ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
ตอนที่ ๑๖๔๘
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมรอยัล เรสซิเดนซ์ ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ เริ่มรู้ลักษณะที่เป็นปกติเดี๋ยวนี้แต่ละลักษณะ ซึ่งเลือกไม่ได้เลยว่าจะเป็นลักษณะไหน ยังไม่รู้แจ้ง ยังไม่ประจักษ์แจ้งใช่ไหม ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง
ผู้ฟัง ตามที่กล่าวว่า ลักษณะของจิต คือ จิตเป็นประธาน เป็นสภาพรู้ จิตสะสมสันดานในชวนวิถี ฟังแล้วยังไม่ค่อยชัดเจน ช่วยกรุณากล่าวอีกครั้ง
ท่านอาจารย์ จิตมีแน่นอน และจิตก็หลากหลาย จิตหนึ่งขณะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ขณะที่จิตนั้นดับไป สภาพของจิตทุกประเภท เว้นจุติจิต คือจิตขณะสุดท้ายของพระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด
ขณะนี้ จิตของทุกคนมีปัจจัยเกิดขึ้นหนึ่งขณะแล้วก็ดับ แต่เมื่อดับแล้ว จิตนั่นเองเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น สืบต่อไม่มีระหว่างคั่นตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ และถ้าถอยจากขณะเกิดไปถึงชาติก่อนๆ ซึ่งนานแสนนานมาแล้วที่แต่ละคนสะสม จะใช้คำว่าชวนะก็ยาก เพราะเราไม่ได้พูดถึงเรื่องกิจของจิต ถ้าใช้คำว่าชวนะ หมายความว่าจิตแต่ละจิตมีกิจ ไม่สับสนกันเลย จิตนี้ทำกิจอะไร จิตนั้นทำกิจอะไร ถึงเวลาที่กุศลหรืออกุศลจะเกิดขึ้น เช่น เห็นแล้วเป็นกุศล หรือเห็นแล้วเป็นอกุศล ยังไม่ต้องใช้คำว่าชวนะก็ได้ เพราะนั่นเป็นการกล่าวถึงกิจของกุศลจิตและอกุศลจิต จิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับไป เห็นดับไป แล้วเวลาที่กุศลจิตเกิดก็สะสมกุศลต่อจากที่เห็น คุณหมอเห็นแล้วเกิดกุศลบ้างไหม
ผู้ฟัง เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล
ท่านอาจารย์ ที่นี่ก็มีท่านหนึ่ง ท่านเห็นคนกวาดถนนของโรงแรม กุศลจิตเกิด ท่านก็ให้เงินคนนั้น เห็นด้วยกันแต่แล้วแต่ว่า กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด อีกท่านหนึ่งก็เห็นคนเดียวกันนั้น แต่จิตของท่านเป็นอะไร เป็นอกุศลได้ไหม ก็ได้
เพราะฉะนั้น แต่ละคนเป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งจะไม่ซ้ำกันและไม่เหมือนกันเลย แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างเดียวกัน แต่กุศลจิตเกิดบ้าง อกุศลจิตเกิดบ้าง ในคนหนึ่งก็ต่างขณะไป ในอีกคนหนึ่งก็ยิ่งต่างๆ หลากหลายกันไปมากมาย ประมาณไม่ได้เลย
ดังนั้น เมื่อกุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะแล้วดับไป มีจิตอื่นเกิดสืบต่อ กุศลจิตหรืออกุศลจิตที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว ไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ไม่ว่าจะเป็นจิตขณะใดเกิดขึ้น เราไม่สามารถที่จะรู้การสะสมที่มีอยู่ในจิตนั้นได้เลย
