ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622


    ตอนที่ ๑๖๒๒

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ เชียงใหม่

    วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ก็สามารถที่จะรู้จริงอย่างนี้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ อย่างนี้ จนกว่าจะถึงกาลที่เข้าใจขึ้นๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็จะเห็นความต่าง

    ขณะที่เห็นไปทุกวันแต่ไม่เคยรู้ จึงเป็นอกุศล เป็นโมหมูลจิต เป็นโลภมูลจิต หรือเป็นโทสมูลจิต ซึ่งพระอรหันต์ไม่มีเลย เห็นเหมือนเดิมแต่ต่างกับปุถุชน ต่างกับพระโสดาบัน ต่างกับพระสกทาคามีบุคคล ต่างกับพระอนาคามีบุคคล เพราะไม่มีเลยที่กุศลประเภทหนึ่งประเภทใดจะเกิดขึ้นหลังจากเห็น ซึ่งผู้ที่เป็นปุถุชนเป็นปกติคือเห็นแล้วอกุศลเกิด จะไม่ให้อกุศลเกิดเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่ารูปทุกรูปที่เป็นสภาวรูปจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งดับไป จิต ๑๗ ขณะ ไม่ต้องไปคิดประมาณเลยว่าสั้นเล็กน้อยแค่ไหน รวดเร็วแค่ไหน เพราะเห็นกับได้ยินเสมือนพร้อมกันใช่ไหม จิตเกิดดับห่างกันเกิน ๑๗ ขณะ

    เพราะฉะนั้น รูปที่กำลังเกิดดับในขณะนี้จะเร็วสักแค่ไหน แต่แม้กระนั้น เมื่อปรากฏแล้วอกุศลที่ได้สะสมมาถึงกาลที่มีกำลังจะเกิดได้ แม้รูปนั้นยังไม่ดับก็พอใจในรูปนั้นแล้ว โดยไม่ทันรู้ว่ารูปนั้นเป็นอะไร

    นี่คือความจริงของธรรม ซึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้นแล้วก็จะรู้ และเป็นผู้ที่ตรงว่ากำลังฟังเรื่องของธรรม แต่ยังไม่รู้จักตัวธรรม แม้ว่ามีธรรมกำลังเผชิญหน้ากำลังปรากฏ ต้องอาศัยการฟังจนกระทั่งเป็นสัญญาความจำที่มั่นคง แล้วก็จะรู้ลักษณะที่คิดเองแล้วไม่มีทางรู้ อย่างเช่นคำถามว่า เมื่อไหร่เป็นความเห็นผิด เมื่อไหร่เป็นโลภะหรือความติดข้อง ก็ตัวจริงๆ เกิดแล้วดับแล้วอย่างรวดเร็ว แต่ว่าปัญญาไม่ได้ถึงความสมบูรณ์ที่จะรู้ความจริงนั้นได้เพราะว่ายังไม่พอ แม้แต่เพียงความเข้าใจจริงๆ ขณะที่กำลังเห็นว่าเห็นแล้วคิดนึก ทันทีที่รู้จำทันทีเหมือนพร้อมกันเลย ยังไม่จากไปถึงเสียงเลย เพียงแค่กำลังเห็นก็มีการคิดนึกแล้วว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไรเพราะความจำอย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าขณะนี้เห็นหรือคิด ตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นไหม

    ผู้ฟัง ก็เห็นด้วย

    ท่านอาจารย์ เห็นแล้วคิด แต่ก็ไม่รู้ว่าขณะไหนเห็น ขณะไหนคิด รู้เเต่ว่าเห็นก็เห็น คิดก็คิด แต่ไม่รู้ว่าขณะไหน เพราะว่าเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่ทรงแสดงเพียงให้เข้าใจเรื่องราว แต่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งรู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องนั่งคิด คิดเท่าไหร่ก็ไม่เหมือนกับขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด แล้วมีลักษณะของสภาพธรรมกำลังปรากฏเพียงอย่างเดียว ต้องทีละอย่าง ทีละทาง ไม่มีการพร้อมกันเลย และเมื่อนั้นสภาพธรรมใดมี ปัญญาก็เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง

    แข็งเป็นเราหรือเปล่า ตอนนี้จะรู้ว่ารูปูปาทานขันธ์ การยึดมั่นในรูปว่าเป็นเรา มีหรือเปล่า หรือหมดไปแล้ว

