ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1685
ตอนที่ ๑๖๘๕
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมศุภาลัย จ.สระบุรี
วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดกับมหาภูตรูป แต่ไม่ใช่มหาภูตรูป ชื่อว่า อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป ขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมายภาษาบาลี
อ.คำปั่น หมายถึง รูปใดก็ตามที่ไม่ใช่มหาภูตรูป๔ แต่ว่าอาศัยมหาภูตรูป๔ รูปเหล่านั้นเรียกว่า อุปาทายรูป หรือ อุปาทารูป เพราะว่าเป็นรูปที่อาศัยมหาภูตรูป๔ เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ที่ขอให้คุณคำปั่นช่วยแปลและใช้ภาษาบาลีก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ถ้าเราเข้าใจภาษาไทยแล้วเราไม่รู้ภาษาบาลีเลยก็ยังได้ ใช่ไหม แต่เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เป็นภาษามาคธี เพราะฉะนั้น ก็เทียบเคียงได้ว่าคำภาษาไทยที่ใช้ตรงกับคำในภาษาบาลี ไม่ใช่ผิดไปจากคำที่ได้ทรงแสดงไว้ แต่ว่าตามความเป็นจริงพุทธประสงค์ก็คือ เพื่อให้เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม เพื่อที่จะได้ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา เพราะว่าเกิดมาก็เป็นธรรมเกิดก็เข้าใจว่าเราเกิด
เวลาถึงขณะที่ธรรมจะไม่มีปัจจัยที่จะเกิดต่อไปที่จะเป็นบุคคลนี้อีก เราก็ใช้คำว่าตาย แต่เมื่อไม่รู้ก็เป็นเราตาย แทนที่จะเข้าใจว่าธรรมที่จะเป็นบุคคลนี้สิ้นสุดเพราะกรรม ไม่เป็นปัจจัยให้ธรรมนี้เกิดขึ้นเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปได้เลย นี่คือการที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ ว่าเข้าใจในภาษาที่เราใช้ แต่ก็รู้ว่าตรงกับภาษาบาลีด้วย ไม่ใช่ว่าไปได้ยินคำว่าภาษาบาลี จำภาษาบาลี แล้วก็เข้าใจผิด เพราะว่าไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรม
ดังนั้น ควรที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ ในภาษาที่เราเข้าใจได้ก่อน แล้วก็จะรู้ได้ว่าไม่ต่าง ไม่ผิดจากความหมายที่ใช้ในภาษาบาลี เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจธรรมที่มีจริงๆ
เสียหายไหมการที่เข้าใจธรรม อยู่มาตั้งนาน เรียนอะไรมาก็มาก ความรู้เรื่องอื่นก็มากมาย ทำมาหากินได้ มีความสุขทุกประการ แล้วก็เกิดเข้าใจธรรมขึ้น จะเสียหายอะไรตรงไหนกลับเป็นประโยชน์มากมาย เพราะเหตุว่า ถึงแม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายก็มีทุกข์เพราะความเป็นเรา เพราะความเข้าใจว่านั่นของเรา และสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นเราและของเรานั้นก็ไม่เป็นไปตามที่เราหวังที่จะให้เป็น ก็ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ความเข้าใจความจริงว่าต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะว่าเป็นธรรม
ธรรมเป็นธรรม ใครเปลี่ยนธรรมได้ เมื่อใช้คำว่าธรรมแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะเปลี่ยนได้ พระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนธรรมได้ไหม (ไม่ได้) เพราะทรงตรัสรู้ความจริงว่าเป็นธรรม ความจริงนั่นเองเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริง
การศึกษาธรรมต้องไม่ลืมว่าไม่เสียประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เสียหายเลย มีแต่คุณที่ทำให้เรามีความเห็นถูก แล้วก็รู้ด้วยว่าใครทำให้เห็นถูก เริ่มรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระคุณ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ
