ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1686


    ตอนที่ ๑๖๘๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมศุภาลัย จ.สระบุรี

    วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ จะทำความดีให้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ไหม ถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐสำหรับตัวเองและคนอื่นด้วย และจะเป็นอย่างนั้นได้ต่อเมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

    ถ้ายังไม่ได้เข้าใจพระธรรม แต่ละคนที่เป็นคนดีก็ดีตามการสะสม แต่ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องเลย ถึงจะเป็นคนดีก็ยังยึดมั่นว่าเราดี แต่ความจริงก็คือสภาพธรรมของใคร เราดี เราอยู่ไหน ถ้าจากโลกนี้ไปแล้วไม่มีการที่จะเป็นบุคคลในอีกต่อไปได้เลย ไหนเรา

    การที่เข้าใจธรรมก็จะทำให้คนอื่นอาจจะมองไม่เห็นว่าคนนี้ดีขึ้น เพราะเขาหวังเหลือเกิน เช่นคำที่ว่า เข้าวัดเข้าวาแล้วยังเป็นอย่างนี้ หรือมาศึกษาธรรมเเล้วก็ยังเป็นอย่างนี้ นั่นคือเขาไม่เข้าใจ ว่าเป็นอย่างนี้คือตามการสะสมทุกขณะ ใครเปลี่ยนแปลงได้ แต่สิ่งที่เพิ่มหรือเปลี่ยนคือเข้าใจธรรมซึ่งเป็นประโยชน์มาก

    ดังนั้น คนที่ศึกษาธรรมเป็นผู้ที่มีปกติตามธรรมที่เกิดขึ้นเป็นคนนี้ จะเป็นคนอื่นหรือเป็นอย่างคนอื่นไม่ได้ แต่ละคนจะเหมือนกันไม่ได้ แม้ความคิด แม้ความดี การกระทำดูเหมือนอย่างเดียวกัน แต่ใจขณะที่ทำไม่เหมือนกันเลยมากน้อยต่างกัน แม้แต่ขณะนี้ที่ฟังธรรม จะไม่รู้เลยว่าเป็นสภาพจิตที่ผ่องใสซึ่งใช้คำว่า ศรัทธา ใครมากใครน้อยแค่ไหนก็ต่างกันอยู่แล้ว ความคิดก็ต่างๆ กันไป

    เพราะฉะนั้น แต่ละขณะที่เกิดขึ้นมีจริงๆ เป็นธรรม ซึ่งต่างกันเป็นรูปธรรมกับนามธรรม รูปธรรม ใช้คำเดียวว่ารูปธรรม แต่หมายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ ที่เกิดแล้วไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ต่างกันไหม เพียงแค่รูปธรรม ดอกไม้ดอกเดียวไม่ต้องหลายดอก แต่ละกลีบต่างกันไหม ตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ ใช้คำว่า ขันธ์ หรือขันธะ ว่างเปล่าจากการที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะเหตุว่าเพียงเกิดเป็นสิ่งนั้นขณะนั้นแล้วดับไปเลยทันที ไม่กลับมาอีกด้วย จะเห็นได้ว่าเวลาที่เราพูดถึงคำว่า ขันธ์ แล้วเราใช้คำว่า ขันธ์ ๕ คนที่ไปวัดได้ยินคำว่า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมจะเข้าใจคำว่า ขันธ์ หรือ รูปขันธ์ ไหม

    ถ้ากล่าวว่า รูปคือสิ่งที่มีจริงต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะเป็นสิ่งที่เป็นรูปได้ไหม จะเป็นสิ่งที่มีจริงได้ไหม เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่ารูปก็ต้องเกิดขึ้น เกิดแล้วดับไปแล้ว ไม่เหมือนรูปใดๆ เลยทั้งสิ้นในจักรวาล แต่ละรูปๆ เป็นแต่ละขันธ์ เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินคำว่า ขันธ์ อาจจะคิดว่ารวมกันเป็นกองตามคำแปลเผินๆ แต่กองที่นี่หมายความว่า รูปทั้งหมด ไม่ใช่นามธรรม เป็นรูป ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ และแต่ละรูป รูปเดียวก็เป็นแต่ละขันธ์