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระญาณ พระปัญญาที่รู้อาสยานุสยะของสัตว์ หมายความว่ารู้อัธยาศัย ซึ่งสะสมกุศลมามากน้อยต่างกัน บางคนสะสมกุศลมามาก บางคนสะสมอกุศลมามาก นี่คือใครจะรู้ได้ว่าใจของแต่ละคนสะสมปัญญา หรือสะสมเมตตา หรือสะสมริษยา หรือสะสมอะไรก็แล้วแต่ จนกว่าสิ่งนั้นเกิดเมื่อไหร่ก็สามารถจะรู้ได้ว่า มีการสะสมสิ่งนั้นอยู่ อย่างเช่น คนที่มีความเห็นผิดว่าเป็นเรา ที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ ก็สะสมมานานแสนนานที่จะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้น กุศลที่เกิดแล้วดับแล้วไม่หายไปเลย สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป อกุศลก็เช่นเดียวกัน ถ้าอกุศลมีกำลังถึงกับได้กระทำกรรมดับแล้ว ก็สะสมกำลังของกรรมนั้นเป็นปัจจัย ซึ่งจะทำให้ถึงพร้อมที่จิตที่เป็นผลของกรรมเกิดเมื่อไหร่ จิตที่เป็นผลของกรรมต้องเกิดเมื่อนั้น จิตที่เป็นผลของกรรมคือขณะแรกที่เกิด เพราะผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็มีสะสมอยู่ ดังนั้นเป็นธรรมที่สะสมกรรมที่จะต้องให้เกิดผล คือวิบากและกิเลสด้วย จะไม่ให้สะสมได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ คุณหมอสะสมอะไรมาบ้าง
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เกิดเมื่อไหร่ทราบเมื่อนั้น ถ้ายังไม่เกิดจะรู้ได้อย่างไร
ผู้ฟัง เกิดเมื่อไหร่ถึงทราบเมื่อนั้น
ท่านอาจารย์ โกรธเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทราบไหมว่ามาจากไหน
ผู้ฟัง จากการสะสม
ท่านอาจารย์ ชอบสีแดงหรือสีเขียว
ผู้ฟัง ชอบสีแดงมากกว่า
ท่านอาจารย์ สะสมมาโดยมีฉันทะเป็นมูล ตั้งแต่ลืมตาจนกระทั่งหลับตาเป็นไปตามฉันทะ ความพอใจของแต่ละคน
ผู้ฟัง เช่น การชอบดื่มกาแฟก็คือการสะสม
ท่านอาจารย์ แน่นอน
ผู้ฟัง ต่างกับสะสมที่เป็นชวนวิถีตรงไหน
ท่านอาจารย์ พูดถึงชวนะ คือกุศลและอกุศล เพราะเราไม่ได้พูดถึงเรื่องกิจของจิต เราพูดถึงประเภทหรือชาติของจิต การกล่าวถึงจิตกล่าวได้หลายนัย กล่าวโดยชาติ คือจิตที่เกิดแล้วต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใดใน ๔ ชาติ คือเป็นกุศล ๑ หรือเป็นอกุศล ๑ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดวิบาก ๑ ซึ่งเป็นผลของกุศลและอกุศล และจิตที่เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่วิบาก เพราะว่าไม่ใช่กุศลหรืออกุศลที่เป็นเหตุจะให้เกิดวิบาก และไม่ใช่วิบากซึ่งเกิดเพราะกุศลและอกุศลเป็นเหตุ ได้แก่ ส่วนใหญ่เป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์แล้วไม่เป็นกุศล เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นกุศลก็ยังเป็นเหตุให้เกิดผลคือวิบาก
