ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1684
ตอนที่ ๑๖๘๔
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมศุภาลัย จ.สระบุรี
วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ แต่เราจะพูดถึงเฉพาะอย่างก่อน คือ หนึ่ง จักขุปสาทรูป เป็นจักขายตนะ ภาษาบาลี ไม่ต้องเรียกได้ไหม ไม่ต้องเรียกก็รู้ว่าหน้าที่ลักษณะของรูปนั้นพิเศษกว่ารูปอื่น เพราะว่าสามารถกระทบกับรูป แล้วแต่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นจักขุปสาท ขณะนั้นอยู่ที่นั่นเกิดแล้ว แม้ว่าดับแต่ก็เป็นที่อาศัยที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นได้ คือฟังให้เข้าใจธรรม แล้วก็ไม่ใช่เป็นการที่เรามานั่งเรียงว่ามี จักขุปสาท๑ โสตปสาท๑ ฆานปสาท๑ ชิวหาปสาท๑ ซึ่งอยู่กลางลิ้น และกายปสาท๑ ซึ่งซึมซาบอยู่ทั่วตัว และก็ต้องมีจิตมีด้วย เป็นอายตนะ๖ ภายใน ซึ่งอาจจะผ่านข้อความในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงอายตนะว่ามี ๖
คนในครั้งพุทธกาลที่ได้ฟังเรื่องอายตนะ๖ แล้วก็มีอายตนะ ๖ นี้ให้รู้ด้วยว่าขณะไหนเป็นอายตนะ ขณะไหนไม่ใช่อายตนะ จะเป็นอายตนะทั้งหมดพร้อมกันได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม ก็แล้วแต่ว่าจะเป็นทางไหน
การฟังธรรมคือ เริ่มเข้าใจธรรมและคำที่ได้ยิน ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็คือขณะใดก็ตามที่มีการรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด ขณะนั้นต้องมีธรรมซึ่งต้องมีอยู่ในที่นั้น ทั้งหมดที่กำลังประชุมยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยทำให้มีการรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ขณะนั้นก็เป็นอายตนะ
ขณะนี้กล่าวถึงคำว่า อายตนะ คำเดียวก่อน หมายความถึงที่เป็นนามธรรมมีไหม ฟังเเล้วถ้าไม่คิดไม่เข้าใจ ผ่านไปเลย แล้วก็มานั่งนับอายตนะ๖ ใหม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์เลย แต่จากคำถามที่ว่าขณะนี้ที่กำลังเห็น มีอะไรที่ประชุมอยู่ที่นั่นที่ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น นี่คือความหมายในภาษาไทยของคำว่าอายตนะ เป็นบ่อเกิด เป็นที่ประชุม
แสดงว่าต้องไม่ใช่ธรรมเดียว ต้องมีหลายๆ ธรรมซึ่งอยู่ที่นั่นที่ยังไม่ได้ดับไป อย่างนี้จะเข้าใจจิตที่กำลังมีในขณะนี้เพิ่มขึ้นอีกไหมว่า ชั่วขณะที่เห็นจะต้องมีอะไรบ้าง และก็ใช้คำว่า นี้ เพราะแสดงให้เห็นว่า ขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นไม่ได้มีแต่จิตเห็นอย่างเดียว ต้องมีอะไรในที่นั้น ชั่วหนึ่งขณะที่เกิดและดับ
นี่คือ ความไม่เที่ยงของธรรม นี่คือความเป็นอนัตตาของธรรม จะให้เกิดขึ้นเห็นโดยที่ไม่มีจักขุปสาทไม่ได้ หรือว่าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่ได้ เท่านี้เอง ถ้ามีความเข้าใจก็คือไม่ว่าจะได้ยินคำอะไร จากการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างก็สามารถที่จะไม่ลืมความหมายของคำว่า อายตนะ พบอายตนะที่ไหนเข้าใจไหมว่ามีอะไรบ้าง ๖ภายใน ๖ภายนอก นี่ง่ายมากเลย แค่ ๖ภายใน ๖ภายนอก
แต่ถ้าเข้าใจว่า หมายความถึงขณะนั้นต้องมีทั้งภายในและภายนอก แล้วก็สามารถที่จะรู้ด้วยว่า อะไรบ้างในขณะนั้นที่มี ถูกหรือผิดถ้าจะตอบว่า จิตเป็นอายตนะ ใช้คำว่า มนายตนะ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอายตนะ ประชุมอยู่ตรงนั้นขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น แล้วก็ต้องมีเจตสิกกับปสาทรูปเป็นอายตนะ
