ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
ตอนที่ ๑๖๒๖
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ท่านอาจารย์ เคยเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ความจริงคือมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แล้วก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่มีรูปใดที่จะยึดถือเป็นเราหรือของเราได้ เพราะว่ามีสมุฏฐานที่ทำให้รูปนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เฉพาะรูปที่ปรากฏ
คิดดูว่าจากตัวทั้งตัว ศีรษะจรดเท้าไม่มีอะไรเหลือ มีเฉพาะตรงส่วนที่ปรากฏให้เห็นความเป็นจริงว่า เป็นลักษณะของรูปแต่ละรูป เมื่อปัญญาอบรมเจริญขึ้นก็สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของรูปนั้นด้วย จึงสามารถที่จะไถ่ถอนการยึดถือรูปว่าเป็นของเรา หรือว่าเป็นเราได้ แม้แต่นามธรรมก็เช่นเดียวกัน กำลังเห็นไม่รู้เลยว่าเกิดขึ้นชั่วขณะ ชั่วขณะที่เล็กน้อย สั้นมาก มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาแค่ปรากฏให้เห็น สั้นเหลือเกินแล้วก็หมดไปทั้งวัน ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เล็กน้อยมาก ชั่วคราวจริงๆ
เวลาที่เราพูดถึงชั่วคราว เราอาจจะคิดถึงว่าคราวหนึ่งก็นานพอสมควร แต่ชั่วคราวของสภาพธรรมแค่ปรากฏแล้วหมดไป แม้ในขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ คือเกิดปรากฏแล้วหมดไป เสียงจึงปรากฏได้ และเมื่อเสียงหมดไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาจึงปรากฏได้ เพราะฉะนั้น ความชั่วคราวของสภาพธรรมที่ปรากฏจะเล็กน้อยหรือสั้นมากแค่ไหน ซึ่งผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริง เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ การศึกษาธรรมก็คือฟังจนกระทั่งเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม เพื่อที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
ผู้ฟัง ที่บอกว่าอิริยาบถคือเคลื่อนไหว เหยียด คู้ นั่ง ยืน เดิน นอน เหล่านี้ก็คือความจำ ความคิดนึกที่มาจากความจำ แค่นั้นเอง
ท่านอาจารย์ แน่นอน มิฉะนั้นยังมีเรา ใช่ไหม รูปทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ายังเป็นเรา เพราะยึดถือว่ายังมีอยู่แต่ความจริงไม่มี เพราะว่าเกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด เฉพาะรูปที่ปรากฏก็เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป แต่ละคนก็ยึดถือสภาพธรรมที่ตัว ทั้งนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา ดังนั้นเมื่อมีร่างกายก็ยึดถือร่างกายว่าเป็นเราด้วย เพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงเป็นรูปเท่านั้นเอง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ สำหรับกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายความถึงปัญญาที่เกิดพร้อมสติ ที่ระลึกแล้วก็รู้ลักษณะของสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นกาย ไม่ว่าจะเป็นบรรพไหนทั้งสิ้น จะเป็นลมหายใจ หรือว่าจะเป็นสัมปชัญญะ หรือว่าจะเป็นเรื่องธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หรือปฏิกูล หรืออะไรก็แล้วแต่ทั้งหมดในชีวิตประจำวันที่เคยเข้าใจว่าเป็นกาย เป็นความเห็นผิด เข้าใจผิด คิดว่าเที่ยงและยังมีอยู่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทำให้สำคัญและจำว่าเป็นอิริยาบถ นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง หรือว่า เหลียวแล เหยียด คู้ เป็นต้น
เมื่อมีการไม่รู้สภาพธรรมทั้งนามธรรมและรูปธรรม การที่จะละการยึดถือสภาพธรรมได้ก็ด้วยการรู้ความจริง ซึ่งสภาพธรรมสั้นมาก เพียงแต่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป ชั่วคราวจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นต้นจากการฟังที่จะทำให้เกิดการระลึกได้ ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพื่อเข้าใจความจริงของสภาพธรรมนั้นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ก็ไม่สามารถจะรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเลย เพราะเหตุว่าทุกสภาพธรรมเกิดและดับหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย
ขณะเมื่อครู่นี้สภาพธรรม ทั้งนามธรรมและรูปธรรมมากมายดับไปแล้ว แล้วก็มีความไม่รู้ในสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว จนกว่าขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิด จึงมีการรู้ลักษณะที่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นกาย ที่จำว่าเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นั่งบ้าง นอนบ้าง และความจริงก็คือว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดดับ และสามารถจะปรากฏเมื่อกระทบ เป็นลักษณะที่เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว
ถ้าสามารถที่จะรู้ความจริงขณะนั้นก็รู้ว่าไม่มีเรา และรูปทั้งหมดก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะว่าเกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น จนกว่าลักษณะหนึ่งลักษณะใดปรากฏ ปัญญาจึงเห็นถูกจนกระทั่งสามารถประจักษ์การเกิดดับ จึงจะละการยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเราได้ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม
ผู้ฟัง ไม่รู้ขันธ์ในอดีต และขันธ์ในอนาคต เหตุใดจึงนำข้อนี้มารวมกันอีกข้อหนึ่ง
ท่านอาจารย์ จริงๆ ไม่ใช่เรื่องของคำ แต่ต้องเป็นเรื่องของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่ใช้คำว่าขันธ์เป็นภาษาบาลี ความหมายก็คงจะหลายอย่าง ที่แปลว่ากองก็มี แต่ว่าจริงๆ แล้วหมายความถึงสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นและดับไป มีลักษณะที่หลากหลาย เช่น กลิ่น เป็นขันธ์หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะพูดเรื่องขันธ์โดยไม่รู้ว่าขันธ์คืออะไร เราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็เป็นแต่เพียงชื่อ แต่การที่จะศึกษาธรรม คือเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในลักษณะที่เป็นจริง และในความหมายที่ใช้หลากหลายด้วย อย่างเช่นได้ยินคำว่า จิต เจตสิก รูป และก็ได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ ก็จะสงสัยว่า จิตกับขันธ์ เกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้ารู้จักธรรมจริงๆ ก็จะรู้ว่าคำอื่นๆ ที่ได้ยินได้ฟังต่อไป คือ คำอธิบายที่จะทำให้เข้าใจความหมายของคำนั้นชัดเจนขึ้น เช่น วันนี้ทุกคนรู้ว่าธรรมที่เป็นรูปธรรมมี
รูปธรรมคือธรรมที่มี แต่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ เช่น ปสาทรูป จักขุปสาท ทุกคนที่เห็นจะต้องมีจักขุปสาทรูปแน่นอน เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจักขุปสาทรูป ไม่มีการที่สามารถจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ ใช้คำว่ารูป และก็เพิ่มคำว่า ปสาทรูป เพราะเหตุว่าแม้เป็นรูปก็จริง แต่แสดงความละเอียดว่ารูปนี้ต่างกับรูปอื่น เพราะฉะนั้น ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป เสียงก็เป็นรูป แต่ไม่ใช่ปสาทรูป
การฟังธรรมหรือการศึกษาธรรม ต้องเป็นการเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ ซึ่งแสดงถึงสภาพธรรมแต่ละอย่างให้ชัดเจนขึ้น ให้ละเอียดขึ้น ถ้ายังไม่รู้ว่าสภาพธรรมใดเป็นรูปธรรม สภาพธรรมใดเป็นนามธรรม จะพูดถึงขันธ์ อายตนะ ธาตุ อริยสัจจ ก็ไม่มีความหมายเลย เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าคืออะไร
ดังนั้นก่อนอื่น การศึกษาธรรมก็ทราบว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และคำที่ใช้ก็เพื่อให้เข้าใจลักษณะของธรรมนั้น ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงและไม่คลาดเคลื่อน แต่ว่าจะมีคำที่อธิบายขยายจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ ขอถามว่า กลิ่นเป็นรูปหรือเปล่า
