ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625


    ตอนที่ ๑๖๒๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

    วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ เช่นขณะนี้ ท่าทางอิริยาบถปรากฏที่กายหรือเปล่า หรือว่าจำไว้เท่านั้นเอง แต่ถ้ากระทบสัมผัส แข็งปรากฏ อ่อนปรากฏ เฉพาะส่วนที่ปรากฏเท่านั้น ส่วนอื่นไม่ได้ปรากฏร่วมด้วยเลย เพราะฉะนั้น ส่วนที่ไม่ปรากฏร่วมด้วยเกิดแล้วดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลย

    ด้วยเหตุนี้ การที่จะละความยึดถือสภาพธรรมที่เกิดรวมๆ กันว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเรา เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ก็เพราะว่าไม่รู้ความจริงของธรรมที่เกิดปรากฏให้รู้สั้นๆ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้ เพียงให้เห็นและหมดแล้ว แต่ว่าการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากทำให้ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วก็ดับไป

    ด้วยเหตุนี้ แม้แต่การที่จะเข้าใจความหมายของทุกข์ ทุกขลักษณะ ทุกข์ของสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แล้วค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่เพียงแต่จำหรือว่ารับฟังเหตุผล แต่พิสูจน์ว่าขณะนี้ที่กายจริงๆ มีอะไรปรากฏ และสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นอิริยาบถหรือเปล่า หรือไปจำไว้ว่าเป็นอิริยาบถก็เลยเข้าใจว่ายังมีเรานั่ง แต่ถ้าไม่มีอิริยาบถ ไม่มีเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ที่เคยยึดถือว่ามีรูปร่างกายของเราทั้งหมดนั้นเป็นแต่เพียงความจำ เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏเท่านั้นที่สามารถที่จะให้ความจริงได้ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม

    ผู้ฟัง คำพูดที่ว่า อิริยาบถปิดบังทุกข์ ต้องเพิกอิริยาบถ คือถ้านั่งแล้วเมื่อยก็ยืน ถ้ายืนแล้วเมื่อยก็เดิน อย่างนี้ถือว่าเป็นการเพิกอิริยาบถหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องพิจารณาคำที่ได้ยินได้ฟัง เพิกอิริยาบถ หมายความว่าไม่มีอิริยาบถ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง เพิกหมายความว่าไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เปลี่ยนอิริยาบถ ในขณะที่ฟังเริ่มเข้าใจ ความเข้าใจแม้ขั้นการฟังก็รู้ว่าเพิกอิริยาบถเพราะไม่มีอิริยาบถ จนกว่าจะประจักษ์จริงๆ ว่าไม่มีเรา เพราะเหตุว่าถ้ายังคงมีเรา จะละการยึดถือเรา รูปร่างกาย อิริยาบถทั้งหมดว่าเป็นตัวตนหรือเป็นเราไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จิตก็ไม่ใช่เราเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    สภาพธรรมทั้งหลายที่ใช้คำว่าธรรม เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นทำกิจการงานมีลักษณะต่างๆ กันไปหลากหลายมาก ทั้งหมดเป็นธรรมทุกกาลสมัย ในอดีตก็เป็นธรรมทั้งนั้น ที่จะเกิดและตายก็คือธรรมเกิด แล้วก็ตายไป แล้วเกิดอีก แล้วก็ตายอีก ไม่ว่าจะที่ไหนทั้งสิ้น ในสากลในจักรวาลก็เป็นธรรมทั้งหมดซึ่งเกิดแล้วดับไป จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิด กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ว่าสิ่งใดปรากฏเพราะจิตกำลังรู้แจ้งในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ละขณะนี้หลากหลายมาก แม้แต่เสียงแต่ละเสียงซึ่งจิตรู้ได้ยิน เสียงนั้นปรากฏแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดต้องเห็นจริงว่าเป็นแต่เพียงธาตุหรือธรรม ซึ่งมีลักษณะหลากหลายเกิดขึ้นเป็นไป แล้วก็ดับไป จึงไม่มีเรา ตรงกับคำว่า อนัตตา ถ้าอัตตาก็คือเรา อนัตตาก็คือไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม

    การฟังธรรมเพื่อให้มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่าทุกอย่างที่ปรากฏ จากความไม่รู้ว่าเป็นธรรม แล้วค่อยๆ รู้ว่าเป็นธรรม แม้แต่คำว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์ หรือเพิกอิริยาบถ ก็มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า แท้ที่จริงแล้ว รูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดยิบ และรูปที่ละเอียดมากที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดแล้วก็ดับไป ที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ที่เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐานก็มี ที่เกิดจากอาหารเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดแล้วก็ดับไป ทยอยกันเกิดทยอยกันดับ เพราะฉะนั้น จะมีตัวตน หรือมีอิริยาบถ หรือว่ามีของเรา หรือมีตัวเราจริงๆ ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง เมื่อกำลังฟัง จะตั้งใจฟังเพื่อจะได้เข้าใจ แต่ก็มีคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าขณะนี้ไม่ใช่ฟังแล้วก็หันกลับมาตั้งใจฟังใหม่ ถ้าเป็นขณะนี้จริงๆ แล้วเป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา บังคับให้เกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าบังคับก็คงไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยจึงกล่าวว่าเป็นธรรม ทุกคนห้ามคิดไม่ได้ หลังจากที่เห็นแล้วก็คิด ขณะนี้ทุกคนก็คิด แล้วก็คิดต่างๆ กันไปตามการสะสมด้วยแล้วแต่ว่าจะคิดอะไร ด้วยเหตุนี้แม้แต่เพียงทุกอย่างเป็นธรรมก็ลืมว่าขณะที่กำลังคิดเรื่องอื่น ไม่ใช่ตั้งใจฟังก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรมเพราะว่าบังคับคิดไม่ได้

    ข้อสำคัญก็คือไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะเข้าใจลักษณะของธรรมแต่ละอย่างเพิ่มขึ้น แม้ในขั้นการฟัง ก็จะต้องพิจารณาว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องหรือเปล่า เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มีใจจะมีตาไหม ใครจะทำให้มีตาได้ โต๊ะทำให้มีตาได้ไหม แก้วน้ำทำให้มีตาได้ไหม แต่ตามี เกิดจากอะไร ถ้าไม่มีใจก็เกิดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ขณะนี้ที่เป็นตา มีตาได้อย่างไร และก็ตาขณะนี้เป็นอะไร และตามีเพื่ออะไร หรือสำคัญอย่างไร ตาไม่รู้เลย ตาเป็นธาตุที่ไม่รู้ เป็นรูปชนิดหนึ่ง ซึ่งน่าอัศจรรย์กว่ารูปอื่น อย่างรูปอื่นเช่นแข็งก็ไม่ใช่ตา ถ้าร้อนลักษณะที่ร้อนก็ไม่ใช่ตา ตาเป็นรูปพิเศษชนิดหนึ่งซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    ถ้าทุกคนจะพิจารณาถึงรูปที่กายที่มีมากมาย ตา หู จมูก ลิ้น และกายปสาทที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว แต่จักขุปสาทไม่ได้ซึมซาบอยู่ทั่วตัว โสตปสาทที่สามารถกระทบเสียงก็ไม่ได้ซึมซาบอยู่ทั่วตัว นี่คือธรรมซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็เกิดดับตามเหตุตามปัจจัยโดยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น และก็มายึดถือว่าเป็นเรา แล้วก็เป็นของเรา

