ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
ตอนที่ ๑๖๒๘
สนทนาธรรม ที่ วัดไผ่ดำ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ ผู้ฟังที่ได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกมาในอดีตพร้อมที่จะเข้าใจธรรมซึ่งลึกซึ้ง จึงสามารถที่จะกำจัด หรือขจัด หรือทำลายกิเลสได้ ตามควรแก่ปัญญาของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง เช่น ท่านพระอัญญาโกญฑัญญะ เพียงได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งแรกก็สามารถที่จะกำจัดกิเลส ที่เป็นความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ดับความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเที่ยง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ถาวร และอยู่ในอำนาจบังคับบัญชา จนกระทั่งถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลได้
เมื่อได้ทรงแสดงพระธรรมแล้วมีผู้ที่ตรัสรู้ธรรมมากขึ้นๆ ก็มีผู้ที่มีศรัทธาที่จะบรรพชาอุปสมบท เพราะว่าได้สะสมอัธยาศัยใหญ่ สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติขัดเกลาละเอียดยิ่งกว่าชีวิตของคฤหัสถ์ จึงได้มีผู้ที่ทูลบรรพชาอุปสมบท
ในยุคแรกเป็นผู้ที่อุปสมบทโดยตรงจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา ตอนนั้นไม่มีพระวินัยเลย เพราะเหตุว่าพวกที่ได้ฟังเป็นผู้ที่มีคุณธรรม มีการรู้แจ้งสภาพธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลแล้วบ้างเป็นส่วนใหญ่ แต่ภายหลังเมื่อมีผู้ที่มีศรัทธาบวชเพิ่มมากมายขึ้น ความประพฤติที่เหมาะสมแก่บรรพชิต ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านไม่ติเตียนแล้วมีความเลื่อมใส พระผู้มีพระภาคได้รับฟังความประพฤตินั้นๆ จากภิกษุที่ทูลถาม จึงได้มีการประชุมสงฆ์ และถามที่ประชุมสงฆ์ว่าความประพฤติเช่นนั้น กายวาจาเช่นนั้นเหมาะควรแก่สมณเพศ ความเป็นภิกษุในธรรมวินัยหรือไม่ เมื่อลงความเห็นพร้อมกันว่าไม่สมควรก็ทรงบัญญัติเป็นพระวินัย หลังที่ได้ทรงแสดงพระธรรม ๒๐ พรรษา
พระคุณเจ้า ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติ แต่ไม่ได้ศึกษาทางปริยัติ ท่านปฏิบัติลักษณะธุดงค์ แล้วกระดูกท่านกลายเป็นพระธาตุ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันความเป็นพระอรหันต์ของท่านได้หรือไม่
ท่านอาจารย์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพื่อให้คนที่ได้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง ไม่ได้ไปพึ่งปัญญาของคนอื่น หรือเข้าใจว่าคนอื่นมีปัญญา โดยที่ไม่ได้ฟังธรรมของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่าใครมีปัญญามากน้อยแค่ไหนต้องด้วยการสนทนากัน ถ้าไม่สนทนากัน เพียงนั่งเฉยๆ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าใครมีปัญญาระดับไหน เช่น ผู้ที่เห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินทางจากคยาไปพาราณสี โดยพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงธรรม คนที่เห็น ใครจะรู้ว่าบุคคลท่านนี้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถจะรู้ได้เลย แม้แต่คนอื่นจะชี้ให้พวกอัญญเดียรถีย์ ผู้มีความเห็นอย่างอื่น เช่น สัญชัย หรือนิครนถ์นาฏบุตรพวกนี้ บอกว่าท่านผู้นี้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สัญชัยหรือนิครนถ์นาฏบุตรก็ไม่เชื่อ ไม่เข้าใจเลยว่าการเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร เพราะไม่ได้ฟังพระธรรมเลย
ด้วยเหตุนี้ แม้ใครจะบอกว่าใครเป็นพระอรหันต์ก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมของบุคคลนั้นเลยจะเชื่อได้อย่างไร และอีกประการหนึ่งคือผู้ที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมโดยไม่ศึกษาเข้าใจธรรม ผู้นั้นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น คนอื่นเป็นสาวกทั้งหมด เมื่อไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และทรงประกอบด้วยพระญาณที่ได้อบรมมา ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างและทรงแสดงธรรม ให้บุคคลอื่นสามารถเข้าใจได้โดยประการทั้งปวง