    อ.ชุมพร อัตตานุทิฏฐิ ต่างกับ สักกายทิฏฐิ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ นี่อะไร

    ผู้ฟัง ดอกไม้

    ท่านอาจารย์ ดอกไม้ หรือว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา

    ผู้ฟัง ถ้าถามก็ต้องตอบว่าไม่มีจริง

    ท่านอาจารย์ อะไรไม่มีจริง

    ผู้ฟัง ดอกไม้ไม่มีจริง แต่ว่ามีสิ่งที่ให้เห็น มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีการยึดถือมั่นคงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น สิ่งที่เข้าใจว่ามีจริงๆ ยึดถืออย่างมั่นคงนั้นเกิดดับหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ดอกไม้นี้เกิดดับหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าตอนนี้ก็ไม่ดับ แต่จริงๆ แล้วเกิดดับหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามถึงอัตตานุทิฏฐิ ก็คือการเห็นสิ่งที่ปรากฏโดยการเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้การเกิดและการดับของสิ่งนั้น

    ผู้ฟัง ถ้าออกไปข้างนอกก็จะเห็นเป็นต้นไม้ เห็นเป็นอะไรต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นโดยที่ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย ก็เป็นการเกิดดับสืบต่อของจิตเพราะมีการทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้ามีการยึดมั่นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เที่ยง มีจริงๆ ขณะนั้นก็มีความเห็นผิด อย่างขณะที่ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเลย แต่มีแข็งกำลังแข็ง รู้ลักษณะของแข็ง เป็นธรรมที่แข็งเท่านั้น หรือว่าแข็งนั้นเป็นเรา

    ผู้ฟัง ถ้าขณะที่ไม่มีสติก็ต้องบอกว่า เราถูกกระทบแข็ง เรามีแข็ง

    ท่านอาจารย์ เป็นเราเมื่อไหร่ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวตนและเป็นเรา ถ้าภายนอกไม่ใช่ภายในก็เห็นว่าเป็นดอกไม้ เป็นคนอื่น แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่นั่นเอง เพราะเหตุว่าไม่รู้ถึงการเกิดดับ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีแล้วไม่เคยรู้แล้วรู้เมื่อไหร่ก็จะละอัตตานุทิฏฐิ ละสักกายทิฏฐิ เพราะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดแล้วดับไป

    ผู้ฟัง อาจารย์กำลังจะบอกว่า การเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเรื่องปกติใช่ไหม แต่ว่าถ้าเรามีความเชื่อ หรือเห็นว่าสิ่งนั้นจะคงอยู่ถาวรตลอดไป

    ท่านอาจารย์ ยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นเราหรือเปล่า อย่างที่ตัวมีอ่อน มีแข็งไหม

    ผู้ฟัง มี มีร้อน มีอุ่น มีเย็น ด้วย

    ท่านอาจารย์ ขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ อ่อนนั้นเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ นั่นคือสักกายทิฏฐิ

    ผู้ฟัง แล้วจะต้องเข้าใจว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความจริงเป็นเราหรือเปล่า หรือเป็นธาตุ หรือเป็นธรรมที่มีจริงๆ

    ผู้ฟัง เป็นธาตุ

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าเป็นธาตุ แล้วจะเห็นการเกิดขึ้นและดับไปด้วย ยิ่งเป็นธาตุไม่ใช่เรา เคยรู้สึกดีใจไหม

    ผู้ฟัง มีดีใจ

    ท่านอาจารย์ เราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นเราบ่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ดีใจก็เป็นเรา เสียใจก็เป็นเรา นั่นคือสักกายทิฏฐิ

    ผู้ฟัง ทิฏฐิหรือความเห็นผิดก็มีอยู่บ่อยๆ เรื่อยๆ ในแต่ละวัน ซึ่งปุถุชนก็มีอย่างนั้นเป็นปกติใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ คิดเอาเอง แต่จะรู้ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะกำลังรู้ลักษณะนั้นว่ามีหรือไม่มี เป็นแต่เพียงโลภะ หรือว่าเป็นความเห็นผิด หรือเป็นความสำคัญตน

    ผู้ฟัง เจตสิกมีถึง ๕๒ ทำไมถึงเป็นขันธ์ใหญ่ๆ อยู่ ๒ เจตสิก แล้วอีก ๕๐ มารวมกันเป็นขันธ์เดียว

    ท่านอาจารย์ เวทนาเป็นความรู้สึกที่ยึดมั่นเสมอและเกิดกับจิตเสมอด้วย ไม่ขาดไปเลย จริงๆ แล้วเวทนา ความรู้สึกมีความสำคัญไหม ชีวิตประจำวันเกิดมาก็สุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ และก็แสวงหาแต่ความรู้สึกที่เป็นสุข เพราะจำด้วยใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่จำเลยจะมีการปรุงแต่งคิดนึกเรื่องนั้นเรื่องนี้ แสวงหาให้มากขึ้นเพิ่มขึ้นหรือเปล่า นี่คือความเป็นจริงของสภาพที่เป็นความรู้สึกที่ต้องรู้สึก เกิดแล้วรู้สึก และสภาพที่จำเกิดแล้วก็ต้องจำ โดยสภาพธรรมอื่นไม่ได้รู้สึก แต่เป็นลักษณะของธรรมที่ปรุงแต่ง แต่ละอย่างๆ ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกและไม่ใช่จำ ก็เป็นสังขารขันธ์

    ผู้ฟัง ทรงจำแนกตามความสำคัญ

    ท่านอาจารย์ ตามลักษณะ เพราะเหตุว่าเวทนาเป็นความรู้สึก กับสภาพธรรมอื่นๆ จะต่างกัน เวลาที่เกิดความรู้สึกขึ้น ความรู้สึกนั้นปรากฏและเป็นที่ตั้งของความยึดถือด้วย ในขณะที่สังขารขันธ์แม้จะเกิด เเต่ปรากฏอย่างเวทนาหรือเปล่า บางลักษณะอาจจะปรากฏ เช่น โกรธก็เป็นสภาพของโกรธ แต่ไม่ใช่เป็นลักษณะของความรู้สึก และจริงๆ แล้ว ความโกรธเกิดมีความรู้สึกเกิดร่วมด้วยไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกตอนนั้นสำคัญไหม

    ผู้ฟัง เป็นทุกข์

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกนั้นไม่สบายเลย เวลาที่มีความโกรธเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็เป็นความต่างกัน และส่วนใหญ่อุปาทานของเราจะอยู่ตรงไหนก็แล้วแต่ จริงๆ แล้วอยู่ทั้งหมดเลย เพียงแต่ว่าในขณะนั้นอะไรจะปรากฏ

    ดังนั้น เมื่อสภาพธรรมนั้นเป็นสังขารขันธ์ เกิดแล้วก็เป็นอย่างนั้น ในขณะที่เวทนาก็มีทั้งสุขบ้าง ทุกข์บ้าง โสมนัสบ้าง โทมนัสบ้าง ก็เป็นความสำคัญจริงๆ อาจจะสำคัญยิ่งกว่าสังขารขันธ์ด้วยซ้ำไป บางคนปรารถนาสุข ไม่ต้องมีปัญญาก็ได้ ใช่ไหม ต้องการแต่เพียงความสุขเท่านั้นเอง จะมีปัญญาทำไม มีประโยชน์อะไร รู้ไปแล้วได้อะไร ขอเพียงชาตินี้เกิดมาแล้วมีความสุขเท่านั้นก็พอ บางคนก็อาจจะคิดอย่างนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความรู้สึก ซึ่งเป็นเวทนาขันธ์ แต่ว่าสภาพของเจตสิกอื่นๆ ก็ปรุงแต่งจึงเป็นสังขารขันธ์


    สนทนาธรรม ที่ กองบิน ๔๑ จังหวัดเชียงใหม่

    วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ผู้ฟัง การอบรมในวันนี้ถามว่าชีวิตคืออะไร ที่ผมถามอย่างนี้เพราะว่ามีหลายแห่ง หลายหน้าในเอกสารในการเรียนรู้ที่ผ่านมาบอกว่า ชีวิตคือการต่อสู้ ชีวิตคือการตั้งอยู่ ชีวิตคือการดับไป ไม่ทราบว่าตรงไหนที่เป็นสัจจธรรมของความหมายคำว่า ชีวิต