    ทั้งหมดเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้างหรือไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย เช่น ตาเป็นรูปพิเศษ ที่มีลักษณะสามารถที่จะกระทบเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้เท่านั้น เหมือนกับโสตปสาทก็เป็นรูปพิเศษ ที่สามารถกระทบกับเสียงที่กำลังปรากฏ กำลังได้ยินเสียงเพราะเหตุว่ามีรูปที่สามารถกระทบเสียง ทำให้มีการได้ยินซึ่งเป็นใจ หรือจิต เจตสิก เกิดขึ้นพร้อมกัน และกำลังได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น แม้แต่รูปที่กาย ลองคิดดู ความน่าอัศจรรย์ คือแต่ละรูป แต่ละกลุ่มละเอียดมาก ที่ว่าละเอียดก็ยังมีรูปรวมกันถึง ๘ รูป มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นมหาภูตรูป แล้วยังมีรูปซึ่งต้องเกิดกับมหาภูตรูป คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาได้ กลิ่น รส และโอชา ซึ่งทำให้รูปที่เจริญขึ้นได้เมื่อบริโภครับประทานเข้าไป

    ลองพิจารณาแต่ละรูปเพื่อที่จะได้เห็นว่าไม่ใช่เรา และไม่มีใครสามารถที่จะทำได้นอกจากกรรม คือเจตนาซึ่งเกิดกับจิต เพราะมีจิตจึงมีรูปตา รูปหู ทุกคนเห็นกระจก มีอะไรในกระจกที่ผ่านไปแล้วปรากฏ แต่เวลาไปผ่านไม้ ผ่านเสา ผ่านอิฐ ผ่านของแข็งอื่นๆ มีรูปปรากฏเหมือนอย่างที่ปรากฏในกระจกหรือเปล่า ไม่ได้เลย

    ดังนั้น รูป แม้จักขุปสาท โสตปสาท ชิวหาปสาท กายปสาทที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว เป็นรูปพิเศษซึ่งอุปมาเหมือนกับกระจกที่ใส ทางตาเมื่อมีรูปใดผ่านกระจก รูปนั้นปรากฏกระทบให้เห็น เพราะกระทบกับกระจกจึงมีรูปนั้นปรากฏได้ ฉันใด ทางโสตปสาท รูปพิเศษก็สามารถที่จะกระทบเสียง เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียง ถ้าปราศจากรูปนั้น เสียงจะปรากฏไม่ได้เลย

    ในโลกนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยที่ไม่รู้ความจริงเลยว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งละเอียดมาก เกิดแล้วดับอย่างรวดเร็ว แม้แต่รูปที่กายก็ยังต่างกันไป ส่วนที่เป็นปสาทรูปจะต่างกับรูปกลุ่มอื่นๆ ซึ่งไม่มีปสาทรูป

    ด้วยเหตุนี้ แม้เห็นก็ไม่รู้ว่าเกิดแล้วเพราะอะไร แล้วก็ดับไปแล้วอย่างรวดเร็ว ทั้งจักขุปสาทก็ดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ดับ และจิตที่เห็นก็ดับ ซึ่งความจริงจิตเป็นสภาพที่เกิดดับเร็วมาก รูปแต่ละรูปซึ่งเป็นสภาวรูปซึ่งเกิดจะมีอายุนานกว่าจิต คือจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งก็ดับไป ดังนั้นเป็นใคร หรือว่าของใคร สิ่งที่เกิดแล้ว ดับแล้ว หมดแล้ว ไม่เป็นของใครเลย

    เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความไม่รู้ อยู่ในโลกของความหลงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว นานแสนนานมาแล้ว จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงพระธรรมให้ผู้ที่สามารถจะเข้าใจได้ และอบรมเจริญปัญญาจนสามารถประจักษ์ความจริงของนามธรรมและรูปธรรม

    นี่คือธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แต่ละคนที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนก็มีศรัทธาทำให้มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง พิจารณาไตร่ตรอง ความเข้าใจในขั้นการฟังมั่นคงขึ้น เป็นปัจจัยที่เริ่มเข้าใจตัวจริงของธรรม เช่น ในขณะนี้เห็น ยังไม่ได้เข้าใจตัวเห็นจริงๆ และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาว่าเป็นแต่เพียงธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถกระทบกับจักขุปสาท เหมือนกระจกใสที่สามารถที่จะกระทบ และจิตเห็นก็เกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ ชั่วขณะแล้วก็ดับไป

