ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1687


    ตอนที่ ๑๖๘๗

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ ทุกคนก็ฟังธรรมกันมาพอสมควรที่จะรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ และมีในขณะนี้ด้วย แต่ถึงแม้ว่าจะพูดถึงธรรมในขณะนี้บ่อยครั้งสักเท่าไหร่ ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้จริงๆ ในความหมายของคำว่า ธรรม เพราะว่าเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก อย่างขณะนี้เป็นปกติ คือมีสิ่งที่มีแล้ว เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีเป็นปกติในขณะนี้คืออะไร ถ้าถามง่ายๆ ทุกคนก็บอกว่า มีเห็น มีได้ยิน มีธรรมดา ทุกอย่างเป็นปกติ แต่ไม่รู้ความลึกซึ้ง หรือความเป็นธรรมของสิ่งที่มีในขณะนั้น จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมแล้วก็ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะสิ่งที่เราจะฟังหรือจะสนทนากันต่อไป ก็พูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ให้เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ว่าเพื่อที่จะให้เป็นพระโสดาบัน หรือว่าจะให้รู้แจ้งสภาพธรรมทันที เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง

    แม้แต่เพียงฟังว่าขณะนี้เป็นธรรม เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม พูดตามได้ เข้าใจได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเราเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นเรา แล้วก็จากโลกนี้ไป ทำไมจะต้องเป็นอย่างนี้ด้วย เกิดมาเพื่อที่จะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เป็นสุข เป็นทุกข์แต่ละวัน แต่ก็หมดไปทุกวันๆ จนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายที่จะต้องจากโลกนี้ไป

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วสิ่งที่เราคิดว่าเราพอใจแสวงหา จริงๆ แล้วอยู่ที่ไหน แล้วได้มาจริงๆ หรือเปล่า ซึ่งความจริงก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดและดับไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าขณะนี้เป็นอย่างนั้น

    ผู้ที่สนใจฟังธรรมก็คือฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จนกระทั่งมีความเข้าใจความหมายของคำว่าธรรมเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้นในขั้นของความเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริงๆ ว่าขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างที่มีในขณะนี้เกิดแล้วก็ดับไป แต่ความจริงธรรมไม่ต้องเรียกชื่อเลยก็ได้ เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ

    อีกประการหนึ่ง คงไม่ลืมว่าธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เป็นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่เทียบคนธรรมดากับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ห่างไกลประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะคิดว่าเราสามารถที่จะอ่านแล้วก็จำชื่อ แล้วก็เข้าใจเรื่องราวของแต่ละคำได้นั้นไม่ใช่การศึกษาธรรม

    เพราะเหตุว่าการศึกษาธรรมต้องรู้จักว่า ธรรมคืออะไรและอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ในหนังสือแล้วเรียกชื่อต่างๆ แต่ว่าธรรมมีจริงๆ และคำต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟัง คือชื่อที่หมายความถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ทั้งหมด

    ได้ทราบว่าฟังธรรมกันมาบ้าง หรืออ่านธรรมบ้างมาหลายปี ก็ควรที่จะได้ทราบว่าธรรมอยู่ที่ไหน และธรรมคืออะไร เพราะเหตุว่าถ้าไม่ตั้งต้นให้ถูกต้อง เราก็จะจำแต่เพียงเรื่องราวของธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แน่นอน มิฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริง

    ก่อนอื่นต้องคิดถึงคำว่า ธรรม ทำไมจึงยากที่จะรู้ได้ เพราะถ้าถามใครว่าธรรมคืออะไร ต่างคนก็ต่างตอบตามความเข้าใจ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ จะไม่รู้ว่ากำลังศึกษาอะไร เพื่อเข้าใจอะไร และเพื่ออะไร

