ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645


    ตอนที่ ๑๖๔๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมรอยัล เรสซิเดนซ์ ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ กระทำกิจของเจตนา สภาพที่ขวนขวาย กระทำกิจกระตุ้นเตือนสหชาตธรรม คือ เจตสิกและจิตซึ่งเกิดในขณะนั้น ให้กระทำหน้าที่ของตนๆ นี่คือเหมือนคำอุปมา เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะใช้คำใดๆ ที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้ แต่ก็ยังสามารถที่จะค่อยๆ พิจารณาว่าลักษณะของเจตนาเจตสิกต่างกับเจตสิกอื่น ต่างกับผัสสเจตสิก ต่างกับเวทนาเจตสิก ต่างกับสัญญาเจตสิก

    ดังนั้น แม้ว่าเจตนาจะเกิดกับจิตทุกดวงเป็นสหชาตปัจจัย สหชาต หมายความว่า เกิดพร้อมกับธรรมที่ทำให้สิ่งนั้นเกิด เพราะฉะนั้น เจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยแก่จิต ซึ่งเกิดร่วมกับเจตสิกนั้น และจิตก็เป็นสหชาตปัจจัยแก่เจตสิกทุกประเภทที่เกิดร่วมกัน

    เจตนาเจตสิก เป็นปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย แต่โดยฐานะที่เป็นสภาพธรรมที่ขวนขวายและกระทำ ตามฐานะคือวิบากที่เกิดขึ้นเห็น แล้วก็หมดไป ชื่อว่าสหชาตกัมมปัจจัย เท่านั้นเอง ไม่ได้ให้ผลอะไรต่อจากนั้น ไม่เหมือนกับกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เพราะวิบากเป็นผลของกรรมที่ต้องเกิด ถึงกาลที่กรรมจะให้ผลต้องเกิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

    ถ้าตายังไม่บอด มีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิด เห็นก็เกิด แต่เมื่อถึงกรรมที่ไม่ให้จักขุปสาทเกิด อยากจะเห็นอีกก็เห็นไม่ได้เลย เป็นเรื่องของกรรมซึ่งเป็นเหตุที่จะให้วิบากเกิดหรือไม่เกิด จะเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก ประเภทใดก็แล้วแต่ แต่เวลาที่เป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ไม่ใช่วิบาก เพราะฉะนั้นเห็นแล้ว หมดแล้ว หลังจากนั้นคือกุศลจิตจะเกิด หรืออกุศลจิตจะเกิด ตามการสะสม

    ผู้ฟัง การได้มาในสถานที่ตรัสรู้ ปรินิพพาน มีเหตุและมีประโยชน์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ที่จริงต้องถามคนที่มาแต่ละคนว่า คิดอย่างไรถึงได้มา

    ผู้ฟัง สำหรับผมเองก็ไม่รู้สึกอะไร

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความจริง ด้วยเหตุนี้ คนที่มาครั้งแรกก็เข้าใจว่าจะได้มาสถานที่ประสูติ ปฐมเทศนา ตรัสรู้ เหล่านี้ โดยที่ยังไม่ได้มีความเข้าใจธรรมมากพอ แต่รู้ว่าที่นี่เป็นที่ตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรม ก็มีศรัทธาที่จะมาถึงที่ตรงนี้ แต่จริงๆ แล้วถ้าเรามีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ความรู้สึกต่อแต่ละสถานที่ก็จะเพิ่มขึ้นตามความเข้าใจ

    สำหรับผู้ที่เข้าใจแล้วก็จะรู้ว่าที่ตรัสรู้ตรงนี้ เป็นที่ที่ได้เห็นความเพียรของพระโพธิสัตว์และพระมหากรุณาด้วย ที่จะไม่เป็นแต่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือสาวก แต่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถจะช่วยให้คนอื่นพ้นจากสังสารวัฏฏ์ได้อีกมาก ซึ่งกว่าจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ง่าย นานแต่ก็มีความอดทน ด้วยความกรุณาที่จะทรงบำเพ็ญพระบารมีทุกอย่าง