    นี่คือความจริงที่อนิจจัง เกิดแล้วก็ดับเป็นทุกข์ เพราะว่าจะไปสุขอะไรจากสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นแล้วดับ ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ชั่วคราว เกิดมาในโลกนี้ชั่วคราว ฟังดูแล้วเหมือนกับว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตจะสั้นจะยาวสักเท่าไหร่ก็ชั่วคราว แต่ความจริงลักษณะของธรรมชั่วคราวยิ่งกว่านั้น คือทันทีที่เกิดก็เสมือนว่าดับไปเลย และไม่กลับมาอีกด้วย

    ดังนั้น การฟังธรรมเพื่อให้เข้าถึงความเป็นอนัตตา ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เพื่อที่จะละการยึดถือสภาพธรรม ซึ่งถ้ายังคงยึดถือว่าเป็นเราตราบใดก็จะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม เมื่อไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ความไม่รู้นั่นเองก็จะเป็นปัจจัยทำให้สภาพธรรมเกิดดับไม่รู้จบ

    ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์ยกตัวอย่าง ปัญญาที่เกิดขึ้นขณะที่เจริญวิปัสสนาสติปัฏฐาน ๔ ทางกาย เวทนา จิต ธรรม

    ท่านอาจารย์ ปัญญาคือความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งความจริงถ้าจะแยกลักษณะของธรรมโดยประเภทใหญ่ๆ มี ๒ อย่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ลักษณะหนึ่งคือเป็นธรรมที่เกิด แต่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ ใช้คำว่ารูปธรรม เพราะว่าเป็นธรรมที่เป็นส่วนของรูป เพราะเหตุว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้

    ส่วนธรรมอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่เป็นเหตุที่มีสิ่งที่ปรากฏ เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาได้ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่สามารถจะรู้อะไรได้จริง แต่มีธาตุหรือมีสภาพธรรมที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ ดังนั้นในขั้นฟังถ้าเข้าใจถูกต้องก็คือ ปัญญาที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมที่ต่างกัน ๒ อย่าง คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ เกิดแล้วปรากฏ เพราะว่าสามารถกระทบกับจักขุปสาทได้ และเมื่อกระทบแล้วก็มีธาตุที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพียงชั่วขณะที่สิ่งนี้ปรากฏแล้วก็ดับไป ทั้งสิ่งที่ปรากฏและธาตุกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏด้วย

    ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็เป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง ในขณะที่ฟังเเล้วเข้าใจ แต่เวลาไม่ฟังแล้วยังเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า หรือว่าลืมแล้ว ชั่วขณะที่กำลังฟัง แล้วก็มีเห็น และค่อยๆ พิจารณาว่าขณะนี้เห็นต้องเป็นธรรมที่มีจริง แต่ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น จึงไม่สามารถที่จะไปเห็นสีสันวัณณะ หรือเสียง หรือกลิ่นอะไรของเห็นได้ เพราะว่านามธรรมหมายความถึงธาตุที่ปราศจากรูปทั้งสิ้นทั้งมวล ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น จะรู้ลักษณะของธาตุชนิดนี้ก็ด้วยการงานของธาตุชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้น เช่น ขณะนี้ธาตุชนิดนี้เกิดขึ้นทำกิจเห็น จึงรู้ว่าธาตุนี้มี เป็นธาตุเห็น เป็นนามธรรม มีความเข้าใจอย่างนี้เมื่อไหร่ก็เป็นปัญญาระดับหนึ่ง คือระดับสุตมยปัญญา ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง ไตร่ตรอง เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏทั้งวันก็มากมายหลากหลาย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งไม่พ้นจากลักษณะของสภาพที่เป็นรูปธรรมบ้าง นามธรรมบ้าง

    ถ้ามีความเข้าใจละเอียดจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขณะนั้นก็เป็นปัญญา ถ้าเพียงขั้นฟังคือฟังเรื่องราวของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ยังไม่ได้รู้ความจริง ตัวจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น ขณะนี้มีเห็น ฟังเรื่องเห็น กำลังรู้ตัวเห็น สภาพเห็นที่กำลังเห็นหรือเปล่า ซึ่งต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง

    ความจริงแล้วธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงมี ๓ ขั้น คือ ขั้นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติ คือ ถ้าไม่มีความรู้จากการที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของสภาพธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละลักษณะที่ปรากฏแต่ละทาง

    เมื่อมีการฟังอย่างมั่นคง ไม่ลืม เข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรม เห็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม เห็นที่บ้าน เห็นที่ไหน เห็นอะไรก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็น ขณะที่ได้ยินเสียงก็เป็นธรรม ได้ยินที่ไหนเมื่อไหร่ สภาพหรือธาตุที่ได้ยินก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้แล้วสามารถที่จะรู้ลักษณะของธาตุที่กำลังปรากฏเพราะไม่ลืม และกำลังรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏด้วย ขณะนั้นก็เป็นปฏิปัตติ ซึ่งภาษาบาลีมาจากคำว่า ปฏิ คำหนึ่ง กับ ปัตติ อีกคำหนึ่ง ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง

    ขณะนี้พูดเรื่องแข็ง มีการรู้ลักษณะแข็งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า เพียงฟังเรื่องแข็ง ไม่ใช่การรู้และการเข้าใจลักษณะแข็งที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นไม่ได้ถึงเฉพาะลักษณะของธรรมทีละอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยและก็เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ธรรมที่ได้ทรงแสดงไม่ใช่เพียงให้ฟัง แต่ว่าสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ ด้วยสติอีกระดับหนึ่ง อีกขั้นหนึ่ง คือ สติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน

    สติสัมปชัญญะหมายความถึงขณะนี้เป็นปกติ กำลังฟังเข้าใจเป็นสติขั้นฟัง เพราะว่าไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด เวลาที่ฟังเข้าใจแล้วก็เป็นปัจจัยทำให้มีสติสัมปชัญญะ ปกติอย่างนี้ แต่ว่าเกิดขึ้นรู้ลักษณะที่กำลังได้ยินได้ฟังในขณะนั้น เริ่มที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกว่า สภาพธรรมนั้นมีจริงๆ และลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมนั้นก็เป็นธรรม ซึ่งเกิดแล้วไม่มีใครเป็นเจ้าของ ถ้าอบรมเจริญปัญญาก็สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปได้

    เพราะฉะนั้นจากฟังขั้นปริยัติ จนถึงขั้นปฏิปัตติ สติสัมปชัญญะเกิด กำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม สภาพธรรมนั้นเป็นฐานะ เป็นที่ตั้งที่ระลึกของสติที่จะให้ปัญญารู้ชัดว่าเกิดจริงๆ แล้วดับจริงๆ เมื่อไหร่ที่ประจักษ์แจ้ง เมื่อนั้นก็เป็นปฏิเวธ

    ดังนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด คือเป็นความจริงในขั้นฟังและปฏิปัตติ เป็นความจริงที่สติสัมปชัญญะและปัญญา สามารถจะรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้ และเป็นความจริงที่สามารถแทงตลอดสัจจธรรมของสิ่งนั้นคือ เกิดขึ้นและดับไป

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ต้องการจะกล่าวถึงรูปหรือว่านาม ที่ลักษณะของกระจกใสที่กระทบได้

