ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630


    ตอนที่ ๑๖๓๐

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ เป็นไม้ เป็นก้อนหิน เป็นทองคำ หรือเป็นรูปปั้น หรือเป็นอะไร ที่เข้าใจว่าศักดิ์สิทธิ์

    ผู้ฟัง คุณแม่ท่านเชื่อว่ามีเทวดา มีพรหม หรือมีอะไรที่จะลิขิตทำให้เป็นไป

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น พูดถึงอะไรก็ควรที่จะรู้จักสิ่งนั้น ไม่ใช่พูดลอยๆ เช่นเทวดาคือใคร มีจริงหรือเปล่า มนุษย์มีจริงหรือเปล่า สัตว์เดรัจฉานมีจริงหรือเปล่า นรกมีจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เทวดาต้องเป็นผลของกุศลกรรม หรือเป็นผลของอกุศลกรรม

    ผู้ฟัง กุศลกรรม

    ท่านอาจารย์ เทวดาก็มีจริง แล้วถ้าเทวดาสามารถจะช่วยคนอื่นได้ ป่านนี้ทุกคนสบายหมด

    ผู้ฟัง แสดงว่าไม่มีใครช่วยได้ ต้องทำเหตุ คือกุศล

    ท่านอาจารย์ ตามเหตุ

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าคือใคร มีตัวตนหรือไม่

    ท่านอาจารย์ อยากรู้จักพระพุทธเจ้าไหม

    ผู้ฟัง อยากรู้จักพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นพระรูปกาย แต่ถ้าอยากรู้จักพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ ฟังพระธรรมเมื่อนั้น แล้วจึงจะเห็นว่าบุคคลที่ได้กล่าวถึงธรรม จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากผู้ที่ตรัสรู้ความจริงโดยประการทั้งปวง เพราะว่าทรงแสดงความจริงในขณะนี้โดยละเอียด จนกระทั่งถึงย่อยที่สุด หนึ่งขณะจิตซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมอะไรเกิดขึ้น และก็ดับไปอย่างรวดเร็ว โดยละเอียด ตั้งแต่ขั้นต้นจนกระทั่งถึงความละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะรู้ว่าผู้ที่สามารถที่จะแสดงธรรมที่ดูเหมือนเป็นปกติในขณะนี้ ให้เห็นความเป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วเพราะมีเหตุปัจจัย ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้เลย

    ถ้าเพียงได้ยินคำว่าธรรม โดยที่ไม่ศึกษาก็ยังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร นี่คือความไม่รู้กับความรู้ แต่เมื่อฟังแล้วก็จะได้เข้าใจ แม้แต่คำที่เราได้ยินเเเละใช้บ่อยๆ ละเอียดขึ้น เช่น ถ้ากล่าวถึงธรรมต้องหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าไม่จริงใครจะรู้ได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นได้ ขณะนี้มีหรือเปล่า ถ้าขณะนี้ไม่มีก็เป็นโมฆะ

    ความหมายของธรรมคือสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วด้วย ขณะนี้กำลังปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ดังนั้นจึงต้องฟังจนกว่าจะรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย แล้วไม่ใช่ของใครด้วย แต่สิ่งนั้นก็มีจริงๆ ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น เกิดแล้วด้วยขณะนี้ ในขณะที่ฟังอย่างนี้พอที่จะรู้จักธรรมไหม สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ตามการศึกษาก็รู้ว่าเสียงเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ตามการศึกษา หรือว่าเสียงปรากฏ มีเสียงจริงๆ เสียงที่มีจริงมีแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมทั้งๆ ที่เสียงก็มีจริง สิ่งที่เคยมีจริงในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด โดยไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น เริ่มมีความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าที่เคยเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่ามีจริงเมื่อเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ต้องหมดสิ้นไป ๒๕๐๐ ปี เหตุการณ์ในสมัยนั้นยังอยู่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี ล่วงไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้มีไหม

    ผู้ฟัง เมื่อวานนี้ก็ล่วงไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม กว่าจะถึง ๒๕๐๐ ปีก็ต้องมีขณะนี้ด้วย ใช่ไหม เพราะฉะนั้น กล่าวว่า ๒๕๐๐ ปีไม่มีอะไรเหลือ ข้างหน้าตั้ง ๒๕๐๐ ปี แต่ถ้าไม่มีขณะหนึ่งๆ แต่ละขณะ จะถึง ๒๕๐๐ ปีไหม