    ศึกษาธรรมเพื่ออะไร ศึกษาธรรมเพราะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไร เมื่อรู้ว่าธรรมคืออะไรและประโยชน์คืออะไร ละความไม่รู้ ละความเข้าใจผิด ละการที่เคยยึดถือสภาพธรรมที่มีจริงๆ นั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ค่อยๆ ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงก็จะเห็นความละเอียด และความลึกซึ้งของธรรม เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ คิดง่ายๆ ยังไม่ต้องใช้ภาษาบาลีอะไรเลย ถ้าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นจะปรากฏได้ไหม ไม่มีทางเลยใช่ไหม แล้วที่กำลังปรากฏก็ยังไม่รู้ว่าแท้จริงคืออะไร

    เวลาที่ไม่เคยฟังธรรมเลยเกิดมาก็เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็จำว่ามีสิ่งนั้นจริงๆ แม้ไม่เห็นก็ยังจำ ยังคิดถึงสิ่งที่ได้เคยเห็นแล้วได้ทั้งๆ ที่ไม่มี ถ้าถามทุกคนว่าขณะนี้ที่กำลังอยู่ที่นี่ มีฟันไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง อยู่ในตัวเรา

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ที่กำลังเห็น เห็นอะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เป็นฟันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงละเอียดยิ่ง ทรงแสดงว่าจิต หรือสภาพที่รู้ สามารถที่จะเห็นได้ยินเหล่านี้จะเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ แต่ดับไปทันทีเร็วมาก แล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้มีใครบ้างที่ไม่มีจิต แต่ไม่รู้จักจิต ใช่ไหม

    ถามใครว่ามีจิตไหม เขาก็รู้ว่าจิตต้องมีเมื่อมีสัตว์ มีบุคคล ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า แต่ถ้าถามว่าจิตอยู่ที่ไหน คืออะไร จะตอบได้ไหม พระพุทธศาสนาเป็นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงให้คนที่ได้ยินได้ฟัง ค่อยๆ พิจารณาเข้าใจถูก เห็นถูกตามที่พระองค์ทรงแสดง

    พระองค์ไม่ได้ทรงเเสดงเพียงให้รู้ว่ามีจิต แต่ไม่ได้กล่าวว่าจิตคืออะไร นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลายคนที่สนใจเรื่องจิตก็อ่านหนังสือตำหรับตำราที่เขียนโดยชาวไทยเเละชาวต่างประเทศ แต่ทำให้เข้าใจที่จะตอบได้ว่าจิตคืออะไรหรือเปล่า และเดี๋ยวนี้มีจิต และจิตอยู่ที่ไหน และจิตขณะนั้นทำอะไร ความชัดเจนไม่มีสำหรับผู้ที่ไม่ได้รู้แจ้งลักษณะของจิต ก็กล่าวถึงจิตไม่ได้โดยละเอียด แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงแสดงความต่างกันของจิตแต่ละขณะ ซึ่งเกิดเพราะมีปัจจัย ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น จิตตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ ไม่ใช่จิตเดียวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วก็เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ไม่ใช่อย่างนั้นเลย จิตเห็นเกิดขึ้นไม่ใช่จิตได้ยิน จิตเห็นกับจิตได้ยินไม่ได้รู้จักกันเลย เพราะเหตุว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจความจริงนี้เพื่อละความไม่รู้ และความติดข้องยึดถือว่าสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงแล้วเพียงมีปัจจัยเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่เป็นอิสระ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และเกิดแล้ว ดับแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีก เป็นอย่างนี้ตลอดชีวิต ตั้งแต่อดีตชาตินานแสนนานมาแล้วจนถึงปัจจุบันชาติ ต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้อีก

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีอยู่เพียงชั่วคราว คำว่า ชั่วคราวที่นี่คือสั้นมาก จนกระทั่งการเกิดดับไม่ปรากฏ ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ไม่ได้เกิดดับเลย ดังนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงในการศึกษาธรรม และเวลาที่ตรงก็จะต้องค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น เช่น ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้มีฟันไหม มีปอดไหม มีเลือดไหม มีกระดูกไหม มีไหม

