ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
ตอนที่ ๑๖๔๗
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมรอยัล เรสซิเดนซ์ ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ พระองค์ต้องการที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าแล้วสิ่งที่ปรากฏให้ชอบ ให้พอใจ ให้ติดข้องนั้น ความจริงคืออะไร เป็นสิ่งซึ่งเมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนปรินิพพาน และพระธรรมอันตรธาน หมายความว่าไม่มีคำสอนใดๆ เหลืออีกที่จะทำให้คนสามารถที่จะได้ฟังได้พิจารณาและเข้าใจธรรมที่มี
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์จะต้องอบรมเจริญความดีทุกประการ ที่ใช้คำว่าบารมี คือความดีทุกประการ เพื่อที่จะขจัดอกุศล หรือความไม่ดีซึ่งมีมากมายหลายประการ จนกระทั่งสามารถที่จะถึงวัน หรือกาลสมัยที่จะตรัสรู้ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถึงกาลนั้นใครก็จะเปลี่ยนไม่ได้ เมื่อประทับนั่งที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ยามที่หนึ่ง ยามที่สอง เมื่อถึงยามที่สาม ความดีทั้งหมดจากการที่ได้บำเพ็ญบารมี จนกระทั่งละคลายความติดข้องอย่างหยาบๆ หรืออย่างละเอียดที่คนอื่นทำไม่ได้ ทำให้สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริงกับสติและปัญญา ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ลองคิดดู เราฟังธรรมแล้วก็มีธรรม ทั้งๆ ที่ธรรมปรากฏ ก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นธรรมเพราะอวิชชา สมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ก็มีอวิชชา จึงไม่ได้ตรัสรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงขณะนี้รู้อะไร ก็รู้สิ่งที่มี ซึ่งอวิชชาไม่รู้ ขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วไม่รู้ ไม่ใช่ใครเลย สภาพไม่รู้มีจริง และเมื่อความไม่รู้นั้นหมดสิ้นไป เจริญอบรมจนกระทั่งความรู้เกิดขึ้น รู้ในอะไร ก็รู้ในสิ่งที่อวิชชากำลังไม่รู้นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ การรู้สภาพธรรมเป็นปกติ จึงกล่าวว่าทุกอย่างที่ปรากฏที่มีจริงเป็นธรรม ซึ่งมีผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีที่เป็นสาวกบารมี ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการที่จะได้รู้ตามที่ได้ฟังด้วยความละเอียดในความลึกซึ้งของธรรม เพราะว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ สภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วมากอย่างละเอียดยิ่ง ด้วยพระปัญญาเหนือบุคคลใด
ขณะนี้มีเห็น แล้วก็มีได้ยิน ห่างกันมาก เห็นต้องดับไปก่อน จิตคนละขณะ แล้วมีภวังค์คั่นก่อนที่จะถึงจิตได้ยิน มีการคิดนึกเรื่องสิ่งที่เห็น สารพัดนามธรรมและรูปธรรมเมื่อครู่นี้ดับหมด แต่ไม่รู้ แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงโดยละเอียดยิ่งอย่างนั้น โดยประการทั้งปวง จึงได้ทรงแสดงพระธรรมหลังจากที่ไม่น้อมพระทัยที่จะแสดง เพราะว่าสัตว์โลกเป็นผู้ที่ติดข้อง คำว่าสัตว์ หมายความว่า ติดข้องในสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้น พอใจแต่ที่จะได้ วันนี้พิสูจน์แล้วใช่ไหม เป็นอย่างนี้หรือเปล่าตั้งแต่เช้า ตื่นมาทำอะไรบ้างตามความต้องการ รับประทานอาหารซึ่งมีหลายชนิด ก็รับประทานสิ่งที่พอใจ ที่อยากจะได้ นี่คือสิ่งที่มีตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน สำหรับผู้ที่ได้สะสมความดี ศรัทธาที่จะฟังต่อไปและมีโอกาสที่จะได้ฟัง แต่ว่ากว่าจะเข้าใจได้ต้องทีละเล็กทีละน้อย ไม่ประมาท ไม่ใช่ว่าอาการ ๑๒ ของอริยสัจจ์ ๔ คืออะไร รู้แล้วก็งง ใช่ไหม อย่างไรก็ต้องงง และอะไรเป็นอริยสัจจ์