    ผู้ฟัง ไม่ถึง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวว่า ๒๕๐๐ ปีไม่มีอะไรเหลือ เดี๋ยวนี้ก็ต้องไม่เหลือ นี่คือพระพุทธเจ้าหรือเปล่า

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ คนอื่นจะสอนอย่างนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ความจริง และสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นจริงอย่างนี้หรือเปล่า ตรงไหนบ้างที่ผิดจากความจริง

    ผู้ฟัง ไม่มี ค้านไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่แสดงให้เห็นว่าธรรมไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของใคร ธรรมเป็นธรรม ใครบังคับบัญชาธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ โกรธเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง โกรธเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง โกรธเป็นนามธรรม เป็นสิ่งหนึ่งที่ปรากฏแล้วก็รู้ได้ แล้วมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจคำว่าธรรม ก็จะเข้าใจซึ้งถึงความหมายว่าอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เลือกให้เกิดก็ไม่ได้ เลือกไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้เองที่กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่ามีปัจจัยเกิดขึ้นที่จะให้เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้ามีจริง

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็ตอบได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปถึงที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่ปรินิพพาน แต่เมื่อได้ฟังคำสอนก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ผู้ที่สอนอย่างนี้ต้องมีปัญญาที่คนอื่นไม่สามารถจะมีได้ นอกจากฟังพระธรรมที่ทรงแสดงแล้วสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกขึ้น

    ผู้ฟัง พระสงฆ์คืออะไร แล้วพระสงฆ์ที่แท้จริงคืออย่างไร

    อ.ธิดารัตน์ เมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็จะต้องมีการแสดงธรรม เพราะว่าความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ มีการสะสมพระบารมีมา และเมื่อท่านตรัสรู้แล้วก็จะไม่แค่เพียงปรินิพพานไปเพียงพระองค์เดียว ยังมีการแสดงธรรม ซึ่งเป็นพระธรรมที่ท่านแสดงทั้ง ๔๕ พรรษา หลงเหลืออยู่แก่ผู้ที่สามารถที่จะฟังแล้วเข้าใจได้

    สาวกก็คือผู้ที่ฟัง ฟังและเข้าใจ สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามได้ มีการอบรมขัดเกลาอกุศลธรรม จนสามารถละอกุศลธรรมได้เป็นขั้นๆ เรียกว่าเป็นพระอริยบุคคล ขั้นต้นก็คือพระโสดาบัน สามารถที่จะละความเห็นผิด ละความสงสัย จึงชื่อว่าเป็นอริยสาวก

    เพราะฉะนั้น สาวกก็มีทั้งผู้ฟังธรรมดา แล้วก็น้อมประพฤติปฏิบัติตามแต่ยังไม่ได้เป็นพระอริยะ จนกระทั่งถึงเริ่มที่จะเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น เป็นพระโสดาบัน สูงกว่านั้นเป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี จนสามารถดับกิเลสได้โดยไม่เหลือเลย คือเป็นพระอรหันต์ที่เป็นสาวก คือผู้ที่ฟังจากพระพุทธเจ้าจึงสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ฟังพระธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ฟัง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ใช่ไหม

    ผู้ฟัง บางครั้งก็เหมือนเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่ใช่พระโสดาบัน ยังไม่ได้ดับการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตน แต่ให้ทราบว่าขณะนี้ที่เข้าใจว่าเป็นเราก็คือเป็นธรรม และขณะใดที่ฟังสิ่งที่จริงซึ่งมีผู้ตรัสรู้และทรงแสดง คนนั้นชื่อว่าสาวก คือผู้ฟัง แต่สาวกมีหลายระดับขั้นตามกำลังของปัญญา

    ขณะใดก็ตามที่ได้ยินคำว่าพระรัตนตรัย ก็จะต้องมีทั้งพระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระธรรม ที่ทำให้บุคคลนั้นถึงความเป็นพระอริยบุคคล เช่นเดียวกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเป็นผู้ฟังคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง

    ขณะนี้ เพียงมีศรัทธาเล็กน้อยแล้วก็เริ่มฟัง จะรู้ว่ายังห่างไกลกันมาก กับการที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่าเป็นธรรม แต่ก็ฟังต่อไปจะเพิ่มความเข้าใจเพิ่มขึ้น คือสาวก ผู้ฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะมีความเห็นถูกเข้าใจถูก ถึงความเป็นพระอริยสาวก เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง ขณะนี้เป็นจริงอย่างนั้น

    แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ตรงก็จะรู้ว่าปัญญาขณะที่กำลังฟัง ยังไม่ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม อย่างที่พระอริยบุคคลทั้งหลายได้ตรัสรู้ความจริงนั้น แต่เมื่อผู้ที่ฟังมีความเข้าใจ ความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้น ฟังอีก ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้นอีก มีความเห็นถูก จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จุดประสงค์ของการฟังว่าเพื่ออะไร เพราะว่าบางคนชอบไปวัด ชอบทำบุญ แล้วก็อาจจะชอบฟังธรรม หรือฟังเทศน์ แต่รู้จุดประสงค์ไหมว่าฟังทำไม ฟังเพื่อที่จะมีความเห็นถูกเพื่ออะไร เพื่อรู้ว่าแต่ก่อนนี้ไม่เคยมีความเห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมมีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เมื่อมีเราแล้วรักเรามากไหม หรือรักคนอื่นมากกว่าเรา

    ผู้ฟัง รักตัวเองมากที่สุด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า เมื่อรักตัวเองมากที่สุดแล้วทำอะไรเพื่อใคร

    ผู้ฟัง เพื่อตัวเอง

    ท่านอาจารย์ เพื่อตัวเอง โดยที่ตัวเองไม่มี ใช่ไหม แต่หลงเข้าใจว่าธรรมนี่เองเป็นเรา และพยายามที่จะต้องการสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเรา ด้วยความเห็นผิดว่ามีเรา แต่ถ้ารู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นธรรม ๒ ฝ่าย ธรรมที่เป็นกุศลก็มี ธรรมที่เป็นอกุศลก็มี เพียงแค่ได้ยินชื่อ กุศลเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม อกุศลคือสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม ถ้าฟังอย่างนี้ก็พอจะมีความรู้ขึ้นมาอีกใช่ไหมว่า ควรอบรมเจริญธรรมอะไร

    ผู้ฟัง ธรรมฝ่ายกุศล

    ท่านอาจารย์ ทางฝ่ายกุศล ถ้าไม่มีการฟังธรรมจะรู้ไหมว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง จะไม่มีทางรู้เลย

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย เห็นดอกไม้สวยๆ ชอบไหม

    ผู้ฟัง ชอบ

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง อกุศล

    ท่านอาจารย์ ทางหู เสียงเพราะๆ ชอบไหม

    ผู้ฟัง ชอบ

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง อกุศล

    ท่านอาจารย์ ทางจมูก กลิ่นหอมๆ ทางลิ้น รสอร่อย ทางกาย สัมผัสที่สบาย

    ผู้ฟัง ก็ชอบทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ ทางใจก็คิดนึกเรื่องจะสนุกสนาน จะรื่นเริง เป็นอกุศลหรือเปล่า

    ผู้ฟัง อกุศล

    ท่านอาจารย์ ทั้งวันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ทั้งวัน

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงแล้วเริ่มจะเข้าใจว่า ธรรมที่เป็นอกุศลนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี ไม่น่าพอใจ โดยที่ไม่รู้ว่าผลนั้นมาจากไหน มีใครอยากเจ็บไข้ได้ป่วยบ้างหรือเปล่า มีใครอยากได้รับภัยพิบัติต่างๆ หรือเปล่า ไม่มีใช่ไหม แต่ก็มีเหตุที่จะให้เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น

    การฟังธรรมและมีความรู้ที่ถูกต้องตามลำดับ จะทำให้รู้จุดประสงค์ของการฟังธรรมว่าเพื่อละความไม่ดี แล้วเราก็พูดเมื่อครู่นี้เองว่าไม่ดีทั้งวันใช่ไหม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วอะไรจะละได้ ถ้าไม่ใช่ธรรมเตชะ หรือธรรมเดช