    เมื่อถึงเวลาที่จะได้ตรัสรู้ก็จะต้องมีสถานที่ที่ทรงตรัสรู้ เป็นสิ่งซึ่งที่อื่นไม่มีแน่นอน เมื่อระลึกถึง ก็ระลึกถึงถอยไปถึงตั้งแต่ครั้งบำเพ็ญพระบารมีแล้วได้ตรัสรู้ ซึ่งพระปัญญาของพระองค์ที่ตรัสรู้ ยิ่งใหญ่กว่าใครที่ไม่สามารถจะประมาณได้ เพียงเราได้ฟังธรรมเดี๋ยวนี้ก็ยังรู้ว่ายากมาก ที่จะรู้จริงๆ ในความเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นและดับไป แต่พระองค์รู้มากกว่าที่กล่าวนี้จนประมาณไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสถานที่ที่ทำให้ระลึกถึงความกรุณา พร้อมกันนั้นเราก็รู้ว่าเมื่อสิ่งใดจริง เราเป็นผู้ตรงต่อสิ่งนั้น ตรงต่อความจริงนั้น ก็จะค่อยๆ อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราอาจจะเข้าใจผิดได้ถ้าไม่ได้ศึกษา นี่ก็สำหรับที่ตรัสรู้ และที่ตรงนี้กว่าจะถึงวันนี้ก็ถูกกลบไป เลือนไป จนมีการค้นพบใหม่ แล้วทำให้ชาวพุทธได้มีโอกาสมาสักการะ เพราะฉะนั้น รอยเท้าที่ตรงนั้นมากมายนับไม่ถ้วนเลย ถ้าจะพูดถึงตั้งแต่ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช จนกระทั่งมาถึงท่านพระธรรมปาละ

    ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว เพราะว่าการมาครั้งนี้ของผม มีความรู้สึกในสถานที่นี้แล้ว

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกยิ่งเห็น ณ ที่ตรงนั้น สิ่งซึ่งจากปุถุชนสู่ความเป็นพระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการสะสมมาที่จะถึงพร้อมด้วยบารมีต้องมหาศาลจริงๆ ยิ่งใหญ่กว่าเทวดา พรหมทุกจักรวาล และถึงแม้จะผ่านไป ๒๕๐๐ กว่าปี คำสอนยังอยู่ ผู้ที่ได้มีศรัทธาแล้วมีการเคยได้ยินได้ฟังและเห็นประโยชน์มาแล้ว ยังสามารถที่จะได้ฟังอีก ยังไม่สูญหาย เป็นการแสดงว่าจากการที่บำเพ็ญพระบารมีจนกระทั่งตรัสรู้ จนเวลาล่วงเลยมาก็ยังได้ประโยชน์สำหรับผู้ฟังในครั้งนี้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ละเอียด รอบคอบ มั่นคง ตรงต่อความจริงในเหตุในผล ยากที่จะได้ฟัง เพราะเหตุว่า เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง โดยเฉพาะในขณะนี้ที่จะรู้ว่าเป็นธรรม เกิดและดับด้วย ไม่รีบร้อนที่จะถึงเร็วๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รีบเลย

    ท่านอาจารย์ นั่นเป็นหนทางที่ถูก เพราะเหตุว่าเป็นการละโลภะ แต่ถ้าใครฟังแล้วคิดว่าเมื่อไหร่จะรู้กว่านี้ นั่นคือ ลืมแล้วว่าขณะนั้นโลภะทั้งนั้นเลย

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่ารีบก็คือคำว่า โลภะลวง ถ้ามีความคิด หรือว่าความรีบร้อน แม้เพียงแค่คิดก็ลวงแล้ว

    ท่านอาจารย์ นอกจากโลภะจะเป็นนาย นานแสนนานที่เราทำตามนายคนนี้อยู่ตลอดเวลา นายคนนี้ไม่ยอมให้เราไปไหน พยายามที่จะให้อยู่ใต้อำนาจของเขา แม้แต่จะฟังธรรม บางทีนายคนนี้ก็ยังไม่ยอม ใช่ไหม นายโลภะนี่เอง เราเป็นทาสของเขามานานมาก มีเรื่องที่จะต้องให้คิดอย่างอื่น ไปทางอื่นเสมอๆ