ผู้ที่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าคือรู้ความจริง แต่ว่าไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ได้แสดงธรรมอย่างละเอียดยิ่งอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนั้นแล้ว ใครก็ตาม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่จะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ ใครเป็นพระอริยสาวก ใครเป็นผู้ที่มีความเข้าใจธรรม จึงต้องเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมแล้วมีปัญญาของตนเอง เมื่อเป็นปัญญาของตนเองก็สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องประการใด ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรด้วยเหตุและผล จะกล่าวว่าบุคคลนั้นหมดกิเลสต้องเป็นไปไม่ได้ อย่างขณะนี้ถ้าไม่กล่าวว่า ขณะนี้เป็นธรรมที่เกิดดับ เช่นเห็นขณะนี้ ใครเลยจะคิดว่าเห็นขณะนี้เกิดเพราะปัจจัยมากมาย เพียงชั่วขณะที่เกิดและดับไปเท่านั้นเอง แต่ต้องอาศัยปัจจัยมาก
ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้จะคลายความที่เคยไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นเรา เป็นตัวตน ได้อย่างไร ไม่มีทางที่ใครจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม โดยไม่ได้ศึกษาจากคำที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว
พระคุณเจ้า มีสำนักกัมมฐานมากมายในประเทศไทยซึ่งเป็นที่เคารพบูชา ความมากมายตอนนี้ทำให้บางทีก็สับสนว่า แท้ที่จริงแล้วในประเทศไทยจะพึ่งพาอาศัยใครดี
ท่านอาจารย์ แม้แต่แบบที่จะอ้างว่าตามพระไตรปิฎก จะเชื่อทันที หรือศึกษาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราเอง จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า คำที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้หรือเปล่า อย่างเช่น อริยสัจ ๔ ทุกขอริยสัจ ถ้ากล่าวเพียงว่าเป็นการเกิดขึ้นและดับไป เป็นทุกข์ อะไรเกิด อะไรดับ ขณะนี้หรือเปล่า
ถ้าแสดงถึงขณะอื่นก็หมายความว่าไม่รู้ความจริงของขณะนี้ จึงต้องไปทำอย่างอื่นให้ไม่รู้การเกิดดับของสิ่งที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ สิ่งนี้เกิดและดับ เป็นการตรัสรู้และการทรงแสดงพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคตรัสให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงว่า สิ่งใดที่เกิดแล้วดับแล้วไม่สามารถจะให้ความจริงได้ เพราะสิ่งนั้นหมดแล้ว สิ่งที่ยังไม่มาถึงคือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น จึงไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้ความจริง เพราะว่าสิ่งนั้นยังไม่ได้เกิด ยังไม่ได้ปรากฏ
เพราะฉะนั้น ความจริงที่สามารถจะรู้จริงๆ ได้ในขณะนี้คือ สิ่งที่กำลังเผชิญหน้า กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใดในขณะนี้ เช่น เสียง ไม่มีเสียง และเสียงปรากฏ แล้วเสียงก็หมดไป นั่นคือการเกิดขึ้นและดับไปของเสียง บางคนอาจจะคิดว่าเรื่องง่ายๆ ใครๆ ก็รู้ว่าเสียงไม่ถาวร เสียงเกิดขึ้นและเสียงก็หมดไป แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของเสียงให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เสียงนี่เองเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับสภาพธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ไม่ใช่มีแต่เสียง มีสิ่งที่ปรากฏทางตา และสิ่งที่ปรากฏทางตาต้องเกิดเหมือนเสียงเกิด ไม่อย่างนั้นปรากฏไม่ได้ แต่ปรากฏให้เห็น ซึ่งเสียงปรากฏให้ได้ยิน กลิ่นปรากฏให้ได้กลิ่น รสปรากฏให้รู้เมื่อลิ้มรสนั้นว่ารสอะไร จึงรู้ว่าสิ่งนั้นมีจริง