    ดังนั้นถ้าคิดถึงขันธ์ในอดีต นับถ้วนไหม ปัจจุบันนับได้ไหม อนาคตก็จะต้องมากมาย เป็นแต่ละขันธ์จริงๆ ที่นี่ก็เป็นขันธ์หนึ่ง ที่นั่นก็เป็นขันธ์หนึ่ง ที่ตัวเองก็ตั้งหลายขันธ์หลายรูป แต่ละรูปเป็นแต่ละขันธ์ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะเข้าใจอรรถที่ว่า ขันธ์ คือสภาพที่เกิดดับ เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน

    ถ้าขณะนี้ไม่ดับไปเราจะนึกถึงไหมว่า เมื่อครู่นี้เป็นอย่างนี้ นั่นคืออดีต และสิ่งที่ยังไม่เกิดก็จะต้องเกิดแน่ๆ แต่ยังไม่เกิด แต่เมื่อถึงเวลาที่จะเกิดแล้วก็เป็นปัจจุบัน เพราะฉะนั้นก็มีทั้งปัจจุบัน อดีต และอนาคต ทุกอย่างที่เกิดดับเป็นขันธ์ แต่การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่าสิ่งที่ไม่ใช่ขันธ์มี คือดับขันธ์ ไม่มีการเกิดอีกเลย นี่คือแสดงถึงพยัญชนะที่ใช้คำว่า นิพพานะ หรือนิพพาน หรือนิวานะ ว กับ พ ก็ใช้แทนกันได้

    เพราะฉะนั้น ก็คือกล่าวถึงสิ่งที่มีทั้งหมด แต่เดี๋ยวนี้มีไหม ไม่มี เดี๋ยวนี้มีแต่สิ่งที่เกิดดับ เราเพียงพูดถึงสิ่งซึ่งมีจริงที่ถึงได้ด้วยการละคลายความติดข้อง ความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริง เเล้วที่เราว่าเราละคลาย นั่นคือไม่ได้คลายเพราะเป็นเรา ต่อให้คิดว่าเดี๋ยวนี้โลภะน้อยลงก็เป็นเรา ความจริงก็ยังไม่ได้ละคลายความไม่รู้อะไรเลย

    ดังนั้น การเข้าใจจึงต้องมีหลายระดับ ขั้นฟังเรื่องราว แต่ยังไม่รู้จักตัวธรรมซึ่งกำลังเป็นธรรม เดี๋ยวนี้ทั้งหมดมีจริงและเป็นธรรมทั้งนั้น แล้วก็เกิดดับด้วย เพราะฉะนั้น การศึกษาจะได้ประโยชน์จริงๆ ต่อเมื่อศึกษาอะไรแล้วก็เข้าใจในสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และกำลังมีให้เข้าใจด้วย

    เราไม่ต้องไปที่ไหนเลยใช่ไหม อยู่ตรงไหน ที่ไหนก็มีธรรมที่ไม่รู้แล้วก็ลืม แล้วก็ฟังอีก และก็เป็นปกติ แล้วก็เข้าใจได้ แล้วก็ลืม แล้วก็ฟังบ่อยๆ แล้วก็เข้าใจขึ้นอีก จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม จะให้รู้แจ่มแจ้งทันทีได้ไหม ถ้าใครคิดว่าชาตินี้รู้ได้ รู้ได้อย่างไร เดี๋ยวนี้รู้หรือเปล่า ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่รู้ ชาตินี้คือวันไหนที่จะหมดความเป็นชาตินี้ พรุ่งนี้ก็ได้ เย็นนี้ก็ได้

    เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ตรง การศึกษาธรรม คือเป็นผู้ตรงต่อความจริง สิ่งที่ถูกคือถูก สิ่งที่ผิดบอกว่าถูกได้ไหม ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการหลอกลวง เป็นเท็จ ไม่ใช่มิตร ไม่ใช่กัลยาณมิตรเพราะให้สิ่งที่ไม่จริง ถ้าเป็นสิ่งที่จริงไม่มีการเสียหายใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะว่าเจตนาของผู้ให้คือให้สิ่งที่จริง เพื่ออนุเคราะห์ให้เกิดปัญญา คือความเห็นถูกตามความเป็นจริงนั้นๆ จะมีโทษที่ไหน เพราะว่าการให้ธรรมคือให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารถนาคำสรรเสริญยกย่อง หรือเครื่องสักการะบูชาหรือเปล่า หรือว่าเพื่อให้คนได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ โดยไม่มีความหวังใดๆ เลยทั้งสิ้นเพราะดับกิเลสทั้งหมด

    ดังนั้น จึงเห็นพระบริสุทธิคุณที่ทรงแสดงความจริง ด้วยพระมหากรุณาคุณ ด้วยพระปัญญาที่รู้ว่าบุคคลนี้ควรแก่การที่จะเข้าใจอะไร เพราะว่าถ้าเป็นคนที่ใหม่มากในธรรม เเล้วถ้าพูดถึงปฏิจจสมุปบาท เขาจะเข้าใจได้ไหม อยู่ดีๆ ก็ปฏิจจสมุปบาท แล้วเดี๋ยวนี้เป็นอะไร พูดถึงอริยสัจจะ ทุกขอริยสัจจะ แล้วเดี๋ยวนี้ ไหน ทุกขริยสัจจะ รู้ได้ไหม แม้แต่ฟังก็ยังไม่ได้ฟัง ยังไม่มีความเข้าใจขั้นฟังเลยแล้วจะไปรู้จักตัวทุกข์ได้อย่างไร

    ดังนั้นจึงไม่ฟังธรรมเผิน แม้แต่เห็นขณะนี้ก็เพราะกรรม ได้ยินก็เพราะกรรม ถ้าไม่มีกรรมก็ไม่มีการที่ผลของกรรม คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส จะเกิดได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีโอกาสเป็นกาลที่จะได้ฟังพระธรรม ขอให้ทราบว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรที่ฟังแล้วจะเป็นประโยชน์เท่ากับพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และศรัทธาก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และค่อยๆ เห็นประโยชน์ จนเป็นความมั่นคงที่ไม่เปลี่ยนไปเข้าใจอย่างอื่นที่ผิดว่าถูก

    ผู้ฟัง บางอย่างที่เข้าใจนี้หมายถึง เข้าใจแค่ขั้นการฟัง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ต้องเป็นอย่างนี้ก่อน ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ปริยัติ คือรอบรู้ในธรรมที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง ที่เราอยากมาฟังวันนี้ และก็อยากมาเห็นอาจารย์ อย่างนี้เป็นโลภะไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีการตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ แล้วไม่เข้าใจอะไรเลย กับการที่จะให้รู้ว่าโลภะคืออะไร เมื่อไหร่ คนนั้นก็จะรู้ด้วยตัวเอง เพราะว่าประโยชน์ของการฟังคือ ปัญญา ความเห็นของตนเองที่ถูก เมื่อรู้ว่าโลภะคืออะไร เมื่อไหร่ ไม่ต้องถามใครเลยเพราะรู้ แต่ถ้ายังถามแปลว่ายังไม่เข้าใจโลภะ

    โลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง ขณะนี้ถ้าถามบางคนที่เขาไม่ได้ฟังธรรมเลยว่า ติดข้องอะไรหรือเปล่า เขาบอกว่าเขาไม่ติดข้อง เพราะเขาไม่รู้ว่าติดข้องคือเมื่อไหร่ แล้วก็รวดเร็วขนาดไหน ถ้ามีความไม่รู้ว่าสภาพธรรมเพียงเกิดปรากฏแล้วหมดไป ขณะนี้ไม่รู้อย่างนี้ ต้องติดข้องใช่ไหม เพราะยังอยู่ เหมือนว่ายังไม่ได้ดับไปเลย และสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏแล้วไม่มีความเห็นถูกในสิ่งนั้นก็ต้องเป็นความไม่รู้ ใช่ไหม จะเป็นความรู้ยังไม่ได้

    เมื่อมีความไม่รู้จึงพอใจในสิ่งที่มี เวลาโกรธเพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม จึงโกรธ เพราะฉะนั้น กิเลสทั้งหลายมาจากความไม่รู้ ซึ่งส่วนใหญ่ขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ขณะนี้เดี๋ยวนี้พิสูจน์ได้ ไม่ชอบ หรือโกรธหรือเปล่า หรือเฉยๆ เห็นไหมว่าถ้าตอบไปเลยว่าเป็นโลภะ หรือไม่ใช่ ก็ไม่เกิดประโยชน์เลย แต่ให้เข้าใจจริงๆ

    เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรตามความเป็นจริง ถ้าไม่ชอบจะขุ่นใจทันทีเลย เห็นฝุ่น ยังไม่เป็นคนเลย แค่ฝุ่น เห็นใบไม้แห้งเต็มสนาม ยังไม่ได้เป็นอะไรเลย ใช่ไหม เพียงแค่เห็นแล้วไม่รู้ความจริงว่าเห็นอะไร แต่ก็เป็นใบไม้แห้ง เป็นฝุ่นแล้ว ขณะนั้นขุ่นใจไหม ขุ่นใจ แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏแต่ไม่รู้ ยังไม่เป็นใบไม้ ยังไม่เป็นคน ยังไม่เป็นอะไร เพียงปรากฏแล้วไม่รู้ ติดข้องไหมในสิ่งที่ปรากฏ ไม่รู้เลยว่าติดแล้วทันทีอย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น โลภะจึงมากมายมหาศาล อย่างที่กล่าวว่าอกุศลทั้งหลายถ้าปรากฏได้ก็ต้องมหึมา หรืออะไรก็ตามแต่ที่มากมายเกินที่จะคาดฝันได้ เพราะถ้าเป็นรูปธรรมก็จะปรากฏอย่างนั้น แต่เมื่อเป็นนามธรรม ความหมายของนามธรรม คือไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยแม้เล็กน้อยสักนิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นรูปที่แสนละเอียดอย่างไรก็ไม่มีในสภาพที่เป็นนามธรรม ซึ่งเป็นนามธาตุ เป็นเพียงธาตุรู้ซึ่งเกิดแล้วรู้ เช่นขณะนี้เกิดแล้วเห็น มองหาตัวนามธาตุไม่เจอเลย เพราะว่าไม่มีรูปร่าง แต่เห็นมี แสดงว่ามีธาตุที่ไม่มีรูปร่าง แต่กำลังเห็น

    ดังนั้นนามธาตุก็เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วก็เห็น เพราะฉะนั้น เราจะเห็นโลภะไหม โลภะเกิดติดข้อง ซึ่งมีการติดข้องตั้งแต่อย่างมากมายมหาศาลรุนแรง จนกระทั่งถึงอย่างบางละเอียดที่สุดที่ไม่รู้เลย ทันทีที่ลืมตาเห็นก็ไม่รู้ แล้วก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏด้วย

    เดี๋ยวนี้ มีโลภะหรือเปล่า เห็นไหมว่าต้องถามใครหรือเปล่า หรือจากการฟังแล้วเข้าใจว่าเร็วมากเลย เพียงแค่เห็นแล้วไม่รู้ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่ความขุ่นใจ ขณะนั้นโลภะก็เกิดได้เป็นปกติเพราะสะสมมามาก เรายังไม่ทันรู้เลยว่าเป็นอะไร แต่สีสวยมาก แค่สีสวย ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ชอบสีนั้นไหม สีสวยจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าอะไรก็ยังชอบได้

