ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
ตอนที่ ๑๖๒๔
สนทนาธรรม ที่ กองบิน ๔๑ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่เห็นทุกข์ของสิ่งที่เกิด จะมีปัญญาที่น้อมไปรู้ธาตุซึ่งไม่เกิดและไม่ดับได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ผู้ฟัง จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ที่เกิดดับพร้อมกับเจตสิก ยกตัวอย่างเช่น จักขุวิญญาณจิต จะมีสัพพจิตสาธารณเจตสิก ๗ เกิดร่วมกับจิต ถามว่าเวลาพูดถึงจิต หมายความรวมถึงเจตสิกที่เกิดร่วมกันหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ ขณะที่จิตเเละเจตสิกเกิด จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ดังนั้นการกล่าวถึงจิต กล่าวตามสภาพของจิตนั้นๆ ได้หลายนัยเช่น จิตเกิด เกิดเป็นอะไร เกิดเป็นกุศลหรือเกิดเป็นอกุศลซึ่งเป็นเหตุ หรือเกิดเป็นวิบากคือเป็นผลของกรรม หรือว่าเกิดเป็นกิริยา
เพราะฉะนั้น ใช้ชื่อสำหรับเรียกจิตตามความเป็นจริงของจิตนั้นๆ เมื่อจิตประกอบด้วยอกุศลเจตสิก เจตสิกที่ไม่ดีงามก็ใช้คำว่าอกุศลจิต หมายความว่ารวมเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเป็นอกุศลทั้งหมด ถ้าจิตเกิดขึ้นเป็นกุศลเพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเป็นกุศล จึงทำให้จิตนั้นเป็นกุศล จะมีอกุศลเจตสิกไปเกิดบ้างกับกุศลจิตขณะนั้นได้ไหม
ผู้ฟัง เกิดคนละขณะได้
ท่านอาจารย์ แต่เกิดพร้อมกันได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ จึงจำแนกจิตที่เกิดตามชาติคือการเกิดว่า เกิดเป็นกุศลก็มี เกิดเป็นอกุศลซึ่งเป็นเหตุก็มี เกิดเป็นผลของกรรมคือกุศลและอกุศลเป็นวิบากก็มี เกิดขึ้นเป็นกิริยาก็มี
ผู้ฟัง ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายในเรื่องภพของอบายภูมิ ๓ ภพ ซึ่งเป็นภพของเปรต ภพของอสูรกาย หรือภพของสัตว์นรก ที่จะอธิบายให้เขาเห็นภาพว่ามีอยู่จริง ซึ่งในพระไตรปิฎกก็เขียนไว้ชัดเจน
ท่านอาจารย์ เริ่มจากสิ่งที่เราสามารถที่จะรู้ได้ในขณะนี้ เห็นมีใช่ไหม ถ้าไม่คิดถึงสถานที่เลย เห็นที่ไหน นำสถานที่ออกทั้งหมด แต่เห็นเป็นสภาพธรรมที่อาศัยจักขุปสาทเกิดเห็นแล้วดับไป ไม่จำกัดสถานที่เลย เห็นจะเกิดในน้ำได้ไหม ปลาเห็นหรือเปล่า เห็นจะเกิดบนอากาศได้ไหม นกก็เห็น
เพราะฉะนั้น เห็นไม่ได้จำกัดสถานที่ ที่ใดที่มีจักขุปสาทรูปซึ่งเป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ใครหรือนักวิทยาศาสตร์คนไหนก็ไม่สามารถที่จะทำให้จักขุปสาทรูปเกิดได้เลย และในขณะเดียวกันถ้ากรรมหยุดไม่ให้จักขุปสาทรูปเกิด ตาบอด ใครก็จะไปทำให้คนนั้นเกิดเห็นไม่ได้ ถ้ารูปนั้นไม่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย
ด้วยเหตุนี้ ถ้ากล่าวถึงธรรมแทบจะไม่ต้องกล่าวถึงสถานที่เลย แต่กล่าวถึงสภาพที่มีจริงคือเห็น ได้ยิน เป็นต้น เทวดาก็ต้องเห็นแน่ใช่ไหม จะไม่ให้เทวดาไม่มีตา เทวดาไม่เห็น เทวดาไม่ได้ยิน ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องทราบว่าธรรมที่เห็นไม่ได้เป็นอะไรเลยทั้งสิ้น จริงๆ แล้วเป็นจิตที่เป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าจะเห็นที่ไหน ขณะไหน เมื่อไหร่
ในขณะนี้เรามีรูปร่างกายของมนุษย์ แล้วมีรูปร่างกายของสัตว์ต่างๆ แล้วก็มีเห็น เราก็เลยคิดว่าตรงเห็นในโลกนี้เป็นโลกมนุษย์ แต่ถ้าจะไปเห็นที่อื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ได้ไหม ในเมื่อมีปัจจัยที่เห็นจะเกิดขึ้นเห็น และจริงๆ แล้วเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ซึ่งเป็นผลของกรรมเหล่านี้ ความประณีตก็ต่างกัน