    แสดงให้เห็นว่ากว่าจะพ้นจากเขามาทีละนิดทีละหน่อย ไม่มาก อย่างวันหนึ่งๆ เราจะได้ฟังธรรมกี่ครั้ง ขณะนั้นก็คือพ้นจากนายคนนี้ ที่เคยครอบครองเรา ดึงเรา ไม่ให้ไปสู่ความเข้าใจที่ถูก ที่จะให้อยู่ในสังสารวัฏฏ์ จนกระทั่งเราฟังนาน นายคนนี้เขาตามไปตลอด ไม่ยอมปล่อยทาสสักคน ให้พ้นไปจากอำนาจของนายคนนี้ ทาสต้องมีกำลังปัญญาจริงๆ จึงสามารถที่จะเห็นว่า เราถูกครอบครองมานาน เมื่อไหร่จะเป็นอิสระ ถ้าไม่มีปัญญาเป็นอิสระไม่ได้เลย เพราะว่าสภาพธรรม ๒ อย่างนี้ตรงกันข้ามกัน โลภะติดข้อง ปัญญาละ

    ดังนั้น ถ้าเราจะศึกษาธรรม คือพระธรรมทั้งหมดให้เราละ เพราะว่าการติดไม่ยากเลย อะไรปรากฏแล้วไม่รู้ก็คือติดทันที แต่การที่จะละความติดข้องได้เพราะมีความเห็นถูกในสิ่งที่เราเคยติด แล้วก็เห็นโทษว่าสิ่งนั้นเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน ชั่วคราวจริงๆ ให้คิดนึกตามไปตลอดเวลา ก็มีแค่นี้ สิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ไม่รู้ แล้วก็ติด แล้วก็ตามไปเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ได้ฟังและเข้าใจขึ้นก็จะค่อยๆ มีความเห็นที่ตรง และรู้จักว่าเราจะต้องทิ้งใคร ไม่ใช่ติดอยู่กับเขาตลอดเวลา ก็คือต้องทิ้งโลภะกับอวิชชา ซึ่งไม่ค่อยอยากจะทิ้ง และเขามาเมื่อไรก็ไม่รู้ แอบมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ต้องการ ไม่ต้องการสิ่งอื่นก็ต้องการธรรมก็ได้ แค่นี้ไม่พอ อยากจะได้มากๆ ลืมว่าที่จริงแล้วความถูกต้อง คือความเห็นถูกตามความเป็นจริง เรากลับอยากได้มากๆ ได้ไปทำไมถ้าไม่เข้าใจ ให้อะไรที่ไม่เข้าใจจะรับไหม รับไปเลย จะมากเท่าไหร่ก็ได้แต่ไม่เข้าใจเลย

    ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีปัญญา โลภะก็หลอกลวงต่อไปไม่ได้ เพราะว่าเห็นตัวเขาตามความเป็นจริงว่า เขาเป็นธรรมที่ทำให้หลงติด และระหว่างที่อบรมเจริญปัญญานั้นไม่ใช่ว่าโลภะจะหายไปเลย ยังตามไป เพราะฉะนั้น ปัญญาก็ละเอียดขึ้น คมขึ้น รู้ชัดว่าขณะนั้น ไม่ใช่การละเพราะติด เมื่อมีปัญญาอย่างนี้ก็ละ ค่อยๆ ละ แม้แต่ความคิดว่าจะรู้ นั่นคือจะ ใช่ไหม ตรงนั้นนิดเดียว เขาก็แทรกอยู่ เหมือนกับอากาศธาตุที่แทรกอยู่ในระหว่างกลาปของรูป แต่ละรูปก็ละเอียดมาก เพราะฉะนั้น ที่จะหมดได้ก็คือปัญญาต้องรู้ทั่วจริงๆ ประมาทปัญญาไม่ได้เลย อย่าไปหวังอย่างอื่น อย่าไปต้องการสติหรืออะไรทั้งหมด เพราะว่าขณะที่มีปัญญาก็มีสติแล้ว จะต้องการสติไปทำไมอีก ต้องเป็นปัญญาที่กว่าจะค่อยๆ เข้าใจในขั้นการฟัง แล้วก็รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถีนะ มิทธะเจตสิก ซึ่งเป็นอกุศลเจตสิก ๒ ดวงนี้เขาจะต้องมาด้วยกันเสมอ ไม่มาเดี่ยว ผมก็ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้ ไม่เคยได้ฟังมาก่อน ขอความกรุณาให้ความกระจ่างด้วย