ถ้ามีใครที่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ แม้อยู่ไกลก็เสด็จไปโปรด อนุเคราะห์โดยการทรงแสดงธรรมให้ปัญญาของคนนั้นเกิด ลองคิดดูว่าให้อะไรใครไป ให้แล้วก็หมดใช่ไหม ให้อาหาร ให้กำลัง ให้เสื้อผ้า ให้อะไรก็ตามแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดความทุกข์ได้เลย แต่ถ้าให้ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่งสำหรับคนนั้น เพราะเหตุว่าจะติดตามเขาไป จากการที่ไม่รู้เหมือนคนตาบอดหรือคนนอนหลับ ไม่ตื่นขึ้นรู้ความจริง ก็หลงเข้าใจว่ามีเรา แล้วมีเราได้อย่างไร เกิดแล้วก็ตาย แล้วจะมีเราอยู่ตรงไหน เมื่อมีเราอะไรเกิดก็ไม่รู้ ไปเป็นมีเราได้อย่างไร มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดแล้วก็ตายแล้วก็เกิดแล้วก็ตาย
ประโยชน์สูงสุดของผู้ที่ได้สะสมมาที่จะรู้ว่า ธรรมแม้มีจริงก็ยากที่จะรู้ที่จะเข้าใจได้ แต่ไม่ใช่สิ้นหวังหรือว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ยาก แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งเป็นผู้ที่ไม่หลอกตัวเอง เข้าใจธรรมคือ ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้จึงชื่อว่าศึกษาธรรม เข้าใจธรรมแล้วรู้ธรรมตามความเป็นจริงได้ ตามกำลังของปัญญาที่อบรมเจริญขึ้น
บางคนก็อาจจะคิดว่าเรียนธรรมทำไม เขาอาจจะคิดว่าเสียเวลา เวลาที่ว่าเสียนั้นทำอะไร ไปนอน หรือไปเที่ยว หรือว่าไปทำอะไร กับการที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะให้ความเห็นถูก หรือความเข้าใจถูกอย่างนี้ได้เลยถ้าไม่มีการฟังพระธรรม แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่าศึกษาเพื่อเข้าใจเท่านั้น และความเข้าใจนั้นก็ละความไม่รู้ เมื่อความรู้เกิดขึ้นความไม่รู้น้อยลง ความไม่รู้เป็นเหตุให้เกิดกิเลส
เพราะฉะนั้น ถ้าความไม่รู้น้อยลงกิเลสก็น้อยลงด้วย ความเศร้าหมองของจิตใจหรือเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ก็ลดน้อยลงไปด้วย ดังนั้นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ว่าพระธรรมมีคุณประโยชน์ และการศึกษาต้องศึกษาเพื่อเข้าใจจริงๆ จนตายพอไหม ยังไม่พอ จนกว่าจะรู้ความจริงชาติหนึ่งชาติใด
อ.คำปั่น ขณะนี้กล่าวได้ไหมว่าเป็นการได้ลาภที่ประเสริฐ เพราะเหตุว่าการได้อย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง หรือว่าชื่อเสียงต่างๆ ก็เป็นไปเพื่อความติดข้อง เป็นไปเพื่อการพอกพูนซึ่งกิเลส แต่ถ้าหากว่าได้มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นแล้ว มีแต่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสของตัวเอง มีแต่จะเป็นไปเพื่อการละคลายความไม่รู้
สำหรับผู้ที่เริ่มศึกษานี้จะเริ่มต้นอย่างไร เพื่อความเป็นผู้มั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ ก็ให้รู้ว่าธรรมมีจริงๆ เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีหรือสิ่งที่ไม่จริง ซึ่งสิ่งที่มีจริงก็น่าสนใจที่ว่าเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า สิ่งที่มีจริงคืออะไร เพราะเราไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสที่เกิดมาแล้วได้ฟังพระธรรมจึงเป็นโอกาสที่หายากยิ่ง เพราะว่าเราฟังอย่างอื่นมามากจนเป็นอุปนิสัย สนใจในเรื่องเสื้อผ้า สนใจในเรื่องอาหาร สนใจในเรื่องการงาน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่สะสมมา เป็นความจริง เป็นอย่างนั้น แต่ยังไม่สะสมมาที่จะได้ฟังสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่งกว่านั้น