    เพราะฉะนั้น ทันทีที่มีอะไรปรากฏแล้วไม่รู้ แม้สัณฐานก็ยังไม่มี โลภะก็มีความพอใจยินดีในสิ่งนั้น ทันทีเร็วมาก ใครป้องกันได้ แต่ถ้าศึกษาพระธรรมต่อไป มีการที่เข้าใจขึ้นๆ ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นมีโลภะ หรือไม่มีโลภะ แต่ต้องเป็นปัญญาจึงสามารถที่จะรู้ได้

    ปัญญาตรงกันข้ามกับอวิชชา วิชาแปลว่ารู้ อะคือไม่ อวิชชา ไม่รู้ เพราะฉะนั้น อวิชชา คือความไม่รู้ ถ้าไม่มี อะ-ไม่ วิชาก็คือความรู้ เป็นปัญญา เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงปัญญาที่สามารถที่จะดับความไม่รู้ และกิเลสที่เพียงเห็นก็เป็นโลภะแล้ว จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ถึงแม้เห็นได้ยินสิ่งใดๆ ก็ไม่มีโลภะ ไม่มีอกุศลใดๆ เลยทั้งสิ้น ทั้งหมดเพราะปัญญา เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงมีหลายระดับหลายขั้น ขั้นฟังเป็นเพียงความเข้าใจว่าธรรม คืออะไร โลภะมีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีใครทำให้เกิดได้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มีใครทำให้เกิด

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น โลภะเป็นสิ่งที่มีจริงใช่ไหม เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม กว่าจะไม่ลืม สิ่งที่มีจริงแม้มองไม่เห็นแต่ไม่ใช่สภาพที่จะรู้อะไรเลย เป็นรูปธรรมทั้งหมด อย่างเช่นเสียง มีจริงๆ แต่เสียงไม่รู้อะไรเลย เพียงเกิดเป็นเสียงแล้วก็ดับ กลิ่นก็เกิดเป็นกลิ่นแล้วก็ดับ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เกิดแล้วก็ดับด้วย

    สภาพใดๆ ทั้งหมดแม้มองไม่เห็น แต่ไม่ใช่สภาพที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้นเป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เย็นร้อน อ่อนแข็ง พวกนี้เป็นรูปธรรม แทบจะกล่าวได้ว่านอกจากนั้นในชีวิตประจำวันที่ปรากฏแล้วเป็นนามธรรมทั้งหมดเลย เป็นสภาพรู้ หรือ เป็นธาตุรู้ ซึ่งเราจะงงอยู่ตรงนี้ เพราะว่าโดยมากเราคิดว่ารู้ต้องรู้ เหมือนที่เราเคยได้ยินคำว่ารู้ รู้ไหม ก็ตอบกันว่ารู้ แต่ว่าเรารู้จักความหมายของคำว่า รู้ หรือเปล่าว่า รู้ ไม่มีรูปร่าง เป็นธรรม มีจริง และที่กล่าวว่า รู้ ไม่ใช่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพียงรู้ เช่น รู้ไหมว่านี่สีแดง ตอบว่าอย่างไร ก็ตอบว่ารู้ แต่ไม่ใช่รู้ธรรม เพียงรู้สีแดงที่กำลังมองเห็น

    เพราะฉะนั้น ที่เห็นคือรู้สีต่างๆ ได้ยินคือรู้เสียง คิดนึกก็รู้เรื่อง ลักษณะที่รู้ทั้งหมดเป็นสภาพรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น สภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่านามธรรมหรือรูปธรรมต้องเกิดดับ แต่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง สภาพที่เกิดและไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เราใช้คำว่า รูปธรรม ไม่เรียกก็ได้ ไม่ต้องเรียก เพราะจริงๆ แล้วเราไม่ได้ไปเรียกชื่อว่าขณะนี้กำลังรู้แข็ง แต่ลักษณะที่แข็ง สภาพแข็ง ตัวแข็งไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ใครจะไปกระทบแข็งก็ไม่รู้ ใครจะเฆี่ยนตีทุบทำลายแข็งก็ไม่รู้