นี่คือการฟังธรรมให้เข้าใจ แม้คำพูดอาจจะสับสน วกวน แต่รู้ว่าขณะใดก็ตามที่สภาพธรรมหนึ่งเกิดขึ้น ไม่ใช่มีแต่เฉพาะสภาพธรรมนั้นเพียงอย่างเดียว ซึ่งคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมจะรู้ได้ไหม เห็น ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างในขณะที่เพียงเห็นเกิดขึ้น แต่ผู้ที่รู้ก็สามารถที่จะแสดงความละเอียดของธรรมเพียงขณะเห็นขณะเดียวได้ว่า ขณะนั้นมีอะไรบ้างที่ใช้คำว่าอายตนะ คือ ประชุมอยู่ตรงนั้น ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย
โสตปสาทรูป รูปที่สามารถกระทบเสียง ตาไปมองหาเสียง จะเจอเสียงไหม ไม่เจอใช่ไหม แต่ว่าเมื่อมีเสียงปรากฏเพราะมีหูเป็นรูปพิเศษ โสตปสาทอยู่กลางหู ใบหูทั้งใบหูไม่ใช่โสตปสาท เฉพาะรูปที่สามารถกระทบเสียงเท่านั้น ซึ่งขณะนั้นก็เกิดแล้วยังไม่ทันจะดับก็กระทบกับเสียง ยังไม่ทันจะดับจิตได้ยินก็เกิดขึ้นพร้อมเจตสิก
ทั้งหมดในขณะนั้นเป็นอายตนะ จะกล่าวว่าอะไร เป็นอายตนะภายในก็ได้ อะไรเป็นอายตนะภายนอกด้วย ก็ละเอียดขึ้นไปอีก แต่ขณะนั้นที่ใดที่มีสภาพรู้กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ เป็นสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจแล้วจะใช้คำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็สามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่พูดเรื่องที่ไม่มีจริงหรือพูดลอยๆ แต่ว่าทุกคำแสดงถึงความจริงซึ่งเป็นธรรมในขณะนั้น เสียงเป็นอายตนะหรือเปล่า เมื่อไหร่
ผู้ฟัง เมื่อปรากฏ
ท่านอาจารย์ เมื่อปรากฏ และขณะนั้นต้องมีโสตปสาทด้วย และต้องมีจิตที่กำลังได้ยินด้วย แล้วต้องมีเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตที่ได้ยินด้วย ขณะใดก็ตามที่จิตกำลังรู้เสียงใด เสียงนั้นเป็นสัททารมณ์ คือ สัทท กับ อารมณ์ อารมณ์ หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ แต่สิ่งที่จิตรู้ขณะนั้นไม่ใช่อื่นแต่เป็นเสียง
เพราะฉะนั้น เสียงที่จิตกำลังรู้นั้นเป็นสัททารมณ์ แล้วก็เป็น สัททายตนะ ด้วย เพราะขณะนั้นต้องอยู่ในขณะที่จิตกำลังได้ยินเสียง และก็ต้องมีโสตปสาทรูปซึ่งสามารถกระทบเสียง ซึ่งยังไม่ดับ เเล้วจิตและเจตสิกที่เกิดรู้เสียงก็ยังไม่ดับด้วย
นี่คือธรรมเดี๋ยวนี้ ถ้าฟังเเล้วจำแต่ชื่อและไม่เข้าใจก็จะสงสัย แล้วก็จำไม่ได้ แต่ถ้ารู้ว่าขณะนี้เอง เดี๋ยวนี้เป็นธรรมอย่างนี้ เพียงแต่ใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย แต่การที่จะเข้าใจธรรมได้คนไทยต้องใช้ภาษาไทย และเมื่อใช้ภาษาไทยแล้วก็ตรงกับคำในภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษามาคธี แต่ใช้คำว่าภาษาบาลี เพราะเหตุว่าดำรงไว้ซึ่งพระศาสนา
ผู้ฟัง คำว่า เข้าใจในสิ่งที่กำลังมีอยู่ ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วย
ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีอะไร
ผู้ฟัง ขณะนี้มีเห็น
ท่านอาจารย์ แล้วสงสัยคำว่าอะไร
ผู้ฟัง ก็เพียงเข้าใจว่าเป็นธรรมตรงนี้ แต่ความจริงแล้วยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะเข้าใจ
ผู้ฟัง แล้วตรงที่จนกว่าจะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เข้าใจเมื่อไหร่ก็รู้ว่าเข้าใจ ยังไม่เข้าใจก็รู้ว่ายังไม่เข้าใจ ก็ถูกต้อง ยังไม่เข้าใจจะบอกว่าเข้าใจนั้นไม่ถูก แต่ขณะที่เพียงฟังเข้าใจก็รู้ว่า จากการที่ไม่เคยฟังก็ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้ แต่เมื่อฟังแล้ว ก็เข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดดับ จนกว่าจะประจักษ์ความจริงว่าเป็นอย่างนั้น จนกว่าซึ่งไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะละความไม่รู้และความติดข้องในสิ่งที่มี
ต้องฟังละเอียด จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ คลายความไม่รู้และความติดข้อง เช่น ในขณะนี้ใครจะรู้บ้างว่า แค่เห็น รูปยังไม่ทันจะดับ ทั้งๆ ที่รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จิตต้องดับไป ดับไปถึง ๑๗ ครั้ง รูปๆ หนึ่งจึงดับ