เพราะเหตุว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้ความสามารถในทางโลก หาเงินได้ มีทรัพย์สินเงินทอง มีความสุข ที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่เราพอใจต้องการที่จะให้เป็นอย่างนั้น แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว ไม่มีใครเลยที่จะไม่พลัดพราก หรือว่าหมดไปจากสิ่งเหล่านั้น ทั้งๆ ที่ยึดถือในสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา หรือว่าเป็นคนที่เรารัก หรือว่าจะเป็นกิจการงานธุระต่างๆ ก็ต้องจากไป
มีท่านผู้หนึ่งท่านชอบรูปภาพมากเลย ท่านก็ซื้อมาแพงๆ สะสมไว้แล้วท่านก็จากไป จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเป็นเพียงสิ่งซึ่งไม่ใช่ของใครทั้งนั้น ถ้าท่านไม่จากโลกนี้ไป ยังไม่จากสิ่งที่ท่านพอใจคือรูปภาพต่างๆ รูปภาพต่างๆ นั้นก็อาจจะจากท่านไปก็ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นของใครอย่างแน่นอนหรือว่าตลอดไปได้เลย ชั่วคราวจริงๆ และถ้ามีการยึดมั่นในสิ่งนั้นมากเท่าไหร่ก็มีความทุกข์มากเท่านั้น
ชีวิตประจำวันแสดงให้เห็นความจริงว่าเราติดข้องในสิ่งใดมาก ถ้าไปที่ร้านขายของเเล้วพบสิ่งที่เราอยากจะได้ที่ราคาแพง ก็อยู่ที่ความพอใจมากพอที่จะซื้อหรือไม่ซื้อ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างกำหนดราคะ เป็นอีกคำหนึ่งของโลภะ โลภะความติดข้องจะมีหลายชื่อ นันทะ ความเพลิดเพลิน หรือราคะ ตัณหา พวกนี้เป็นชื่อของโลภะต่างๆ ที่เกือบจะไม่รู้ว่าในขณะที่เพียงคิดว่าวันนี้จะทำอะไร แค่นี้ก็เป็นจิตที่ประกอบด้วยความต้องการแล้วใช่ไหม
ถ้าไม่ต้องการจะคิดไหมว่าวันนี้จะทำอะไร หรือว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร ก็แสดงให้เห็นว่าชีวิตตามความเป็นจริงนั้น เราไม่รู้เลยว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์ และสิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนจะนำมาซึ่งความสุข สิ่งไหนจะนำมาซึ่งความทุกข์ที่แท้จริง คิดว่าพอใจความสุขชั่วคราวเพียงเท่านั้น แต่เล็กน้อยมาก สั้นมาก เพราะว่าวันนี้ทุกคนที่เป็นปกติดี พรุ่งนี้หรือเย็นนี้เกิดอุบัติเหตุได้ไหม เพียงเท่านี้ตาจะบอดได้ไหม หูจะหนวกได้ไหมเมิ่อมีปัจจัยที่จะเกิด ทุกอย่างก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจคำที่ได้ฟังเเต่ละคำจริงๆ ไม่ใช่เผินว่าเข้าใจเเล้ว เมื่อได้ยินก็เข้าใจแล้ว ได้ยินคำว่า สติ ก็เหมือนเข้าใจแล้ว ได้ยินคำว่า สมาธิ ก็เหมือนเข้าใจแล้ว ได้ยินคำว่า จิต ก็เหมือนเข้าใจแล้ว เเต่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เพียงแต่มีชื่อให้เรานึกถึงความหมายของคำนั้น แต่สภาพธรรมที่เป็นจิตต้องมี สภาพธรรมที่เป็นรูปต้องมี
ดังนั้น ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง เกินความคิดความคาดหมายของใครว่า สิ่งที่มีในขณะนี้เกิดแล้ว ไม่ใช่ไม่เกิดเพราะปรากฏแล้ว จะไปทำให้เกิดไม่ได้สักอย่าง เพราะไม่ว่าคิดที่จะทำอะไรให้เกิด สิ่งนั้นเกิดแล้ว แม้แต่ความคิด คิดอะไร ก็คือคิดแล้ว เกิดคิดอย่างนั้นแล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ ที่มี ผิวเผิน คือ เหมือนกับมี และเราสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ความจริงถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้ง พระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ความจริงของสภาพทั้งหมด โดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง ทรงแสดงความจริงว่าทุกอย่างมีลักษณะจริงๆ ปรากฏให้เห็นได้ ได้ยินได้ แต่ว่าเป็นธรรม คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏเพราะเกิดแล้วจึงปรากฏ และไม่มีใครไปทำให้เกิดได้เลย เป็นอนัตตา
ธรรมทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เป็นอนัตตา แต่ว่าเป็นอิสระ คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ต้องเกิดเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แค่นี้ แม้แต่คำว่าธรรม ไม่ใช่ประมาทว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว
เมื่อวานนี้เราถึงได้พูดเรื่องเห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น มีจริงๆ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า ก็เป็น จะไม่เป็นได้อย่างไร เพราะว่าเห็นกำลังเห็นสิ่งนี้ ไม่ใช่เห็นสิ่งอื่น ก็แสดงว่าสิ่งนี้มีจริงแน่นอน และเป็นธรรมด้วย
ถ้าไม่ได้ศึกษาเราอาจจะได้ยินเพียงว่า กุศลธรรม อกุศลธรรม อริยสัจจธรรม ซึ่งไกลมากเลยก็ไม่รู้ แม้แต่คำว่า อริยะ สัจจะ และ ธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องเข้าใจจริงๆ แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าเราจะต้องไปรู้คำอื่นมากมายอีก เพียงแต่ว่าคำไหนที่ได้ยิน ขอให้เข้าใจคำนั้นชัดเจนและถูกต้อง มั่นคงโดยที่ไม่เปลี่ยน เพราะว่าถ้าเข้าใจความจริงของธรรม เปลี่ยนไม่ได้เลย อย่างเช่นเห็นเป็นธรรม คนที่ไม่รู้ก็ไปหาธรรม แต่ไม่รู้ว่ากำลังเห็นเป็นธรรม แล้วก็ไปคิดถึงชื่อธรรมต่างๆ อริยสัจจธรรม แล้วเห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นสัจจะหรือเปล่า จริงหรือเปล่า แต่ยังไม่มีปัญญาที่จะเห็นความจริงของธรรมจนถึงความเป็นอริยะ
ถ้าจะมีปัญญาถึงระดับขั้นที่ทำให้พ้นสภาพของปุถุชนซึ่งไม่รู้ เป็นบุคคลซึ่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะ บุคคลผู้นั้นก็สามารถที่จะถึงความเป็นพระอริยะ เพราะว่าดับความไม่รู้และความติดข้องในสิ่งที่มีว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง เป็นสิ่งที่ไม่เกิดดับ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟัง ทุกอย่างที่มีจริงแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยจะรู้ว่าฟังธรรมหรือเปล่าก็คือ เมื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีว่าเป็นธรรม นั่นคือเริ่มรู้จักธรรม
ผู้ฟัง ได้ฟังจากเอ็มพี ๓ ฟังบางครั้งก็รู้สึกเข้าใจดี แต่บางครั้งก็งง บางครั้งก็สับสน
ท่านอาจารย์ ฟังบางครั้งก็เข้าใจ บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ที่เข้าใจก็คือเข้าใจเรื่องของธรรม แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม จะรู้เลยว่าโลภะมี ความติดข้องมี ทุกคนมี เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ฟังเพื่อรู้ว่าเป็นธรรม ถึงแม้ว่าเราจะมีความเข้าใจในสิ่งที่ฟัง แต่ขาดความเข้าใจว่าเป็นธรรม ก็คือยังไม่ได้เข้าใจธรรม
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เวลาฟังเรื่องโลภะ โลภะมีจริงๆ มีจริงก็ต้องมีจริง เป็นธรรม เกิดแล้วก็ดับ จึงเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ฟังเพื่อมีความเข้าใจว่า สิ่งที่มีเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป เป็นอนัตตา ไม่มีเหลืออีกเลย แล้วจะเป็นของเราได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นเราได้อย่างไร แม้ในขณะนี้มีแข็ง ก็ลืมว่าเป็นธรรม เห็นไหมว่าจะลืมเสมอว่าเป็นธรรม ฟังเรื่องโลภะ ก็เข้าใจเรื่องโลภะ ก็ลืมว่าเป็นโลภะ เป็นธรรม
แม้ในขณะที่ฟัง มีเห็น แล้วก็มีได้ยินแน่ๆ ใช่ไหม ได้ยินต้องมีแน่ เพราะฉะนั้น ได้ยินก็เป็นธรรม ไม่เข้าใจก็เป็นธรรม เข้าใจก็เป็นธรรม ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างซึ่งจะไม่ใช่ธรรม เมื่อลักษณะนั้นเกิดก็เป็นธรรมประเภทหนึ่งประเภทใดแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น การฟังคราวต่อไปก็จะรู้ว่ากำลังฟังธรรมที่มีจริงๆ แต่ฟังเสร็จก็ลืม ทุกคนเป็นอย่างนี้เพราะอะไร แสนโกฏิกัปป์มาแล้วจิตเจตสิกเกิดดับสืบต่อจนถึงขณะนี้ และก่อนจะได้ฟังธรรมไม่รู้จักธรรม และก็ติดข้องในธรรม มีอกุศลหลายอย่าง ซึ่งเกิดสะสมมาในจิตของแต่ละคน
