ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1688


    ตอนที่ ๑๖๘๘

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ แต่ต้องเข้าใจตัวจริงของธรรม จึงจะชื่อว่าศึกษาธรรม มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้เลย

    ผู้ฟัง คำว่า ขันติเเละขันติบารมี ความอดทนจริงๆ เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนจะอดทน ก็ต้องทราบใช่ไหมว่าต้องมีประโยชน์ ถ้าไม่มีประโยชน์จะอดทนทำไม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ได้ยินว่าขณะนี้เป็นธรรม เห็นเป็นธรรม เดี๋ยวนี้เห็น เพราะว่าเห็นเกิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้น เห็นเกิดแล้วก็ดับ มีความเข้าใจอย่างนี้ อดทนไปจนกว่าจะประจักษ์ความจริงว่า ขณะนี้ เห็นเกิดแล้วดับหรือเปล่า เพราะว่าเป็นความจริง เมื่อครู่นี้ก็รับรองแล้วว่าจริง เพราะฉะนั้น สัจจะ ความจริงที่มีอธิษฐาน ความมั่นคงที่จะรู้ว่าเมื่อความจริง สภาพธรรมเป็นอย่างนี้แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ แทงตลอดสภาพที่กำลังเกิดดับ ซึ่งเป็นธรรมอย่างนี้ ความอดทนจะอดทนถึงระดับไหน หรือว่าเลิกแล้ว

    ผู้ฟัง ต้องอดทนมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีทางที่จะประจักษ์ หรือแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ เพราะไม่ใช่เรา ตัวตนหรือใครคนหนึ่งคนใด แต่เป็นปัญญาที่รู้แล้วก็ค่อยๆ ละคลายความติดข้องที่เคยไม่รู้ และยึดถือสภาพที่กำลังเห็นว่าเป็นเรา จากการฟังธรรมโดยละเอียด ทราบความหมายของคำว่า ปุถุชน ไหม

    ผู้ฟัง ปุถุชน หมายถึง ผู้ที่หนาด้วยกิเลส

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น หนาด้วยอะไรบ้าง ที่แน่ที่สุดก็คือความไม่รู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่แม้ความจริงเป็นอย่างนี้ อวิชชาก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่จากการเข้าใจภาษาไทยใช้คำว่าเข้าใจ คือ ปัญญา ในภาษาบาลี เพราะว่าภาษาบาลีไม่มีคำว่าเข้าใจ แต่จะมีใครสามารถเป็นตัวตนที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ในเมื่อมีอวิชชา ความไม่รู้ก็กั้นและบังไม่ให้เห็นความจริงว่า แม้สภาพธรรมกำลังเป็นอย่างนี้ แต่อวิชชาก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้น อดทน คือ มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วละคลายความไม่รู้และความติดข้อง เมื่อนั้นสภาพธรรมก็จะปรากฏตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้รู้สภาพธรรม อดทนมาแล้วทั้งนั้น เพราะไม่มีใครสามารถที่จะเพียงฟังแล้วก็รู้ความจริงของสภาพธรรมได้ ดังนั้นแต่ละคนที่ฟังก็เป็นผู้ที่ตรง ในเมื่อธรรมเป็นจริงอย่างนี้ หนทางเดียวก็คือว่าเข้าใจขึ้นในสิ่งที่ได้ฟังโดยไม่ได้มุ่งหวังอะไร ถ้ามุ่งหวังว่าจะไปประจักษ์การเกิดดับก็ไม่มีทางเลย เพราะขณะนั้นเป็นตัวตนที่ต้องการ ยังไม่มีความรู้เพิ่มขึ้นแม้สักเล็กน้อยในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ด้วยเหตุนี้การฟัง ก็เพิ่มความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยแล้วก็จะรู้ว่าค่อยๆ ชิน ค่อยๆ ระลึกได้ ค่อยๆ รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะว่าความจริงแท้ก็คือไตรลักษณะ สิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นก็ต้องดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริงต้องปัญญาเจริญขึ้น และปัญญานั่นเองที่รู้แล้วละคลายความติดข้อง ก็ไม่มีอะไรที่จะกั้นความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม

    ถ้าใครหวังว่าจะรู้สภาพธรรมโดยวิธีอื่น หรือว่าเวลานั้น เวลานี้ นั่นคือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้น ความอดทน คือไม่ใช่อดทนเพียงร้อนหนาว อดทนเพียงคำพูดที่ไม่น่าพอใจ หรือว่ายิ่งกว่านั้นคือ อดทนที่จะไม่พอใจในสิ่งที่น่าพอใจ ความอดทนต้องมีตามลำดับ เพราะว่าเป็นผู้ที่หนาด้วยกิเลส ซึ่งถ้าไม่มีบารมีหรือความดีทั้งหลายมากขึ้นก็ไม่สามารถที่จะทำให้กุศลจิตเกิดมากขึ้นได้

    เพราะฉะนั้น เมื่อมากมายด้วยอกุศลเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งปิดกั้นการที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ความหมายของอดทน ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ตบะ คือ เผาอวิชชา เผาความไม่รู้ เผากิเลส จนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริงได้

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจว่า อะไรคือความต่างของเห็นกับสิ่งที่ถูกเห็น ยังไม่เกิดปัญญา

    ท่านอาจารย์ จะมีเห็น โดยไม่มีอะไรให้เห็น ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ ต้องมีสิ่งที่ให้เห็นได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็มี ๒ อย่าง ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ มีเห็น กับ สิ่งที่กำลังถูกเห็น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นแน่นอน

    ผู้ฟัง มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ลืมว่าต้องมีสภาพหรือธรรมที่เห็น มิฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้ปรากฏให้เห็นไม่ได้เลย เหมือนอย่างเช่น เสียง เวลาที่เสียงปรากฏ รู้ว่าเสียงมีจริงๆ แต่ลืมว่าขณะนั้นที่ปรากฏว่ามีเสียงอย่างนี้ เพราะมีสภาพที่กำลังได้ยิน เสียงนั้นจึงปรากฏว่าเป็นเสียงนั้น เพราะฉะนั้น ก็มีสภาพที่เป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้แน่นอน มิฉะนั้นแล้วถ้ามีแต่ธรรมซึ่งเกิดแล้วไม่รู้อะไรเลย โลกนี้ก็ไม่ปรากฏ ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ต่างกันโดยสภาพ

    ท่านอาจารย์ ต่างกันโดยที่ว่า ธรรมอย่างหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ส่วนสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เกิดแล้วจะรู้อะไรไม่ได้เลย นี่คือความต่างกันจริงๆ ของสภาพธรรม ๒ อย่าง

    ผู้ฟัง ต้องมีสภาพรู้กับสภาพไม่รู้

    ท่านอาจารย์ อย่างเช่นแข็ง มีจริงๆ แต่ถ้าขณะนั้นไม่มีการรู้แข็ง แข็งจะปรากฏว่ามีแข็งจริงๆ ขณะนั้นไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ ต้องรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นใดๆ ทั้งสิ้นที่ปรากฏ ต้องเพราะมีธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ที่มีจริง มีรูปใดๆ ปรากฏรวมอยู่ในธาตุรู้นั้นบ้างหรือเปล่า อย่าลืม ธาตุรู้จะมีรูปใดๆ รวมอยู่ในธาตุรู้นั้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้

    ผู้ฟัง น่าจะคนละอย่าง

    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ ถ้าจะจำแนกธรรมอย่างกว้างขวางที่สุดคือเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นธรรมซึ่งเกิดปรากฏ มีลักษณะเฉพาะสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ แต่ทั้งหมดแต่ละอย่างนั้นไม่รู้อะไรเลย ใช้คำบัญญัติเรียกรวมว่า รูปธรรม หมายความว่า สภาพที่ไม่ใช่สภาพรู้

    แต่ต่อไปถ้าศึกษาละเอียดขึ้น คำว่า รูป จะมีความหมายกว้างกว่านี้อีกด้วย ตอนนี้เป็นพื้นๆ ให้ทราบความจริงว่า ธรรมมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดรู้ สิ่งใดๆ ก็ไม่ปรากฏเลย ถึงแข็งมี แต่ไม่มีสภาพที่กำลังรู้แข็ง แข็งก็ไม่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏทางตามี แต่ถ้าไม่มีสภาพที่เกิดขึ้นเห็น สภาพที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสัตว์บุคคล ก็เพราะมีสภาพธรรมที่เป็นนามธาตุ และรูปธาตุ ทั้ง ๒ อย่างที่กาย ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ที่เราใช้คำว่าขันธ์ ๕ คือ รูปทั้งหมดเป็นรูปขันธ์ ส่วนนามขันธ์หรือนามธรรมมีหลายอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียว เฉพาะนามธาตุซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดเมื่อไหร่เป็นสภาพรู้อย่างเดียว ไม่คิด ไม่จำ ไม่อะไรหมด แต่ว่าเกิดเมื่อไหร่ก็มีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นที่ปรากฏให้รู้ได้ อย่างขณะที่เสียงปรากฏ เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วก็ดับไป

