ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642


    ตอนที่ ๑๖๔๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมรอยัล เรสซิเดนซ์ ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ ถ้ามีแต่ชื่อ โดยที่ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังก็เป็นโมฆะ เกิดใหม่ไม่ได้ยินชื่อนี้อีกแล้ว ต้องใช้ภาษาอื่น เปลี่ยนชื่ออีกแล้ว เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน หรือจะเป็นภาษาอะไรก็แล้ว แต่ไม่ได้เข้าใจตัวธรรม แต่ถ้าขณะนี้เข้าใจตัวธรรม เมื่อพูดถึงธรรมไม่ว่าในภาษาอะไรก็รู้เลยว่า หมายความถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

    ผู้ฟัง คงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพหูสูต คือเป็นผู้ศึกษาในตำรามากแล้วรู้มาก

    ท่านอาจารย์ ตอบอย่างนี้เป็นพหูสูตหรือยัง ต้องตอบอย่างไรจึงจะเป็นพหูสูต เพราะรู้มาก เข้าใจมากในเรื่องราวแล้วจะเป็นพหูสูต?

    ผู้ฟัง ต้องเข้าใจสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจธรรม ต่อให้ใครจะบอกอีก ๑๐ หน้า ๒๐ หน้า ก็เป็นพหูสูตไม่ได้ แม้แต่คำว่ากัลยาณปุถุชน ที่เรากล่าวถึง จะเห็นได้ว่าถ้าไม่เข้าใจธรรม คนนั้นก็ดี คนนี้ก็ดี กัลยาณะคือดีงาม ขณะใดที่กุศลจิตเกิดขึ้นก็ดูว่าเขาเป็นคนดี ใช่ไหม แต่ไม่ใช่กัลยาณปุถุชน เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็น เสกขะ ยังไม่ถึง อเสกขะ เพราะว่ามีความหมาย ๒ อย่าง

    อเสกขะ คือผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว จบแล้ว ดับกิเลสหมดแล้ว แต่ผู้ใดก็ตามที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ยังต้องศึกษาเพื่อที่จะถึงการเป็นอเสกขะ เพราะฉะนั้นสำหรับเสกขบุคคล พระอริยบุคคล พระโสดาบัน ที่เป็นโสตาปัตติมรรคจิต ๑ โสตาปัตติผลจิต ๑ เป็นคู่หนึ่งก็ ๒ แล้ว สกทาคามิมรรคจิต ๑ สกทาคามิผลจิต ๑ อีก ๒ เป็น ๔ อนาคามิมรรคจิต ๑ อนาคามิผลจิต ๑ จาก ๔ เพิ่มอีก ๒ เป็น ๖ อรหัตมรรคจิต ๑ เป็น ๗ เป็นเสกขบุคคล ๗ และรวมกัลยาณปุถุชนอีก ๑ เป็นเสกขะ คือผู้ที่ยังต้องศึกษาด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้อะไรเลย แล้วจะถึงการที่จะเป็นพระโสดาบันได้ไหม ไม่มีทาง ต่อให้จะเป็นผู้ที่ทำความดี เป็นคนดีมากมายอย่างไรก็ตามก็ยังเป็นผู้ที่ไม่รู้ ยังมีการไม่เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ และยึดถือว่ายังมีเรา ดีก็คือเรา ผิดหรือถูก ถ้ายังคงเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นเรา ไม่ใช่เป็นธรรม

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทำไมจึงรวมกัลยาณปุถุชนซึ่งเป็นผู้ที่ยังต้องศึกษา เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ถึงความเป็นพระอริยะ แต่ว่าไม่ใช่ใครก็ตามซึ่งไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรเลย เพียงแค่เป็นคนดีก็จะเป็นเสกขบุคคล เป็นคนดีเพราะว่ากุศลจิตเกิด แต่ไม่ใช่เสกขบุคคล เพราะเหตุว่าไม่มีความรู้ที่จะเริ่มศึกษา จนกระทั่งถึงความเป็นพระโสดาบัน