    ผู้ฟัง ก็มีแต่ธาตุ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ไม่ใช่ เราไม่ได้ไปนึกถึงตำราว่ามีแต่ธาตุ แต่พูดถึงความจริงเพราะธรรมจริงทุกขณะ โดยเราไม่รู้เลยว่านี่เป็นธรรมจริงๆ แม้แต่กำลังเห็นขณะนี้ก็จริง ไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจได้ในภาษานี้ เพราะฉะนั้น ก็มีภาษานี้เองที่เราใช้คำว่าบาลี ซึ่งภาษาเดิมต้องเป็นปาลี หมายความถึงภาษาที่ดำรงรักษาพระพุทธศาสนา ไม่ว่าใครจะศึกษาธรรมก็ศึกษาจากแหล่งเดิม ภาษาเดิม แต่เวลาที่กล่าวถึงหรือเข้าใจธรรมแล้วก็ไม่ใช่ใช้ภาษานั้น อย่างคนไทยก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมในภาษาไทย

    ถ้าทุกคนพูดคำสองคำที่เป็นภาษาบาลีใครจะเข้าใจได้ เพราะไม่ใช่ภาษาที่เราใช้ตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่เมื่อเข้าใจธรรมแล้ว ภาษาไหนก็ได้ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเขมร ภาษาลาว ภาษาอะไรก็ตามแต่ที่ส่องถึงความจริงของธรรม ใช้ได้หมด จึงไม่จำเป็นที่เราต้องใช้ภาษาบาลี แต่เวลาที่เข้าใจแล้วเมื่อได้ยินคำภาษาบาลี เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าหมายความถึงอะไร ลองสักคำ จักขุวิญญาณ คนไทยใช้คำว่าวิญญาณบ่อย และจักขุ มีใครไม่รู้บ้างไหมว่าหมายความถึง ตา

    เพราะฉะนั้น จักขุวิญญาณ คือสภาพธรรมที่เห็น หรือใช้คำว่า เห็น เพราะรูปเห็นไม่ได้เลยใช่ไหม ขณะที่เห็น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ทุกคนจะรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น นี่คือการศึกษาธรรม ต้องเข้าใจธรรมก่อน แล้วจึงศึกษาเรื่องราวของสิ่งที่เริ่มเข้าใจละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น จนรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม เพราะธรรมหมายความว่าไม่ใช่ใคร แต่เป็นธาตุหรือเป็นสิ่งที่มีจริง มีปัจจัยจึงเกิดได้ เป็นไปตามปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้

    ดังนั้น แต่ละคำก็พิสูจน์ว่าจริงหรือเปล่า ตั้งแต่เกิดมีจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน แม้ในขณะนี้ ไม่ใช่เราไปคิดถึงตำรา แต่ต้องค่อยๆ เข้าใจธรรมที่มีจริงแล้วตรงด้วย เพราะฉะนั้นก็กลับมาหาคำถามที่ว่า ขณะที่กำลังเห็นมีปอด มีตับ มีหัวใจ มีม้าม มีฟันไหม มีขา มีแขนไหม ไม่เช่นนั้นไม่ได้ศึกษาธรรมแน่ มีแต่ชื่อ แต่ธรรมคือเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นเห็น เห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้ เห็นจะเป็นโกรธไม่ได้ เห็นจะเป็นคิดนึกไม่ได้ เห็นเกิดขึ้นแล้วเห็น แล้วก็ดับ ไม่ทันคิดอะไร ทันทีเมื่อเห็นดับแล้วแล้วจึงมีจิตที่เกิดสืบต่อแล้วก็จำสิ่งที่เห็น แล้วก็ไม่ลืมว่าสิ่งที่เห็นรูปร่างสัณฐานเป็นอย่างไร เมื่อเห็นอีกก็จำได้แล้วก็เรียกได้ คิดถึงสิ่งที่เคยเห็นแล้วได้

    ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องอดทนที่จะเริ่มเข้าใจว่า ธรรมจริงๆ ปรากฏทั้งวัน แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ทั้งๆ ที่เป็นธรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ความต่างกันของคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม คือแม้ว่าจะชื่อว่าเป็นชาวพุทธ นับถือเคารพพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้พระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญความรู้ถูก ความเห็นถูกด้วยตัวเองคิดเอง แต่ต้องเป็นผู้ที่ไม่เผิน มีความเคารพในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ด้วยการที่พิจารณาจนกระทั่งมีความเข้าใจที่ถูกต้องเมื่อไหร่ นั่นคือการบูชาสูงสุดสำหรับพระรัตนตรัย

    ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจะได้ยินคำถามที่อาจจะคิดว่าแปลก อยู่ดีๆ ก็ถามว่ามีฟันไหมในขณะที่กำลังเห็น แต่ถ้าเป็นผู้ตรงจะค่อยๆ เข้าใจธรรมว่า ขณะที่เห็นเป็นอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากเป็นขณะที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และเห็นก็เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย

    ในฝันเห็นอะไรไหม ฝันกันทุกคน ทุกคืนหรือเปล่า มีใครบ้างไม่ฝัน แต่ฝันก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตที่จำสิ่งที่เคยปรากฏทางตา ทางหู แล้วก็คิดถึงเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เพราะฉะนั้นธรรมต้องละเอียด นี่คือพระอภิธรรม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรม ใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมไม่ได้เลยทั้งสิ้น

    แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงความจริงของธรรม ไม่ใช่พระองค์ไปสร้างธรรมขึ้นมาให้รู้ เพราะว่าธรรมเป็นธาตุหรือเป็นธรรม คือ สิ่งที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย บังคับหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เพราะว่ามีจริงๆ หมดแล้ว ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ นี่คือความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราจะเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะไม่ศึกษาเพียงเผินๆ แต่ว่าศึกษาสภาพธรรมทุกขณะได้ว่าต่างกันเป็นแต่ละขณะ

    ผู้ฟัง คนที่เรียนธรรมใหม่ๆ หรือว่าแม้จะเรียนนานก็ตาม ถ้าหากว่าปัญญายังไม่เกิดก็จะเห็นตามที่โลกๆ เขาเห็นกัน ทีนี้อาจารย์ก็จะพยายามพาพวกเราว่า ธรรมคือมีแต่รูปกับนาม ตอนนี้คนที่ฟังมาตั้งหลายปีก็ยังไม่รู้ว่า อะไรคือรูป อะไรคือนาม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ไปถึงรูปหรือนามเลย เพียงแต่ให้เข้าใจความหมายของธรรมคือสิ่งที่มีจริง ยังไม่ไปไกล แค่สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งหลับ จนกระทั่งตาย ทั้งหมดเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรม อะไรๆ ก็ไม่มี แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรมก็เข้าใจว่ามีเรา มีเขา มีสิ่งซึ่งไม่เกิดดับ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องละเอียดที่จะรู้จักตัวธรรมจึงศึกษาธรรม ถ้าไม่มีสภาพหรือตัวธรรมเราจะเรียนอะไร เราจะฟังอะไร เราจะเข้าใจอะไร ก็เป็นเรื่องที่เลื่อนลอยถ้าพูดถึงธรรมโดยไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และขณะนี้มีธรรมไหม แต่ถ้าค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่าขณะนี้ไม่ข้าม ไม่เผิน สิ่งที่มีจริงไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งนั้นเป็นธรรมทั้งหมด