    ดังนั้น ไม่มีอะไรที่เที่ยง แต่เกิดเมื่อมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง ธาตุรู้ ประกอบด้วยปัญญาไหม

    ท่านอาจารย์ ปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ไม่ใช่รูปธรรม ไม่แข็ง ไม่อ่อน ไม่ร้อน ไม่เย็น ไม่หวาน ไม่เปรี้ยว ใช่ไหม เพราะฉะนั้น แยกลักษณะของสภาพธรรมออกจากกันโดยเด็ดขาด คือ ปะปนกันไม่ได้เลย สภาพที่เป็นรูปธรรม จะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตามแต่ แต่เมื่อไม่ใช่สภาพรู้ ทั้งหมดเป็นรูปธรรม อย่างเช่นกลิ่น มองไม่เห็นเลย

    เห็นควันได้ใช่ไหม เรียกว่า ควัน มีกลิ่นไหม กลิ่นควันมีแต่มองไม่เห็น แต่รู้ได้เมื่อกระทบกับจมูก ฆานปสาท ดังนั้นก็เป็นแต่ละรูป ซึ่งเกิดปรากฏได้ทีละอย่างและก็ดับไป เพราะฉะนั้น สภาพธรรม ถ้าแยกโดยประเภทใหญ่ๆ คือ รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้เลย เกิดเมื่อไหร่รู้อะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน อนาคต สภาพที่เป็นรูปธรรมจะรู้อะไรไม่ได้เลย

    ส่วนธาตุอีกชนิดหนึ่งต่างกับรูปธาตุโดยสิ้นเชิง โดยสิ้นเชิงหมายความว่า ไม่มีแม้รูปที่ละเอียดสักเล็กสักน้อยที่จะรวมอยู่ในธาตุนั้นได้เลย เราคิดถึงธาตุซึ่งไม่มีรูปใดๆ เจือปน เกิดรู้แล้วก็ดับ นี่คือขณะนี้ แต่นามธาตุ หรือนามธรรมมี ๒ อย่าง คือ จิต หมายถึง สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    เสียง มีเสียงเดียว หรือหลายเสียง เสียงดนตรีแต่ละเสียงๆ

    ผู้ฟัง มีเสียงสูง เสียงต่ำ เสียงแหลม เสียงใหญ่

    ท่านอาจารย์ มีหลายเสียง ธาตุรู้สามารถได้ยินเสียงหลากหลายชัดเจน เพราะเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพราะฉะนั้น ธาตุที่สามารถจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ คือ จิต ใช้คำว่า มนินทรีย์ หรือคำว่า วิญญาณ หัทยะ ปัณฑระ ใช้ได้หลายคำ แต่ว่าหมายเฉพาะจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่น ขณะนี้ถามว่า เห็นไหม จะตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะเห็น คือ จิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ขณะที่ได้ยิน อะไรได้ยิน

    ผู้ฟัง หูได้ยินเสียง

    ท่านอาจารย์ หูไม่ได้ยิน หูเป็นรูปธรรม นามธาตุหรือธาตุรู้เกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธาน ขณะที่ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานเกิดขึ้นนั่นคือ จิต เพราะฉะนั้น จิต สามารถที่จะได้ยินเสียงหลากหลาย เสียงเด็กร้องไห้ เสียงนก เสียงกา เสียงพัดลม เสียงแม่น้ำ เสียงอะไรก็แล้วแต่

    จิตเป็นธาตุที่สามารถจะรู้แจ้งในความหลากหลาย เพชรแท้ เพชรเทียม หยก หรืออะไรก็ตามแต่ จิตรู้แจ้งในลักษณะแต่ไม่ได้จำ ไม่ได้ทำอะไรอื่นจากนั้นเลย เกิดขึ้นรู้และก็ดับไป เป็นใหญ่เป็นประธานเฉพาะในการรู้แจ้งลักษณะของอารมณ์ที่ปรากฏ แต่นามธรรมจะต้องมีธรรมที่เกิดร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะจิตอย่างเดียว จะมีสภาพธรรมที่เกิดกับจิต เกิดพร้อมจิต และดับพร้อมจิตด้วย ทั้งเกิดดับพร้อมกันและรู้สิ่งเดียวกัน เพราะเหตุว่านามธรรมทั้งหมดเป็นธาตุรู้ แต่ว่าหลากหลายคือ จิต เฉพาะจิตอย่างเดียวเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง

    เพราะฉะนั้น เวลาที่จิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นจะมีเจตสิก คือ ธรรมที่เป็นนามธรรมเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้สิ่งที่จิตรู้ แต่ว่าไม่ใช่รู้แจ้งอารมณ์อย่างจิตซึ่งเป็นมนินทรีย์ แต่มีหน้าที่กิจการงานเฉพาะของตนๆ เช่น สภาพจำ ถ้าไม่เห็นจะจำได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาที่มีจิตเห็น เจตสิกที่จำเกิดกับจิต และจำสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น นั่นเป็นหน้าที่ของเจตสิก ขณะนี้ทุกคนมีความรู้สึก เฉยๆ หรืออย่างไร หรือไม่มีความดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์

    ผู้ฟัง โสมนัส ตอนนีั

    ท่านอาจารย์ โสมนัส มีจริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต ในขณะที่กำลังรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด จิตรู้แจ้งในอารมณ์ ในลักษณะของอารมณ์ เจตสิก คือ สภาพที่รู้สึกก็เกิดพร้อมจิตในอารมณ์ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่จิตหนึ่งขณะเกิดจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ ประเภท ได้แก่ ความรู้สึก หรือ ความจำ เป็นต้น เท่าที่สามารถที่จะเข้าใจได้ในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น นามธรรมเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ทั้งจิตและเจตสิก ด้วยเหตุนี้ธรรมที่กล่าวโดยนัยของขันธ์ สภาพธรรมซึ่งเกิดดับหลากหลายมาก ไกลใกล้ หยาบละเอียด ประณีตทราม ใดๆ ก็ตามทั้งสิ้นก็จะต้องต่างกันตามความยึดถือ ๕ อย่าง คือ รูปขันธ์ หนึ่ง หมายความถึง จิตหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ หมายความถึง เจตสิก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเข้าใจแล้วเปลี่ยนไม่ได้เลย นามธาตุที่เกิดจะต้องเกิดพร้อมกัน ๒ อย่าง คือ สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของอารมณ์ หนึ่ง แล้วก็มีสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกันเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยและต้องเกิดกับจิตเกิดในจิต ดับพร้อมจิตด้วย รู้อารมณ์เดียวกันด้วย ทั้งหมดที่ไม่ใช่จิตที่เกิดพร้อมกันที่เป็นนามธรรม เป็นเจตสิก ภาษาบาลี ใช้คำว่า เจตสิกะ คนไทยเรียกสั้นๆ ว่าเจตสิก

    จิตเกิดขึ้นขณะใดต้องมีเจตสิก ซึ่งเป็นนามธรรมเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง จะมีจิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย จะมีเจตสิกเกิดโดยไม่มีจิตไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทั้งจิตและเจตสิกเป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์ หมายความถึง สิ่งที่ปรากฏที่จิตกำลังรู้ ถ้าใช้คำว่าอารมณ์ หรืออารัมมณะ หรืออาลัมพนะ ในภาษาบาลี หมายความถึง สิ่งที่จิตกำลังรู้ เสียงในป่าถ้าไม่ปรากฏเพราะจิตไม่ได้เกิดขึ้นรู้เสียงนั้น แต่วันนี้ทั้งวัน เสียงใดปรากฏก็เพราะจิตเกิดพร้อมเจตสิก และก็รู้เสียงนั้น ซึ่งไม่ใช่เสียงเดียวกันแต่ละครั้งๆ แต่ละหนึ่งๆ ดับไปเป็นแต่ละขันธ์ คือ แต่ละหนึ่ง ในขณะนี้ ถ้าถามว่าได้ยินหรือเปล่า ตอบว่าอย่างไร ได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ได้ยินเป็นจิต