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่รู้ว่าเกิดดับจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต สีสันวัณณะ รูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็จะคิดว่า เห็นคนทันที แต่ขณะแรกที่มีการเห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง จะเป็นคนได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ รู้อย่างนี้หรือเปล่า
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จนกว่าจะเริ่มรู้ ค่อยๆ รู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ความจริงแท้ๆ ก็คือ ธรรมใดเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นธรรมนั้นไม่เปลี่ยน เช่น สิ่งที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้มีจริง กำลังปรากฏให้เห็นได้ ไม่เปลี่ยนเป็นคน เปลี่ยนเป็นคนไม่ได้ เป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ลืมตาขึ้นมาก็มีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้
เพราะฉะนั้น อย่าเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมเพราะเปลี่ยนไม่ได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า คนตาบอดไม่เห็นอะไรเลยทั้งสิ้น แต่คนที่มีจักขุปสาท เวลาหลับตาก็ยังมีสิ่งที่ปรากฏเป็นสีหนึ่งสีใด เดี๋ยวนี้ทดลองดูก็ได้ มองที่ไฟฟ้าแล้วก็หลับตา มีเห็นไหม
ผู้ฟัง มีแสงสว่าง
ท่านอาจารย์ มี นั่นคือ เห็น จะบอกว่ามีแสงสว่างโดยไม่เห็นได้ไหม ความจริงต้องเป็นความจริง เพราะฉะนั้น ธรรมไม่เปลี่ยนจากความเป็นจริงเลย แต่ว่าไม่ได้เข้าใจ แล้วกำลังพยายามจะคิดเปลี่ยนด้วยความเป็นตัวตน เพราะว่าธาตุที่แข็งไม่สามารถจะกระทบกับสีสันวัณณะ หรือสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้เลย อย่างโต๊ะนี้ไม่สามารถจะกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าขณะนี้กลางตามีรูปซึ่งกรรมทำให้เกิดดับ แม้ไม่มีสิ่งใดปรากฏ กรรมก็ทำให้รูปนั้นเกิดดับและไม่กลับมาอีก แล้วก็เกิดอีก ดับอีก เเล้วก็ไม่กลับมาอีก
ด้วยเหตุนี้ ถึงกาลที่ตาบอด กรรมหยุด ไม่ทำให้รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฎทางตาเกิด ก็เป็นได้ เพราะเหตุว่ารูปนี้มีกรรมเป็นสมุฏฐาน แต่ตราบใดที่กรรมยังให้ผลให้รูปที่เป็นจักขุปสาทเกิด เรามองไม่เห็นเลย กำลังหลับ กรรมก็ไม่ได้หยุดทำให้รูปที่เกิดจากรรมหยุดเกิด ก็เกิดดับ
เราไม่รู้เลยว่าขณะที่กำลังหลับมีรูปอะไรบ้างที่เกิดดับ แม้ในขณะนี้ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อใดที่มีได้ยิน เมื่อนั้นรู้ว่าต้องมีโสตปสาทรูปแน่นอน แต่ในขณะที่ไม่ได้ยินจะรู้ไหมว่ามีโสตปสาทรูปเกิดดับ เพราะกรรมเป็นปัจจัย เราไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย ต้องปรากฏสภาพธรรมให้รู้ได้ทีละอย่าง นี่คือชีวิตจริงๆ นี่เป็นธรรมทั้งหมดซึ่งไม่ใช่เรา
ดังนั้น การที่จะสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างได้ ไม่ใช่เพียงฟังเล็กน้อยนิดหน่อย แล้วก็ว่าเมื่อไหร่จะประจักษ์การเกิดดับ ฟังแล้วก็ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องของเรา ตราบใดที่เป็นปัญญาเพียงเท่านี้ ไม่มีทางที่จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งผู้ที่อบรมเจริญปัญญาและประจักษ์แล้วด้วย ถึงจะละคลายความติดข้อง ดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราเพราะรู้ว่าเป็นการเกิดขึ้น รู้เพียงชั่วขณะแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราฟังแล้วเราก็บอกว่ายังเห็นว่าเป็นเรา ยังเห็นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อไหร่จะรู้การเกิดดับ ก็ต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จริงอย่างนั้นหรือเปล่า และฟังแล้วลืมไปอีกหรือเปล่า เดี๋ยวก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม ก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกับการที่จะนึกจำว่าเป็นอัตตา อย่างหนึ่งอย่างใดที่เที่ยง ดอกไม้นี้ก็เที่ยง เมื่อเห็นก็เป็นดอกไม้เลย แต่ไม่ได้รู้เลยว่ากว่าจะนึกถึงรูปร่างสัณฐานที่เป็นดอกไม้ ต้องมีเห็นก่อน และก็ต้องมีความเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่ขณะนี้ก็ยังเข้าใจได้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น
คิดดูสิว่าเดิมห้องนี้เป็นอย่างนี้ มีรูปตามฝาผนังอย่างนั้น มีคนนั้นคนนี้ คนนี้คนนั้นไม่เหมือนกันเลย เดิมเป็นอย่างนี้ แต่ความรู้จริงๆ ก็คือว่าขณะนี้มีเห็น ถ้ายังไม่รู้จักเห็นจะรู้จักธรรมไม่ได้ ก็เป็นเราเห็น และสิ่งที่ถูกเห็นปรากฏให้เห็น ก็ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยจำไว้อย่างมั่นคงว่าเที่ยง
เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจความไม่รู้ซึ่งสะสมอยู่ในจิตนานแสนนาน พร้อมทั้งอกุศลทั้งหลาย ซึ่งแม้เกิดและดับไปก็ไม่หมดสิ้นไปเลย เพราะว่าสะสมสืบต่ออยู่ในจิตมากมาย นับไม่ได้เลย ถ้าเป็นรูปก็ไม่มีจักรวาลที่จะเก็บสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่เพราะเป็นนามธรรมก็ทำให้สภาพของจิตนั้นประกอบด้วยธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลบ้าง หรือเป็นฝ่ายอกุศลบ้าง
แม้แต่ขณะที่กำลังฟังอย่างนี้ ความเห็นถูกเริ่มมี แต่ไม่ใช่หมายความว่า มีกำลังพอที่จะไม่ว่าเห็นขณะใดก็เข้าใจทันที เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง เสียงก็เป็นสิ่งที่มีจริง ปรากฏให้ได้ยินว่ามีเสียง ให้รู้ว่าเสียงมี เมื่อได้ยินเกิดขึ้น จึงรู้ว่าเสียงขณะนั้นเป็นอย่างนี้แล้วก็หมดไป หายไปหมด ทุกขณะ เกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่เหลือเลย และก็ไม่กลับมาอีก เป็นอย่างนี้ตลอดชีวิต ตลอดทุกภพชาติ นี่คือธรรมที่แสดงให้เห็นว่า ผู้รู้รู้ความจริงว่าไม่มีตัวตน มีแต่ธรรม เป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้นแต่ละธาตุเพราะเหตุปัจจัย
ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวมาว่า จิตเห็นหนึ่งขณะ จะต้องมีหลายๆ ปัจจัยทำให้จิตเห็นเกิดได้ แต่จากการศึกษาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปละเอียดถึงขั้นนั้น ถ้าไปคิดถึงขนาดนั้นก็ล่วงเลยไปมาก
ท่านอาจารย์ ละเอียดถึงขั้นนั้น หมายความว่าอย่างไร
ผู้ฟัง คือจริงๆ แล้วก็ไม่ได้รู้ถึงลักษณะที่ท่านอาจารย์กล่าวมา
ท่านอาจารย์ แต่เข้าใจได้ใช่ไหม
ผู้ฟัง เข้าใจได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การเข้าใจ กับ การไม่เข้าใจ อย่างไหนจะทำให้รู้ว่าเป็นความจริง
ผู้ฟัง ต้องเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ต้องอบรมความรู้ถูกเพิ่มขึ้น ไม่ใช่หยุดอยู่แค่นี้ การศึกษาธรรมไม่ใช่เพียงแค่นี้ ฟังแล้วก็จบ แต่จะต้องรู้ว่าเพราะยังไม่ได้รู้ความจริง แต่ความจริงเมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ให้ตัวเราไปพยายาม
