ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631


    ตอนที่ ๑๖๓๑

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ ก็ต้องอาศัยความเพียรที่จะสะสมกุศลที่จะทำให้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะดับอกุศลได้

    ผู้ฟัง บารมีในชีวิตประจำวัน ๑๐ ประการ เป็นแนวทางที่สาวกจะนำมาประพฤติ และปฏิบัติตาม เป็นการขจัดกิเลส เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ไม่เผิน แม้แต่คำว่าบารมี ถ้าแปลว่าธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง ฝั่งไหน เวลานี้อยู่ฝั่งไหน แล้วก็จะไปฝั่งไหน หรือจะอยู่ฝั่งนี้ต่อไป ไม่ไปฝั่งไหนเลย จะอยู่แต่ฝั่งนี้ฝั่งเดียว ฝั่งนี้ก็คือกิเลส ผู้ฟังเห็นโทษของอกุศลหรือเปล่า หรือว่ามีแต่ความอยากจะถึงฝั่ง พอได้ยินได้ฟัง อะไรก็บารมี ก็อยากจะมีบารมี อยากจะสร้างบารมี อยากจะสะสมบารมี อยากจะทำบารมี แต่มีความเห็นโทษของอกุศลหรือยัง เพราะว่าบารมีคือธรรมที่ทำให้ถึงการดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกเลย ต้องเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยอย่าประมาท เพียงขณะหนึ่งแต่ละขณะนี้ก็ย่อมมากขึ้นๆ ๆ ในสังสารวัฎ แล้วเมื่อไหร่จะดับได้ถ้าเป็นอกุศลอยู่ร่ำไป กุศลทั้งหลายก็เป็นส่วนที่จะทำให้ขณะใดที่กุศลจิตเกิดขณะนั้นอกุศลจิตเกิดไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็ยังไม่สามารถที่จะถึงการดับกิเลสได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมจึงฟังด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าไม่มีเรา แต่มีอกุศลธรรม ใครชอบอกุศลธรรมบ้าง ก็ไม่มีใครชอบ และใครเห็นว่ากุศลธรรมเป็นสิ่งที่ดี ก็รู้ แต่ว่าทำไมไม่เป็นกุศล แล้วทำไมจึงยังคงเป็นอกุศล ต้องมีเหตุใช่ไหม คือไม่มีปัญญาพอที่จะเห็นโทษของอกุศล

    ขณะนี้ก็มีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนเลย ณ ที่นี้และที่อื่น ก็มีการเห็น มีการได้ยิน และมีใครเห็นโทษของการไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าคนที่ไม่สนใจที่จะรู้ ที่จะเข้าใจ จะไม่มีการฟังธรรมเลย ฟังทำไม เหมือนกับว่าไม่ได้อะไรเลย แต่จริงๆ แล้วฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีและไม่เข้าใจตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะอะไร ทุกอย่างเที่ยงหรือเปล่า เปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ เป็นอย่างนี้ตลอด เมื่อวานนี้ยังไม่มีวันนี้เลย แต่เมื่อมีวันนี้ ก็หมดไปแล้ว ไม่ยั่งยืนได้เลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเห็น หรือสิ่งที่ปรากฎให้เห็น เสียงที่ได้ยิน และขณะที่ได้ยิน ก็หมดไปๆ ทุกขณะ ไม่เคยรู้ความจริงของชีวิตว่า แท้ที่จริงแล้วมีเราจริงๆ หรือเปล่า หรือว่ามีธรรม ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดแล้วเป็นไปตามธรรมนั้นๆ ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล

    ถ้าเริ่มเห็นโทษของอกุศลที่จะละอกุศลได้ ต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า อกุศลเป็นอกุศล อย่างที่ถามว่าอกุศลดีไหม ทุกคนก็ตอบว่าไม่ดีใช่ไหม ตอบได้ แต่เวลาที่อกุศลเกิด พอใจไหม กำลังสนุกพอใจไหม กำลังอร่อย กำลังเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็แสดงว่ายังไม่เห็นโทษที่แท้จริงของอกุศล ปัญญาแค่นี้ยังไม่มีเลย แล้วก็จะไปถึงฝั่งคือดับกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ไดัเลย

    ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ได้ฟังธรรมเผินๆ อยากทันที ได้ยินคำว่านิพพาน อยากแล้วใช่ไหม อยากอะไร ได้ยินคำว่านิพพาน อยากอะไร อยากถึงนิพพาน อยากได้นิพพาน หรือว่าอยากอะไรโดยไม่รู้จักนิพพานเลย แต่อกุศลมีอยู่ทุกขณะ ซึ่งถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงโดยละเอียด เราจะไม่รู้เลย เพียงแค่เห็น หมด สั้นมาก ต่อจากนั้นเป็นอกุศลทันที การสะสมของอกุศลวันแล้ววันเล่า แต่ละขณะ ทำให้อกุศลมีกำลังสามารถที่จะพอเห็นแล้วก็เป็นอกุศลได้เลย เป็นโมหะความไม่รู้ หรือเป็นโลภะความติดข้อง หรือเป็นการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา เหมือนคนตาบอดมืดสนิท และก็อยู่ในความมืด เกิดมาก็อยู่ในการไม่รู้ และก็ยินดีติดข้องในสิ่งที่ไม่รู้ หลงอยู่ในความมืด ต่อสู้แย่งชิงเพลิดเพลินในทุกสิ่งทุกอย่างในความมืด แล้วก็จากโลกนี้ไป ได้อะไรจากการอยู่ในความมืด ไม่มีอะไรเลยสักอย่างที่จะเป็นของใครอย่างแท้จริงได้ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีใครรู้บ้างว่าไม่ใช่เรา และก็ไม่ใช่ของเราด้วย ตามความเป็นจริงก็คือมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดยิบ สามารถที่จะแตกย่อยทำลาย ก็ยังไม่เห็นว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าขณะนั้นไม่ใช่ปัญญาที่รู้ความจริงว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ทั้งนามธรรม และรูปธรรม

    เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังสิ่งซึ่งประเสริฐที่สุด คือรู้ความจริงของสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ทั้งรูปธรรมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จนกระทั่งถึงนามธรรมสภาพรู้ ความสุข ความทุกข์ใดๆ โลภโกรธ หลง เมตตา กรุณา ทุกอย่างในชีวิตซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่มีจริงๆ เกิดดับอย่างเร็วมากในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสที่จะต้องจากโลกนี้ไปแน่นอนวันหนึ่งวันใด ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ โดยยังไม่รู้ความจริงใดๆ ทั้งสิ้น กับการที่สามารถที่จะรู้ความจริง แล้วก็ไม่มีการยึดถือ เพราะเหตุว่า ถ้ายังคงมีเราจะเศร้าโศกไหมเมื่อพลัดพรากจากสมบัติหรือจากคนที่รัก หรือจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ปัญญาเกิดขึ้นขณะใดไม่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นทุกข์ขณะใด หมายความว่าขณะนั้นต้องเป็นอกุศลเป็นเหตุ จึงทำให้เป็นทุกข์ได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม ฟังเผินไม่ได้เลย ได้ยินคำว่านิพพาน ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร และจะไปนิพพาน หรือว่าจะถึงนิพพาน หรือว่าจะเข้าใจนิพพาน ก็ไม่รู้เลย แต่ว่าจากการที่ไม่รู้ค่อยๆ ฟังจนรู้ ขั้นแรกคือสำหรับคนที่มีอกุศลมาก ควรพูดเรื่องอกุศล เพื่อเขาจะได้รู้ตามความเป็นจริงถึงโทษภัยของอกุศล ถ้าเป็นคนที่มีอกุศลเบาบาง มีกุศลมากก็พูดถึงเรื่องกุศล เพราะเหตุว่าขณะนั้นเขามีปัจจัยที่จะทำให้กุศลเกิดขึ้น สามารถที่จะรู้ลักษณะของชีวิตประจำวัน ซึ่งขณะนั้นเป็นกุศล แต่สำหรับคนที่สะสมอกุศลมามาก ถ้าจะรู้จักธรรม รู้จักอะไร อกุศลใช่ไหม เพราะฉะนั้นสำหรับจิตตานุปัสนาคือปัญญาที่รู้จักจิตตามความเป็นจริง