เพราะฉะนั้น นี่คือการกล่าวถึงจิตโดยนัยของชาติ กล่าวถึงจิตโดยนัยของภูมิ จิตที่เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ทุกวันไม่ได้ออกไปจากนี้เลย กุศลกรรมและอกุศลกรรมก็มาจากความติดข้อง พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ในสิ่งที่มีจริงๆ ในโลกนี้คือสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดใหม่ก็อยู่ตรงแถวนี้ ไม่ไปไกลกว่านี้เลย ไม่เหมือนคนที่เห็นโทษของการเห็น การได้ยิน ว่านำมาซึ่งทุกข์มากมายก็ละความติดข้อง อบรมความสงบของจิต จนกระทั่งความสงบของจิตนั้นมั่นคงถึงระดับของฌานแล้วไม่เสื่อม หมายความว่าใกล้จะตาย ฌาณจิตก็เกิดได้ เป็นปัจจัยให้เกิดในพรหมโลก
โลกนั้นไม่ใช่โลกที่เต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อย่างโลกนี้ จนกระทั่งถึงอีกโลกหนึ่งที่ไม่มีรูปใดๆ เกิดเลย เพราะเห็นโทษของรูปทุกประเภท อย่างเช่น บางคนยังเห็นว่ารูปก็ทำให้เห็น ทำให้แสวงหาความรู้ได้ เสียงก็ยังให้แสวงหาความรู้ได้ แต่ผู้ที่เห็นโทษของรูปทั้งหมดเพราะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปใดก็ตามก็ยังใกล้ต่อการที่จะติดข้อง ก็เป็นเรื่องความละเอียดซึ่งมีจริงๆ แล้วถ้าศึกษาไปจะรู้ว่า ถ้ากล่าวโดยภูมิ จิตระดับต่ำที่สุดคือเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นกามภูมิ
นรกเป็นกามภูมิหรือเปล่า ตาเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ กายกระทบกับสิ่งที่ทำให้เจ็บปวด เป็นเดรัจฉาน งู นก ทั้งหลาย ก็มีตา มีหู ก็เป็นไปในกามภูมิ ต่ำสุดคือ กามภูมิ สูงกว่านั้นคือ รูปภูมิ ความสงบของจิตที่มีรูปเป็นอารมณ์ สูงกว่านั้นคือ อรูปภูมิ ความสงบของจิตขั้นอัปปนา ซึ่งไม่มีรูปใดๆ เลย และสูงกว่านั้นก็คือ โลกุตตรภูมิ พ้นจากโลกทั้งหมด นี่คือกล่าวโดยภูมิ ซึ่งที่คุณหมอพูดคือกล่าวโดยกิจ แต่ให้ทราบว่ากุศลจิตจะทำกิจอะไรก็ตามแต่ก็เป็นกุศล ใช่ไหม
อ.ธีรพันธ์ อรรถของจิตมีหลายประการ อย่างเช่น อรรถของจิต วิจิตรด้วยอำนาจแห่งสัมปยุตตธรรมที่เกิดร่วมด้วย
ท่านอาจารย์ ถ้าจะกล่าวถึงจิต สามารถจะกล่าวถึงจิตโดยนัยประการอื่นด้วย เช่น จะได้ยินคำว่า ลักขณาทิจตุกะ จตุกะคือ ๔ กล่าวถึงจิตได้ ๔ อย่าง หมายความว่ากล่าวถึง ลักษณะของจิต ๑ กล่าวถึง กิจของจิต ๑ กล่าวถึงเหตุใกล้ให้เกิดจิต ๑ กล่าวถึงสภาพธรรมที่เป็นลักขณะ เป็นกิจคือ รสะ เป็นอาการปรากฏคือ ปัจจุปัฏฐาน เเละเป็นเหตุใกล้คือ ปทัฏฐาน
ถ้าพูดถึงภาษาบาลี เราอาจคิดว่าจะต้องจำชื่อ ลักขณะคือ ลักษณะในภาษาไทย กิจคือ รสะ แล้วก็อาการปรากฏของจิต แล้วก็เหตุใกล้ให้เกิดจิต ถ้าจิตไม่มีอาการปรากฏจะรู้จักจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ อรรถที่เราจะกล่าวถึงจิตก็คือ กล่าวถึงอาการปรากฏของจิตด้วยลักษณะของจิต กิจของจิต อาการปรากฏของจิต และเหตุใกล้ให้เกิดจิต คือธรรมอย่างเดียวซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพื่อที่จะให้เข้าใจในสภาพนั้น แสดงให้เห็นว่า รู้ยาก แม้แต่การที่จะรู้ลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ เวลานี้สิ่งที่ปรากฏเป็นต่างๆ ๆ ๆ ทั้งวัน เพราะจิตเกิดขึ้นรู้ทั้งนั้นเลย