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราทุกคนจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท คือคิดว่าเวลามีน้อยมาก เราอาจจะสิ้นชีวิตก่อนในขณะนี้ก็ได้ แล้วเราจะควรรู้เรื่องของถีนะ มิทธะ หรือว่าจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง แต่ว่ามิทธะ เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏอยู่ทุกวัน

    ท่านอาจารย์ แต่เป็นเพียงชื่อ แต่ว่าตัวธรรมจริงๆ เดี๋ยวนี้ที่มี ตำราทั้งหมดก็พูดถึงเรื่องความจริงของธรรมโดยละเอียดทุกประการ ถ้าเรายังไม่มีความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วเราคิดถึงเรื่อง ถีนะ มิทธะ บ้าง คิดถึงเรื่องความละเอียดของ วิตก วิจาร บ้าง แต่ว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น แต่ละภพ แต่ละชาติ เราก็จะไปติดตามชื่อ แล้วก็ลืมว่าอะไรจะมีประโยชน์กว่ากันถ้าเรามีเวลาที่น้อยมาก เพราะว่าสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ รู้แน่นอนหรือยังว่าเป็นธรรม ทั้งๆ ที่ได้ยินบ่อยๆ ว่าเป็นธรรม ถ้ายังไม่รู้ลักษณะที่เป็นธรรม ลักษณะของถีนะ มิทธะ ก็ไม่ปรากฏ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เจตสิกทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ เรามีแต่การจำเรื่องราว แต่ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจตัวสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราศึกษาแบบเราสนใจเรื่องราวกับจำนวน นึกขึ้นได้เราก็วิ่งไปหาตำรา พยายามค้นว่านี่อะไร มีจำนวนเท่าไหร่ ลักษณะกล่าวไว้ว่าอย่างไร แต่ไม่มีโอกาสที่จะรู้ลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ด้วยเหตุนี้ที่ทุกคนก็มีเวลาไม่มาก โดยเฉพาะการฟังธรรม ประโยชน์ก็คือถ้าเป็นเรื่องอื่น เวลาอื่น เราก็ยังพอที่จะค้นคว้าได้ แต่ถ้ามีโอกาสที่จะได้เริ่มเห็นถูก เข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งตรงกับที่เราได้อ่านหรือได้ฟังมา อย่างเช่นเรื่องของอินทรีย์ ไม่ได้กล่าวทั้ง ๒๒ ไว้ กล่าวทีละ ๕ ก็มี ทีละ ๕ ตรงนี้ก็มี ทีละ ๕ ตรงนั้นก็มี เพราะอะไร เพราะว่าอะไรที่สามารถจะรู้ความเป็นอินทรีย์ในขณะนี้ได้ เช่น ขณะนี้กำลังเห็นต้องมีจักขุปสาท แน่นอน

    เพราะฉะนั้น ในบรรดารูปทั้งหมด แม้ว่ามหาภูตรูปมี ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ไม่เป็นอินทรีย์ นี่คือความละเอียดของธรรม ถ้าเราไปศึกษาโดยชื่อมหาภูตรูปมาก่อน แล้วก็พวกรูปที่เป็นอินทรีย์มาทีหลัง แต่ว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอจนกระทั่งให้จบตอนนี้ก่อนแล้วไปพูดถึงอินทรีย์ เพราะว่าแม้แต่กำลังเห็น จะเห็นความเป็นอนัตตาของธรรมว่า ถ้าปราศจากรูปนี้ เพียงแต่มีมหาภูตรูปเท่านั้น ไม่มีรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ การเห็นขณะนี้เกิดไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ รูปนี้จึงเป็นใหญ่ เพราะว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าปราศจากจักขุนทรีย์ อินทรีย์ ที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เหมือนท่อนไม้เลย ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก เพราะไม่มีจิต ถ้าจะมีจิตโดยไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็มีแค่คิด เหมือนอย่างอรูปพรหมที่มีแต่นามธรรม คือ จิต เจตสิก ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มีรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น ก็ไม่สามารถที่จะมีสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แสดงความเป็นอนัตตา