    จิตมีหลายประเภทหลากหลายมาก คำถามตอนต้นที่คิดว่ามีจิตดวงเดียวนั้น ไม่ใช่เลย ตั้งแต่เกิดจนตาย จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นธาตุที่น่าอัศจรรย์มาก เพราะทันทีที่จิตขณะหนึ่งดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย ไม่ว่าจะนอนหลับสนิทไม่มีโลกนี้ปรากฏเลย แต่จิตก็ยังเกิดดับ ยังไม่ใช่คนตาย พร้อมที่จะตื่นขึ้นเมื่อถึงกาลของกรรมที่จะทำให้เห็น หรือทำให้ได้ยิน ก็ต้องตื่น จะหลับต่อไปไม่ได้ และเมื่อถึงเวลาที่จะหลับกรรมก็ทำให้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดนึก บางคนอาจจะนอนไม่หลับคิดมาก แล้วก็หลับ บังคับได้ไหม ถึงกาลที่จะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ก็ต้องเป็นอย่างนั้นจะอยากหรือไม่อยากก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเกิดมามีแต่ความว่างเปล่าจากการเป็นตัวตน หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่มีความไม่รู้จึงทำให้ติดข้องในสิ่งซึ่งไม่มีสาระเลยว่าเป็นสาระ ก็เป็นสิ่งที่ถ้าจะเข้าใจนิพพานก็ต้องมีความเข้าใจสภาพธรรมก่อน แล้วถึงจะรู้ว่านิพพานเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ขณะนี้ไม่ปรากฏ ไม่มี เพราะว่าจะปรากฏต่อเมื่อปัญญาเจริญถึงขั้นที่คลายความติดข้องในสิ่งที่มีในขณะนี้ จึงจะน้อมไปสู่ภาวะของธาตุที่ไม่มีการเกิดขึ้นจึงไม่มีการดับไป

    ผู้ฟัง มีพระอาจารย์บางท่านก็อธิบายเรื่องสัมมาวิมุต มิจฉาวิมุตเป็นต้น

    ท่านอาจารย์ เมื่อได้ยินแล้วเข้าใจว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง คือท่านก็จำแนกแยกแยะออกไปเหมือนกับเรื่องกรรมดำ กรรมขาว กรรมไม่ดำไม่ขาว

    ท่านอาจารย์ กรรมดำคืออะไร กรรมขาวคืออะไร กรรมไม่ดำไม่ขาวคืออะไร ท่านผู้อื่นจะได้เข้าใจด้วย

    ผู้ฟัง การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เชื่อว่าเป็นความดี กับการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นความไม่ดี และกรรมไม่ดำไม่ขาวคือมีสติรู้เท่าทันว่าอย่างไหนดี อย่างไหนไม่ดี และไม่เข้าไปติดอยู่ในระหว่าง ๒ สิ่งนี้

    ท่านอาจารย์ คงไม่ลืมว่าการฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพราะว่าเราก็ฟังมานานพอสมควร ไม่ทราบว่าจะมีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังแล้วอยู่ในใจของเรามากน้อยแค่ไหน เพราะว่าฟังหลายเรื่อง แล้วก็ลืม แต่ว่าถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ ในเหตุในผล แล้วก็ไม่เผินด้วย