    เพราะฉะนั้น การใช้คำในพระไตรปิฎกนี้ก็กว้างขวาง แล้วแต่ความหมายที่กว้างหรือแคบ แต่ว่าถ้าเสกขบุคคลรวมกัลยาณปุถุชน ก็ต้องหมายถึงเฉพาะกัลยาณปุถุชนที่มีความรู้ความเข้าใจธรรม ที่ศึกษาเพื่อที่จะถึงความเป็นพระอริยะ ไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น จะเป็นพหูสูตโดยที่ไม่รู้จักตัวธรรม ไม่เข้าใจหนทางที่จะทำให้รู้สภาพธรรม เป็นไปไม่ได้

    ปริยัติ คือการศึกษาอะไร เข้าใจอะไร ต้องรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม แล้วฟังเเละมีความเข้าใจสิ่งที่มีโดยละเอียดว่า เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ทั้งนั้น โดยที่บุคคลนั้นยังไม่เป็นพระโสดาบันก็ได้ แต่ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ก็จะทำให้เขามีการที่จะสามารถไตร่ตรองว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังละเอียด เท่าที่ปัญญาขั้นปริยัติสามารถไตร่ตรองได้ แต่ยังไม่ใช่การที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม

    ถ้าฟังชื่อสติ และคิดว่าสติเป็นเจตสิกที่เป็นโสภณเจตสิก แน่นอนว่าจะเป็นอกุศลไม่ได้ใช่ไหม แล้วก็รู้ว่าสติเจตสิกเกิดกับจิตกี่ประเภท สามารถที่จะจำได้ แต่ไม่รู้ว่าสติสัมปชัญญะต่างกับสติอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นตัวธรรม เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะของเขา เขาแปลได้ แต่ว่าเมื่อสติสัมปชัญญะไม่เกิด เขาสามารถจะรู้ไหมว่าสติสัมปชัญญะมีลักษณะอย่างไร เพราะเหตุว่าการที่จะเป็นสติสัมปชัญญะ คือเมื่อรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม และเพียงรู้ว่าขณะนี้เป็นเพียงธรรม บอกเด็กนักเรียน เสียงมีจริงๆ เป็นธรรม ถ้าไม่มีจิตที่ได้ยิน ไม่มีสภาพได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้

    เสียงไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินต้องต่างจากเสียง ได้ยินเป็นนามธรรม แค่นี้ คนนั้นสามารถที่จะเกิดสติสัมปชัญญะได้ไหม ดังนั้นไม่ใช่ว่าเพียงเท่านี้แล้วจะกล่าวว่าปริยัติ เพราะฉะนั้นปริยัติ คือความรอบรู้ในธรรมที่ได้ยินได้ฟังและได้ศึกษา แต่ต้องเป็นตัวธรรม เสียงเป็นรูปหรือเป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง เป็นรูปธรรม

    ท่านอาจารย์ และสภาพที่กำลังได้ยินเสียงเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ หรือเปล่า มีจริง เป็นจิตหรือเจตสิก

    ผู้ฟัง เป็นจิต

    ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์อะไร เป็นเวทนาขันธ์ หรือสัญญาขันธ์ หรือสังขารขันธ์

    เป็นวิญญาณขันธ์ รอบรู้ สติสัมปชัญญะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง เกิดได้

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วหรือยัง

    ผู้ฟัง ยังไม่เกิด

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวถึง จิต หมายถึงสภาพที่รู้แจ้ง ช่วยขยายสภาวะลักษณะของสภาพที่รู้แจ้ง

    ท่านอาจารย์ คุณสุมิตราเห็นสีแดงไหม เห็นสีชมพูไหม เห็นสีชมพูปนแดงๆ เห็นสีชมพูปนส้มๆ แล้วก็เห็นสีชมพูปนม่วงๆ ไหม เห็นสีชมพูแก่จนถึงสีชมพูอ่อนจาง แต่ก็ยังคงเป็นสีชมพูหรือเปล่า ใครเห็นแจ้งว่านี่ไม่ใช่นั่น

    ผู้ฟัง จิต

    ท่านอาจารย์ เป็นสภาพที่รู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ สามารถที่จะรู้ลักษณะของเพชรแท้ เพชรเทียมได้ไหม เห็นแจ้งแต่ไม่ได้จำ ถ้าจำเป็นสัญญาเจตสิก แต่ตัวที่รู้แจ้งความเป็นสภาพธรรมนั้นๆ ที่ต่างกัน นั่นเป็นลักษณะของจิต