ขณะนี้ ถ้าใช้คำว่าอริยสัจจะ ความจริงที่ทำให้บุคคลนั้นเป็นพระอริยบุคคล ที่จะเป็นพระอริยบุคคล จากปุถุชนก็ด้วยปัญญา ปุถุชนถ้าไม่มีปัญญาจะเป็นพระอริยบุคคลได้ไหม เงินซื้อการเป็นพระอริยบุคคลได้ไหม มีทางไหมที่จะใช้เงินไปซื้อปัญญา ขณะนั้นได้อะไร ได้โลภะ แล้วได้ความไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็คือธรรมฝ่ายตรงกันข้ามทั้งหมด แต่เพราะความละเอียดลึกซึ้งก็ทำให้คนหลงทาง เข้าใจผิดด้วยความต้องการ แล้วทำให้มีความเห็นผิดในการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะความไม่ละเอียดไม่ลึกซึ้งว่าพระธรรมที่ทรงแสดง จากการตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ปริยัติ หมายความว่า การฟังพระธรรม การเข้าใจถูก ด้วยความรอบรู้ในพระธรรมที่ทรงแสดงว่าเป็นความจริง เป็นปัจจัยที่จะให้มีการระลึกได้ว่าเป็นธรรมขณะนี้ แล้วปัญญาเริ่มศึกษาตัวธรรม เพราะว่าเคยได้ฟังเรื่องธรรมมาแล้วมาก แต่ยังไม่รู้จักตัวธรรม ทั้งๆ ที่ขณะนี้เป็นตัวธรรมตรงตามที่ได้ทรงแสดงทุกอย่าง แสดงเรื่องจิตแต่ละประเภท เจตสิกแต่ละประเภท ซึ่งมีทั้งนั้นเลยแต่หมดแล้วไม่รู้ จนกว่าจะฟังเมื่อไหร่แล้วรู้จักสภาพธรรมเมื่อนั้น นี่คือการไม่ประมาทในพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพราะฉะนั้น ถ้าได้ยินคำอะไร ฟังแล้วเหมือนตื่นเต้น น่ารู้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม ก็เข้าใจไม่ได้เลย ได้ยินก็สงสัย ได้ยินก็สงสัย
ดังนั้น ต้องตั้งต้นที่ธรรมเดี๋ยวนี้ นี่คือตัวธรรมจริงๆ ข้อความในพระไตรปิฎกทั้งหมดแสดงเรื่องธรรมขณะนี้ มีตัวธรรมจริงๆ โลภะ โทสะ โมหะ ผัสสะ เวทนา สัญญา ทุกอย่างขณะนี้ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อรู้ เพื่อเห็นถูก เพื่อเข้าใจถูก จนกว่าจะถึงความเป็นสาวก รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเมื่อไหร่ ขณะนั้นเป็นปัญญาที่สามารถรู้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่มีจริง ซึ่งอาจจะคิดว่าไม่สามารถจะรู้ได้ ไม่สามารถจะรู้คืออวิชชา แต่ถ้าเป็นปัญญาสามารถจะรู้ทุกอย่างที่อวิชชารู้ไม่ได้ สงสัยธรรมไหม เข้าใจขึ้น หรืออย่างไร
ผู้ฟัง เข้าใจขึ้น แต่ก็ไม่หมด ไม่กระจ่าง
ท่านอาจารย์ แน่นอน ใครฟังแล้วกระจ่างทันทีก็ต้องสะสมมามากเลย เช่นบอกว่า เห็นมี ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่กระจ่างแน่นอน แต่เห็นมี สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มี ต้องไม่กระจ่าง เพราะว่าปัญญาเพียงแค่ฟัง แล้วก็เข้าใจ แต่ต้องเข้าใจละเอียดอีกสำหรับแม้สิ่งที่ปรากฏ และสภาพที่กำลังเห็น แล้วก็ไม่ใช่แต่เฉพาะเห็น ทุกอย่างในชีวิตสามารถจะค่อยๆ เข้าใจได้ สามารถที่จะรู้ได้ ฟังธรรมแล้วลืม แล้วจะไปทำอย่างอื่นเพื่อให้รู้ธรรม ได้ไหม
ฟังธรรมขณะนี้ เข้าใจแค่นี้ แล้วก็ลืมว่าเข้าใจเพราะฟัง คิดว่าจะไปทำอย่างอื่นให้รู้จักตัวธรรม ได้ไหม ขณะนี้ก็เป็นธรรม ตัวธรรมจริงๆ เห็นก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม แต่ยังไม่รู้จักธรรมเลย ได้ยินแต่ชื่อ ใช่ไหม เช่น เห็น เดี๋ยวนี้กำลังเห็นแท้ๆ มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ชั่วหนึ่งขณะ แต่ก็มีจิตสืบต่อ มีสิ่งที่ปรากฏทางตาจนกระทั่งเหมือนกับมีคน มีสัตว์ต่างๆ
ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ คือเห็น กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่นี้เข้าใจไหม เดี๋ยวนี้ เข้าใจแค่นี้ใช่ไหม หรือเข้าใจมากกว่านี้ เห็นมีจริงๆ กำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งไม่ใช่สภาพเห็น เพราะเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถูกต้องไหม เริ่มเข้าใจว่าเห็นมี เพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเกิดขึ้นเห็น เริ่มเข้าใจแล้วคิดว่า สิ่งนี้น่าที่จะสามารถเข้าใจขึ้นอีก จนกระทั่งไม่ใช่เราที่เห็นแน่ๆ เป็นความจริงของธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังเห็น
ถ้าจะมีปัญญา ปัญญารู้อะไร ปัญญาเป็นสภาพที่เห็นถูก เข้าใจถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ซึ่งก่อนนั้นไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเคยไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่ว่าปัญญาสามารถที่จะเริ่มเห็นถูก เข้าใจถูก
เพราะฉะนั้น ปัญญาเห็นถูก รู้ถูกในอะไร
ผู้ฟัง เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นธรรม รู้แค่นี้พอไหม พอแล้วขี้เกียจรู้ต่อไปแล้ว พอแค่นี้เองหรืออย่างไร แค่ได้ยินได้ฟังนิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว หรือว่าสามารถที่จะรู้ได้มากกว่านี้อีก เข้าใจได้มากกว่านี้อีก
คำสอนทั้งหมด จะไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหลายเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล และไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วย เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ แต่ละภพแต่ละชาติ ไม่กลับมาอีกเลย ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ สิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก แต่ก็มีปัจจัยให้มีสิ่งที่เกิดสืบต่อ เหมือนไม่มีอะไรที่ดับไปเลย สามารถที่จะเข้าใจมากกว่านี้ได้ไหม เพราะอะไรจึงสามารถที่จะเข้าใจได้มากกว่านี้ เพราะพระธรรมทรงแสดงไว้โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ไม่ให้เห็นผิด ไม่ให้เข้าใจผิดแม้แต่ อริยสัจจ์ ๔ พูดกันง่ายมาก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพื่อไม่ให้เห็นผิด เข้าใจผิด จึงแสดงว่า การที่จะรู้อริยสัจจ์ได้ต้องมีปัญญา คือ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เลย มิฉะนั้นจะไม่ใช่ความรู้จริง
ถ้าเราไม่เข้าใจว่า จริงๆ แล้วการที่จะรู้ทุกขสัจ คือสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับขณะนี้ ถ้าไม่มีสัจจญาณ คือความเข้าใจถูกจากการฟังโดยละเอียด โดยรอบคอบ โดยเคารพอย่างยิ่งในความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาบำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้ แล้วทรงแสดงธรรม แม้ว่าเวลาจะผ่านไป ๒๐๐๐ กว่าปี ก็ยังเหลือที่จะเป็นมรดก ให้คนสามารถที่จะได้ยินได้ฟังแล้วก็เข้าใจได้
เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะกล่าวว่าทุกขอริยสัจจะ คือการเกิดดับของสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงเจ็บปวด ไม่พอใจ เสียใจ แต่สิ่งที่แก้ไขไม่ได้ที่พระอริยะทั้งหลายรู้จริงๆ ที่จะดับการยึดถือว่าเป็นตัวตน คือสภาพธรรมเกิดแล้วดับไป แล้วจะเป็นตัวตนได้อย่างไร
ดังนั้น พระอริยบุคคลทุกท่านรู้ความจริงของธรรม จึงสามารถที่จะหมดความสงสัยในสภาพธรรม และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตนได้ โดยไม่มีการเกิดอีกได้เลย ไม่มีความเห็นผิดอย่างนั้นเกิดได้อีก เพราะเหตุว่า โสตาปัตติมรรคจิต ดับความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรม แล้วก็ดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ซึ่งจะมีได้ต้องมีสัจจญาณ