คนในโลกนี้ถูกไฟไหม้อยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ จนตายได้หรือไม่ได้ มีห้องแคบๆ เล็กๆ แล้วก็มีไฟไหม้ และก็มีคนตายที่อยู่ในไฟนั้นได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ แล้วเราจะเรียกว่าอะไร เมื่อเกิดที่โลกนี้เราก็บอกว่าโลกนี้ แต่ถ้าเกิดที่อื่นตลอดกาลและนานมาก ก็เป็นสิ่งที่สามารถจะเป็นไปได้ตามควรแก่เหตุ
เพราะฉะนั้น ในความรู้สึกของเรา เราจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่เรามองเห็น ซึ่งความจริงสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็มีมาก แต่ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจธรรม และรู้ว่าเวลาที่เห็นเกิดขึ้น ที่เราใช้คำว่ามนุษย์ ก็มีเห็นสิ่งต่างๆ ในโลก ในทวีปต่างๆ ความจริงโลกมนุษย์ไม่ได้มีแต่เฉพาะโลกนี้โลกเดียว
ผู้ที่ได้ทรงแสดงความจริงของโอกาศโลก คือโลกซึ่งเป็นที่เกิดของสัตว์ ได้ทรงแสดงไว้มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครสามารถที่จะไปเห็นสิ่งนั้นได้ถ้าผู้นั้นไม่มีจักขุทิพย์ แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ตาของเราก็สามารถที่จะเห็นเพียงบางส่วนบางสิ่ง แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีกุศลมากมั่นคง สามารถที่จะถึงฌาณจิตที่สงบ ก็สามารถที่จะน้อมจิตไปในการที่จะเห็นสิ่งที่ไกลกว่านี้ได้ แล้วก็จะรู้ได้ว่าขณะนั้นโลกแต่ละโลกเป็นอย่างไร ดังนั้นให้ทราบว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุ
สำหรับกามโลก คือโลกของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส ของโผฏฐัพพะ มี ๑๑ ภูมิ คือ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ไม่ใช่สวรรค์เพียง ๑ บางคนโดยมากก็คิดถึงสวรรค์ บางคำสอนก็อาจมีสวรรค์ ๑ ถาวร แต่ว่าความจริงแม้แต่สวรรค์ก็ปราณีตขึ้นตามกำลังของกุศลด้วย ฉันใด ทางฝ่ายอกุศลในการที่จะได้รับผลของกุศลกรรมก็แล้วแต่จะเกิดในภพภูมิใด ถึงแม้ว่าเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นผลของกุศล แต่ก็ยังมีกาลที่อกุศลกรรมให้ผลด้วย ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือทางกาย
เพราะฉะนั้น จะรู้จริงๆ เมื่ออยู่ที่นั่น ถ้าเกิดในนรกก็ไม่สงสัยนรกเลย แต่อาจจะสงสัยว่ามนุษย์ สวรรค์เป็นอย่างไร ภูมิสูงสามารถที่จะรู้ภูมิต่ำ แต่ภูมิต่ำไม่สามารถที่จะรู้ภูมิสูงได้ ดังนั้นพรหมก็มาเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงแสดงอดีตชาติ อดีตกรรมที่ทำให้บุคคลนั้นๆ เกิดที่นั่น
ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องเหตุและผล ซึ่งผลของกุศลก็มีปรากฏในโลกนี้ ผลของอกุศลก็มีปรากฏในโลกนี้ ฉันใด ดังนั้น เมื่อตายแล้วก็ยังไม่สิ้นสุด กรรมยังไม่ได้ให้ผลจนกระทั่งหมดไป เพราะเหตุว่ายังไม่ถึงการดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ตราบใด ตราบนั้นก็ยังสามารถที่จะให้ผลได้ แม้พระผู้มีพระภาคก็ยังทรงประชวร แม้พระองค์ก็ยังเสวยข้าวที่ตำและชุบน้ำ ในกาลที่บ้านเมืองขัดสนอัตคัดขาดแคลน แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชา หรือเปลี่ยนแปลงเหตุที่ได้กระทำแล้ว ที่จะให้ผลก็ต้องตามสมควรแก่เหตุนั้นๆ ด้วย อยู่ในโลกนี้ไม่นานต่อไปก็จะรู้ จะรู้สวรรค์ หรือจะรู้นรก หรือจะรู้อะไรก็แล้วแต่กรรม