ด้วยเหตุนี้ การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะเป็นผู้ที่ดับกิเลสได้ คือเป็นผู้ที่รู้แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งขณะนี้เมื่อไม่รู้ก็เป็นอวิชชา ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จะไปกล่าวว่าไม่รู้นั่นไม่รู้นี่ แล้วสิ่งนี้ที่กำลังปรากฏนี้ รู้หรือเปล่า แทนที่จะคิดถึงสิ่งอื่นที่ไม่ปรากฏ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งใดปรากฏ ไม่รู้คืออวิชชา รู้คือวิชชา
ดังนั้น ปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ง่ายหรือยาก เพราะว่าไม่เคยรู้เลย ถ้าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นและไม่ดับไป จะมีอะไรในโลก ทีละอย่างๆ ซึ่งเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นโลก เหมือนมีคน มีสัตว์ มีทุกสิ่งทุกอย่าง ที่กำลังปรากฏด้วยความไม่รู้ในขณะนี้
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่อาศัยคำบอกเล่าของคนอื่น โดยที่เราไม่มีความรู้ ความเข้าใจธรรมเลยเเล้วก็บอกว่า ผู้นั้นกล่าวว่าผู้นี้เป็นอรหันต์ หรือผู้นั้นกล่าวว่าผู้นั้นเป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์คืออะไร พระอรหันต์รู้อะไร ขณะนี้รู้ความจริงของธรรมหรือเปล่า หนทางใดก็ตามที่ไม่ทำให้เข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพที่มีจริงในขณะนี้ บุคคลนั้นไม่ได้อบรมเจริญปัญญา
พระคุณเจ้า ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษา ไม่ได้เรียนอภิธรรมเลย อุปนิสัยอาจจะไม่ได้สร้างมาทางการศึกษาอภิธรรม จะมีโอกาสบรรลุธรรมได้หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ผู้นั้นไม่รู้ว่าอภิธรรมคืออะไร แต่พูดว่าอภิธรรม ต้องรู้ก่อน เห็นเป็นอภิธรรมหรือเปล่า หรือว่าเห็นเป็นเพียงธรรมไม่ใช่อภิธรรม แยกธรรมกับอภิธรรม แต่ไม่เข้าใจว่าธรรมนั่นเองเป็นอภิธรรม มิฉะนั้น อะไรจะเป็นอภิธรรมถ้าไม่ใช่ตัวธรรม แต่เพราะเหตุว่าธรรมแต่ละอย่างหลากหลาย แล้วมีปัจจัยที่ทำให้เกิดต่างๆ กันไป แล้วก็เกิดดับไม่กลับมาอีกเลยสักขณะเดียว สิ่งใดที่ดับแล้วเกิดเพราะปัจจัยใด หมดปัจจัยนั้นสิ่งนั้นดับ แล้วก็กลับมาอีกไม่ได้ สิ่งที่เกิดสืบต่อก็เพราะปัจจัยใหม่ ไม่ใช่ปัจจัยเก่าที่ทำให้สภาพธรรมนั้นเกิดและดับไป
พระคุณเจ้า ทำไมท่านพระสารีบุตร ท่านฟังโศลกธรรมจากท่านพระอัสสชินิดเดียว ท่านถึงเข้าใจ แทงตลอดถึงความเป็นพระโสดาบันได้
ท่านอาจารย์ ย้อนไป ๑ แสนกัปป์ ท่านฟังแล้วไม่ได้บรรลุ พูดเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดม หลังจากที่ได้ฟังคำพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร ก็ยังต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ และได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ รวมทั้งพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ก่อนนั้นที่ยังไม่มีปัญญาที่อบรมมา สภาพธรรมก็ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏทางตาจะเป็นอื่นไม่ได้ เสียงเป็นอื่นไม่ได้ กลิ่นเป็นอื่นไม่ได้ คิดนึกเป็นอื่นไม่ได้ ธรรมเป็นธรรม แต่ในกาลครั้งนั้นเป็นอวิชชา ไม่ใช่วิชชา ยังไม่ได้รู้ความจริงเลย ต่อเมื่อไหร่รู้ว่าปัญญาคืออะไร ปัญญารู้อะไร และการที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมเป็นพระอริยบุคคลด้วยปัญญาไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นก็มีการเข้าใจทฟทในภาษาไทย
ปัญญาคือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เพราะเหตุว่าเราใช้คำภาษาบาลี โดยที่ว่าเราไม่รู้ว่าหมายความกว้าง แคบ ลึก ขนาดไหน เช่นขณะนี้ ถ้ามีการเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพที่ปรากฏ ซึ่งแสนกัปป์ก่อนนั้นท่านพระสารีบุตรไม่ได้เข้าใจ แต่เมื่อฟังท่านพระอัสสชิ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เหมือนเมื่อแสนกัปป์ เสียงที่ปรากฏทางหูก็คงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินเหมือนแสนกัปป์ แต่ปัญญาเมื่อแสนกัปป์ก่อน ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ ซึ่งความจริงท่านสะสมบารมีที่จะเป็นอัครสาวกหนึ่งอสงไขยแสนกัปป์ แต่จะพูดถึงกัปป์ไหนก็ตามแต่ เมื่อยังไม่ถึงกาลที่ปัญญาสามารถจะแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมที่ได้ฟังมา เรื่องเดียวกันทั้งนั้น จะไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลย
เมื่อถึงกาลที่สามารถที่จะเข้าใจประจักษ์แจ้งได้ ไม่มีใครสามารถจะห้ามกั้นปัญญาไม่ให้เกิดขึ้น แทงตลอดความจริงของสภาพธรรมที่เกิดดับ ท่านเพียงฟังและก็มีสภาพธรรมปรากฏ ก็สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ แต่ต้องถึงกาลที่ปัญญาได้สะสมมา
อ.คำปั่น ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นความจริง ที่ว่าเป็นความจริงเพราะว่าไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาย่อมไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ทุกขณะเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นอภิธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่มีจริงทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ที่ทำให้ผู้รู้แจ้งเป็นอริยบุคคล จะเห็นได้ว่า ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลจะปราศจากการฟัง การศึกษาไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งคงไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นพระอริยบุคคล เพราะว่าเป็นหนทางที่ยาวไกลมาก เพราะว่าต้องอบรมปัญญา สั่งสมความรู้ความเข้าใจมาอย่างพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว แต่ว่าขณะนี้ที่พอจะเป็นไปได้ก็คือ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ฟังให้เข้าใจว่าทุกขณะเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ถ้ามีใครบอกว่าบุคคลนั้น บุคคลนี้ เป็นพระอรหันต์ และคนที่ไม่เชื่อเพราะว่ายังไม่ได้รู้ว่าคนนั้นสอนอะไร เข้าใจอะไร ประพฤติปฏิบัติอย่างไร ถูกหรือผิด เพราะว่ายังไม่รู้เลย สมควรที่จะเชื่อหรือว่ายังไม่เชื่อ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ฟังว่าบุคคลนั้นเข้าใจอะไร สอนอะไร อบรมเจริญปัญญาอย่างไรจึงได้เป็นพระอรหันต์ เหมือนกับบางคนบอกว่า ท่านผู้นี้ตาทิพย์สามารถที่จะรู้ว่า คนนั้นคนนี้ชาติก่อนเป็นใคร อยู่ที่ไหน สมควรที่จะเชื่อ หรือว่าทำอย่างไร อบรมปัญญาอย่างไรจึงรู้อย่างนั้นได้
เพราะเหตุว่า การที่จะรู้วิเศษกว่าธรรมดาต้องเป็นเรื่องของปัญญา อวิชชาไม่สามารถที่จะรู้ได้ และวิชชาที่สามารถที่จะทำให้มีปัญญาหลากหลายมากมาย ก็ต้องเป็นปัญญาที่พิเศษกว่าปัญญาธรรมดาทั่วๆ ไป ซึ่งคนที่ขณะนี้เห็นสิ่งที่มีในโลกนี้ แต่ไม่รู้ว่าโลกอื่นเป็นอย่างไร กับผู้ที่สามารถที่จะเห็นจริงๆ ว่าโลกอื่นเป็นอย่างไร เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีจักษุทิพย์ จักษุทิพย์เป็นจริงได้อย่างไร ไม่ใช่ไม่มีเหตุมีผลแล้วคนนั้นก็มีจักษุทิพย์ คนนี้ก็มีจักษุทิพย์เห็นนั่นเห็นนี่
เพราะฉะนั้น เพียงได้ยินว่าผู้นั้นสามารถที่จะบอกว่า คนนี้ชาติก่อนเป็นนักรบ คนนั้นชาติก่อนเป็นกบ คนนี้เคยเป็นสุนัข โดยที่รู้ได้อย่างไร ก่อนอื่นบุคคลนั้นรู้ได้อย่างไร แล้วบุคคลนั้นอบรมเจริญอย่างไรจึงรู้ได้อย่างนั้น ฉันใด การที่บุคคลใดจะเห็นว่าบุคคลนั้น บุคคลนี้เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องรู้ด้วยว่าบุคคลนั้นรู้อะไร และการอบรมเจริญปัญญาที่จะให้ดับกิเลสนั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นผู้ที่ยังไม่ได้ฟังและยังไม่เชื่อ ควรแก่การติเตียนหรือเปล่า