    ท่านอาจารย์ เป็นจิต เพราะลักษณะของเสียงปรากฏกับจิตที่ได้ยิน ถูกต้องไหม เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเสียงนั้น โดยที่ยังไม่กล่าวถึงความรู้สึกหรือความจำ แต่ถ้าอย่างอื่นนอกจากนี้ก็เป็นเจตสิกทั้งหมดที่เกิดกับจิต เคยรู้สึกขยันบ้างไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ เป็นจิต หรือ เจตสิก

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นคำที่ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือคำว่า ธรรมและสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จนกว่าจะชินและไม่สงสัยในคำว่าธรรม เวลาที่ได้ยินคำว่าธรรมเมื่อไหร่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ กำลังมีธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เพียงแต่เข้าใจจริงๆ หรือยังว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่าได้ยินคำว่าธรรมมาบ่อยมาก แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความหมายว่า ธรรมจริงๆ ไม่ใช่เพียงคำที่ได้ยินได้ฟังเวลาที่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เรื่องจริงทั้งหมด คือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ แต่เราไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม

    ในขณะนี้ก็มีสิ่งที่มีจริง แล้วก็เริ่มที่จะเข้าใจแต่ละคำอย่างมั่นคง เพราะว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ถ้าได้ยินคำว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เดี่ยวนี้จริงหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ก็จริง อะไรบ้างที่จริง เริ่มความละเอียดไม่ใช่พูดเปล่าๆ ว่าเดี๋ยวนี้จริง แต่ไม่รู้ว่าอะไรบ้าง แต่ละขณะ แต่ละสิ่งที่มีปรากฏในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด

    ดั้นนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดว่าเพียงบอกว่าเป็นธรรมทั้งหมด ก็ไม่ใช่ว่าเรารู้ธรรมทั้งหมดเลย แต่ว่าเมื่อเป็นธรรมทั้งหมด ก็ยังต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าขณะนี้เป็นธรรมอะไรอย่างหนึ่งๆ ๆ หรือเปล่า เช่น เห็น เดี๋ยวนี้มีแน่นอนเเต่ลืมว่าเป็นธรรม ฟังบ่อยๆ จนกว่าเริ่มที่จะเข้าใจว่า เห็นขณะนี้เป็นธรรม เพราะอะไร เพราะเกิดแล้ว และก็ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย คิดก็ไม่ได้ ชอบก็ไม่ได้ แต่กำลังเห็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้เห็น สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นก็มีจริง ซึ่งก็เป็นธรรมด้วย

    เพราะฉะนั้น จะมีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมบ้าง ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด ประโยชน์ที่จะมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ก็เพราะเหตุว่าเรามีแต่เรื่องที่เราอยากจะเป็น เช่น อยากจะเป็นสุข อยากจะมีรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ เรื่องราวต่างๆ มิตรสหาย ทุกอย่างที่เราพอใจ นั่นเป็นความอยากแต่ว่าชีวิตจริงๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

    ทุกคนอยากจะมีแต่ความสุข ไม่ต้องป่วยไข้ แต่ชีวิตจริงๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วทำไมไม่เป็นอย่างนั้น และเวลาที่ไม่เป็นอย่างนั้นก็เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน โดยที่ว่าไม่รู้เลยว่าแม้แต่ขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงชั่วคราว มีอะไรซึ่งเกิดแล้วไม่เปลี่ยนแปลง และก็ไม่ดับสิ้นไปได้

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกคนรู้คร่าวๆ เกิดมาแล้วต้องตาย แน่นอน แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงปรินิพพาน บุคคลผู้ประเสริฐเลิศที่สุดในจักรวาลทั้งหมด มีพระปัญญาที่ได้ตรัสรู้ความจริง ดับกิเลสได้ก็ยังปรินิพพาน แล้วมีใครที่เกิดแล้วไม่ตาย แต่ข้อสำคัญก็คือลืมว่าตายแล้วไปไหน ตายแล้วเกิดอีกหรือเปล่า หรือแม้แต่ที่เราเกิดมาแล้วนี้เราเคยตายมาก่อนหรือเปล่า ชาติก่อนเราเป็นอะไร ตายที่ไหน ด้วยอะไร ขณะนั้นกำลังมีใครอยู่ข้างๆ หรือเปล่า ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้อดีตที่ผ่านไปแล้วได้

    เมื่อเช้านี้จำอะไรได้บ้าง ใครสามารถที่จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดได้ไหมว่าตื่นมาเห็นอะไร หรือว่าได้ยินอะไร หรือว่าคิดอะไร ก็ลืมหมด แต่ขณะนั้นเป็นธรรมที่เกิดแล้วลืม แล้วก็เกิดแล้วก็ลืม เกิดแล้วหมดไป ใครจะไปนึกได้มากมายก่ายกอง ก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น

