้าใจเลย แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ไม่เผิน เช่น แต่ละคำที่จะกล่าวถึงที่เป็นธรรมมีมากมาย แต่ขอกล่าวเพียงคำเดียวคำว่า จิต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นเพียงคำ แต่ว่ามีสภาพธรรมที่เป็นจิต ให้เข้าใจลักษณะของจิตละเอียดขึ้นๆ ๆ นั่นคือ อภิธรรม

    ขณะนี้ทุกคนมีจิต เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเห็น ได้ยิน คิดนึก ได้กลิ่น ซึ่งเป็นธรรมแต่ละลักษณะ ที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ เดิมเข้าใจว่าเป็นเราเห็น แต่ถ้าศึกษาธรรมแล้ว เห็นมีจริงๆ แต่ว่าเห็นไม่ใช่ใครสักคนเดียว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นจะเป็นใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เพราะว่าขณะนี้ก็กำลังเห็น เกิดเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    การฟังธรรมโดยละเอียดก็คือ ขณะที่เห็นนี้เอง มีสภาพที่สามารถรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างนี้ที่เป็นจิต จิตเห็นไม่ได้คิด ไม่ใช่จิตที่ได้ยินเสียง ไม่ใช่ขณะที่จำด้วย แต่เป็นจิตที่สามารถเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ การฟังคือเดี๋ยวนี้มีเห็น

    เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจเห็นที่กำลังเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร มีปัจจัยก็เกิดขึ้นเห็น โดยขณะที่กำลังเห็นนี้จะปราศจากรูปที่เราเรียกว่าตา ได้ไหม ลองคิดดู ทุกคนก็มีตา แต่ไม่เคยสนใจที่จะเข้าใจว่ามีตาไว้ทำไม อยู่ดีๆ เกิดมาก็มีตา แล้วมีตาไว้ทำไม

    ตา เป็นรูปพิเศษที่สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ โต๊ะ เก้าอี้ หรือขาแขน ไม่มีรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่ที่กลางตาของทุกคน ตาทั้งหมดรวมทั้งตาดำตาขาว รูปร่างจะกว้างจะยาวสักแค่ไหนก็คือ สสัมภารจักขุ ส่วนประกอบที่เรียกว่า ตา เวลาไปหาหมอตา หมอตาก็จะพูดถึงทั้งตา ใช่ไหม ตาขาวตาดำแล้วก็ตรงกลางตา

    เพราะฉะนั้น เวลาที่กำลังเห็นขณะนี้ ให้ทราบว่าหมายความถึงรูปๆ หนึ่ง ไม่ใช่หางตา ไม่ใช่หัวตา ไม่ใช่กลางตาทั้งหมด ไม่ใช่ตาดำทั้งหมด แต่เฉพาะตรงกลางตาดำ เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ ๒ อย่างเลยใช่ไหมที่มีจริง ตามีจริง ที่เป็นจักขุปสาท สิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้มีจริง เห็นก็มีจริง เป็นจิต จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน

    เวลาที่ใครถามว่าเห็นไหมตอบว่า เห็น เห็นนั่นเองคือ จิต ไม่ใช่เรา เป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งกำลังเห็น ในขณะนั้นมีจักขุปสาทเกิดแล้วยังไม่ดับ มีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ ขณะนี้ เห็นว่าเป็นอย่างนี้ ยังไม่ดับ แล้วก็มีจิตที่กำลังเห็นด้วย ยังไม่ดับ พร้อมกับเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดได้ไหม จะให้จิตที่เกิดเห็นขณะนี้ไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้ จะให้มีแต่จิตเห็น ไม่ให้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นไม่ได้ จะให้มีจิตเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นโดยไม่มีจักขุปสาทก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ทั้ง ๔ นี้เกิดแล้วยังไม่ดับในขณะที่กำลังเห็น สั้นมาก น้อยมาก แต่ว่าเวลานี้มีใครเข้าใจว่าขาดอย่างหนึ่งอย่างใดได้หรือเปล่า ในขณะที่เพียงเห็นเดี๋ยวนี้ขณะเดียว ใครคิดว่าขาดจักขุปสาทได้ หรือขาดสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ได้ หรือใครคิดว่าขาดจิตก็ได้ หรือใครคิดว่าจิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยก็ได้