พระคุณเจ้า ธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติ กับธรรมที่เกิดจากการศึกษา ต่างกันอย่างไร เหมือนกันหรือว่าขัดแย้งกันอย่างไร คนปฏิบัติโดยไม่ศึกษาผิดไหม คนศึกษาถูก หรือคนปฏิบัติถูก ช่วยอธิบายให้ชัดเจน
ท่านอาจารย์ พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นไปตามลำดับ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติหมายความถึงการศึกษาพระธรรมที่ทรงแสดงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จนมีความเข้าใจมั่นคง ปัญญารู้อะไร ถ้าปัญญาไม่สามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ จะชื่อว่าปัญญาไหม และถ้าไปเห็นอย่างอื่น เข้าใจอย่างอื่น ทำอย่างอื่น แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะชื่อว่าปัญญาไหม
นี่คือ การฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง เป็นสัจจญาณ ไม่เปลี่ยน จึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นคือ ปฏิปัตติ ไม่ใช่อย่างที่ภาษาไทยเราคิดว่าปฏิบัติ คือทำ แต่ปฏิปัตติ ปฏิคือเฉพาะ ปัตติคือถึง ถึงเฉพาะความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงนั้นเป็นปฏิเวธ แทงตลอดสิ่งที่เกิดดับจริงๆ ในขณะนั้น
ดังนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงจึงพร้อมตั้งแต่ขั้นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แต่ถ้าไม่มีปริยัติ จะปฏิบัติอะไร และปฏิบัติตามใคร ตามความคิดตัวเอง หรือตามบุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรื่องของการปฏิบัติ ถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แล้วปัญญาจะไปรู้อะไร แล้วจะไปปฏิบัติเพื่อรู้อะไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงผิวเผินว่าปฏิบัติคือทำ ทำให้รู้อะไร รู้อย่างไรก็ไม่สามารถที่จะเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ใช่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
พระคุณเจ้า ที่อาตมาต้องมาบวชอยู่ มาอยู่กับเณรแบบนี้ เป็นเพราะวิบากกรรมหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ต้องแยกคือ รู้ว่าขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนเป็นวิบากคือผลของกรรม เพราะโดยมากพูดเรื่องกรรมกับผลของกรรม แต่ไม่ได้บอกว่าขณะไหนชัดเจน แต่ถ้าจะกล่าวให้ชัดก็คือชีวิตประจำวันทั้งหมด ก่อนที่จะมีความคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างขณะแรกที่เกิด ไม่มีใครเลือกได้เลยว่าผลของกรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลจะทำให้จิตเศร้าหมองก่อนจุติ ก่อนขณะจิตสุดท้าย ซึ่งจะเป็นผลทำให้ถ้าจิตเศร้าหมอง อกุศลวิบากก็ทำกิจปฏิสนธิ ถ้าจิตผ่องใสเป็นกุศล กุศลวิบากก็ทำกิจปฏิสนธิ เลือกไม่ได้เลย เพราะว่าความตายเร็วมาก ไม่ต้องกลัวเลย เร็วโดยที่ว่าขณะนี้จะเกิดได้เลย ถ้าขณะที่กลัวก็คือไม่เกิด ขณะที่เกิดจริงๆ ก็คือขณะนั้นไม่รู้สึกตัว
ขณะที่ปฏิสนธิขณะแรกเป็นผลของกรรมหนึ่ง ซึ่งประมวลกรรมอื่นๆ ที่สะสมมาในจิต พอที่จะเป็นฐานะให้ผลนั้นๆ เกิดขึ้นในชาตินั้น ด้วยเหตุนี้ แต่ละคนที่เกิดมาก็ต่างกัน ทั้งเพศ ทั้งผิวพรรณ ทั้งอายุ ยาว สั้น ทั้งลาภยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งประมวลกรรมที่ได้กระทำไว้พอที่จะเป็นฐานที่ให้เกิดวิบากนั้นๆ ในชาตินั้น
เวลาที่ปฏิสนธิจิตเป็นการรับผลของกรรมขณะแรก คือต้องเกิดด้วยจิตนั้น ซึ่งเมื่อกรรมทำให้จิตปฏิสนธิขณะแรกเกิดและดับไป กรรมนั้นก็ยังทำให้จิตเกิดสืบต่อดำรงภพชาติ จนกว่าจะสิ้นสุด ระหว่างนี้จะไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก ถ้าย้อนไปถึงขณะจิตแรก ไม่มีการที่จะรู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไรเลย เหมือนกับตอนที่หลับสนิท ก่อนหลับมีโลก มีคน มีเรื่อง แต่ตอนหลับสนิทไม่มีอะไรเหลือเลย