ผู้ฟัง คำว่า เหตุใกล้ ยังไม่เข้าใจเลย
ท่านอาจารย์ ตอนนี้หมอไม่พูดถึงเรื่องลักษณะของจิตแล้วใช่ไหม ลักษณะของจิตคือรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แล้วกิจของจิตคืออย่างไร
อ.ธีรพันธ์ กิจของจิตเป็นประธาน คือถึงก่อน
ท่านอาจารย์ เป็นภาษาบาลี เป็นประธาน เป็นหัวหน้า หมายความว่าถ้าไม่มีจิต เจตสิกก็เกิดไม่ได้
ผู้ฟัง ต้องเเปลคำว่า รสะ
ท่านอาจารย์ ถ้าหมอเข้าใจหมดแล้วก็สามารถจะรู้ได้ว่า นี่คือลักษณะ นี่คือรสะในภาษาบาลี แต่ถ้าเราจะนำคำภาษาบาลีมาก่อนโดยไม่เข้าใจ เราจะไปค้นหาอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เพราะเราไปติดที่คำ
ผู้ฟัง เวลามีสภาวธรรมเกิดขึ้น เช่น ได้ยินแล้วก็เป็นโลภะไปเลย นั่นคือเหตุใกล้ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เรายังไม่ได้พูดถึงเหตุใกล้ หมอสงสัยปัจจุปัฏฐาน อาการปรากฏ ใช่ไหม หมายความว่าหมอไม่สงสัยในลักษณะของจิตแล้ว
ผู้ฟัง ไม่สงสัย
ท่านอาจารย์ สงสัยในกิจของจิตไหม
ผู้ฟัง คิดว่าไม่สงสัย
ท่านอาจารย์ คืออะไร
ผู้ฟัง จิตเกิดขึ้นก็มีหน้าที่ มีกิจที่จะทำ
ท่านอาจารย์ กิจจะ กิจของจิต จิตทุกประเภทต้องเกิดขึ้นทำกิจการงาน น่าสงสารไหม น่าเหนื่อยไหม อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมาทำงานแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น กิจของจิตคืออะไร ไม่ใช่แต่ละกิจ ถ้าจะรู้จิต ยังไม่พูดถึงกิจแต่ละกิจของจิตแต่ละประเภท
อ.ธีรพันธ์ กิจของจิต คือเป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์
ท่านอาจารย์ จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธานเมื่อกำลังรู้อารมณ์ ใครจะรู้อย่างจิต เพราะแม้แต่ผัสสเจตสิกก็ทำหน้าที่ของผัสสะ คือกระทบอารมณ์ เวทนาเจตสิกเป็นภาษาบาลี แต่ความจริงคือความรู้สึกในอารมณ์ เจตสิกแต่ละประเภทก็มีกิจของเจตสิกนั้นๆ แต่ทำกิจของจิตไม่ได้
เพราะฉะนั้นที่เป็นใหญ่เป็นประธานกว่ากิจทั้งหลาย เพราะเหตุว่าเป็นลักษณะที่รู้แจ้งอารมณ์ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ ซึ่งเจตสิกอื่นก็รู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองแต่ละอย่างๆ
ถ้าอุปมาคือ จิตเป็นพระราชา ซึ่งพระราชาไม่ต้องทำกิจอื่น กิจอื่นเป็นหน้าที่ของบริวาร แล้วแต่มหาอำมาตย์คนนั้นจะทำกิจอะไร แต่ใครเป็นใหญ่เป็นประธาน
ผู้ฟัง คือจิต
ทา่นอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาที่กล่าวถึงจิต แม้ว่าจะมีเจตสิกหลายประเภทเกิดร่วมด้วย เราไม่กล่าวถึงเจตสิกนั้นเลย แม้แต่โลกุตตรจิต ซึ่งต้องประกอบด้วยปัญญาที่ถึงการรู้แจ้งสภาพธรรม เราก็ไม่ได้กล่าวถึงปัญญา แต่กล่าวถึงโลกุตตรจิต เมื่อกล่าวถึงจิตประเภทต่างๆ จิตต้องเป็นสภาพที่เป็นประธานของเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ต้องท่องไหมถ้าเข้าใจ ภาษาบาลีคือมีลักขณะ มีกิจ มีอาการปรากฏ แล้วก็มีเหตุใกล้ให้เกิด อาการปรากฏไม่สงสัยใช่ไหม