ผู้ฟัง กลิ่นเป็นรูป
ท่านอาจารย์ คือก่อนอื่นต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรม แม้มองไม่เห็น แต่เป็นธาตุที่มีจริง แล้วก็ไม่มีรูปร่างที่ทางตาจะเห็นเป็นรูปร่างอะไรเลยก็ตาม แต่กลิ่นสามารถจะปรากฏ เพราะว่ามีจิตเกิดขึ้นรู้กลิ่น โดยอาศัยฆานปสาท รูปซึ่งเป็นปสาทพิเศษ ที่สามารถจะทำให้กลิ่นปรากฏได้ กลิ่นเป็นขันธ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง กลิ่นเป็นขันธ์
ท่านอาจารย์ ถ้าเรียนแล้วจะตอบได้ แต่ถ้ายังไม่ได้เรียนก็ยังไม่รู้ว่า กลิ่นเป็นขันธ์หรือเปล่า และขันธ์คืออะไร ซึ่งความจริงก็ต้องตั้งต้นที่ธรรม แล้วก็ธรรมที่เป็นนามธรรม ธรรมที่เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นขันธ์ที่เป็นนามธรรมมีไหม มี เพราะรู้ความหมายของขันธ์ว่าต้องเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่จริงเมื่อเกิดขึ้นและก็ดับไป ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นขันธ์คือ สภาพธรรมที่เกิดและดับ นิพพานเป็นขันธ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่ขันธ์ เพราะว่าพ้นจากขันธ์ไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ถ้าศึกษาแล้วจะรู้ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็จะเข้าใจแต่ละคำที่ใช้ด้วย ที่คุณแก้วถามถึงขันธ์ในอดีต ขันธ์ในอนาคต ขันธ์ปัจจุบัน ก็หมายความถึงสภาพธรรมที่เกิดดับนั่นเอง สภาพธรรมใดที่ดับแล้วเป็นอดีต สภาพธรรมใดที่ยังไม่มาถึงเป็นอนาคต สภาพธรรมขณะนี้ที่ปรากฏเป็นปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ถ้ามีความไม่รู้ขันธ์ก็ไม่รู้ทั้งขันธ์ที่เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคตด้วย
ผู้ฟัง แสดงว่าที่แยกข้อเป็นอดีตอย่างหนึ่ง และอนาคตอย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อดีตอย่างหนึ่ง ขันธ์นั่นเองที่เกิดแล้วดับ ดับหมดแล้วเป็นอดีต ขณะที่ยังไม่ดับก็ยังเป็นปัจจุบัน และขันธ์ที่จะเกิดต่อไป ยังไม่ได้เกิด แต่จะเกิดก็เป็นขันธ์ในอนาคต
ผู้ฟัง แต่ที่มารวมกันเป็นอีกข้อ
ท่านอาจารย์ ไม่รวมกัน รวมไม่ได้เลย แต่ละขันธ์เป็นแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีก
ผู้ฟัง หมายถึงว่ามีการเกิดดับทุกขณะ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่ามารวมกันแล้วถึงจะเป็นขันธ์ แต่ละลักษณะที่เป็นธรรมที่เกิดดับก็เป็นแต่ละขันธ์
ผู้ฟัง ได้ยินมาว่า เมื่อพระพุทธองค์ตรัสว่า อีก ๔ เดือนข้างหน้านี้เราจะปรินิพพาน พระสงฆ์พากันเศร้าโศก และคิดว่าเราจะทำอย่างไรกันดี ในจำนวนนั้นมีพระติสสะ คิดว่าควรใช้เวลา ๔ เดือนนี้ให้บรรลุธรรมตามพระองค์ไปให้ได้ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ปลีกตนระลึกในอิริยาบถ๔ จนบรรลุธรรมนั้น คำถามคือ การปลีกตนระลึกในอิริยาบถ๔ เป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็เป็นชีวิตประจำวันของท่าน ท่านคงจะไม่ทำสิ่งที่ท่านไม่ได้สะสมมา ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ แม้แต่ความคิดของแต่ละท่าน ไม่ว่าในกาลไหนๆ ก็ไม่เหมือนกัน อัธยาศัยของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบอยู่คนเดียว บางคนชอบมีมิตรสหายมาก และความคิดแต่ละวันก็ต่างๆ กันไปด้วย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หมายความว่าขณะนั้นไม่มีปัญญา แล้วก็มุ่งหน้าที่จะทำโดยที่ไม่มีปัญญา แต่ว่าต้องตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าธรรมละเอียดมาก สิ่งใดที่ยังไม่เกิดจะรู้ได้ไหมว่าจะเกิด แต่ละคนไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร หรือแม้แต่ขณะต่อไปจะเป็นอกุศลประเภทไหน อย่างรุนแรง หรือไม่รุนแรง ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ยังไม่เกิด ไม่สามารถที่จะรู้การสะสมที่สะสมมาพร้อมที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น จนกว่าจะเกิดขึ้น