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ผู้ฟัง ความแตกต่างของทุกข์ดังต่อไปนี้ ทุกขอริยสัจ ทุกขเวทนา ทุกข์ในไตรลักษณ์ ทุกข์ทั่วๆ ไป และอิริยาบถปิดบังทุกข์
ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังแล้วค่อยๆ พิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินคำ แล้วก็ทราบว่าคำนั้นหมายความว่าอะไรก็จะเข้าใจได้ เช่น คำว่าธรรม ถ้ากล่าวถึงว่าสิ่งที่มีจริงและพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ไม่ว่าจะทรงแสดงเรื่องทุกข์ที่จะเป็นทุกขเวทนา หรือทุกขลักษณะ หรือทุกขอริยสัจก็ตาม ทั้งหมดเป็นธรรม คือเมื่อฟังธรรมต้องเข้าใจด้วยว่าธรรมเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป นี่คือความละเอียด ซึ่งขณะนี้ธรรมเกิดและดับไปโดยที่ไม่มีใครรู้ความละเอียดของธรรม ซึ่งเป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นและก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดถึงทุกข์ ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เมื่อเกิดมาแล้วมีกาย มีใครบ้างที่ไม่เคยเป็นทุกข์เพราะกาย มีไหม ถ้าถามทุกคนก็ตอบได้ หิวเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ถ้าไม่มีกายจะหิวไหม หิวมีจริง แต่หิวเกิดแล้วก็หมดไป ไม่ใช่มีใครที่จะมีหิวอยู่ตลอดไป
ถ้าจะถามว่ามีทุกข์กายอะไรบ้าง จะเห็นได้ว่าทุกคนตอบได้ โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลซึ่งมีทุกข์มากมาย มีคนไข้และก็มีลักษณะที่ยากที่จะทนได้ เพราะเหตุว่าเมื่อทุกข์กายเกิดขึ้นก็ต้องเยียวยารักษา แต่ว่าเมื่อเกิดมาแล้วมีกายและมีใจด้วย เพราะฉะนั้น ใจก็เป็นทุกข์ แม้ว่ากายไม่เป็นทุกข์ ถ้าถามทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ มีทุกข์ใจบ้างไหม จะตอบว่าอย่างไร มีใครบ้างไหมที่ไม่มีเลย ไม่มีทุกข์ใจเลยเป็นไปได้ไหม เสียใจมีไหม โกรธมีไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่ามีทุกข์หลายอย่าง ทุกข์กายก็ส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบังคับได้ จะบังคับไม่ให้กายเป็นโรค ไม่ให้กายเจ็บป่วยก็เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ทุกข์กายมีจริง แต่ว่าแม้กายไม่เป็นทุกข์ ใจก็เป็นทุกข์ได้ ดังนั้นจะมีผู้ที่รู้จักทุกข์ ๒ อย่าง คือทุกข์กายกับทุกข์ใจ เวลาที่กายป่วยไข้ หรือแม้ไม่ป่วยไข้ เพียงแค่หิวหรือเพียงร้อนนิดเดียว สบายหรือเปล่า ขณะใดที่ไม่สบายกายขณะนั้นก็เป็นทุกข์กาย แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ใช่สภาพที่เป็นสุข
ทุกข์กายกับทุกข์ใจ มีใครสามารถที่จะบังคับไม่ให้เกิดขึ้นได้บ้าง นี่ก็แสดงให้เห็นความเป็นธรรม สิ่งที่เกิดต่างๆ กันไป เป็นธรรมที่หลากหลายแม้แต่ความทุกข์ ตราบใดที่มีการเกิดขึ้นก็จะไม่พ้นจากมีกาย มีใจ ซึ่งจะต้องเป็นทุกข์ แต่ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมใดก็ตาม จะเป็นกาย จะเป็นใจ จะเป็นความรู้สึกต่างๆ หรือว่าความติดข้อง ความเมตตา ความเพียร ทุกอย่างที่มีจริงในชีวิตประจำวัน มีเมื่อเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป
ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน คือเป็นสิ่งที่เกิดจึงรู้ได้ว่ามี เมื่อเกิดปรากฏแล้วหมดไปนั่นคือทุกขลักษณะ เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วหมดไป ไม่มีใครสามารถที่จะไปยับยั้ง หรือไปเก็บสิ่งที่ปรากฏและหมดไปได้ เช่น เสียงขณะนี้ ขณะที่เสียงไม่ปรากฏ ไม่มีเสียง แต่เสียงก็เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป ใครจะไปยับยั้งไม่ให้เสียงหมดไป หรือใครจะไปให้เสียงที่หมดไปแล้วกลับมาอีก ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ สภาพธรรมใดที่เกิด สภาพธรรมนั้นดับ เป็นทุกขลักษณะของธรรมทั้งหลายซึ่งเกิด สภาพธรรมที่เกิดถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็เกิดไม่ได้ จึงใช้คำว่าสังขารธรรม หมายความถึงธรรมที่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ดังนั้น ธรรมใดๆ ก็เกิด ไม่ว่าเป็นอะไรทั้งนั้นเป็นสังขารธรรม ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้ และสังขารธรรมทั้งหมดที่เกิดมีลักษณะคือ ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้น ลักษณะสภาพที่เกิดดับ ไม่เที่ยง จะเป็นสุขได้ไหม แค่เกิดนิดเดียวก็ดับแล้วจะเป็นสุขได้อย่างไร มีความไม่เที่ยงเลย ไม่สามารถที่จะไปหาความที่ให้สภาพธรรมนั้นดำรงอยู่ตลอดไป เรื่อยๆ ไปก็ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับ ความไม่เที่ยงนั่นเองเป็นทุกข์ จึงเป็นไตรลักษณ์ทุกขลักษณะเพราะลักษณะนั้นไม่เที่ยง จึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เกิดและดับไป จะชื่อว่าเป็นสุขไม่ได้เพราะเพียงเกิดแล้วดับ และลักษณะนั้นก็บังคับบัญชาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้สังขารธรรมทั้งหมด สภาพธรรมใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น ดับไปอย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนกระทั่งไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ขณะนี้อะไรเกิดและดับไปมากมายเพราะความไม่รู้ แต่ถ้าสามารถที่จะมีปัญญารู้ความจริง คือไตรลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ขณะนั้นจึงรู้ว่าเป็นอริยสัจ เป็นความจริงแท้ซึ่งทำให้ผู้รู้หมดความสงสัย หมดความไม่รู้ หมดการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเที่ยง
ขณะนี้เหมือนเที่ยงทุกอย่าง เห็นก็เหมือนว่าไม่ดับไป คิดนึกก็เหมือนไม่ดับไป สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เหมือนไม่ได้ดับไป เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญาที่ได้ฟังพระธรรมจนกระทั่งเริ่มมีความเข้าใจถูก จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเมื่อไหร่ เมื่อนั้นทุกข์นั้นก็เป็นทุกขอริยสัจ
ผู้ฟัง การฟังพระธรรมต้องเป็นผู้ตรงและจริง คือตรงตามสภาพธรรมที่ปรากฏ คำว่า ผู้ตรง คืออย่างไร
อ.อรรณพ ถ้าความไม่ตรงก็เป็นเรื่องของอกุศล บางคนฟังธรรมเพราะว่าอยากรู้มากๆ อย่างนี้ก็ไม่ตรงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าหวังลาภ สักการะ สรรเสริญ นั่นคือเห็นได้ชัดว่าอยาก แม้ศึกษาธรรม ฟังเรื่องสติปัฏฐานแล้วเข้าใจและอยากให้สติเกิด อย่างนี้ตรงไหม ก็ไม่ตรง เพราะฉะนั้น ความตรงก็คือฟังและสะสมที่จะเข้าใจ และมั่นคงในวัตถุประสงค์ยิ่งขึ้นๆ ว่าเป็นความตั้งใจมั่น มีความเข้าใจด้วยความเห็นถูก แล้วมีความตรง กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล
ผู้ฟัง ฟังว่าผู้ที่กุศลจิตไม่เกิด คือคุณประมาท ได้ยินแล้วก็เกิดความไม่สบายใจ ไม่อยากเป็นคุณประมาท ทำอะไรก็ไม่ได้ คงเป็นจากเหตุที่ฟังธรรมไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ถึงมีแต่ความไม่สบายใจเกิดขึ้น กราบท่านอาจารย์แนะนำสั่งสอนเพิ่มเติมเรื่อง เหตุของความไม่สบายใจด้วย