    สภาพที่มีจริงแต่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความจำ ไม่อะไรเลยทั้งหมดนั่นเป็นรูปธรรม แต่นามธรรมไม่มีรูปใดๆ แม้เพียงเล็กน้อยที่จะเจือปนได้เลย โดยลักษณะของนามธรรมก็คือ ธาตุที่เกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เมื่อมีเห็นก็คือเห็นเป็นรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องเรียกชื่อ กำลังมีสิ่งให้เห็น และสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นก็เป็นอย่างที่เห็นกำลังเห็น จะเห็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ในขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏรู้อะไรหรือเปล่า หรือเพียงแต่มีจริงๆ ให้เห็น เกิดขึ้นมาก็เมื่อไหร่ ก็เห็นสิ่งที่มีให้เห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีให้เห็น เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง ก็น่าจะเป็นรูป

    ท่านอาจารย์ น่าจะ หรือ เป็น

    ผู้ฟัง เป็นเลย เป็นรูป

    ท่านอาจารย์ นี่คือความมั่นคง การศึกษาธรรมต้องเข้าใจจริงๆ ถ้าฟังครั้งแรกยังสงสัย ฟังต่อไปอีก ไตร่ตรองต่อไปอีก จนกระทั่งไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความจริงนั้นได้ ก็รู้ว่านั่นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ต้องเรียกก็มี สิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่กว่าจะรู้ในความเป็นธรรมแต่ละอย่างก็ต้องฟัง และนี่เพียงขั้นฟัง แต่เมื่อฟังแล้วสิ่งนั้นมีจริงๆ ให้เข้าใจความจริงได้ก็สามารถที่จะถึงปัญญาอีกระดับหนึ่ง คือ ประจักษ์ลักษณะที่เป็นธรรม ไม่ต้องเรียกชื่อเลย เป็นธรรม แล้วก็มีสภาพที่รู้ เข้าใจถูก เห็นถูกว่าสิ่งนั้นมีจริง แต่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยยึดถือว่าเป็นโต๊ะ เป็นแก้ว เป็นเก้าอี้ เป็นคน แต่เป็นธรรม

    ถ้าถึงแก่นของความจริง อย่างเช่น โต๊ะ จริงโดยสมมติ เมื่อพูดว่า โต๊ะ ทุกคนไม่ได้คิดถึงเก้าอี้ ใช่ไหม ไม่ได้คิดถึงแก้วน้ำ แต่จำคำ จำเสียงว่า โต๊ะ แล้วก็รู้เลยว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้น นี่เป็นความจริงโดยสมมติ แต่ความจริงลึกกว่านั้น ตรงกว่านั้น จริงกว่านั้น คือ ความจริงของสิ่งนั้นปรากฏทางไหน ปรากฏทางตา หรือปรากฏทางหู หรือปรากฏทางจมูก หรือปรากฏทางลิ้น หรือปรากฏทางกายถ้าสิ่งนั้นมีจริงๆ ส่วนสิ่งที่จะปรากฏทางใจ ต้องไม่ใช่สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    เพราะฉะนั้น ก็แยกธรรมละเอียดออกไปจนกระทั่งไม่เหลือเรา หรือว่าไม่เหลือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นสภาพธรรมที่แม้มีเกิดดับเร็ว แต่ก็ยังปรากฏให้รู้ได้แต่ละทางตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น