    คำว่ากรรมดำ กรรมขาว ได้ยินเพียงชื่อก็พอจะเห็นความต่างว่า ดำก็คืออกุศลกรรม ขาวก็คือกุศลกรรม แล้วทำไมยังมีกรรมที่ไม่ดำไม่ขาว คงไม่ใช่กระดำกระด่าง แต่หมายความว่าลักษณะของกรรมนั้นไม่ได้ให้ผลที่จะเป็นอกุศลวิบากหรือว่าให้ผลเป็นกุศลวิบาก ถ้าตราบใดที่กรรมนั้นเป็นกรรมดำ ผลก็คือว่าต้องเป็นอกุศลวิบาก คือผลของอกุศล ซึ่งผลของอกุศลก็คือมีการเห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี กระทบสัมผัสกายเป็นทุกข์เลือกไม่ได้เลย ความแรงของกรรมใครก็กั้นไม่ได้ ถึงกาลที่จะให้ผลก็เกิด ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ที่ไหน ถึงกาลที่กรรมดำซึ่งเป็นอกุศลกรรมจะให้ผล ขณะนั้นจิตเป็นประเภทของผลของกรรมที่เป็นผลของกรรมไม่ดี ก็จะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่ไม่ดี เช่นป่วยไข้ได้เจ็บ สูญเสียอวัยวะเป็นต้น นั่นคือผลของอกุศลกรรมเป็นกรรมดำ

    สำหรับกรรมขาวก็ตรงกันข้าม ชีวิตก็มีขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ และก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้ว่าขณะต่อไปจะเป็นผลของกรรมดำ หรือว่าจะเป็นผลของกรรมขาว แต่สำหรับกรรมที่ไม่ดำไม่ขาวหมายความถึงโลกุตรกุศล เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำให้เกิดวิบากใดๆ ทั้งสิ้นทั้งดำและขาว ไม่มีการที่จะทำให้มีการเกิดอีกต่อไป

    เพราะฉะนั้นเมื่อโลกุตตรจิตเกิดก็จะเป็นการดับการเกิด ที่เคยเกิดมาแล้วนานแสนนานเพราะกรรมดำและกรรมขาวในแต่ละภพแต่ละชาติ และขณะนี้เมื่อโลกุตรกุศลยังไม่เกิด ยังไม่ได้ดับกิเลส กรรมใดๆ ที่ทำก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ก็ยังคงเป็นกรรมดำ กรรมขาว ซึ่งจะทำให้มีการเกิด และเมื่อเกิดมาแล้วก็ไม่ใช่เพียงแต่ให้ผล ทำให้เกิดขึ้นระหว่างที่ยังไม่จากโลกนี้ไป หรือโลกไหนที่เกิดก็จะมีผลของกรรมที่จะทำให้ต้องเห็น ทุกวันนี้ทุกคนต้องเห็น แล้วก็ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่พ้นเลย นี่คือผลของกรรมทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล

    แต่สำหรับโลกุตรกุศลเมื่อเกิดแล้ว ดับภพชาติตามลำดับ อย่างผู้ที่เป็นปุถุชนมีภพชาติที่ผ่านมาแล้วนับไม่ถ้วนจนถึง ณ วันนี้ แล้วก็จะต่อไปอีกนับไม่ถ้วนจนกว่าโลกุตรจิตเกิดเมื่อไหร่ ขณะนั้นไม่เป็นเหตุให้เป็นกรรมที่จะให้ผลทั้งดำและขาว เพราะเหตุว่าดับการเกิด

    ด้วยเหตุนี้ยากไหม สะสมอกุศลและความไม่รู้มานานแสนนาน และก็ต้องเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ถ้ามีความเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรม ใครจะไปทำอะไรไม่ได้ ไม่อยากเกิดก็ต้องเกิด ไม่อยากเกิดไม่ดีก็ต้องเกิดไม่ดีเพราะเป็นผลของกรรมดำ ไม่อยากได้รับทุกข์ ไม่อยากจะเสื่อมลาภเสื่อมยศทุกสิ่งทุกประการก็ต้องเป็นอย่างนั้นในเมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม แต่ก็ชั่วคราวไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืนเลย ทุกคนก็เคยเกิดมาแล้วเป็นนั่นเป็นนี่ในอดีตสารพัด แล้วก็จะเป็นต่อไปอีก ซึ่งเราไม่สามารถจะรู้การปรุงแต่งของสภาพธรรม