ท่านอาจารย์ ความไม่ประมาทก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่าใครไม่ประมาท ยึดถือว่าเราไม่ประมาท ตามความเป็นจริงขณะนี้ประมาทหรือเปล่า กล่าวได้ว่าขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นไม่มีเราไปทำความประมาท แต่ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิดแล้วเป็นอกุศล ขณะที่เป็นอกุศลนั้นเองประมาท เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจสภาพธรรมหรือกุศลธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ประมาท
ความประมาทและความไม่ประมาทก็เป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปทำได้ ขณะนี้มีศรัทธาที่จะฟัง แต่ก็ไม่ทราบว่าการเกิดดับของจิตเร็วมาก เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ฟังด้วยความละเอียดที่จะเข้าใจว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล แล้วถึงจะรู้ว่าขณะที่เป็นอกุศลนั้นประมาท แต่ก็ไม่ใช่เรา คือฟังธรรมเพื่อที่จะมีความเห็นถูกว่าทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียด
เมื่อครู่นี้ก็ขาดไปข้อหนึ่งซึ่งไม่ได้พูดถึง คือเรื่องของอิริยาบถปิดบังทุกข์ เพราะว่าได้กล่าวถึงทุกข์อื่น เเต่ว่าทุกข์ประการสุดท้ายที่กล่าวถึงอิริยาบถปิดบังทุกข์นั้นยังไม่ได้กล่าว ขณะนี้ในความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนกำลังนั่ง ในขณะที่กำลังได้ยินเสียง คิดหรือเปล่าว่ากำลังนั่ง หรือขณะนั้นมีแต่เฉพาะเสียงที่ปรากฏแล้วก็ลืม ไม่ได้มาคิดถึงเลยว่ากำลังนั่ง ใช่ไหม หรือว่ากำลังคิดเรื่องอะไรต่างๆ ก็ตาม ขณะนั้นก็ไม่ได้มารู้สึกว่ากำลังนั่ง เพราะเหตุว่าขณะนั้นกำลังคิดเรื่องอื่น
ดังนั้นจะเห็นได้ถึงความละเอียดของจิต ซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป แต่การดับของจิตเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นโดยไม่หยุดเลย ตั้งแต่ย้อนจากขณะนี้ไปถึงขณะเกิด ย้อนจากขณะเกิดไปถึงขณะสุดท้ายของชาติก่อน ซึ่งจากชาติก่อน สิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาติก่อนแล้วเป็นบุคคลนี้ก็เกิดดับสืบต่อไป จนถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ แม้จิตขณะสุดท้ายดับ จิตนั้นก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ จิตเกิดดับมากมายนับไม่ถ้วน สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏ ให้ทราบว่าเพราะจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น เช่น ในขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา มีใครคิดถึงรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าว่าอยู่ในอิริยาบถนั่งบ้าง และการนั่งก็มีตั้งหลายอย่างใช่ไหม ขณะนี้แต่ละคนก็ล้วนแต่นั่ง แต่ก็ไม่ได้คิดถึง
ดังนั้นให้ทราบว่า จริงๆ แล้วอิริยาบถนั่ง มีจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเพราะจำในสิ่งที่ไม่ปรากฏ เหมือนกับว่ายังมีสิ่งนั้นอยู่ เช่น ขณะนี้ถ้าถามว่ามีตา มีหน้า มีหู มีแขน มีขาไหม ทุกคนตอบว่ามี แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น นึกถึงส่วนไหนหรือเปล่า นึกถึงแขน นึกถึงขา นึกถึงหน้า หรือนึกถึงจมูกหรือเปล่า ก็ไม่ได้นึกถึงเลย แต่ในความทรงจำนั้นจำว่ายังมีอยู่
การฟังธรรมต้องละเอียด คือธรรมเกิดดับเร็วมาก ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ความละเอียดของธรรมก็คือว่า ธรรมใดที่ไม่ปรากฏ ให้ทราบการเกิดดับอย่างเร็วของธรรมนั้นว่า ธรรมนั้นเกิดแล้วดับแล้วทั้งหมดแต่ยังจำว่ายังมีอยู่ ซึ่งความจริงขณะนี้ถ้าไม่มีแข็งปรากฏที่ส่วนหนึ่งส่วนใด จะจำว่ายังมีแข็งอยู่ที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายไหม เพราะที่ว่าเป็นร่างกายต้องประกอบด้วยมหาภูตรูป คือมีรูปที่เป็นธาตุดิน อ่อนหรือแข็ง ธาตุไฟ เย็นหรือร้อน ธาตุลม ตึงหรือไหว และธาตุน้ำ เกาะกุม ซึมซาบรูปที่อยู่รวมกัน