แต่ว่าขณะนี้ความเข้าใจเริ่มเกิด แล้ววันหนึ่งอาจจะเพียงเห็นก็เริ่มสลด เพราะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง กว่าจะถึงการรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับจริงๆ ต้องมีการคลายความติดข้องและความไม่รู้ เพราะว่าวันหนึ่งๆ ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีจริงๆ และความจริงของสิ่งนั้นก็คือเป็นธาตุ หรือธรรม ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพียงปรากฏให้เห็นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็น รู้ไหมว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ แล้วอยู่ที่ไหน เห็นไหมว่าแค่นี้ก็ไม่มีปัญญาที่จะไปรู้ความจริง แต่จากการศึกษาธรรม แสดงเพื่อให้มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งค่อยๆ คล้อยตามน้อมไปที่จะรู้ว่าความจริงก็คือเป็นอย่างนี้ แต่ลืม ฟังแล้วก็ลืม ต้องฟังบ่อยๆ จนกว่าเมื่อไหร่ที่มีการรู้ตรงลักษณะนั้น ความรู้นั้นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในลักษณะที่มีจริงๆ
ขณะนี้พูดเรื่องจิต แต่ไม่ได้รู้ตรงจิต จิตก็เกิดดับไปเรื่อยๆ เจตสิกที่เกิดพร้อมกันกับจิตก็ดับไปพร้อมจิตเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่ามากมายเท่าไหร่แล้วที่ผ่านไปโดยไม่รู้เลย จิตเกิดดับไปโดยไม่รู้เลย แต่กำลังฟังเรื่องจิต กำลังเริ่มที่จะเข้าใจว่าจิตมี แม้ว่าขณะนี้เห็นเป็นจิตก็ไม่ได้รู้เฉพาะเห็น ใช่ไหม ฟังแล้วก็ผ่านไปๆ เห็นก็เห็นไป
จนกว่าเมื่อไหร่จะรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง ด้วยความเข้าใจถูกจริงๆ ในขณะนั้นเพิ่มขึ้น ก็สามารถที่จะประจักษ์ความจริงว่าเป็นธรรม ขณะนี้เป็นธรรมแต่ชื่อ แต่ก็ยังเป็นคนนั้นคนนี้ แต่ว่าที่ลืมไม่ได้ก็คือ ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แน่นอน ในขณะที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ใช่ไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม
ผู้ฟัง เป็นรูป
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรมทั้งหมด เพราะคำว่า รูปะ หรือ รูปธรรม หมายความถึง สิ่งนั้นไม่ใช่สภาพรู้ ซึ่งแม้มีจริงก็มองไม่เห็น แต่ลักษณะนั้นก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่น กลิ่นมีจริงๆ แต่กลิ่นจะไปรู้อะไรไม่ได้เลย เสียงก็มีจริงๆ แต่เสียงก็จะไปรู้อะไรไม่ได้ ถ้ารู้เมื่อไหร่เป็นนามธาตุทันที ไม่ใช่รูปธาตุ
เพราะฉะนั้น ความต่างกันของธาตุทั้งหมดแต่ละธาตุๆ มากมายเหลือเกิน จะใช้คำว่าธาตุกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงก็ได้ โลภธาตุ โทสธาตุ ผัสสธาตุ เจตนาธาตุ เป็นธาตุทั้งหมด ก็คือธรรมทั้งหมดเป็นธาตุ จะใช้คำว่าธาตุ หรือจะใช้คำว่าธรรม ก็ได้
ดังนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า สิ่งที่มีจริงแยกประเภทอย่างใหญ่ๆ เป็น ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่ง แม้มีลักษณะเฉพาะสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน แต่ก็ไม่ใช่สภาพรู้ มองเห็น หรือมองไม่เห็นไม่สำคัญเลย เสียงก็ไม่เห็น แต่ว่าลักษณะของเสียงจะเปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้ จะเปลี่ยนเป็นการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ ต้องเป็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบโสตปสาท ลักษณะของเสียงก็คือดัง
การฟังพระธรรม ต้องรู้ว่าธรรมที่ทรงแสดงหมายความถึงสิ่งที่มีจริงแท้ เราได้ยินคำว่า รูป เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ปรากฏได้ทีละรูป โดยรูปจริงๆ จะมีทั้งหมด ๒๘ รูป ซึ่งน้อยกว่าจิต ใน ๒๘ รูป มีรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานใช้คำว่า มหาภูตรูป ๔
มหาภูตรูปที่คนไทยชินกับคำว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ความจริงหมายความถึง ธาตุที่เป็นใหญ่ ที่ใช้คำว่า ดิน ในภาษาบาลีไม่มีคำว่าดินแต่เป็นคำว่า ปฐวีธาตุ หมายความถึง ธรรมที่มีลักษณะแข็งหรืออ่อน กระทบสัมผัสทางกาย แข็งหรืออ่อนปรากฏ ลักษณะที่แข็งหรืออ่อนมีจริงๆ แน่นอน เป็นรูปๆ หนึ่ง แล้วบางครั้งแข็งหรืออ่อนไม่ได้ปรากฏ แต่ร้อนหรือเย็นปรากฏใช่ไหม