    ขณะนี้กำลังเข้าใจ อย่างที่คุณอรรณพถามศึกษาอย่างไร คือ ให้เข้าใจสิ่งที่มี กำลังมี โดยที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ทั้ง ๔ อย่างนี้ต้องมีอยู่ในขณะที่เห็น พระผู้มีพระภาคใช้คำว่า อายตนะ เราเคยได้ยินแต่ว่า อายตนะมี ๖ ก่อน คือ ตา๑ หู๑ ใครไม่มีบ้าง กำลังมี จมูก๑ ใครไม่มี ลิ้น๑ กาย๑ ทุกคนมี แล้วใจ๑ ๖ อย่าง ขณะที่กำลังพูดถึง ๖ อย่างนี้ ไปคิดถึง ปอด หัวใจ เลือดเนื้อ กระดูก อะไรหรือเปล่า ไม่ใช่

    เพราะฉะนั้น กำลังฟังธรรม คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่มี ขณะนี้กำลังพูดถึงรูปที่ตัวของสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งเกิดเพราะกรรม บางคนเกิดมาไม่มีจักขุปสาท ตาบอด ไม่มีโสตปสาท หูหนวก เเต่ก็มีคนที่มีจักขุปสาทซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นเลย มองอย่างไรก็เห็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง

    ดังนั้นไม่ว่าจะตรงกลางตา หรือว่าตรงศีรษะ หรือหู หรือจมูก หรืออะไรก็ตามแต่ ที่เราจำรูปร่างสัณฐานได้ เป็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ แต่ไม่ใช่ตัวปสาทรูปเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้น การฟังธรรม คือ ให้เข้าใจสิ่งที่มีอยู่ แล้วก็รู้ว่านี่คือธรรม แต่ละอย่างเป็นธรรม ทั้งหมดเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น จักขุปสาทอยู่กลางตาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เมื่อมีเห็นเกิดขึ้น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะสิ่งนั้นสามารถกระทบกับจักขุปสาท เวลาที่ได้ยินเสียง ต้องมีได้ยิน แล้วก็ต้องมีเสียง แล้วก็ต้องมีโสตปสาท และจิตได้ยินก็จะต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ขณะนั้นก็เป็นอายตนะ ในขณะที่เห็น มีจักขุปสาทเป็นอายตนะหนึ่ง ในขณะที่ได้ยินก็มีโสตปสาทเป็นอายตนะหนึ่ง ต้องในขณะนั้น

    กำลังนอนหลับสนิท รูปที่เกิดจากกรรม มีกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ด้วย แต่รูปนั้นก็เกิดดับ โดยที่ว่าไม่ได้เป็นส่วนที่จะทำให้มีการเห็นหรือการได้ยินเกิดขึ้นเลย ขณะที่นอนหลับนั้นรูปหายไปหมด? หรือว่ารูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเกิดแล้วก็ดับไป แต่กรรมก็ทำให้รูปนั้นเกิดดับโดยที่ว่าไม่มีอะไรไปกระทบให้จิตเกิดขึ้นได้ยิน หรือเกิดขึ้นเห็น หรือเกิดขึ้นได้กลิ่นเลย

    ตอนนี้ขอกล่าวถึงอายตนะ ๖ ก่อน จักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท คือ รูปที่สามารถกระทบกลิ่น ภาษาไทยก็จมูก ใช่ไหม มีจมูก หรือว่ากระทบจมูก กลิ่นกระทบจมูก ได้กลิ่นอะไรก็ต้องกระทบจมูก ถ้ากลิ่นไม่มากระทบจมูกจะได้กลิ่นไหม จะมีสภาพที่กำลังรู้กลิ่นไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ฆานปสาทเป็นรูปที่อยู่กลางจมูก สามารถกระทบกับกลิ่น

    มีใครมองเห็นกลิ่นบ้าง แต่เมื่อมีการรู้กลิ่น แม้มองไม่เห็นกลิ่น แต่ก็รู้ว่ากลิ่นมี และขณะนั้นก็มีสภาพที่รู้กลิ่น แล้วต้องมีฆานปสาทที่สามารถกระทบกลิ่น เพราะฉะนั้น ในขณะที่ได้กลิ่นจะต้องมีฆานปสาทรูป และมีกลิ่น แล้วมีจิตที่รู้กลิ่น คือ ฆานวิญญาณ แล้วก็มีเจตสิกซึ่งเกิดกับฆานวิญญาณที่รู้กลิ่น ขณะนั้นทั้ง ๔ เป็นอายตนะ แต่เราจะพูดถึงเฉพาะอย่างก่อนคือ หนึ่ง จักขุปสาทรูปเป็นจักขายตนะ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 197
    6 พ.ย. 2568