อ.ธีรพันธ์ อาการปรากฏคือ จิตมีการเกิดดับสืบต่อกันเป็นอาการปรากฏ
ท่านอาจารย์ ถ้าจิตไม่เกิดดับสืบต่อกัน จะรู้ได้ไหมว่ามีจิต แต่เพราะไม่เคยขาดจิตเลย เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นที่เกิดดับสืบต่อกัน จึงสามารถที่จะรู้ลักษณะของจิตได้ แสดงให้เห็นว่าเมื่อจิตเกิดและดับ ก็เกิดอีกดับอีก จิตแต่ละประเภทเกิดดับสืบต่อกัน แต่ไม่ใช่จิตเดียวกันเลย
เวลานี้จิตก่อนดับไปแล้ว จิตใหม่เกิดสืบต่อตลอดเวลาจนไม่รู้ว่าเป็นจิตอะไรบ้าง แต่เพราะการเกิดดับสืบต่อก็ทำให้ทำหน้าที่ต่างๆ สืบต่อกัน จนจากเห็นเป็นทำกิจต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นชวนะ จะเป็นอะไรก็ตามแต่ที่จะเรียกชื่อในภาษาบาลี แต่ต้องทำกิจ แล้วที่เรารู้ว่ามีจิตเพราะว่าไม่เคยขาดการเกิดดับสืบต่อเลย เดี๋ยวนี้ก็มีจิตให้รู้ ยังไม่พูดแต่อีกวันหนึ่งจะพูด ก็มีจิตให้รู้ เพราะว่าเกิดดับสืบต่อ แม้ในขณะที่ไม่กล่าวถึงจิต จิตก็เกิดดับสืบต่อกัน แต่จะรู้หรือไม่รู้ก็เป็นเรื่องของเราที่เข้าใจหรือไม่เข้าใจ ถึงอย่างที่ ๔ เเล้วใช่ไหม
อ.ธีรพันธ์ เหตุใกล้ให้เกิดของจิตคือ มีนามรูปเป็นปทัฏฐาน ปทัฏฐานคือเหตุใกล้ให้จิตเกิด ได้แก่ นามรูป
ท่านอาจารย์ ก็เป็นการกล่าวถึงปัจจัย หมายความว่าสภาพธรรมทั้งหลายที่จะเกิดได้ ต้องมีธรรมที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นโดยความเป็นปัจจัย ถ้าจิตไม่มีสภาพธรรมที่เกื้อกูล ส่งเสริมสนับสนุน หรือเป็นปัจจัย จิตนั้นก็เกิดไม่ได้เลย เช่น จิตได้ยิน ถ้าไม่มีเสียงเป็นปัจจัย จิตได้ยินก็เกิดไม่ได้ แม้เป็นจิต แต่จิตอะไร จิตอื่นเกิดได้ แต่จิตได้ยินเกิดไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ จิตจึงหลากหลายมากตามปัจจัย คือนาม ได้แก่ เจตสิกและรูป แล้วแต่ว่าจะเป็นรูปใดก็ตามเป็นปัจจัยให้เกิดจิตประเภทนั้นๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ยินธรรมอีกนัยหนึ่ง อวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ถ้าไม่รู้ว่าสังขารคืออะไร เราก็คิดว่าร่างกายใช่ไหม สังขารไม่เที่ยง ก็คิดว่าร่างกายไม่เที่ยง เกิดแล้วเจริญเติบโต แล้วเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วแก่ แล้วก็ตาย แต่ความจริงสังขารธรรม ธรรมที่เป็นสังขาร ทั่วไปหมด คือสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับเป็นสังขารธรรมทั้งหมด
จิตเป็นสังขารธรรม เจตสิกเป็นสังขารธรรม รูปเป็นสังขารธรรม เพราะจิตเกิดดับ เจตสิกเกิดดับ รูปเกิดดับ แล้วมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นด้วย สภาพธรรมที่ไม่ใช่สังขารธรรมมีอย่างเดียวคือ นิพพาน เพราะไม่เกิด ไม่มีปัจจัยใดๆ ที่จะไปทำให้นิพพานเกิดเลย