    ท่านอาจารย์ ชีวิตก็คือขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น กำลังนั่งอยู่ที่นี่แล้วก็มีเห็น ถ้าไม่มีเห็นจะมีชีวิตไหม แล้วก็มีได้ยิน ขณะที่กำลังได้ยินก็คือขณะหนึ่งของชีวิต ขณะที่กำลังคิดนึก ทุกๆ ขณะตั้งแต่เกิดจนตายนั่นคือชีวิต แต่ข้อสำคัญก็คือ แม้ว่าจะเป็นชีวิตแต่ก็ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร ยังคงมีความไม่รู้

    ที่เขียนว่า เราเกิดมาจากไหน พอจะได้คำตอบหรือยัง เราเกิดมาจากความไม่รู้ ถ้ารู้จริงๆ จะไม่เกิด แต่ละคนที่เกิดมาต้องมาจากความไม่รู้ แม้แต่ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระชาติสุดท้าย เมื่อเกิดขณะแรกก็ยังคงมีความไม่รู้

    เมื่อได้เกิดมาแล้วจากการที่ได้สะสมความเข้าใจที่ได้บำเพ็ญมา จึงสามารถที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมด เช่น ขณะนี้คนที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลยก็จะคิดว่า ชีวิตนั้นคือเรา แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่มีธรรมคือไม่มีเห็นเลย ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึกใดๆ จะมีเราหรือว่าจะมีชีวิตไหม

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ชีวิตก็คือในขณะนี้เอง ตั้งแต่เกิดจนตาย และเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วก็ยังไม่จบ ตามคำถามที่ว่าตายแล้วไปไหน ก็เหมือนกับเรามาจากไหน ถ้าไม่เคยเกิดก่อนในชาติก่อนๆ ๆ ก็จะไม่มีขณะนี้ แม้ผู้ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เคยเกิดมาก่อนๆ ๆ ที่บำเพ็ญบารมี ก็จะไม่มีการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้วไปไหน สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ต้องไป แต่ผู้ที่ดับกิเลสหมดแล้วก็จะไม่มีการไปอีกต่อไป

    แสดงให้เห็นว่า เกิดมาก็ไม่รู้ว่าเพราะไม่รู้จึงเกิด และเวลาที่จากโลกนี้ไปถ้ายังคงเป็นความไม่รู้อยู่ ก็จะต้องไปสู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วแต่เหตุที่ได้กระทำ เพราะฉะนั้น การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ที่นี่ ให้ทราบว่าเป็นผลของกรรมที่เป็นกุศล คือกรรมดี แต่ถ้าจากโลกนี้ไปก็ไม่ทราบว่า กรรมที่ได้กระทำแล้วซึ่งเป็นกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง จะทำให้ไปเกิดที่ไหนต่อไป แต่เมื่อเหตุยังมี ผลก็ต้องมี

    อ.ชุมพร ท่านอาจารย์บอกว่า ชีวิตมาจากความไม่รู้ ตรงนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า เราเกิดมาเพราะความไม่รู้หรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้รู้หรือเปล่า

    อ.ชุมพร เดี๋ยวนี้เหมือนกับท่านอาจารย์พูดก็เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะฟังรู้หรือเปล่า

    อ.ชุมพร ก่อนที่จะฟังก็มีได้ยิน ได้เห็นตลอดตั้งแต่เกิดมา

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้อะไร

    อ.ชุมพร ถ้าเห็นก็เห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ จริงๆ หรือเปล่า ทุกคนจะงง ถ้ามีการย้อนถามว่า ขณะนี้เห็นอะไร ไม่ว่าใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ภาษาไหน เวลาที่ได้ยินคำถามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ขณะนี้เห็นกำลังเห็นอะไร ผู้ที่ไม่เคยฟังธรรมเลยจะตอบไม่ได้เลย ลองคิดว่าขณะนี้กำลังเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นภาพตามที่เห็น หมายถึงว่าเห็นเป็นคน เห็นดอกไม้ เห็นเป็นภาพบนเวที แล้วก็มาคิดว่า สิ่งนี้เป็นคน สิ่งนั้นเป็นสิ่งของ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่ามีหลายๆ สีใช่ไหม ไม่ใช่สีเดียว ถ้าปรากฏเป็นการเห็นเพียงสีเดียว ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นอะไร แต่เพราะเหตุว่ามีหลายๆ สี แต่ตามความเป็นจริงแม้ว่าจะมีหลายสีก็จริง แต่นึกถึงเพียงอย่างเดียวหรือเปล่า