    ทำไมพรหมซึ่งเป็นอรูปพรหม ไม่มีการเห็น การได้ยิน เพราะไม่มีรูป และอสัญญสัตตาพรหม แม้มีรูป แต่ก็ไม่มีจิต เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีการที่จะเห็นได้ ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม ก็คือมีความเข้าใจจริงๆ แม้แต่ความเป็นจริงของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่อย่างเดียวกันโดยเด็ดขาด จะเป็นอย่างเดียวกันไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ารูปธรรมจะหยาบ จะละเอียด จะใกล้ จะไกล ก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปภายใน รูปภายนอก เมื่อเป็นรูปธรรมคือไม่ใช่สภาพรู้

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคิดว่าถ้าไม่มีอย่างนั้น แล้วจะมีอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะเหตุว่าแม้แต่ธรรมซึ่งเป็นนามธรรมและรูปธรรม ในภูมิที่มีทั้งนามธรรมและรูปธรรมอาศัยกันและกัน มิฉะนั้นจะเป็นภูมินี้ได้อย่างไร ก็ต้องไปเป็นภูมิที่มีแต่รูปบ้าง เป็นภูมิที่มีแต่นามบ้าง

    ด้วยเหตุนี้ ในภูมิที่มีทั้งนามธรรมและรูปธรรมจึงต้องอาศัยกัน หมายความว่าขณะนี้มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท แต่รูปนั้นจะเป็นใหญ่ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะว่าเป็นแต่เพียงลักษณะที่สามารถจะปรากฏให้เห็น สามารถจะปรากฏให้เห็นเมื่อไหร่ เมื่อมีการกระทบกับรูปอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปที่พิเศษจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม คือเป็นรูปที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วจะต้องมีจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงปรากฏ

    นี่คือฟังธรรมละเอียดขึ้นๆ เพื่อเห็นธรรมว่าเป็นอนัตตา เพราะไม่ว่าจะฟังชื่อและจำนวนสักเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาขณะนี้ ก็ยังไม่เห็น เพราะว่าเมื่อนึกถึงก็เป็นชื่อ นึกถึงก็เป็นเรื่อง เปิดตำราค้นหาคำนั้น คำนี้ ก็เป็นเรื่องไปหมด

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ทรงแสดงอินทรีย์ แสดงในขณะที่บุคคลที่ฟังสามารถจะเข้าใจได้ จึงไม่ได้กล่าวทันทีทั้ง ๒๒ อินทรีย์ก็มี แต่เวลาที่กล่าวรวม หมายความว่า ประมวลให้เข้าใจว่ารูปใดบ้างที่เป็นอินทรีย์ เพราะว่ารูปมี ๒๘ รูป แต่ไม่ได้เป็นอินทรีย์ทั้งหมด แล้วเราก็จะมีความเข้าใจว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นอินทรีย์ เพราะว่าขณะนี้เห็น ถ้าไม่มีจักขุปสาท ซึ่งเป็นใหญ่ในการที่จะให้จิตเห็นเกิด เพราะสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ เพื่อให้เข้าถึงธรรมที่เป็นอนัตตาในขณะนี้