    ซึ่งเวลาที่ไปวัดจะได้ยินเสมอคำว่าขันธ์ ๕ สำหรับคนที่เข้าวัด จะไม่มีใครไม่ได้ยินขันธ์ ๕ แล้วก็บอกได้ด้วยว่ารูปขันธ์ ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ และวิญญาณขันธ์อีก ๑ เคยไปวัดก็สามารถที่จะจำได้ทั้ง ๕ ขันธ์ แสดงให้เห็นว่ารูปมีจริงๆ แต่รูปทำกรรมอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่ารูปไม่ใช่สภาพรู้ ไม่คิดชั่ว ไม่คิดดีอะไรทั้งหมด เพราะฉะนั้นจะทำให้เกิดผลอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าเป็นผลหมายความว่าต้องเป็นสภาพรู้ เช่นเดียวกับเหตุ ถ้าเหตุเป็นนามธรรมเป็นสภาพรู้ คิดไม่ดี ผลก็คือว่าต้องได้รับสิ่งที่ไม่ดีโดยจิตเกิดขึ้นและก็รู้สิ่งที่ไม่ดีนั้นเป็นผลของกรรม

    แต่สำหรับรูปธรรมแม้ไม่รู้อะไรแต่ก็เป็นที่ติดข้องของสภาพรู้ ไม่น่าเลยใช่ไหมที่จะติดพอใจในเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และก็หมดไปไม่มีความยั่งยืนใดๆ เลยทั้งสิ้น แสนโกฏกัป ๒๕๐๐ ปีมาแล้วจะเห็นอะไรได้ยินอะไร ณ บัดนี้ ก็ไม่มี แม้จำก็ยังจำไม่ได้ว่าชาติก่อนเห็นอะไรมาบ้าง ชาตินี้ทบทวนบางคนก็ย้อนไปคิดถึงอดีตเคยสนุกสนานร่าเริง แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน สิ่งที่เคยพบเคยพอใจในขณะนั้นไม่เหลือเลย ขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานแสนนานนับไม่ได้เลย จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นเห็นความจริง และเห็นความไม่มีสาระของสิ่งที่เพียงปรากฏเท่านั้นเอง

    ตลอดชีวิตมีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้เกิดดับสืบต่อไม่หยุดเลย เพราะเหตุว่าธาตุชนิดนี้มีความน่าอัศจรรย์ที่ว่าทันทีที่ดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิต เจตสิก นามธรรมขณะต่อไปเกิดขึ้น แล้วใครจะไปยับยั้ง ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

    เพราะฉะนั้นฟังธรรมให้รู้จักธรรม ให้เข้าใจว่าเป็นธรรม เพื่อที่จะละความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดและเป็นตัวตนและเป็นเรา เวลาที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏก็จะมีความรู้สึกซึ่งดีบ้าง คือโสมนัสเป็นสุขทางใจหรือว่าสุขทางกาย หรือว่าโทมนัสเป็นทุกข์ทางใจ หรือว่าทุกข์ทางกาย หรือว่าเฉยๆ การที่จะห้ามไม่ให้ความรู้สึกเกิดขึ้น เป็นไปได้ไหม เมื่อเป็นธรรม ถ้ามีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นสามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะสุขก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ เวลาที่เสียใจก็จะให้เป็นดีใจก็ไม่ได้ เพราะว่าขณะนั้นเกิดแล้ว เป็นเสียใจ เป็นโทมนัส มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น แต่ก็ไม่เที่ยง ไม่ตั้งอยู่ ทุกอย่างก็เพียงเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเกิดแล้วก็ตั้งอยู่ไม่ดับไปไม่มีเลย

    ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกของเราดูเหมือนสำคัญมาก จะเห็นก็เพื่อที่จะได้มีความรู้สึกโสมนัสพอใจในสิ่งที่เห็น จะได้ยิน จะคิดทั้งหมด ความรู้สึกเป็นใหญ่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นที่ประชุมลงของธรรมทั้งหมดไม่ว่าจะทางตา มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย หรือรูปที่ปรากฏนั้นจะประณีตไม่ประณีตอย่างไรก็ประชุมลงที่เวทนาคือความรู้สึกในรูปที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นสภาพธรรมที่เป็นอินทรีย์คือเป็นใหญ่ เวลาเกิดขึ้น อย่างโสมนัสสเวทนา เกิดขึ้นเป็นใหญ่จริงๆ จิตใจก็เบิกบานผ่องใส เวลาที่โทมนัสเกิดขึ้นก็เป็นใหญ่ แม้ว่าขณะนั้นจะมีรูปที่น่าพอใจ แต่เวลาโทมนัสเวทนาเกิดขึ้น เป็นใหญ่ ไม่สามารถที่จะชื่นชมโสมนัสในรูปที่น่าพอใจ เพราะเหตุว่าขณะนั้นโทมนัสกำลังเป็นใหญ่เกิดขึ้น ก็ต้องเป็นไปสภาพของโทมนัสนั้นๆ

    ก็เป็นธรรมที่ละเอียดแล้วก็มีอยู่จริง และเป็นธรรมแต่ละลักษณะ เช่นรูปก็เป็นธรรม รูปทุกชนิดเกิดแล้วดับไป แต่ละรูปไม่ซ้ำกันเลย แต่ละภพแต่ละชาติ รูปที่เกิดในแต่ละขณะ รูปใหม่ทั้งนั้น สภาพธรรมที่เกิดและดับไปไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม

    เพราะฉะนั้นจากการที่ไม่เคยรู้อย่างนี้เพราะความไม่รู้ จึงมีการกระทำที่ดีบ้างชั่วบ้าง เป็นกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง อย่างเวลาฟังเรื่องปฏิจสมุปบาทได้ยินใช่ไหม ข้อแรกคืออวิชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารคือกุศลกรรมและอกุศลกรรม แล้วแต่ว่าขณะนั้นอวิชาจะทำให้เกิดกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม แต่ก็เป็นอวิชาคือไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม

    ด้วยเหตุนี้กว่าจะถึงการที่จะเห็นประโยชน์ของการดับกิเลสความไม่รู้ แล้วก็อบรมเจริญหนทางที่จะทำให้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อีกนานไหมกว่าจะมีกรรมที่ไม่ดำไม่ขาวที่ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก เพราะฉะนั้นระหว่างนี้เดี๋ยวก็กรรมดำ เดี๋ยวก็กรรมขาว ผลของกรรมดำก็ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่ปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรส ให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย นี่คือธรรมเป็นสภาพธรรมที่ตรงตามความเป็นจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าฟังอย่างนี้มีความเข้าใจขึ้น วันหนึ่งก็จะถึงกรรมที่ไม่ดำไม่ขาว ถูกต้องไหมท่านผู้ถาม เข้าใจความหมายของกรรมดำ กรรมขาว และกรรมไม่ดำไม่ขาว อย่าเพียงแต่ได้ยินชื่อ ทุกชื่อจะต้องมีความเข้าใจละเอียดขึ้นด้วย

    ผู้ฟัง เตือนตัวเองที่เป็นกุศลจิตกับเตือนตัวเองที่เป็นอกุศลต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เตือนว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง เวลาขุ่นใจก็เตือนว่าไม่ควรที่จะขุ่นใจ แต่ก็ยังขุ่นใจอยู่