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมีจิตที่หลับสนิทดำรงภพชาติได้ ต้องมีจิตขณะแรกก่อน คือปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม ดับไปก็ทำให้กรรมนั้นให้ผล ทำให้จิตประเภทเดียวกันเกิดสืบต่อดำรงภพชาติ และถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน มีประโยชน์อะไรที่กรรมทำแล้วจะให้ผลได้ แต่เพราะเหตุว่ากรรมที่ทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท ซึ่งเป็นรูปซึ่งเกิดจากกรรม ถ้าเป็นกายปสาทก็ซึมซาบทั่วตัว กระทบตรงไหนก็เจ็บตรงนั้นก็ได้ หรือว่าสบายตรงนั้นก็ได้ นี่คือผลของกรรม
เมื่อเกิดมาแล้ว ขณะแรกคือปฏิสนธิ ขณะที่สอง คือภวังคจิต ดำรงภพชาติ ขณะต่อไปเห็นเมื่อไหร่เป็นผลของกรรม ถ้าไม่มีกรรมทำให้จักขุปสาทเกิด ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตา กระทบ ไม่มีปัจจัยที่จะให้จิตเห็นเกิด จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ แม้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่เมื่อเห็นไม่เกิด สิ่งนี้ไม่ปรากฏ
ถ้าเพียงจิตหนึ่งขณะไม่เกิดเลย อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏในโลก ไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่เมื่อจิตเกิดก็ต้องมีสิ่งที่จิตกำลังรู้ และสิ่งที่จิตจะรู้ได้ของโลกนี้ก็คือเมื่อเห็น เมื่อได้ยิน เมื่อได้กลิ่น เมื่อลิ้มรส เมื่อรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส และจิตก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย คิดแต่เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทุกวันๆ ก็มีแค่ ๖ ทางนี้ สำหรับเห็นเมื่อไหร่เป็นผลของกรรมเมื่อนั้น เพราะว่าเห็นสิ่งที่น่าพอใจก็มี ไม่น่าพอใจก็มี ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน
พระคุณเจ้า ถ้าการปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดกว่าสิ่งอื่น ทำไมคนเราต้องทำประโยชน์ให้สังคม หรือว่าต้องทำเพื่อผู้อื่น ทำไมเราไม่ทำเพื่อตัวเอง ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใคร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความรู้ จะไปสอนใครได้
พระคุณเจ้า ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ก่อนแล้วถึงจะช่วยคนอื่นให้เขารู้อย่างนั้นได้ด้วย แล้วถ้ารู้แล้วจริงๆ จะให้คนอื่นรู้ด้วย หรือว่าไม่ให้เขารู้ด้วย รู้คนเดียว ถ้าสามารถจะรู้ได้
พระคุณเจ้า แต่ถ้าเรารู้ไม่จริง เราไปสอนคนอื่นก็จะเป็นโทษ
ท่านอาจารย์ รู้ไม่จริงอันตรายมาก สอนผิด เขาเข้าใจผิด ประพฤติผิด ทำผิด ทำลายพระศาสนา
พระคุณเจ้า มีพระเณรอยู่มากแล้วไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ไม่ศึกษาอภิธรรม อย่างนี้ถือว่าเป็นการทำลายหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จุดประสงค์สำคัญที่สุดว่าเพื่ออะไร
พระคุณเจ้า บางทีจุดประสงค์ไม่ได้เกิดจากเรา เกิดจากคนอื่นตั้งมา แล้วเราต้องมาทำต่อ โดยที่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้สอนไว้แบบนี้ เพราะเป้าหมายไม่ใช่มรรคผลนิพพาน เเต่เป็นการทำประโยชน์ในทางโลก แล้วเรายังต้องฝืนทำต่อไปอยู่หรือ
ท่านอาจารย์ ความจริงก็ไม่มีใครทราบ ตั้งแต่เกิดมาแต่ละวันๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ แต่ให้ทราบว่าถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดเป็นคนนี้ สะสมมาอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ คิดอย่างนี้ จนกระทั่งอยู่ตรงนี้ ก็คือเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ข้อสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่ว่าคนที่ไม่เคยมีการสะสมแล้วมีโอกาสจะได้ฟัง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