    ถ้าพูดถึงเห็น เเต่ยังไม่รู้ลักษณะของเห็น ความรู้ยังไม่พอที่จะให้เข้าใจธาตุรู้ ซึ่งกำลังเห็น และสิ่งที่ปรากฏทางตา เพียงปรากฏให้เห็น แต่เคยจำว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมายมาตลอดชีวิต ดังนั้นจึงทรงแสดงความจริงของทั้งนามธรรมและรูปธรรม เพื่อให้เห็นว่าเป็นธรรมจริงๆ และจริงยิ่งกว่านั้นก็คือชั่วคราวที่สั้น สั้นมากประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความลวงของธรรมก็คือการเกิดดับสืบต่อ ที่ไม่ปรากฏการเกิดและการดับ ทำให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นทั้งเรา แล้วเป็นทั้งเขา แล้วก็เป็นสิ่งต่างๆ

    การฟังธรรม คือสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก โดยไม่มีการหวังว่าแล้วสติปัฏฐานจะเกิดเมื่อไหร่ และปัญญาจะรู้แจ้งสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังเมื่อไหร่ เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังไม่เกิด หมายความว่าความรู้ยังไม่พอ ไม่ต้องไปขวนขวายทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะถ้ายังไม่รู้ หรือรู้ไม่พอ สติสัมปชัญญะก็เกิดไม่ได้ แต่อาจจะได้รับฟังว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำแต่เข้าใจอะไรหรือเปล่า คนที่บอกให้ทำ ให้ผู้ที่จะทำเข้าใจอะไรหรือเปล่า ไม่ได้ให้ความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะทำสิ่งที่ไม่เข้าใจไหม ก็คงไม่มีใครทำ

    ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมต้องเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริงของธรรม ซึ่งไม่เป็นอื่นนอกจากเป็นธรรม และความรู้จากการฟังเข้าใจ ไม่ใช่ไปจำตัวเลขหรือจำนวน ความรู้ที่เกิดจากการฟังเข้าใจ เมื่อเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดหมายความว่า ไม่ใช่เพียงขั้นฟังเรื่องราว แต่กำลังมีลักษณะที่ปรากฏแล้วรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ เข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย

    ความรู้ทั้งหมดที่มีจะสามารถทำให้คลายการยึดถือ เพราะขณะที่ยึดถือเพราะไม่รู้ แต่เมื่อสะสมความรู้มามากๆ ๆ โดยที่เราไม่ต้องไปหวังว่าสติปัฏฐานจะเกิดเมื่อไหร่ ปัญญาจะเกิดเมื่อไหร่ แต่เมื่อเกิดแล้ว เหมือนคนที่มีอาวุธที่คม ที่สามารถที่จะสละหรือละความติดข้องได้ แต่ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจ และเป็นเรื่องราว เป็นจำนวน แล้วก็เป็นตัวเลข ไม่ทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น เวลาที่อาจมีปัจจัยเล็กน้อยที่ทำให้สติสัมปชัญญะเกิด แต่มีดไม่คมเลยไม่สามารถที่จะตัด หรือทำลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมได้ ด้วยเหตุนี้บางคนก็ถามว่า แล้วรู้ไปๆ แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้ ลืมคำว่า อนัตตา อีกแล้ว

    คำว่า อนัตตา ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะเป็นผู้ที่รู้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมใดปรากฏเพราะเกิดแล้ว แล้วก็ตามเหตุตามปัจจัยด้วย จึงเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราอยากจะเปลี่ยน เราอยากจะทำความไม่รู้ให้กลายเป็นความรู้มากๆ ทันที นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมจึงเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผล ต่อความเป็นจริง แล้วใครจะมาบอกว่าคนนี้รู้ คนนั้นไม่รู้ ก็เป็นเรื่องที่คาดคะเน คนนั้นจะเป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเองและต้องเป็นผู้ตรง ถ้าไม่รู้ก็คือยังไม่รู้ ถ้าเข้าใจนิดหน่อย กำลังจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็รู้ว่าแต่ก่อนไม่เคยเข้าใจอย่างนี้ แล้วเริ่มเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เป็นผู้ตรงจริงๆ ตั้งแต่ขั้นการฟัง