    พระพุทธพจน์ทั้งหมด เป็นธรรมที่สามารถที่จะเผาธรรมฝ่ายอกุศลได้ แต่ว่าต้องมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น จากการที่แม้ฟังแล้วคิดที่จะละชั่วไหม ถ้ามีความตั้งใจเพิ่มขึ้นเพราะเห็นประโยชน์ ความเพียรที่เคยเพียรทั้งวัน เพียรเพื่ออกุศล ถูกต้องไหม

    ตั้งแต่ตื่นมาเพียรทำอะไร เพื่อตัวเองทั้งนั้นเลย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บังคับไม่ได้ เป็นธรรม มีเหตุปัจจัยเกิด แต่ก็สะสมเหตุปัจจัยที่จะมีความเห็นถูกว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน กว่าจะคลายการยึดถือสภาพธรรม รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมก่อน แล้วกุศลทั้งหลายจึงจะเจริญขึ้นได้ แต่ให้คิดถึงขณะที่ไม่เคยฟังธรรมเลย อยู่ในโลกของอะไร ความมืด ความไม่รู้ ความต้องการด้วยโลภะ การเบียดเบียนด้วยโทสะ

    ถ้าออกห่างจากโลกนั้นมาแล้วก็มองโลกของอกุศล จะเห็นชัดว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะไปคลุกเคล้า หรือติดข้องอยู่ในที่นั้นไปเรื่อยๆ ทุกภพทุกชาติ แต่ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะเห็นได้ โดยอาศัยพระธรรม

    ดังนั้น ถ้ามีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ก็มีการเข้าใจถูกต้องว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ให้ใครไปบังคับเปลี่ยนตัวเอง จากที่เคยชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้กลายเป็นไม่ชอบ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมซึ่งสะสมมาที่จะชอบก็ชอบ ชอบสีฟ้าหรือสีชมพู แต่ละอัธยาศัยตามการสะสม เปลี่ยนได้ไหม

    ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตามเหตุตามปัจจัย จนกว่าจะค่อยๆ สะสมความเห็นถูกมากขึ้น เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นการน้อมไปสู่การมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะเรากล่าวอยู่เสมอใช่ไหมว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และวันนี้พึ่งพระรัตนตรัยเมื่อไหร่ ในขณะที่ไม่ได้ฟังธรรมพึ่งพระรัตนตรัยตอนไหน ไม่ได้พึ่งเลยใช่ไหม นอกจากกราบระลึกถึงพระคุณ หรือว่ากราบขออะไรก็แล้วเเต่ เเล้วถ้าจะระลึกถึงพระคุณ รู้พระคุณแค่ไหนก็ระลึกถึงพระคุณเพียงแค่นั้น

    ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลยก็ไม่รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบุคคลผู้เลิศในจักรวาล แสนโกฏิจักรวาล ไม่มีใครเสมอเหมือน เพราะว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทรงพระบริสุทธิคุณ ไม่ได้ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากใคร เพราะเหตุว่าบำเพ็ญมาเพื่อที่จะให้เป็นพระมหากรุณาที่จะให้ความเห็นถูก เพราะรู้ว่าถ้าเหตุดี ผลดีต้องตามมา ไม่ว่าเราจะช่วยใคร ให้อะไรใครสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาเป็นอกุศล มีอกุศลจิต ใครจะไปห้ามผลไม่ดีที่จะเกิดขึ้นจากจิตที่ไม่ดีได้

    เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงพระมหากรุณาแสดงเหตุ คือกุศลที่จะให้บุคคลนั้นได้เจริญ ได้เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะดับการยึดถือสภาพธรรม ไม่มีอีกเลย จากการที่ในสังสารวัฏฏ์ไม่เคยรู้จักธรรม จนกระทั่งได้รู้ธรรม ได้ฟังธรรม ได้ค่อยๆ เข้าใจธรรม จนกระทั่งค่อยๆ คลายความยึดถือธรรมว่าเป็นเรา สามารถที่จะดับกิเลส คือการเห็นผิดไม่เกิดอีกเลย ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ที่จะได้รู้จักพระคุณ ไม่ใช่เพียงแต่ท่องคาถา หรือกราบไหว้โดยที่เห็นว่าพระองค์เป็นผู้เลิศ แต่ยังไม่ได้เข้าใจในความเลิศของพระองค์