    ดังนั้นก็ให้ทราบว่าการศึกษาธรรม เพื่อจะได้มีความเห็นถูกตามความเป็นจริงว่าไม่มีอะไรที่เที่ยง เกิดแล้วก็ต้องเจริญเติบโต แล้วก็ต้องแก่ ก็ต้องเจ็บ แล้วก็ต้องตาย นี่เป็นของที่แน่นอน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะคงทนถาวรในรูปลักษณะเดิมได้

    ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่มีในชีวิตแต่ละขณะชั่วคราวมาก เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป ยังคงพอใจ ยังอยากจะได้ไหม ได้ไปเพื่อทำอะไร ในเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้เลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมก็จะทำให้มีความเห็นที่ถูกต้อง ละคลายความต้องการสิ่งซึ่งเพียงหวัง แต่จะเกิดหรือไม่เกิดก็ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย

    เมื่อได้ฟังธรรมและเข้าใจแล้วก็จะทำให้เป็นคนที่ไม่เดือดร้อน จะไม่เดือดร้อนจริงๆ เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดแล้ว และก็ดับแล้วด้วย ขณะนี้สิ่งที่มีจริง ไม่ต้องเรียกอะไรเลย มีหรือเปล่า หรือมีเพราะเรียกจึงมี หรือว่ายังไม่ทันต้องเรียกก็มีแล้ว นี่คือการศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีแล้วขณะนี้ เพราะว่าสิ่งที่มีแล้วขณะนี้เกิดแล้วดับแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็คือผ่านไปตลอด ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังมีในขณะนี้ได้เลย

    ดังนั้นก่อนอื่น ต้องรู้จุดประสงค์ของการฟังธรรมว่าทุกคนที่ฟังธรรม ก็รู้ว่ามีผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของธรรมแล้วก็ทรงแสดงความจริงให้ฟัง ให้ไตร่ตรองให้เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่บังคับให้เชื่อ แต่ว่าทุกคนจะมีปัญญาของตัวเองต่อเมื่อได้ฟัง แล้วก็รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นถูกต้องหรือเปล่า เช่น ขณะนี้เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่มีใครไปตั้งธรรมขึ้นมาแล้วก็บอกว่าเป็นธรรม โดยที่ไม่ใช่สิ่งที่มีในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เป็นคนที่ละเอียด ฟังเพื่อเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูกเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อที่จะเป็นพระโสดาบัน หรือเพื่อที่จะไปรู้แจ้งสภาพธรรม ประจักษ์การเกิดดับ นั่นคือความคิดโดยที่ยังไม่รู้เลยว่า ขณะนี้กำลังฟังธรรมและรู้ว่าธรรมคืออะไร

    ธรรมที่กำลังจะฟังต่อไปก็ไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้เป็นการทดสอบความเข้าใจว่า เมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ถูกต้องหรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่จำคำธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าจำเพียงเท่านี้จะไม่รู้เลยว่าขณะไหนเป็นธรรม เพราะว่าจำแต่เพียงว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง โดยที่ไม่รู้ว่าจริง คือ ขณะนี้เห็นจริง ได้ยินจริง คิดจริงทุกอย่างที่จริงเป็นธรรม ซึ่งถ้ามีความเข้าใจก็จะเป็นธรรมทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย มิฉะนั้นแล้วคนอื่นมาบอกเราว่าทุกอย่างเป็นธรรม และเราก็ไม่ได้คิดเลยว่าทุกอย่างแค่ไหน แต่ทุกอย่างคือทุกอย่างจริงๆ ที่มีจริงๆ แต่ละขณะ แต่ละวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ความละเอียดอยู่ที่ว่าฟังแล้วไม่เผิน ต่อไปนี้เมื่อได้ยินธรรม โกรธเป็นธรรมหรือเปล่า เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า อะไรก็ตามที่มีจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมด และที่คู่กับธรรมคืออนัตตาไม่ใช่อัตตา อัตตา หมายความว่า เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่อนัตตาก็คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ผู้ที่ทรงตรัสรู้ รู้ความจริงว่าเป็นธาตุ หรือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 197
    14 พ.ย. 2568