    เพราะฉะนั้น บางแห่งจะแสดงอินทรีย์ ๕ บางแห่งจะแสดงอินทรีย์ ๖ ได้ไหม อินทรีย์ ๖ คือ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ เป็นรูป แต่ถ้าไม่มีมนินทรีย์ สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ว่าที่เกิดขึ้นเป็นประโยชน์ขณะเห็น เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่ใช่มหาภูตรูปเลย ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ต้องเป็นจักขุปสาท เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจักขุปสาทก็เป็นอินทรีย์

    อินทรีย์ ๖ ไม่ยาก ค่อยๆ จำไปแล้วก็ครบเอง แต่ว่าข้อสำคัญที่สุดคือ อย่าจำครบ โดยไม่เข้าใจ แล้วตอนที่ลืมก็ไปหาชื่อมาอีกให้ครบ แต่ไม่เข้าใจ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ขณะนี้ได้ความเข้าใจอินทรีย์ ๖ เเล้วใช่ไหม เหลืออีกไม่มาก ซึ่งประโยชน์จริงๆ คือขณะนี้รู้ว่าเป็นธรรม เพราะเดี๋ยวก็ลืม ลืมแล้วเป็นอะไร ก็เป็นเรา ซึ่งไม่มีเรา แล้วเมื่อไหร่จะไม่มีจริงๆ

    ผู้ฟัง เวลาเราเกิดโทสะ โมหะ หรือโลภะ ถ้าเราไม่มีสติ ความโมโหก็เกิด ทุกข์ขึ้นมาทันที สิ่งที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปโทษว่านี่คือโลภะ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่อัตตา เเต่เกิดจากจิตขึ้นมาเอง เราจะมีวิธีแก้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ โทสะเกิดแล้ว ใช่ไหม เป็นโทสะแล้ว แล้วคุณหมอจะแก้โทสะได้อย่างไร

    ผู้ฟัง เมื่อรู้ว่าเป็นโทสะแล้ว ก็โยนิโสมนสิการในทางกุศล

    ท่านอาจารย์ เป็นคุณหมอทั้งหมดเลย ใช่ไหม ไม่ได้เป็นธรรม เป็นคุณหมอ หรือขณะนั้นรู้ว่าเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรม โทสะเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เมื่อโทสะเป็นธรรม เกิดแล้ว แก้ไม่ได้ ใช่ไหม และกำลังคิดแก้เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล

    ผู้ฟัง แก้ในกุศล

    ท่านอาจารย์ โทสะเกิด

    ผู้ฟัง เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ เมื่อกำลังเกิดโทสะ ไม่สบายใจแล้วหาวิธี ใช่ไหม เมื่อโทสะเกิดขณะนั้น ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่คุณหมอ เป็นสภาพที่เข้าใจถูก เห็นถูกว่า ขณะนั้นลักษณะนั้นมีจริงๆ เป็นธรรม แต่เวลาที่ไม่รู้ว่าโทสะเป็นธรรม คุณหมอหาทางแก้ ขณะที่กำลังหาทางคือเรา เพราะฉะนั้น เรา เร็วมาก เมื่อโทสะเกิดมี ๒ อย่างต่อจากนั้น คือรู้ หรือไม่รู้ว่า เป็นธรรมก่อน ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม จะแก้ไหม ในเมื่อเกิดแล้ว ดับแล้ว

    ผู้ฟัง ก็ต้องพิจารณา

    ท่านอาจารย์ กำลังพิจารณาก็เป็นคุณหมอ เพราะไม่ใช่ความรู้ว่านั่นเป็นธรรมที่เกิด มีลักษณะอย่างนั้น แล้วก็ดับแล้วด้วย โทสะดับไปก่อนที่คุณหมอจะคิดแก้ เพราะฉะนั้น จะไม่รู้ลักษณะของโทสะว่าลักษณะนี้เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เราเลย แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย เกิดเมื่อไหร่ โทสะก็เป็นโทสะ โทสะหมดแล้ว ถ้าเป็นตัวเรา เราก็ต้องหมดไปด้วย เพราะเราไปถือว่าโทสะเป็นเรา ใช่ไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    3 ธ.ค. 2568