    ท่านอาจารย์ กล่าวถึงปสาทรูป

    ผู้ฟัง ก็คือปสาทรูป ๕

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วทางใจ ไม่เป็นลักษณะที่กระทบเหมือนกับปสาทรูป ๕ แต่สามารถรู้ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ รูปไม่ใช่ใจ ขณะนี้ถ้าไม่มีจักขุปสาทรูป สิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฎได้ไหม เพราะฉะนั้น พูดถึงรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าว่า ที่ตัวไม่รู้เลยว่าเป็นรูปแต่ละลักษณะซึ่งเกิดขึ้น เช่น ขณะนี้ทุกคนมีจักขุปสาทรูป เป็นรูปพิเศษ ต่างจากมหาภูตรูป อุปมาเหมือนกับมหาภูตรูปคือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งไม่ใช่จักขุปสาทรูป ไม่ใช่โสตปสาทรูป แต่ที่ตัวไม่ได้มีแต่เฉพาะธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา ยังมีรูปพิเศษด้วยซึ่งเราไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจว่ารูปนี้เกิดขึ้นอย่างไรและมีลักษณะอย่างไร แต่ว่าเป็นรูปที่ต่างจากมหาภูตรูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เพราะเหตุว่าเป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาเมื่อเป็นจักขุปสาทรูป

    สำหรับโสตปสาทรูปก็เป็นรูป มีลักษณะพิเศษ ไม่ใช่จักขุปสาทรูป เพราะเหตุว่าสามารถกระทบกับเสียง เพราะฉะนั้น รูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจะมีรูปภายใน ๕ รูป คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รับกระทบกับสภาพธรรมที่เมื่อกระทบแล้วจิตก็เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ที่อุปมาความต่างก็อุปมาคร่าวๆ ให้เห็นว่า ที่ใช้คำว่าปสาทหมายความถึงใสพิเศษ เช่น กระจก ต่างกับธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ต่างกับไม้ ต่างกับฝาบ้าน ต่างกับก้อนอิฐ เพราะเมื่อมีสิ่งใดผ่านกระจกก็สามารถที่จะเห็นสิ่งนั้นได้ ถูกต้องไหม

    ดังนั้น เมื่อมีสิ่งที่กระทบปสาทก็มีจิตที่สามารถที่จะเกิดขึ้น แล้วก็รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กระทบนั้นได้ เช่น เสียงในขณะนี้ เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่นเพราะจิตเกิดขึ้น และได้ยินเสียงนี้ซึ่งกระทบกับโสตปสาทรูป ถ้าไม่มีรูปที่สามารถกระทบกับเสียง จิตได้ยินจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ที่กล่าวถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะเหตุว่าเป็นชีวิตประจำวันซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ที่บอกว่า อิริยาบถปิดบังทุกข์ ก็เพราะว่าเป็นบัญญัติใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมมีจริงเมื่อเกิดขึ้นและก็ดับไป เพราะฉะนั้น จะไม่มีอะไรเหลือเลยทั้งสิ้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว เร็วมาก

    รูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ แตกสลายได้จนกระทั่งเป็นรูปที่แต่ละกลาป หรือกลุ่มหนึ่งจะมีรูปอย่างน้อยเพียง ๘ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส โอชา สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ต้องมีในมหาภูตรูป ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ด้วย และก็มีกลิ่น มีรส มีโอชาด้วย ซึ่งจะทำให้รูปเกิด นี่คือกลาปในกลุ่มหนึ่งของรูป ๘ รูป ซึ่งเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด แต่บางกลุ่มก็มากกว่านี้ และลองคิดดูว่าจะเล็กสักแค่ไหน และก็ดับเร็วมากด้วย มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเร็วมาก เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตามที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ลองหาดูเดี๋ยวนี้ว่ารูปอยู่ที่ไหน ที่ไม่ปรากฎ มีไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ รู้ได้อย่างไร ไปจำไว้ว่ายังมีอยู่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ความจริงแม้แต่ธาตุที่ปรากฏ เช่น ร้อนหรือเย็น อ่อนหรือแข็ง ที่กระทบสัมผัสกาย ก็ปรากฏเฉพาะตรงที่กระทบ ที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้น รูปอื่นที่ไม่ได้ปรากฏรูปนั้นก็เกิดแล้วดับแล้วหมด จะละความเป็นตัวตนได้ก็ต่อเมื่อเห็นว่าสภาพธรรมเล็กน้อยมากเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เหลืออะไรเลย เคยเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ความจริงคือมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แล้วก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    26 พ.ย. 2568