ดังนั้น ร้อนหรือเย็นก็เป็นอีกรูปหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แข็ง ภาษาบาลีไม่มีคำว่า ร้อนเย็น ก็ใช้คำว่า เตโชธาตุ เพราะฉะนั้น มหาภูตรูป ๔ ในภาษาบาลีคือ ปฐวี เตโช อาโป วาโย คนที่เคยได้ยินบ่อยๆ ก็จำได้ แต่ถ้าเป็นภาษาไทยเราก็คุ้นหูกับ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งสิ่งที่อ่อนหรือแข็งทั้งหมด ไม่ว่ากระทบสัมผัสเมื่อไหร่ ความจริงเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ หรือเป็นแข็ง หรือเป็นอ่อน
ดังนั้น ลักษณะของธาตุที่มีจริงๆ สามารถที่จะกระทบกับกายปสาทแล้วปรากฏ ในลักษณะที่อ่อนหรือแข็งเป็นปฐวี ร้อนหรือเย็นเป็นเตโช ตึงหรือไหวเป็นวาโย ส่วนอาโปธาตุน้ำ เกาะกุมซึมซาบไม่ปรากฏ กระทบเมื่อไหร่ก็จะกระทบกับลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหวเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ในมหาภูตรูป๔ นั้น มีมหาภูตรูป ๓ รูปที่สามารถจะปรากฏเมื่อกระทบกาย ส่วนธาตุน้ำ แม้มีจริง แต่เกาะกุมและซึมซาบธาตุที่เหลือ ทำให้ทั้ง ๔ ธาตุไม่แยกจากกันเลย แต่ไม่ได้ปรากฏลักษณะของสภาพที่ซึมซาบหรือเกาะกุม ที่จะปรากฏได้ก็เพียงแต่เฉพาะลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ธาตุดิน ปฐวีธาตุ ร้อนหรือเปล่า ไม่ร้อน ต้องแยกกัน
นี่คือความละเอียดซึ่งปะปนกันไม่ได้เลย ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง ธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทนต่อการพิสูจน์ ถ้าเข้าใจก็คือเข้าใจ ถ้ายังไม่เข้าใจก็ชักจะปนๆ แต่ความจริงคือต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ธาตุดินเป็นหนึ่ง มีลักษณะ ๒ อย่าง คือ อ่อนหรือแข็ง แข็งกับอ่อนก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าอ่อนมากหรือว่าแข็งมาก ก็เป็นลักษณะที่สามารถที่จะรู้ในสภาพนั้นได้ว่า เป็นลักษณะหนึ่งที่มีจริงๆ ส่วนร้อนหรือเย็นก็ไม่ใช่แข็งหรืออ่อนเลย มีจริงๆ เป็นอีกธาตุหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ธาตุไฟซึ่งร้อนหรือเย็นก็รวมอยู่ มีอยู่ในธาตุที่อ่อนหรือแข็ง แยกกันไม่ได้เลย เมื่อมีอ่อนหรือแข็งก็จะมีธาตุหนึ่งที่เย็นหรือร้อนรวมอยู่ด้วย แล้วแต่ว่าธาตุใดจะปรากฏ
ดังนั้นมหาภูตรูป ๔ เป็นใหญ่เป็นประธาน รูปใดๆ ก็ตามที่จะไม่เกิดกับมหาภูตรูปไม่ได้เลย จะแยกไปเกิดลอยๆ ไม่ได้ อย่างเรามองเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือว่าเรามองเห็นแล้วเรารู้ว่านั่นพระอาทิตย์ นั่นพระจันทร์ นี่ดาว ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีเย็นร้อน อ่อนแข็ง จะมีสิ่งอื่นได้ไหม เพราะถ้าจะกล่าวว่าพระอาทิตย์ลอยๆ มีแต่แสงอย่างเดียวได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น รูปอื่นทั้งหมดนอกจากมหาภูตรูป๔ ทุกรูปต้องเกิดรวมอยู่กับมหาภูตรูป จะใช้อีกคำหนึ่งก็ได้ว่า อาศัยเกิดกับมหาภูตรูป หรือจะกล่าวว่า เมื่อมีมหาภูตรูปแล้วก็มีรูปอย่างน้อยที่สุดอีก ๔ รูปรวมอยู่ อาศัยอยู่ในมหาภูตรูปนั่นเอง
ดังนั้นรูปอีก ๔ รูปไม่ใช่มหาภูตรูป แต่ที่ใดที่มีมหาภูตรูปต้องมีอีก ๔ รูปแน่นอน ขาดสักรูปหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดกับมหาภูตรูป แต่ไม่ใช่มหาภูตรูป ชื่อว่าอุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1681
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1682
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1683
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1684
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1685
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1686
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1687
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1688
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1689
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1690
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1691
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1692
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1693
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1694
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1695
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1696
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1697
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1698
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1699
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1700
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1701
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1702
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1703
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1704
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1705
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1706
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1707
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1708
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1709
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1710
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1711
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1712
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1713
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1714
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1715
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1716
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1717
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1718
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1719
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1720
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1721
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1722
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1723
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1724
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1725
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1726
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1727
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1728
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1729
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1730
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1731
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1732
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1733
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1734
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1735
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1736
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1737
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1738
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1739
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1740