    ท่านอาจารย์ ที่ว่าเราเตือนตัวเอง ความจริงเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ความจริงไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ แล้วเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ฝ่ายไหน

    ผู้ฟัง ฝ่ายกุศล

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นชั่วขณะ พอจะต้านทานอกุศลที่มีปัจจัยที่จะเกิดสืบต่อได้ไหม

    ผู้ฟัง รู้สึกว่ากำลังของอกุศลเยอะมาก

    ท่านอาจารย์ แต่อย่างน้อยก็มีการระลึกได้ ยังดีกว่าไม่ระลึกเลย คิดว่าพอเตือนแล้วก็จะทำตามที่เตือนหรือ

    ผู้ฟัง ไม่ได้คิดว่าจะทำได้ เพราะว่าก็ยังขุ่นใจต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่ว่าพอกุศลมีกำลังขึ้นก็รู้สึกว่าความขุ่นใจนี้ก็รู้สึกว่าจะหายไป และก็มีการพิจารณาธรรมมาแทน

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นการได้ยินได้ฟังธรรม แล้วก็มีการระลึกได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่เห็นความเป็นอนัตตาเพราะว่าบังคับบัญชาไม่ได้เลย ขุ่นใจเกิดแล้วเป็นอนัตตา ระลึกได้เตือนเป็นอนัตตา และธรรมคืออกุศลที่สะสมมามากแม้ระลึกได้ก็ยังมีกำลังที่จะเกิดต่อก็เป็นอนัตตา

    ถ้าขณะนี้เข้าใจจริงๆ ก็คือว่าทุกขณะแสดงความเป็นอนัตตา แต่ไม่รู้ เพราะเพียงกำลังฟังในความเป็นอนัตตา แต่ไม่ใช่การรู้ลักษณะที่เป็นอนัตตา ซึ่งเห็นเป็นอนัตตาแล้ว ไม่มีใครบังคับ เกิดแล้ว ได้ยินก็เป็นอนัตตา ก็ไม่มีใครบังคับทำได้ ก็เกิดแล้ว คิดนึกก็เป็นอนัตตาแล้วแต่ว่าจะคิดเตือน หรือไม่คิดเตือน ก็เป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดจริงๆ ก็แสดงความเป็นอนัตตา แต่ปัญญาไม่ถึงการที่จะรู้ความจริงในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง จึงเป็นแต่เพียงความคิดเรื่องอนัตตา

    ผู้ฟัง พระธรรมเป็นเหมือนกับกระจกอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เวลาดูกระจกเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นเป็นตัวเอง

    ท่านอาจารย์ เห็นรูปไม่ถึงใจ แต่ธรรมที่ได้ฟังรู้ไหมว่าขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ตัวเองรู้ไม่ได้ แต่ว่าถ้าเป็นสภาพธรรมที่รู้ ขณะนั้นก็คือเป็นปัญญา

    ท่านอาจารย์ แต่เพียงเรื่องราวใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เวลานี้เราพูดได้ กุศลจิต อกุศลจิต แต่ยังไม่รู้จักจิต เพราะฉะนั้นก็เพียงแต่คิดถึงว่าจิตขณะนั้นเป็นกุศล หรือว่าจิตขณะที่เป็นอกุศลก็ต่างกับขณะที่เป็นกุศล แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของจิตจะกล่าวไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าประมาณหรืออนุมานว่าเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะว่าความจริงกุศลจิตก็ดับไปเร็วมาก อกุศลจิตก็ดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เช่นขณะนี้ที่กำลังเห็น จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน และขณะไหนเป็นกุศลจิต ขณะไหนเป็นอกุศลจิต เพียงแต่กล่าวถึง แต่ยังไม่รู้ภาวะที่เป็นจิต เพราะว่าถ้ากล่าวถึงจิตมีจริงๆ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    6 ธ.ค. 2568