    ถ้าจะถามว่าขณะนี้เห็นอะไร ก็จะตอบเพียงอย่างเดียวใช่ไหม มีใครจะตอบถึงช่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่ข้างบนเพดานบ้างไหม ทั้งๆ ที่ก็ปรากฏ แต่ไม่ได้คิดถึงเลย เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นแล้วจากการจำสิ่งที่ปรากฏ จึงทำให้นึกว่ากำลังเห็นอะไรเพราะจำได้ แต่ถ้าไม่เคยเห็นเลย ไม่มีรูปร่างสัณฐานสีสันที่ตัดกัน ก็จะไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่ากำลังเห็นอะไร

    ด้วยเหตุนี้ แม้ขณะนี้เอง สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่เราคิด เป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง นี่คือธรรม ต้องค่อยๆ ฟังแล้วค่อยๆ พิจารณา ว่าหลังจากเห็นแล้วคิด เหมือนกับทางหูมีการได้ยินเสียง แต่เสมือนว่าเมื่อได้ยินก็รู้ความหมายเป็นคำต่างๆ แล้วแต่ว่าจะเป็นภาษาอะไร คนที่รู้หลายๆ ภาษาเมื่อได้ยินเสียงภาษาไหนก็สามารถจะเข้าใจได้ทันที แต่คนที่ไม่รู้ภาษานั้นก็ได้ยินแต่เพียงเสียง ไม่สามารถที่จะรู้ความหมายของเสียงสูงๆ ต่ำๆ ที่ได้ยิน

    เพราะฉะนั้นทางตา หรือทางหู หรือทางหนึ่งทางใดก็ตาม หลังจากที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วก็คิด พวกสัตว์เดรัจฉานก็ได้ยินเสียง แต่รู้ไหมว่าเสียงนั้นมีความหมายว่าอะไร ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย เพียงได้ยิน ซึ่งขณะที่ได้ยินมีเสียง หลังจากได้ยินแล้วก็คิด ซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วมาก จนเสมือนว่าเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทันทีโดยไม่ต้องคิด แล้วก็ได้ยินเสียงสิ่งหนึ่งสิ่งใดทันทีโดยไม่ต้องคิด แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทรงตรัสรู้ความละเอียด และความจริงของสภาพธรรม ซึ่งเป็นธรรมแต่ละอย่าง มีจริงๆ ปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจความเป็นธรรม ซึ่งไม่เป็นของใคร และใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้

    เมื่อเป็นสภาพธรรมอย่างใดปรากฏ ก็ยังคงเป็นสภาพธรรมอย่างนั้น เมื่อสองแสนโกฏิกัปป์ปีมาแล้ว เห็นเกิดขึ้นก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ต่อไปข้างหน้าไม่ว่าจะมีการเห็นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ใช่เห็นเสียง ไม่ใช่เห็นกลิ่น แต่เห็นเฉพาะสิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท แล้วมีจิตเห็นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้จึงปรากฏได้ นี่คือพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

    โดยมากเราจะได้ฟังธรรมเบื้องต้นที่ไม่ได้กล่าวถึงความละเอียดยิ่งของธรรม ซึ่งเกิดจากการตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น จึงไม่เห็นความต่างของผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะนึกคิดตำหรับตำรามากมาย เป็นเรื่องของสิ่งที่ปรากฏเป็นแสง เป็นคลื่นต่างๆ ทางตา ทางหู จมูก ลิ้น มีสมอง มีอะไรต่างๆ นั่นคือผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ใครรู้จริง ในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ใช่ให้เชื่อทันที แต่ฟังเพื่อที่จะได้รู้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร และทรงแสดงธรรมอะไร ให้ผู้ฟังได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นเราก็ได้ยินชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เคยคิดว่าท่านตรัสรู้อะไร จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ยากไหม

    เห็นสิ่งที่ปรากฏ จริงหรือเปล่า เห็นแล้วรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะจำได้ในรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะเห็นหมดแล้วแต่มีขณะที่คิดสืบต่อ แม้แต่ในขณะที่พูด ไม่คิดพูดออกมาได้ไหม แต่ใครบ้างที่จะรู้ว่าพูดเมื่อไหร่ คือคิดแล้วมีเสียงออกมาตามจิตที่กำลังคิดนั้นๆ ก็เป็นคำพูดอย่างนั้น นี่คือความละเอียดของธรรม ซึ่งเป็นชีวิตจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่พ้นจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และการคิดนึก