แสดงให้เห็นว่า ในขณะนี้เองเข้าใจว่ายังมีรูปที่กำลังนั่งอยู่ แต่จริงๆ ทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นรูปที่เกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด รูปใดก็ตามที่ไม่ปรากฏ ไม่มีลักษณะปรากฏให้รู้ รูปนั้นจริงๆ แล้วเกิดแล้วดับแล้ว แต่ก็เกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตามที่ปรากฏเท่านั้นที่จะแสดงให้รู้ว่า สิ่งนั้นมีและเป็นธรรม แล้วก็ไม่ใช่ของใคร เกิดแล้วดับไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมเลยก็มีการยึดถือสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน แล้วก็จำว่ายังมีอยู่ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นสิ่งนั้นไม่ปรากฏเลยก็ยังคิดว่ามี ดังนั้นการฟังธรรมจึงต้องละเอียด ที่ว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์ ก็เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วที่ตัวขณะนี้เข้าใจว่ามีร่างกายครบถ้วน แต่ว่าไม่มีอะไรปรากฏที่กายให้รู้ว่ามีเลย ใช่ไหม หัวใจปรากฏหรือเปล่า เลือด เนื้อ กระดูก ปรากฏหรือเปล่า ก็ไม่มี แม้แต่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งที่กายปรากฏหรือเปล่า
ถ้าขณะใดปรากฏ เฉพาะสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงที่มีลักษณะที่แข็ง เป็นธรรมคือแข็ง ใครจะเปลี่ยนลักษณะแข็งให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แล้วก็เคยเข้าใจว่าแข็งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ ซึ่งความจริงแข็งเป็นแข็ง แต่จำไว้ว่าแข็งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แข็งที่ศีรษะ แข็งที่หู แข็งที่ขา ความจริงเป็นแข็ง แต่จำว่าเป็นแขน เป็นขา เป็นมือ เป็นเท้า และเข้าใจว่ายังมีอยู่ด้วย
ดังนั้นที่กล่าวว่า อิริยาบถปิดบังทุกข์ ก็แสดงถึงความจริงของธรรมว่า แท้ที่จริงแล้วธรรมทั้งนามธรรมและรูปธรรม เกิดขึ้นแล้วดับไปเร็วมาก และก็ไม่กลับมาอีกเลย ขณะนี้ถ้าแข็งที่กายไม่ปรากฏ เกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด เฉพาะรูปแข็งที่ปรากฏที่เคยยึดถือว่าเป็นนิ้ว หรือเป็นเท้า หรือจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตามปรากฏลักษณะที่แข็ง และถ้าปัญญาสมบูรณ์สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป เพราะความจริงก็คือว่า สิ่งใดที่ปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะปรากฏได้อย่างไร ลองคิดดู
ถ้าไม่มีอะไรๆ เกิดขึ้นเลย สิ่งนั้นจะปรากฏได้ไหม สิ่งใดที่ปรากฏแสดงความจริงว่าสิ่งนั้นเกิด แต่ไม่รู้ความเกิดของสิ่งนั้น และก็ไม่รู้ความดับของสิ่งนั้น จึงปิดบังทุกข์ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดนั้นดับไป ไม่เที่ยง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจความหมายของพระธรรมที่ทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งแต่ละข้อความ ก็ต้องเป็นผู้ที่เริ่มพิจารณาแล้วเข้าใจ พร้อมทั้งสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังในขณะนี้ด้วยว่าจริงไหม เช่น ขณะนี้ที่กายนี้ ท่าทางอิริยาบถปรากฏหรือเปล่า
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