ดังนั้นที่เกิดมาแล้วเพราะไม่รู้ความจริงของธรรม อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ทุกคนที่เกิดมามีจิต ดีชั่วตามการสะสมแม้ว่าไม่รู้จักธรรมเลย เด็กเล็กๆ บางคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นผู้ใหญ่ถือของ เขาช่วย ไม่มีใครบอกเลย แต่เขาสะสมมาที่จะเกิดกุศลจิต บางคนสะสมการที่จะช่วยเหลือคนอื่นเป็นอัธยาศัย แต่บางคนก็อาจจะสะสมอย่างอื่นต่างๆ กันไป
ด้วยเหตุนี้ แม้แต่การที่นามธรรมและรูปธรรมจะเกิดขึ้นมาได้ คือแม้ไม่รู้ ซึ่งคืออวิชชา ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง ซึ่งแล้วแต่การสะสม อวิชชาไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่ก็เป็นปัจจัยมาแล้วที่จะให้กุศลประเภทนั้นๆ เกิด หรือว่าอกุศลประเภทนั้นๆ เกิด เมื่อมีเจตนาซึ่งเป็นกรรม เวลาที่กุศลเกิดเพราะมีเจตนาที่เป็นกุศล สภาพธรรมอื่นจึงเป็นกุศลเกิดขึ้นร่วมกัน เวลาที่เป็นอกุศลเพราะมีเจตนา ความจงใจ ตั้งใจในอกุศล ก็เป็นปัจจัยให้เจตสิกทั้งหลายเกิดร่วมกันเป็นอกุศล และทำอกุศลร่วมกันด้วย
เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นกรรมสำเร็จลงไปแล้ว อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือเจตนาที่ได้กระทำกรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ก็อย่างที่เราเข้าใจ คือไม่ต้องไปนั่งเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท แต่ถ้ามีความเข้าใจแล้วก็รู้ว่า นี่คือปัจจัยต่างๆ ที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าไม่มีสภาพธรรมสักอย่างซึ่งเกิดได้ตามลำพัง แม้เกิดแล้วก็ยังเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิดด้วย
เมื่อมีกรรมกระทำสำเร็จแล้ว อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณขณะนั้นคือปฏิสนธิจิต ที่ทุกคนมีแล้ว เพราะมาจากกุศลเจตนา อกุศลเจตนาที่สำเร็จเป็นกรรมในชาติก่อนๆ เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตในชาตินี้เกิดขึ้น และชาติก่อนๆ ถอยไปเท่าไหร่ก็ได้ ตราบใดที่กรรมนั้นยังมีกำลังที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด
เพราะฉะนั้น ตรงนี้หมายความว่าเจตนาซึ่งได้กระทำกรรม เป็นปัจจัยให้วิญญาณคือผลของกรรมนั้นเกิดขึ้น ขณะแรกคือปฏิสนธิจิต แต่กรรมไม่ได้ให้ผลเพียงขณะแรก เเต่ให้ผลต่อมาทั้งหมด ไม่ว่าเป็นวิบากขณะใดก็ต้องเป็นผลของกรรม ก็ค่อยๆ เข้าใจไป สืบเนื่องกันทั้งหมดทั้ง ๓ ปิฎก เพราะเหตุว่าเป็นความจริง ต้องค่อยๆ เข้าใจธรรม ซึ่งเรื่องของธรรมก็มีมาก คือตราบใดที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ทั้งหมดคือธรรมที่จะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ตอนนี้กรรมกำลังให้ผลหรือเปล่า