    ถ้าไม่มีทาง คือ ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย จะมีอะไรปรากฏเหมือนอย่างที่กำลังปรากฏทางตา ทางหูไหม ก็ไม่มี มีแต่ใจที่คิดนึกได้ตามการสะสม แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่มีกลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการกระทบสัมผัส ก็ยังคิดเพราะจำ นี่ก็แสดงเห็นถึงลักษณะของธรรม ซึ่งก่อนอื่นอย่าไปคิดว่าจะต้องรู้คำมากๆ

    ถ้าถามคนที่พูดคำก็ให้เขาอธิบาย เขาจะทำให้เราเข้าใจได้ไหม ถ้าไม่ได้อธิบายให้รู้จักธรรมตั้งแต่ต้น เราก็เพียงแต่จำเรื่องอีกใช่ไหม แต่ว่าธรรมจริงๆ พิสูจน์ได้ เข้าใจได้ เพราะมีจริงๆ ให้รู้ความจริงของสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏให้เห็นก็น่าอัศจรรย์ เกือบจะไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร มาจากไหน แล้วก็ปรากฏให้เห็นได้ แต่เมื่อมีจริงก็ปรากฏจริงๆ ให้เห็นได้จริงๆ ว่าสิ่งนี้มี ถ้าไม่มีจะปรากฎได้อย่างไร จะทำให้เกิดขึ้นและปรากฏได้เฉพาะเมื่อจิตเห็นเกิด ถ้าจิตได้ยินขณะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลย

    ดังนั้น ความละเอียดของธรรม คือ จิตเกิดขึ้นได้เพียงทีละหนึ่งขณะ และรู้เพียงสิ่งเดียว จะรู้หลายสิ่งพร้อมกันในขณะเดียวไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจริงจะเป็นธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แล้วเสียงเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง เป็นรูป

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้ว เห็นไหมว่าไม่ใช่ให้ใครมาบอกเลย กลิ่น มีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมไหม

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง เป็นรูป

    ท่านอาจารย์ เป็นรูปธรรม รสหวาน เค็ม เปรี้ยว มีจริงๆ

    ผู้ฟัง เป็นธรรม แล้วเป็นรูป

    ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ เกิดดับหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ นี่คือเข้าใจธรรม แล้วโลภะ?

    ผู้ฟัง โลภะก็มีจริง เป็นธรรม แล้วก็เป็นนาม

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม เวลาติดข้องเพราะเรามีสิ่งที่ปรากฏให้ติดข้อง เพราะฉะนั้น ความติดข้องกำลังรู้สิ่งนั้นด้วยความพอใจ อย่างเช่นเห็น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ขณะเพียงเห็นนั้นไม่มีความติดข้อง เกิดเห็นแล้วก็ดับ แต่เห็นแล้วรู้สิ่งที่เห็น ต่อจากเห็นก็ติดข้องทันที คนละขณะจิต เพราะฉะนั้น เห็น เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง เห็นเป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ โลภะ

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่คือความเข้าใจ ไม่ใช่มีคนมาบอกเราว่า ทางตา สีเป็นรูป เห็นเป็นนาม ทางหู เสียงเป็นรูป ได้ยินเป็นนาม ทางจมูก กลิ่นเป็นรูป ได้ยินเป็นนาม นั่นคือเขามาบอกเราแล้วเราก็จำ แต่ไม่ได้เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมคือไม่ใช่จำ แต่เข้าใจแต่ละคำว่า หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ แล้วก็ปรากฏให้เข้าใจด้วย ถ้าฟังจนกระทั่งสามารถเข้าใจได้ก็จะรู้ว่าเป็นธรรม และศึกษาธรรมคือศึกษาเพื่อให้ถึงความจริงว่า เป็นอนัตตาและเกิดดับ สิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดที่จะไม่ดับไม่มี แล้วเร็วมากด้วย เนียนมาก จนถึงขณะนี้ไม่รู้อะไรเกิดดับไปแล้วมากมายด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้จะมากสักแค่ไหน กว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 197
    13 พ.ย. 2568