    ผู้ฟัง คุณแม่ก็ไปวัด แล้วพระชอบสอนให้ภาวนา คำว่าภาวนามีความหมายอย่างไร

    ท่านอาจารย์ การที่จะเข้าใจธรรมได้คือเป็นผู้ที่ละเอียด ไม่เผิน ถ้าได้ยินคำไหน อย่าเพิ่งคิดว่ารู้แล้ว หรือเข้าใจแล้ว เช่น ได้ยินคำว่าภาวนา หรือพูดคำว่าภาวนา ก็เหมือนกับทุกคนเข้าใจแต่ไม่ถูกเลย เพราะเหตุว่าส่วนใหญ่ภาษาไทยเข้าใจว่า ภาวนาหมายความถึงการท่องบ่น หรือการขอให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ภาวนาให้แดดออก ถ้าไม่มีแดดหลายๆ วัน ภาวนาให้ฝนตก ถ้าฝนแล้งไม่มีฝน ใช่ไหม

    นี่คือความคิดว่าถ้าเราท่องบ่น หรือว่าเรามุ่งมั่นที่จะให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เพียงแต่กล่าวความตั้งใจที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น นี่คือความหมายในภาษาไทย ไม่ทราบว่าคนอื่นคิดว่าภาวนาในภาษาไทยจะเป็นอย่างอื่นหรือเปล่า แต่ภาวนาจริงๆ หมายความถึงอบรมให้สิ่งที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น ให้สิ่งที่เกิดแล้วเจริญขึ้น ดังนั้นก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี ขณะนี้กำลังภาวนาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ขณะนี้ ถ้าสติสัมปชัญญะเกิดก็คือภาวนา

    ท่านอาจารย์ ก็พูดคำที่ไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่คำว่าภาวนาก็ไม่เข้าใจ เข้าใจผิด สติสัมปชัญญะคืออะไร

    ผู้ฟัง คือเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เกิดกับกุศล

    ท่านอาจารย์ แล้วสัมปชัญญะ

    ผู้ฟัง สัมปชัญญะ เข้าใจว่าคือปัญญา แต่ว่าก็มีหลายระดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากที่ไม่เคยเข้าใจ เป็นการอบรมให้มีความเข้าใจขึ้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นการเจริญกุศลเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ แล้วเป็นภาวนาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จัดเป็นภาวนาก็น่าจะได้

    ท่านอาจารย์ อนุญาตหรืออย่างไร ได้หรือไม่ได้ จัดเป็นอย่างนั้น จัดเป็นอย่างนี้ พูดตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง เป็นภาวนา

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องของภาษา ๒ ภาษา ซึ่งเราไม่ได้เข้าใจความหมายเดิม แต่เรานำภาษาที่เราไม่เข้าใจมาใช้ตามความเข้าใจของเรา ซึ่งก็ทำให้ความหมายนั้นเปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เผินและเป็นผู้ตรง ถ้าไม่รู้ก็ถามเพื่อที่จะได้เข้าใจขึ้น

    ถ้าใครบอกให้ภาวนาก็ถามเขาก่อนว่า ภาวนาคืออะไร เพราะว่าภาวนาไม่เป็นแน่ถ้าไม่รู้ว่าภาวนาคืออะไร ใช่ไหม บอกให้ภาวนาเหมือนกับบอกให้ทำ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำอะไร เพราะไม่รู้ว่าภาวนาคืออะไร เพราะฉะนั้น เราไม่ใช่คนที่จะตามไปใครก็ได้ที่บอกโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งนั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงที่จะได้ความเข้าใจจริงๆ

    สำหรับภาวนาก็คือการอบรมให้สิ่งที่ยังไม่มีมี สิ่งที่มีแล้วเจริญขึ้น ซึ่งมีตั้งแต่ขั้นฟัง เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่เข้าใจอะไรเลย จะไปถึงการอบรมปัญญาให้มากขึ้นที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมก็เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็คืออย่าเพิ่งคิดว่าเข้าใจแล้ว เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจธรรม ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งพูด ทั้งทำ ทั้งคิด โดยไม่รู้ว่าคืออะไร ถูกต้องไหม กำลังเห็น เห็นแล้วคืออะไรก็ไม่รู้ คิดแล้ว คิดคืออะไรก็ไม่รู้ พูดถึงธรรม ธรรมคืออะไรก็ไม่รู้ พูดถึงภาวนา ภาวนาคืออะไรก็ไม่รู้ คืออยู่ด้วยความไม่รู้ ทั้งพูด ทั้งทำ ทั้งคิด จนกว่าจะมีการรู้สิ่งที่มีจริงๆ แล้วเข้าใจถูกต้องในสิ่งนั้น ก็จะรู้จักทุกคำที่เคยได้ยิน