บางคนก็เป็นคนที่อิสสาริษยา เห็นอะไรก็ทนไม่ได้เมื่อคนอื่นเขาได้ดีมีสุข อยู่ดีๆ แท้ๆ ทำไมจะต้องเดือดร้อนกับการที่เขาได้ดีมีสุข แล้วเราเดือดร้อนทำไม เขากำลังสุขแล้วเราเดือดร้อน คิดดู ไม่เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย
บางคนก็อาจจะมีความมานะ ความสำคัญตน มีความเป็นเรา มีความเป็นเขา จะสังเกตได้จากกิริยาอาการหรือแม้แต่คำพูด แต่สภาพธรรมละเอียดเกินกว่าที่เราจะรู้เอง เพราะว่ามานะความสำคัญตน ดับด้วยอรหัตมรรค ไม่ใช่เพียงแค่พระโสดาบัน เพราะฉะนั้น ธรรมคิดเองไม่ได้เลยจริงๆ คิดเองเมื่อไหร่ก็ต้องผิดทุกครั้ง แต่ว่าถ้าศึกษาแล้วจะรู้ความจริง แล้วก็รู้ตัวเองด้วยว่าการที่จะเห็นมานะได้บ้าง ก็คืออย่างหยาบๆ ที่พอจะเห็นได้ แต่อย่างละเอียดถึงขั้นที่พระอรหันต์ดับ ไม่เกิดอีกเลย ก็ต้องเป็นมานะที่ละเอียดมาก
วันหนึ่งๆ ถ้าเห็นกิริยาท่าทางของใครซึ่งรู้สึกว่าสำคัญตน ที่เราใช้คำว่า เย่อหยิ่ง ยโส ชัดเจนใช่ไหม เหมือนธงที่ชูขึ้นให้คนอื่นเห็น ให้เป็นเด่น ให้เป็นความสำคัญ นั่นคือสภาพธรรมที่ดีหรือเปล่า ติดข้องจนกระทั่งเหนือบุคคลอื่น คนอื่นก็ต่ำกว่าทั้งนั้นหรืออะไรอย่างนั้น แต่ความจริงลักษณะของมานะ ของธรรมก็มีละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก คือให้เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมแล้วก็มีลักษณะที่หลากหลายมาก มานะอย่างนั้นยังพอเห็นได้ แต่มานะที่มองไม่เห็น กายวาจาซึ่งหลงไปแต่คนอื่นรู้ อย่างเช่น ถ้ามีใครคนหนึ่งที่เขาบอกว่าสวนนี้ไม่สวยเลย แค่คำพูดว่า สวนนี้ไม่สวยเลย หมายความว่า เขาทำได้สวยกว่านี้หรือเปล่า แม้แต่เพียงนิดเดียว
ถ้าเป็นคำแนะนำอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่แม้แต่คำแนะนำ ถ้าเขาขอหรือว่ายังไม่มีการขอเลย ไม่มีใครต้องการเลย เราก็ไปจัดการเสร็จว่านี่เป็นอย่างนั้น นั่นเป็นอย่างนี้ นั่นเป็นลักษณะของความสำคัญตนหรือเปล่า ในความรู้ ในความสามารถ ในยศตำแหน่ง ในชาติตระกูล ในอะไรทุกอย่าง เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดอกุศลได้ทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้น ชาติหนึ่งๆ ที่ผ่านมาอกุศลเต็มที่ และถ้ารู้ความจริงว่าละเอียดยิบแค่ไหน รวดเร็วแค่ไหน ก็น่ารังเกียจ ขนาดที่ว่าคนไม่ชอบกลิ่นไม่สะอาด ซึ่งกลิ่นที่ไม่สะอาดจริงๆ คืออกุศล แล้วอยู่ที่ไหน อยู่ในใจที่ใจสะสม ถ้าสามารถจะเป็นรูปธรรมได้คงแย่เลย กลิ่นนี้ไปทั่วโลกเลย ความที่จะไม่สะอาดถึงระดับนั้น แต่นี่ก็เป็นเพียงการที่จะให้เราเห็นโทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของการที่ใครก็ตามที่มีอกุศลน้อยลง แล้วมีกุศลเพิ่มขึ้น จิตใจที่สะอาดและช่วยเหลือเกื้อกูลใคร คงไม่มีใครรังเกียจใช่ไหม ตรงกันข้ามกับคนที่เห็นแก่ตัว
ดังนั้น การฟังธรรมและเข้าใจธรรมมีประโยชน์มาก เพราะว่าสามารถที่จะเข้าใจว่าสิ่งใดไม่ดีละเอียดขึ้น และสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้น ทุกคนก็เห็นว่าโลก กล่าวโดยรวม สัตว์โลกเป็นทุกข์เพราะอกุศล มีการเบียดเบียนทำร้าย ถ้าเป็นกุศลจะไม่ทำร้ายเลย มีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และสัตว์โลกจะเป็นสุขถ้วนหน้าก็เพราะกุศล
ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่ง เกิดมาแล้วก็ทำให้โลกเป็นสุข คนอื่นก็เป็นสุขได้ โดยลดอกุศลและเพิ่มกุศลขึ้น ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้แล้วก็มีความเข้าใจธรรมด้วย เพราะเหตุว่า ถึงแม้จะเป็นคนดีก็ไม่หมดกิเลสถ้าไม่มีการเข้าใจธรรม แต่กิเลสที่มีมากๆ สามารถที่จะดับได้ ซึ่งมีผู้ที่ดับกิเลสแล้วแต่ต้องด้วยปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องเพื่อที่จะละอกุศล
การฟังธรรมอย่างเมื่อวานนี้ที่กล่าวถึง ถ้าใครไม่เห็นประโยชน์เราก็บอกเขาได้เลยว่า การศึกษาธรรมมีโทษตรงไหน ใช่ไหม ถ้าไม่มีโทษแล้วใครทำก็ต้องเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่มีโทษ แม้กับตนเองหรือกับใคร เพราะว่าถ้าเราจะไปพรรณนาประโยชน์ของธรรมกับบางคน เขาก็บอกว่าเขาสบายดี อย่างไรๆ ทรัพย์สินเงินทองเขาก็มี ไม่เดือดร้อนอะไรเลย คือยังไม่เห็นโทษ
เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ว่าแท้ที่จริงทุกขณะเป็นภัย เพราะเกิดแล้วดับ ไม่คงอยู่ ไม่ตั้งอยู่เลย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่มีเพียงชั่วคราวและทำให้มีการติดข้องก็เป็นโทษ ลองคิดดูว่าถ้าไม่มีเลย ถ้าใจไม่มีความต้องการสิ่งใดเลยทั้งสิ้น เพียงแค่คิดเท่านี้ก็สบาย ลาภ คือสิ่งที่มีตามควรกับเหตุปัจจัย จะน้อยจะมากก็เเล้วเเต่ แม้บางคนหวังลาภมากๆ เเล้วได้ด้วยความหวังหรือเปล่า ใครจะไปได้อะไรด้วยความหวังก็หวังไปว่าจะได้มากๆ ก็ไม่ใช่
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างตามเหตุตามปัจจัย ดังนั้นพอใจในสิ่งที่มี บางคนได้ลาภมากแต่ไม่สามารถที่จะมีปัญญาที่จะรู้ความจริงว่า มีความติดข้องในลาภที่ได้ หรือว่ารู้เหตุปัจจัยว่า มีปัจจัยที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นตามควรแก่เหตุปัจจัย แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะมีปัญญา ความเห็นถูกที่จะทำให้จิตใจไม่หวั่นไหวและก็ไม่เดือดร้อน และถ้าเป็นผู้ที่ตั้งมั่นในความดี ยิ่งเป็นผู้ที่มั่นคงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประชวร ห้ามได้ไหม เป็นถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชวร ท่านพระสารีบุตร ก่อนที่ท่านจะปรินิพพาน อาพาธหนักทีเดียว แม้ท่านเป็นพระอัครสาวก เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น จะหวั่นไหว จะเดือดร้อนไหม ในลาภ ในสักการะ ในยศ ในสรรเสริญ ในสุข ชั่วคราวจริงๆ แล้วก็ต้องจากไป
แม้ขณะนี้ก็กำลังจากไปทุกขณะเหมือนความตาย เพราะไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นจิตขณะก่อนที่จะถึงขณะนี้ก็กำลังรับประทานอาหาร มีรสต่างๆ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เเล้วเหลืออะไร ไม่มีอะไรเหลือเลย ความจริงถ้ารู้ว่าทุกขณะนี้เกิดแล้วดับไป ก็จะมีความเข้าใจที่มั่นคงในความไม่เที่ยง ในความชั่วคราวของทุกสิ่งทุกอย่าง
เราอาจจะเข้าใจขั้นหยาบๆ ว่าเกิดมาในโลกนี้ชั่วคราว แน่นอน ใครจะอยู่ค้ำฟ้าต่อไปอีกได้ ชั่วคราวจริงๆ แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์จะทำความดีให้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ไหม ถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐสำหรับตัวเองและคนอื่นด้วย และจะเป็นอย่างนั้นได้ต่อเมื่อมีความเข้าใจพระธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1681
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1682
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1683
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1684
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1685
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1686
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1687
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1688
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1689
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1690
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1691
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1692
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1693
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1694
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1695
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1696
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1697
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1698
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1699
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1700
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1701
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1702
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1703
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1704
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1705
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1706
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1707
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1708
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1709
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1710
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1711
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1712
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1713
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1714
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1715
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1716
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1717
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1718
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1719
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1720
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1721
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1722
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1723
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1724
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1725
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1726
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1727
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1728
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1729
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1730
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1731
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1732
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1733
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1734
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1735
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1736
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1737
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1738
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1739
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1740