    อ.ชุมพร ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายให้เข้าใจว่า ชีวิตเกิดมาจากความไม่รู้ เมื่อไม่รู้แล้วก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีกระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึก ชีวิตก็คงวนเวียนอยู่แบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเราเกิดมาแล้วมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีคิดนึกไปต่างๆ นานา จากนั้นเเล้วจะไปไหนต่อ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ทุกคนกำลังคิดหรือเปล่า แล้วเห็นไหม คิดเหมือนกันหรือเปล่า คิดเป็นกุศลดีงามก็มี คิดเป็นอกุศลไม่ดีงามก็มี เพราะฉะนั้นก็ไปตามเหตุ เมื่อมีเหตุที่ดี การไปก็ไปตามความคิด แม้แต่การทำ การพูด ก็ยังต้องเป็นไปตามการคิด เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นความคิดที่ดีที่ถูกต้อง จากโลกนี้ไปแล้วก็เป็นเหตุที่จะให้ไปสู่สุคติ คือภูมิที่ดี แต่เวลานี้รู้ไหมว่ากำลังคิดดีหรือไม่ดี

    อ.ชุมพร ในชีวิตส่วนใหญ่เราก็คิดเรื่องมากมาย คิดในเรื่องที่ผู้ที่ทำการงานก็เครียดกับการงาน การหาเลี้ยงชีพ ในยุคที่น้ำมันแพงก็เป็นการขัดสนดิ้นรน ไม่ทราบสิ่งต่างๆ ที่กลุ้มรุมแบบนี้ การเข้าใจชีวิตนี้จะช่วยอะไรได้

    ท่านอาจารย์ อย่างไรๆ ไม่ให้น้ำมันแพงได้ไหม จะคิดอย่างไรก็ตามแต่ จะให้น้ำมันไม่แพงขึ้นได้ไหม

    อ.ชุมพร ตอนนี้น้ำมันแพงมาแล้ว คงไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แพงแล้วจะคิดอย่างไร เป็นทุกข์ดี หรือรู้ว่าขณะใดก็ตามที่เกิดความทุกข์ ขณะนั้นเดือดร้อน ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ไม่ใช่ปัญญา เป็นแต่เพียงความกังวลและความห่วงใย เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจธรรมว่าขณะไหนเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ และขณะไหนไม่เป็นประโยชน์ ห้ามเดือดร้อนได้ไหม

    อ.ชุมพร เดือดร้อนก็เดือดร้อนหนักมาก ไม่สามารถที่จะไปทำอะไรกับการเดือดร้อนได้

    ท่านอาจารย์ เดือดร้อนทำอะไรไม่ได้ใช่ไหม ไม่เดือดร้อนทำอะไรได้ไหม

    อ.ชุมพร ไม่เดือดร้อนคงไม่ทำอะไร

    ท่านอาจารย์ จะทำอะไรได้หรือไม่ได้ ขณะนั้นก็ไม่ใช่ขณะที่เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถจะทำได้โดยไม่เดือดร้อน จะดีกว่าสามารถที่จะทำได้โดยเดือดร้อนหรือเปล่า

    อ.ชุมพร ไม่เดือดร้อนต้องดีกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อทำได้และไม่เดือดร้อนก็ดีกว่า จะเดือดร้อนทำไม แต่ก็ห้ามไม่ได้ นี่ก็คือการที่จะเข้าใจธรรมว่าเป็นอนัตตา ความหมายหนึ่งก็คือ ธรรมทั้งหลาย สิ่งที่มีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ไม่เป็นของใครด้วย แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    ผู้ฟัง เกิดมาจากไหน จะไปไหน สรุปแล้วก็คือเกิดกับตาย ซึ่งในช่วงทั้งเกิดกับตายมีเรื่องต่างๆ มากมายที่จะมาพูดกัน ในเรื่องของชีวิตเกิดกับตายมันมีความสัมพันธ์ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ทราบไหมว่าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ทำบุญอะไรมา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    20 พ.ย. 2568