การฟังโดยละเอียดแล้วรอบรู้ เข้าใจถูกต้องในพระธรรมที่ทรงแสดง เท่านั้นก็ยังไม่พอ ในทุกขสัจอย่างเดียวก็ไม่ได้ ในอริยสัจจ์ที่๒ ที่๓ ที่๔ ก็ยังไม่ได้ ต้องถึงกิจจญาณ เมื่อรู้แล้ว มีหรือที่ปัญญาจะไม่เจริญ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เพียงฟังเรื่องราวของสภาพธรรมเท่านั้น แล้วถ้ามีความอดทน รู้ว่ารู้ยากจริงๆ แต่เมื่อมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เพียงความเข้าใจขั้นฟัง แต่กำลังรู้ตัวจริงๆ ของธรรมแต่ละลักษณะ ก็ยังไม่พอ จนกว่าจะถึงกตญาณ การประจักษ์แจ้ง แทงตลอดความจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง จึงเป็นรอบที่๑ ของอริยสัจจ์ทั้ง ๔ อย่าง ๓ รอบก็คือ ๑๒ ยากไหม
ผู้ฟัง ยาก
ท่านอาจารย์ ถึงยากก็ดีกว่าไม่รู้ รู้ว่ายากก็ดีกว่าไม่รู้ หรือรู้ผิดว่าไม่ยาก
ผู้ฟัง ในขณะที่ปุถุชนเห็น กับโสดาบันเห็น เช่น เห็นดอกไม้ ก็เห็นเหมือนๆ กัน แต่สงสัยว่าน่าจะมีความต่างกันระหว่างโสดาบันกับปุถุชน ในขั้นที่มีโลภะที่ไม่มีความเห็นผิด
ท่านอาจารย์ จิตเห็น มีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มี จิตเห็นก็ดับไปแล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จิตเห็นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเจตสิกเกิดกับจิตเห็นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มี เพราะเป็นจิตเห็น
ท่านอาจารย์ เพราะจิตเห็นเกิดโดยมีเจตสิกเป็นปัจจัย ๗ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นขณะไหน เมื่อไหร่ ใครก็ตาม เพราะว่าจิตเป็นจิต ไม่ใช่เป็นสัตว์เป็นบุคคลเลย เพราะฉะนั้น จิตแต่ละประเภทก็เกิดตามเหตุตามปัจจัย จิตเห็นดับแล้ว คนที่ไม่รู้ความจริงของจิตเห็น ติดข้องต้องการ พอใจในสิ่งที่เห็นหรือเปล่า ปกติ
ผู้ฟัง ตอนที่จิตเห็นนั้นยังไม่มี ถ้าไปถึงชวนวิถี ...
ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องถึงชวนะอะไรเลย พูดธรรมดาที่เราสามารถจะเข้าใจได้ในขณะนี้ คือเราไม่สามารถจะเข้าใจจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อ เราเพียงแต่จะเข้าใจบางขณะ เช่น เข้าใจจิตเห็น แล้วเกิดความพอใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น ความพอใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เห็น แล้วก็มีความยึดมั่นว่าเที่ยง ไม่เกิด ไม่ดับ
ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้รับการอบรมก็คิดว่าใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระโสดาบันสงสัยในความเกิดดับของสภาพธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่สงสัย
ท่านอาจารย์ ไม่สงสัย มีความเห็นผิดว่าเห็นเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เห็นผิด
ท่านอาจารย์ แต่พระโสดาบันไม่ใช่พระสกทาคามี ไม่ใช่พระอนาคามี ไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมตั้งแต่ขั้นฟัง ถ้าไม่ตรงต่อธรรมแม้ในขั้นการฟัง ก็จะไปทางอื่นที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ
เมื่อเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมก็รู้ว่า แม้สภาพธรรมเกิดดับ ไม่ใช่ตัวตน แต่การพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา ที่สะสมมานานแสนนานนั้นยังมีอยู่ นี่คือความเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้หลอกตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่เห็นการเกิดดับ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ไม่ประจักษ์ที่สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงว่ายังมีความติดข้องพอใจในสิ่งที่ปรากฏ
คนที่ไม่ได้ฟังธรรมจะคิดว่า เป็นพระโสดาบันแล้วทำไมยังชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือว่ายังโกรธ คือเขาไม่ได้เข้าใจกำลังของกิเลส เช่น วันนี้ มีเห็นตลอดเลย ความเห็นผิดมีมาก หรือว่าความติดข้องพอใจในสิ่งที่ปรากฏโดยไม่มีความเห็นผิดนั้นมีมาก เพียงเห็นก็ต้องการแล้ว ไม่มีความเห็นใดๆ เลยว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง หรือเป็นเรา หรืออะไร
ด้วยเหตุนี้ โลภะจึงมี ๒ ประเภท โลภะประเภทหนึ่ง ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย โลภะอีกประเภทหนึ่ง ติดข้องในความเห็น ดังนั้นเวลาที่ความเห็นเกิดขึ้น ลักษณะของโลภะไม่ปรากฏ เพราะว่าความเห็นปรากฏ โดยขณะนั้นติดข้องในความเห็น เราจะเห็นคนที่มีความเห็นหลากหลาย ทำให้มีลัทธิศาสนาต่างๆ เมื่อมีการสนทนา หรือมีลัทธิขึ้นมา ความเห็นต่างกัน แต่ลืมคิดว่าที่จะมีความเห็นอย่างนั้นได้ เพราะพอใจ ติดข้องในความเห็นนั้น
เพราะฉะนั้น ในขณะที่ความเห็นผิดเกิด ลักษณะของความติดข้องไม่ได้ปรากฏ ซึ่งบางกาล บางขณะ ก็มีแต่เพียงความพอใจในสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่มีความเห็นเกิดขึ้น ซึ่งสำหรับพระโสดาบันยังมีความพอใจในรูปสวยๆ ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ไม่เห็นผิด
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ปุถุชน กับ โสดาบัน ต่างกันตรงที่ความเข้าใจเท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ ปัญญา จากปุถุชนจะถึงความเป็นพระโสดาบันโดยไม่มีปัญญา ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะปัญญาทำให้รู้แจ้งสภาพธรรม ดับกิเลส ไม่เกิดอีกเลย คือดับอนุสัยกิเลสเป็นบางส่วน ไม่ใช่ดับหมด ถ้าหมดจริงๆ คือพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นพระโสดาบันก็เป็นผู้ที่ตรง ไม่มีความเห็นผิด แต่จะละความพอใจซึ่งวันหนึ่งๆ เกิดมากกว่าความเห็นผิดตั้งเท่าไหร่ เช่น คนที่เขากำลังฟังดนตรี ชอบฟัง เขาไม่ได้เห็นผิดอะไรเลย เพียงแต่กำลังเพลินกับเสียงเพลง เสียงดนตรีต่างๆ ขณะนั้นก็คือความที่สะสมมา ที่จะติดข้องพอใจในเสียง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลแล้วอย่างพระโสดาบัน ไม่มีความเห็นผิดใดๆ เลย ดับหมด แต่ก็ยังมีความพอใจ ด้วยเหตุนี้ความเป็นผู้ตรง เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด เริ่มเห็นความละเอียดที่ยังมีความพอใจซึ่งเป็นอกุศล ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กว่าจะดับได้อีกก็ต้องมีความรู้ที่เป็นปัญญา สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ก็สามารถเพียงดับความติดข้องอย่างหยาบเท่านั้นเอง
แสดงถึงว่าความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหนียวแน่นเเค่ไหน ทิฏฐิยังดับทีเดียวได้หมด เมื่อดับสักกายทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิ หรือความเห็นที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ดับทิฏฐิทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทิฏฐิอะไร ดับได้หมดทันที แต่สำหรับความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส สะสมมานานมาก จนกระทั่งแม้จะดับทีเดียวไม่ได้ ต้องเพียงดับอย่างหยาบๆ ก่อน เป็นพระสกทาคามีบุคคล แล้วต่อจากนั้นเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด ปัญญาก็เห็นความละเอียดของความติดข้องซึ่งเป็นโทษ จนถึงเป็นพระอนาคามีบุคคลเมื่อไหร่ก็ดับความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะสัมผัส ซึ่งเป็นกามทั้งหมด แต่ยังมีความยินดีในภพ นี่คือกว่าจะหมดกิเลสไม่เหลือเลย ที่จะไม่ต้องเกิดเพราะปัญญาที่เพิ่มขึ้น