    ผู้ฟัง แสดงว่าคำว่า ภาวนา หมายถึงการเจริญกุศล แต่ถ้าจะเข้าใจความหมายของคำว่าภาวนาให้ลึกซึ้งมากขึ้นนั้น เราในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์ แสดงว่าต้องเริ่มต้นจากการเป็นผู้ฟัง ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อบรมอะไร

    ผู้ฟัง อบรมกุศลที่ยังไม่มีให้มี

    ท่านอาจารย์ ก่อนฟังธรรม มีทานไหม

    ผู้ฟัง ก็มีการให้ทาน

    ท่านอาจารย์ ให้ทานไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิดแล้วก็ตาย โดยไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่กุศลที่เจริญขึ้น เมื่อมีการให้บุคคลอื่น สงเคราะห์ช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ไม่เข้าใจธรรมเลย คือมีการให้ทาน แต่ยังไม่รู้ว่าไม่ใช่เพียงทานเท่านั้นที่เป็นกุศล แล้วจะอบรมทานก็ได้ผลของทานเท่านั้นเอง กุศลคือปัญญาที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมยังไม่เคยมี เพราะฉะนั้นจะเจริญก็ไม่ได้ มีแต่กุศลที่สะสมมาเป็นอุปนิสัยเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง แสดงว่า นอกจากการให้ทานซึ่งเป็นกุศลแล้ว ยังมีกุศลชนิดอื่นอีกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เมื่อไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทานก็มี ศีลก็มี ความสงบของจิตจนกระทั่งสามารถที่จะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้วุ่นวาย แล้วสงบขึ้นสงบๆ ก็มี แต่ไม่สามารถที่จะรู้จักธรรม ไม่สามารถที่จะเห็นว่าไม่มีเรา ไม่รู้จักความหมายของคำว่า อนัตตา ไม่รู้ว่า ธรรมเป็นอนัตตา ดังนั้นก็ไม่ได้ภาวนาที่จะให้เกิดกุศลที่ยังไม่เคยเกิดเลยให้มีขึ้น

    ผู้ฟัง แสดงว่า เมื่อพระพุทธองค์อุบัติขึ้นมาแล้วคือสอนให้เรารู้ว่า นามธรรมหรือรูปธรรม หรือว่าความจริงที่มีนั้นไม่มีตัวตน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะกุศลอื่นยังคงเป็นเหตุที่จะให้เกิดผลที่ดีเท่านั้นเอง ไม่สามารถที่จะดับอกุศลได้จนกระทั่งไม่มีอกุศลอีกเลย เช่น เราให้ทาน อกุศลเราก็ยังมีใช่ไหม รักษาศีล อกุศลของเราก็ยังมี โลภะ โทสะ โมหะ ก็ยังมี อบรมเจริญความสงบก็ยังเป็นเรา อกุศลก็ยังมีอยู่ แล้วจะให้ไม่มีอกุศลได้อย่างไร เพราะเหตุว่านับวันก็มากขึ้น อย่างเมื่อวานนี้กับวันนี้ต่างกันไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ตรงไหน อกุศลเพิ่มขึ้นใช่ไหม

    ผู้ฟัง เพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้หมดแล้ว วันนี้ยังมีอีก วันนี้ก็จะหมดไปอีก อกุศลก็ยังสืบต่อไปอีก ก็เพิ่มขึ้นตลอด แต่เมื่อมีโอกาสฟังธรรม ลองคิดดูว่าโอกาสของอกุศลกับโอกาสของการฟังธรรม อะไรจะมากกว่ากัน ดังนั้นจึงต้องอาศัยความเพียรที่จะสะสมกุศล ที่จะทำให้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะดับอกุศลได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    28 พ.ย. 2568