    จึงต้องละเอียดที่จะรู้ว่าขณะนี้กำลังเห็นไม่ใช่เรา ตอบได้เลยใช่ไหมว่าเป็นธรรม แค่ธรรม แต่ถ้ารู้มากกว่านั้นอีกว่าเป็นปรมัตถธรรม ใครเปลี่ยนแปลงที่จะไม่ให้เห็นเกิดไม่ได้ เมื่อมีปัจจัย เห็นต้องเกิด เห็นแล้ว จะให้เห็นไม่ดับก็ไม่ได้ เพราะว่ามีได้ยินแล้ว มีคิดนึกแล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่รู้เองต่างหากว่าสภาพธรรมเกิดแล้วก็ดับอย่างเร็วมาก

    เพราะฉะนั้นจากธรรมก็ถึงปรมัตธรรม เท่านี้ละความเป็นเราได้หรือยัง กำลังเห็นรู้ว่าเป็นธรรม เกิดขึ้นแล้วดับไป แค่นี้ละความเป็นเราได้หรือยัง มีใครละได้ไหม แค่นี้ไม่พอเลย ต้องฟังธรรมละเอียดขึ้นมาก จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่าเป็นธรรมจริงๆ เท่านี้ ก็คือปริยัติเท่านั้นเอง

    การฟังแล้วก็มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการฟังจริงๆ คือเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นเลย ชื่อยาวๆ ยากๆ ก็ไม่ต้องคิด เพียงแต่ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ หมายความว่าสิ่งนั้นมีจริงเพราะเกิดแล้วจึงปรากฏได้ และก็เป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม ยิ่งฟังเข้าใจความละเอียดลึกซึ้งจนกระทั่งสามารถที่จะเห็นว่า ไม่มีใครจะไปบันดาลให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดได้เลย แต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้แต่ละอย่างเกิดขึ้น ขณะนั้นที่ละเอียดก็เป็นอภิธรรม ดังนั้นใครจะกล่าวว่าคนนี้สอนธรรม คนนั้นสอนอภิธรรม หมายความว่าเขาเข้าใจหรือเปล่า

    ธรรมเป็นธรรม อภิธรรมไม่ได้ต่างกับธรรมเลย แต่เป็นความละเอียดของธรรมที่ละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจธรรม ธรรมก็เป็นธรรมดาทุกวันเลย เดี๋ยวนี้ด้วย แต่ไม่รู้

    ขณะนี้ฟังเพื่อรู้ว่าเป็นธรรม และไม่ใช่ไปหาธรรมที่อื่นด้วย สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เองที่กำลังเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ขณะที่ฟังเเต่ละคนก็รู้เองใช่ไหมว่าเข้าใจขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เเม้ว่าทุกคนได้ฟังสิ่งเดียวกัน แต่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ฟังก็มากน้อยต่างกันได้ ตามการสะสมตามการเข้าใจ ตามการพิจารณา

    แล้วจะตอบไหมว่าเห็นอะไร ดูคาดคั้นคำตอบเหลือเกิน แต่ก็อยากจะให้เข้าใจ เพราะว่าถ้าตอบตามตัวหนังสือก็ง่ายมากแต่ไม่ได้รู้ความจริง ความจริงอยู่ในขณะนี้ที่กำลังเห็น หนังสือจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ความจริงในขณะนี้คือกำลังเห็น

    ปัญญาคือความเข้าใจ ถ้าสามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้เห็นอะไรถูกต้องตามความเป็นจริง นั่นคือปัญญา เข้าใจเมื่อไหร่ทีละเล็กทีละน้อยนั่นคือปัญญาที่เกิดขึ้น แล้วก็ค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย ปัญญา คือความเห็นถูกความเข้าใจถูก ไม่ผิด ปัญญาต้องไม่ผิด เพราะว่าเป็นความเข้าใจถูกต้อง และในตัวหนังสือตำราทั้งหลายก็กล่าวชื่อของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น บางคนก็จะตอบตามหนังสือ เห็นวรรณ หรือรูปารมณ์ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น ไม่ต้องคิดถึงคำอะไรเลย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ ขณะนี้เห็นอะไร ยากไหม กำลังเห็นก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ว่าเห็นอะไรเพราะอวิชชามาก กว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ทราบว่ามีใครใช้ปัญญาได้ไหม ปัญญาเกิดแล้วดับแล้ว ใครจะใช้ จะไปนำปัญญาที่ไหนมาใช้ ถ้าปัญญามีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ แล้วใครจะนำปัญญาที่ไหนมาใช้