หรือว่าต้องไปถูกรถชน กรรมถึงจะให้ผล กรรมให้ผลทุกขณะ ทุกขณะที่เห็นเป็นผลของกรรม กรรมทำให้มีจักขุปสาทรูป รูปนี้ใครก็ทำไม่ได้ อาหารก็ไม่ทำให้เกิดจักขุปสาทรูป จิตก็ไม่ทำให้เกิดจักขุปสาทรูป อุตุ ความเย็นความร้อน ก็ทำให้เกิดจักขุปสาทรูปไม่ได้ ความเย็นความร้อนยังทำให้เกิดพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ ได้ แต่ทำให้จักขุปสาทรูปเกิดไม่ได้ เพราะรูปนี้ต้องเกิดจากกรรมเท่านั้น
ถ้ามีกรรมคือ เจตนาที่เป็นอกุศล ทำร้ายไม่ให้บุคคลอื่นเห็น เช่นควักตา หรือจะทำอะไรก็ตามแต่ เจตนานั้นเป็นเหตุปัจจัย อะไรเป็นผล ไม่ใช่คนอื่น เวลาเกิด กรรมนั้นไม่เป็นปัจจัยให้จักขุปสาทรูปเกิด ตามเจตนาที่ไม่ต้องการให้มีจักขุปสาทรูป เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าคนอื่นสามารถจะกระทำเรา เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ ทำให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่เลย แม้แต่ขณะจิตแรกก็เพราะกรรม รูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า บางกลุ่มบางกลาปเกิดจากกรรม บางกลุ่มบางกลาปเกิดจากอุตุ บางกลุ่มบางกลาปเกิดจากจิต บางกลุ่มบางกลาปเกิดจากอาหาร สั้นมาก เกิดแล้วดับทันที
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ อายุของรูปเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งแสนเร็ว ไม่เหลือเลย ที่คิดว่ามีอยู่คือไม่เหลือ รูปใดที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุตามปัจจัย เข้าใจว่ามีเรากำลังนั่งเพราะจำไว้ แต่รูปทั้งหมดที่เข้าใจว่าเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เกิดตามสมุฏฐานแล้วก็ดับ เร็วมากจนไม่เหลือ ดังนั้นรูปใดที่จิตไม่รู้ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว
เพราะฉะนั้น ย่อ เราทั้งตัว เหลือเพียงเฉพาะรูปที่ปรากฏ ที่เกิดแล้วยังไม่ดับตรงนั้น แค่นี้ อย่างเช่น แข็ง แค่นี้เป็นเราหรือ รูปอื่นที่ไม่ปรากฏ เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น แม้แต่แข็งที่กำลังปรากฏที่กายก็เกิดดับด้วย มิฉะนั้นปัญญาจะไม่ประจักษ์ว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับ ดับแล้วก็หมดไม่เหลือเลย ย่อนามไปทั้งหมด จากรวมกันทั้งชาติทุกวันๆ เหลือเพียงหนึ่งขณะจิต จิตใดที่เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย จิตก็ไม่ใช่เรา ที่ดับไปแล้วก็ดับไป ที่เกิดใหม่ก็เพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเหลือที่จะยึดถือว่าเป็นเราแน่นอน
ถ้ายึดถือว่าเป็นเราคือ หลงผิดเพราะไม่ได้ฟังพระธรรม และไม่รู้หนทางที่จะเข้าใจพระธรรม เพราะว่าปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะรู้จักธรรมตามความเป็นจริงแล้วก็ดับกิเลสได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