ดังนั้น ในชีวิตของพระสาวกทั้งหลาย ท่านก็มีการกระทำที่ต่างๆ กัน บางท่านเวลาที่พระผู้มีพระภาคเสด็จบิณฑบาต ท่านก็ติดตามไปแล้วท่านก็กลับ ท่านคิดว่าท่านจะไปเจริญสมณธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้นจริงๆ กุศลก็ไม่เกิด มีแต่อกุศล โดยที่ท่านคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ท่านสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่คิดหรืออย่างที่หวัง แต่ให้ทราบความเป็นอนัตตาว่า อะไรจะเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย และเมื่อเกิดแล้วจึงรู้ได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำตามอย่างท่านผู้หนึ่งผู้ใด แล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดกับใครเมื่อไหร่ ก็มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ผู้ที่ไม่เป็นอย่างพระติสสะก็มีใช่ไหม เหมือนกันได้ไหม
ผู้ฟัง แล้วแต่เหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ ถ้าอ่านแล้วบางครั้งก็มีตนเป็นที่พึ่ง บางครั้งก็บอกว่าเป็นอนัตตา ซึ่งถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ ย่อมเข้าใจความหมายในพระไตรปิฎกได้ครบถ้วน ไม่ขัดแย้งกันเลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่เป็นผู้ที่ละเอียด ที่จะรู้ว่าเมื่อฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแค่ไหน เช่น ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน เมื่อทรงแสดงพระธรรม ผู้ฟังสมาทาน อาจหาญร่าเริงด้วยธรรมมิกถา ถือพระธรรมที่ได้แสดงให้ผู้นั้นฟัง เดี๋ยวนี้ทุกคนเป็นผู้ตรง อาจหาญร่าเริงหรือเปล่า ต้องตรง ธรรมต้องตรง หรือว่าไม่อาจหาญร่าเริง
ผู้ฟัง เป็นบางครั้ง
ท่านอาจารย์ ต้องมีเหตุผล ไม่ใช่ว่าจะตอบแล้วก็ไม่ทราบอะไร ถ้าเป็นผู้มีเหตุผลก็จะถามว่า อาจหาญร่าเริงในอะไร อยู่ดีๆ คงจะไม่อาจหาญร่าเริงใช่ไหม ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แล้วเข้าใจหรือเปล่า ยังมีเรื่องละเอียดต่อไปอีก เพราะเหตุว่าเช่น คำถามเรื่อง โยนิโสมนสิการ ก็เป็นเรื่องคำในภาษาบาลี ซึ่งภาษาไทยไม่ได้ใช้คำนี้ในชีวิตประจำวัน กำลังนั่งๆ อยู่โยนิโสมนสิการหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ภาษาไทย แต่เมื่อได้ยินคำนี้ แล้วก็ไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ ก็เลยสงสัยว่าแล้วเป็นโยนิโสมนสิการหรือเปล่า หรือว่าไม่เป็น ไม่ใช่ให้สงสัย แต่ต้องเข้าใจว่าคืออะไร
ขณะที่กำลังฟังแล้วเข้าใจก็มี ไม่เข้าใจก็มี เพราะอะไรรู้ไหม ต้องรู้ด้วยตัวเอง ขณะที่กำลังเข้าใจก็ต้องรู้ว่าฟังแล้วเข้าใจเพราะฟัง ใช่ไหม แล้วก็พิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วย ไม่ใช่ว่าฟังแล้วก็ผ่านไป ฟังอย่างนี้กี่ครั้ง กี่คำ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความหมายนั้นได้ แต่ขณะที่ฟังแล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง แม้แต่ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้สามารถที่จะเข้าใจได้
เมื่อได้ยินอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปถามใครอีกว่า ขณะนี้มีธรรมไหม อะไรก็ตามที่มีจริงในขณะนี้เป็นธรรม ใครจะบอกว่าไม่จริง ไม่ใช่ธรรม เป็นไปได้ไหม นอกจากคนนั้นไม่เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้เองเป็นธรรมแต่ละลักษณะ
เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจริงในขณะนี้แต่ละขณะ ธรรมอยู่ที่ไหน ธรรมคืออะไร ใครจะไปหาธรรมให้พบได้ ถ้าไม่ใช่ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ที่ธรรมกำลังปรากฏ แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่จากการฟังและเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ที่กำลังปรากฏให้เห็นเป็นของจริง เป็นธรรม เพราะจริง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรใช่ไหม เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถจะกระทบจักขุปสาท แล้วมีจิตเห็นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งนี้ก็ปรากฏความจริงให้รู้ว่าสิ่งนี้มีจริงๆ กำลังปรากฏให้เห็นด้วย นี่คือธรรม เช่นเดียวกับเสียง ขณะที่เสียงปรากฏ ถ้าไม่มีรูปที่กายที่เป็นรูปพิเศษ ที่สามารถจะกระทบกับเสียง ไม่สามารถที่จะมีเสียงปรากฏได้เลย แต่เพราะเหตุว่าที่ร่างกายก็มีรูปซึ่งสามารถกระทบกับเสียง และเมื่อมีเสียงกระทบกับรูปนั้น จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง เสียงจึงปรากฏ เพราะฉะนั้น เสียงเป็นธรรม และจิตที่ได้ยินเสียงก็เป็นธรรม
ทุกขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ สิ่งที่ปรากฏเป็นธรรม ขณะที่กำลังเข้าใจอย่างนี้ ขณะนั้นภาษาบาลีก็ใช้คำว่า โยนิโสมนสิการ แต่ไม่ใช่ใคร เป็นขณะที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นไม่ใช่เราต้องไปทำ หรือว่าเราต้องไปคิด แต่กำลังฟังแล้วพิจารณาเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ขณะนั้นก็แล้วแต่จะใช้ภาษาบาลี หรือไม่ใช้ภาษาบาลีก็ได้ หมายความว่าผู้นั้นรู้ด้วยว่าฟังแล้วเข้าใจเพราะอะไร และเวลาที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ก็รู้อีกเหมือนกันว่าเพราะอะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นคำที่แสดงถึงความจริงในแต่ละขณะ โดยแต่ละภาษา
ดังนั้น เมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็เป็นผู้ตรง อาจหาญร่าเริงไหม มีในพระไตรปิฎก ผู้ที่ฟังอาจหาญร่าเริง เมื่อมาถึงยุคนี้ก็สงสัยกันอีก แล้วจะอาจหาญร่าเริงได้อย่างไร ทำไมสมัยโน้นอาจหาญร่าเริง และสมัยนี้กำลังฟังธรรมอย่างนี้เอง ความจริงก็คือว่าไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่นเลย ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง คนในยุคนั้นอาจหาญร่าเริงจริงๆ แต่ผู้ที่กำลังฟังในขณะนี้เป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้ว่าอาจหาญร่าเริงหรือเปล่า
ถ้าไม่อาจหาญร่าเริง แล้วจะตอบว่าอาจหาญร่าเริงได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ถ้าอาจหาญร่าเริงก็มีเหตุผลอีกเหมือนกันว่า ที่อาจหาญร่าเริงเพราะอะไร ไม่ทราบว่าฟังแล้วอาจหาญร่าเริงหรือยัง หรือว่า อาจหาญร่าเริงหรือเปล่า เพราะว่าไม่ใช่อาจหาญร่าเริงอย่างผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่อาจหาญร่าเริง แม้เพียงได้เข้าใจธรรม ได้ยินคำนี้บ่อยๆ เกิดมาก็ได้ยินธรรม ธรรมเทศนาบ้าง พระธรรมบ้าง และคำว่า ธรรมก็มีมากมาย ยุติธรรม อธรรม กุศลธรรม อกุศลธรรม ได้ยินแต่คำว่าธรรม แต่ไม่ได้รู้จริงๆ เลยว่า ธรรมนั้นคืออะไร
เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสที่จะได้รู้จักว่า ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง จะมีความอาจหาญร่าเริงไหม ที่ได้แม้เข้าใจเพียงเล็กน้อย คือเพียงรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม เวลาที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ความอาจหาญร่าเริงที่ได้เข้าใจธรรมจะเพิ่มไหม แต่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจพอที่จะอาจหาญร่าเริง ความอาจหาญร่าเริงก็ไม่ปรากฏ เพราะว่ากุศลจิตมีทั้งที่เกิดกับอุเบกขาเวทนา ความรู้สึกเฉยๆ ปานกลาง กับขณะที่โสมนัส เวลาที่มีความรู้สึกปลาบปลื้ม ปีติ ดีใจ แม้เพียงเล็กน้อย ไม่ต้องมาก ไม่ได้หมายความว่าทุกครั้งที่เราปีติแล้วจะต้องปีติอย่างแรง เพียงแต่มีความเบิกบานใจแม้เพียงเล็กน้อยที่ได้ฟังแล้วก็ได้เข้าใจ