    แสดงว่าการศึกษายังไม่พอ ยังไม่ละเอียด เพราะฉะนั้นก็รวมๆ และก็เข้าใจตามตัวหนังสือ นั่นไม่ใช่การศึกษาธรรมที่แท้จริง เพราะว่าจะไม่ได้เข้าใจธรรมที่ปรากฏ เพียงแต่จำชื่อเป็นหน้าๆ เป็นเล่มๆ มากมาย โดยที่ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพ ธรรมจริงๆ เดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องทราบว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีธรรม อะไรๆ ก็ไม่มี แต่ความไม่รู้มีมากมาย ดังนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียดไม่เผิน แล้วก็ฟังเพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดง เมื่อเข้าใจแล้วก็ตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดงทุกอย่าง เพราะว่าเป็นความจริง จะผิดจากความจริงได้อย่างไร ตรัสรู้ความจริงและความจริงก็เป็นอย่างนี้

    ถ้ามีความเข้าใจธรรม โดยไม่หวังว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน ประจักษ์การเกิดดับ เพราะยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลยแล้วไปคิดอะไรอย่างนั้น แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏที่จะต้องเริ่มเข้าใจตรงตามตัวหนังสือ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ขณะที่แข็งปรากฏ แข็งไม่รู้อะไรเลย ไม่ต้องเรียกแข็งว่าอะไรทั้งสิ้น แข็งเกิดเป็นแข็ง แต่ขณะนั้นก็มีสภาพที่กำลังรู้แข็ง เฉพาะแข็งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น แข็งเป็นอย่างหนึ่ง สภาพธรรมที่รู้แข็งเป็นอย่างหนึ่ง ไม่ต้องพูดอะไรก็เป็นความจริงอย่างนี้ แต่เมื่อจะพูดถึงก็ต้องใช้คำที่แสดงให้เห็นว่า ใช้เรียกลักษณะที่มีจริงที่เกิดขึ้นแข็งว่าไม่ใช่สภาพรู้ ส่วนสภาพที่กำลังรู้แข็ง ขณะนี้ทุกคนมี ศึกษาตรงนี้ เข้าใจตรงนี้ ลักษณะรู้ตรงนั้นมี

    ถ้าจะเรียกก็คือเป็นสภาพรู้ หรือเป็นนามธรรม ซึ่งความจริงก็หมายความถึงธาตุรู้ ซึ่งเกิดพร้อมกัน ๒ อย่าง คือ สภาพอย่างหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ส่วนสภาพที่อาศัยเกิดกับจิต เกิดพร้อมจิต ไม่แยกกันเลย ใช้คำว่าเจตสิก หมายความถึงสภาพอื่นๆ เช่น โกรธ ดีใจ เสียใจ ริษยา มัจฉริยะ ตระหนี่ อะไรๆ ทั้งหมดในชีวิตประจำวันที่เรากล่าวว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ นั่นคือกล่าวถึงเจตสิกกับจิตของเขา ไม่ใช่เขาที่ชื่อนั้นเป็นอย่างนั้นตลอดกาล แต่สมมติชื่อให้แต่ละจิต เจตสิก ซึ่งเกิดสะสมสืบต่อในสังสารวัฏฏ์มาจนกระทั่งเป็นขณะนี้ แล้วก็จะเป็นคนอื่นต่อไปอีกตามการสะสม

    เพราะฉะนั้น ชื่อที่ใช้เรียกกันก็เป็นการสมมติให้รู้ว่าหมายความถึงสภาพธรรมอะไร แต่ต้องเข้าใจตัวจริงของธรรม จึงจะชื่อว่าศึกษาธรรม มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 197
    13 พ.ย. 2568