ท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้มีคำว่าธรรม ตอนนี้ก็มีชื่ออีกหลายชื่อ ตั้งแต่ อาการ ๑๒ ของอริยสัจจ์ ๔ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็มีทั้ง วิปยุตต์ สัมปยุตต์ มีโลภะ และก็มีทิฏฐิ ซึ่งเป็นภาษาบาลี ถ้าเข้าใจภาษาไทยแล้วก็เข้าใจได้เลย วิปยุตต์หมายความว่า ไม่เกิดร่วมด้วย
ขณะใดก็ตามที่มีแต่โลภะแต่ไม่มีความเห็นผิด เราพูดภาษาไทยว่า มีโลภะ แต่ไม่มีความเห็นผิด ภาษาบาลีก็กล่าวถึงจิตนั้นว่า เป็นจิตที่ทิฏฐิคตวิปยุตต์ เป็นโลภะจริง แต่ไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย ใช้คำว่าวิปยุตต์ หมายความว่า ไม่มีทิฏฐิ ปราศจากทิฏฐิ แล้วเวลาที่มีความเห็นผิดเกิดขึ้น ภาษาบาลีก็เป็น ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญญาเกิดร่วมด้วย ภาษาบาลี คือ ญาณสัมปยุตต์ ถ้าไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยใช้คำว่า ญาณวิปยุตต์ ก็คืออย่างหนึ่งเป็นภาษาไทย เข้าใจแล้วรู้ความหมายในภาษาบาลีก็ต้องตรงกัน
ตอนนี้มีโลภมูลจิต หมายความว่า จิตนี้มีโลภเจตสิก เป็นมูลรากให้เกิดยินดีพอใจในสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า มีหรือไม่มี เดี๋ยวนี้ มี เพราะคิดและเข้าใจ แต่ไม่ใช่เพราะรู้ขณะที่โลภะกำลังเกิด เพราะดับแล้ว แต่ฟังเรื่องราวของโลภะ ให้รู้ว่าขณะไหนไม่ใช่เราเพราะเป็นสภาพของโลภะ นั่นคือคิด
เพราะฉะนั้น ปัญญามี ๓ ขั้น คือ ฟัง ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง หมายความว่าฟังรู้เรื่องเข้าใจ เพราะว่าบางคนฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ถ้าสามารถจะเพียงเข้าใจนั่นก็อีกระดับหนึ่ง เป็นปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ก็ยังไม่พอ ก็ยังมีปัญญาที่จะต้องไตร่ตรอง ถึงแม้ว่าได้ยินได้ฟังแล้วลืมก็เกิดระลึกได้
ดังนั้น วันหนึ่งๆ แต่ก่อนเคยคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็อาจจะคิดธรรมต่างๆ ก็ได้ ขณะใดที่ปัญญาเกิด ความเข้าใจเกิดนั่นคือภาวนา อบรมให้มีมากขึ้น ภาวนาหมายความว่า อบรม ไม่ใช่ไปนั่งท่องอะไร ต้องมีทั้งปริยัติจึงจะนำไปสู่ปฏิปัตติได้ เพราะว่าคำว่าปฏิบัติ ปฏิหมายความว่า เฉพาะ ปัตติหมายความว่า ถึง ขณะนี้เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่ปัญญาสามารถที่จะถึงด้วยสติสัมปชัญญะเมื่อมีความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะไปให้ถึงลักษณะที่เป็นธรรมได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นคือต้องมีความเห็นถูกต้อง แล้วรู้ในความเป็นอนัตตาว่า สติสัมปชัญญะจะเกิดเมื่อไหร่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่มีใครไปทำหรือหวังได้ แต่ว่าเริ่มสะสมความเข้าใจ จนกว่าจะรู้ความต่างกันของปัญญาที่ฟัง หรือสติขั้นฟัง กับสติที่กำลังเริ่มรู้ลักษณะที่เป็นปกติเดี๋ยวนี้ แต่ละลักษณะ ซึ่งเลือกไม่ได้เลยว่าจะเป็นลักษณะไหน ยังไม่รู้แจ้งใช่ไหม ยังไม่ประจักษ์แจ้งใช่ไหม ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