ขณะนั้น ผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ตรงว่ามีความอาจหาญร่าเริงในการฟัง แต่ยังไม่ถึงการอาจหาญร่าเริงที่จะละความเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าปัญญายังไม่ถึงระดับที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ แม้แต่ขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ขณะนั้นยังไม่อาจหาญร่าเริงก็ได้ เพราะเหตุว่าเป็นความรู้สึกที่เฉยๆ ต้องเป็นผู้ที่ตรง ธรรมตรงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ขณะนั้นก็เป็นอย่างนั้น ขณะที่เป็นกุศลที่ไม่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ขณะนั้นจะไปเปลี่ยนให้เป็นโสมนัสเวทนาไม่ได้ หรือเวลาใดที่เกิดโสมนัสจะเปลี่ยนความรู้สึกปีติโสมนัส ให้ไม่เป็นปิติโสมนัสก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ความอาจหาญร่าเริงของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เเละไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าจะอาจหาญร่าเริงในธรรมอะไร ขณะไหน มากหรือน้อยอย่างไร แต่ก็พอจะรู้ถึงความรู้สึกที่อาจหาญที่จะฟังธรรมเพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าได้เข้าใจมากขึ้นก็จะเป็นผู้ที่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเรื่องของความคิดก็หลากหลายมาก ไม่มีซ้ำกันเลย
ตั้งแต่ในอดีตไม่ว่าจะเป็นบุคคลสมัยใด ย้อนกลับไปหลายแสนกัปป์ ผู้ที่ได้เห็นธรรมคือสิ่งที่มีที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู ความคิดก็ต่างกัน เหมือนบุคคลในครั้งนี้ก็เห็น ได้ยิน เเละคิดต่างๆ กันไป แต่ถอยกลับไปหลายแสนกัปป์ ก็มีผู้ที่เห็นว่าเกิดมาแล้วก็ตายแน่นอน ไม่มีใครที่เกิดแล้วไม่ตาย และเกิดมาแล้วชีวิตก็หลากหลาย ที่เป็นสุขก็มี ที่เป็นทุกข์ก็มี ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งเรื่องของลาภยศ สรรเสริญ สุข ทำไมมีเหตุให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้หลากหลายต่างกัน
ดังนั้น ผู้ที่มีความคิด ความไตร่ตรอง ใคร่ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ก็อบรมเจริญกุศลทุกประการ เพื่อที่จะสามารถละคลายความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จนบำเพ็ญพระบารมีถึงกาลที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ นี่คือความหลากหลายของความคิดของผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ และผู้ที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แต่เป็นสาวก
เมื่อถึงยุคนี้ สมัยนี้ เมื่อมีการได้ฟังธรรมก็เป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าคำว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วมีใครบ้างที่คิดว่าควรจะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จะไปบังคับคนอื่นให้คิดอย่างเดียวกันไม่ได้ แต่ขณะใดที่ได้ยินธรรม มีศรัทธาที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นก็ให้รู้ว่าเพราะสะสมมา และขณะที่มีศรัทธาที่จะฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ขณะนั้นก็จะมีความเบิกบาน อาจหาญร่าเริง แล้วแต่ว่าจะสามารถถึงกับละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้เมื่อไหร่ เพราะว่าไม่ใช่เป็นการง่ายเลยที่จะเห็นธรรมว่าเป็นธรรมยิ่งขึ้น จนกระทั่งคลายความติดข้อง และยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แต่ว่าปัญญาที่สามารถที่จะแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่งเป็นจริงนั้นสามารถที่จะอบรมได้
ดังนั้น ขณะที่กำลังฟังก็จะรู้ได้ว่า มีความอาจหาญร่าเริงที่จะฟังสิ่งซึ่งยากแสนยาก คือความจริงที่ว่าไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นและก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่แต่ละท่านก็จะรู้ว่า เมื่อฟังแล้วเห็นประโยชน์ แล้วก็คิดว่ายังมีอีกมากที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องจริงๆ ในสิ่งที่ดูเป็นชีวิตประจำวัน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