    ผู้ฟัง เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกับจิตที่เห็นสี เจตสิกนั้นจะไม่รู้แจ้งหรือ

    ท่านอาจารย์ เจตสิกแต่ละเจตสิก รู้อารมณ์เดียวกับจิต เกิดพร้อมจิต แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ของจิต ทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ อย่างเช่น ผัสสเจตสิก ไม่ใช่ไม่รู้อารมณ์ การกระทบกันของของแข็ง แก้วน้ำกับโต๊ะ ไม่ใช่ผัสสเจตสิก เจตสิกต้องเป็นนามธรรม

    ขณะใดที่จิตรู้สิ่งใด เพราะผัสสเจตสิกทำกิจกระทบสิ่งนั้น เกิดพร้อมจิตที่รู้สิ่งนั้น นี่คือความละเอียดของสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งเกิดขึ้นหนึ่งขณะ ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ ประเภท แต่ต่างกันทั้ง ๗ จะรวมเป็นหนึ่งไม่ได้เลย ซึ่งแม้แต่หนึ่งก็หลากหลายมาก ผัสสะขณะนี้กระทบนิพพานหรือเปล่า ไม่มีทาง เพราะฉะนั้น ผัสสะขณะนี้กับผัสสะที่กระทบนิพพานต่างกันไหม ก็ต้องต่างกัน

    นี่คือแม้แต่เจตสิกเดียวก็ยังมีความหลากหลาย ตามระดับขั้นของสภาพธรรมที่เกิดร่วมกันด้วย แต่สภาพจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งเท่านั้น ไม่ทำหน้าที่อื่นเลยทั้งสิ้น ขณะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งนิพพาน ปัญญามีหน้าที่เห็นถูกตามความเป็นจริง รู้ชัดว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น สัญญาเจตสิกจำ ถ้าไม่จำจะไม่มีการที่จะรู้ระลึกได้ ปัจจเวกขณญาณ ในสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วเพิ่งหมดไป เพราะฉะนั้น ก็เป็นหน้าที่ของเจตสิกแต่ละเจตสิก ซึ่งไม่ใช่เราเลย

    ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงอภิธรรม คือความละเอียดยิ่ง ความลึกซึ้งยิ่งของธรรม เพื่อที่จะอนุเคราะห์ผู้ที่ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมในชาตินั้น ให้มีการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะได้ฟังโดยละเอียด ในความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะปัจจัยคือเจตสิกแต่ละเจตสิก ซึ่งเป็นแต่ละปัจจัย แต่ละฐานะของปัจจัยนั้นๆ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เร็วแสนเร็ว เกิดขึ้นชั่วครู่แล้วดับไปหมด แต่ก็มีสภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น

    จะเป็นเราได้ไหม รู้เเค่นี้เเล้วเป็นพหูสูตได้ไหม จำชื่อใช่ไหม ๗ เจตสิกคล่องหรือยัง หรือไม่จำเป็นเลยที่จะต้องคล่องเพราะว่าไม่ได้ปรากฏ แต่จากการฟังก็เริ่มเข้าใจความต่างของเจตสิกทั้ง ๗ ได้

    ผู้ฟัง กับคนที่เขายังไม่ได้ศึกษาธรรมแต่เริ่มสนใจ เราจะอธิบายให้เขาเข้าใจว่ามีชาตินี้ ชาติหน้า ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ชาตินี้มีเห็น แล้วเห็นจะเปลี่ยนไหม ไม่ว่าชาติไหนๆ ถ้าเข้าใจว่าเห็นเป็นเห็น มีปัจจัยก็เกิดขึ้น ไม่ต้องคิดถึงชาติไหนได้ไหม เพราะว่าการเกิดแล้วตายแต่ละชาติเป็น สมมติมรณะ (สัม-มุด-ติ) การตายที่เราบอกว่าคนนี้เกิดแล้วตาย เพราะว่าสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จึงบอกว่าคนนี้ตาย แต่จิตที่ดับเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิด

    เพราะฉะนั้น ถ้าเขาไม่รู้สภาพความเป็นธรรมคือ จิต เป็นนามธาตุ ซึ่งเป็นธาตุรู้ ใครจะไปดับธาตุรู้ ซึ่งเกิดและดับไปเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิด เพราะว่าเป็นลักษณะของธาตุนั้น เป็นธาตุที่มีปัจจัยอย่างนั้น คือทันทีที่ล่วงขณะของภังคขณะ คือดับไม่กลับมาอีก ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อพร้อมเจตสิก

    ดังนั้นจะไปให้ใครเชื่ออะไร คิดอะไร ถ้าไม่พูดถึงสภาพธรรมก็ไม่ได้ให้ความรู้ความเข้าใจเขา เขาเพียงเชื่อเพราะเราพูด แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องสภาพธรรม ถ้ามีคนบอกว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี คนนั้นพูดเขาก็เชื่อ อีกคนหนึ่งพูดซึ่งน่าเชื่อเหมือนกัน เขาก็เชื่อว่ามี อย่างนี้ก็เลื่อนลอย ไม่เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นแต่เพียงความคิด ความเชื่อ ซึ่งไม่มีเหตุผล

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงๆ ถ้าเขาสามารถจะเข้าใจได้ เช่น จิต ก็ถามเขาว่า เขาจิตมีหรือเปล่า เริ่มจากขณะนี้เลย และจิตเป็นอย่างไร ตอบได้ไหม ถ้าตอบไม่ได้ ขณะโกรธกับขณะมีเมตตา เป็นจิตเดียวกันหรือเปล่า เขาก็ตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง

    คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าจิตที่เกิดจะไปดับตอนตายเท่านั้นเอง แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เข้าใจว่าอย่างนั้น นั่นก็เป็นการคิดอย่างหยาบๆ ไม่ใช่คิดละเอียด เพราะว่าไม่ใช่การรู้สภาพธรรม เพราะไม่ได้ฟังผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรม

    สมัยนี้ มีคนที่ไม่นับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกว่าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระไตรปิฎกก็เขียนกันขึ้นมา แล้วแต่ใครจะเขียน ก็ต่างคนต่างคิดตามการสะสม ถ้าไม่เรียกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่แสดงธรรมอย่างนี้ จะสงสัยไหมว่ารู้ได้อย่างไร จึงได้แสดงอย่างนี้ ต้องเป็นผู้ที่รู้จริงๆ ตรัสรู้จริงๆ สามารถที่จะทำให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ โดยละเอียดด้วย

    ผู้ฟัง ในอรรถกถาท่านมีข้อความว่า ผู้ที่ทรงปริยัติ ที่จะไม่พ้นจากทุกข์ย่อมไม่มี ในที่นี้ก็ต้องหมายถึงทรงด้วยความรู้ความเข้าใจด้วย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นจะไม่สามารถที่ทำให้ประพฤติปฏิบัติตามได้ถูกต้อง ถ้าไม่ใช่ปริยัติจริงๆ จะไม่ทำให้ถึงกิจจญาณ หรือปฏิปัตติ และปฏิเวธ เพราะว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าปริยัตินั้นไม่ทำให้ปฏิบัติเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ปริยัติ แล้วจะกล่าวว่ารอบรู้ก็ไม่ได้ เพราะไม่เกื้อกูลต่อการที่จะให้ปฏิปัตติเกิด จนกระทั่งเป็นปฏิเวธ

    ผู้ฟัง ในการศึกษาหรือชีวิตจริงๆ ของผู้ที่ศึกษา ดูเหมือนว่าจะแยกยากพอสมควรในเรื่องของปริยัติ ที่จะให้รู้ตัวธรรมจริงๆ กับการยินดีในเรื่องราวหรือตัวเลขทั้งหลาย ดูเหมือนว่าใกล้กันมากพอสมควร

    ท่านอาจารย์ การศึกษายุคนี้กับยุคก่อนนั้นต่างกัน ยุคก่อนพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงเริ่มจากจิต๘๙ เจตสิก๕๒ รูป๒๘ แล้วเป็นปริเฉทๆ แต่สภาพธรรมที่กำลังมี เมื่อกล่าวถึงแล้วคนสามารถจะเข้าใจได้ไหม นี่คือการเริ่มต้น เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วถ้ามีความเข้าใจได้ว่าเป็นธรรม ก็สามารถที่จะเข้าใจต่อไปอีกได้เมื่อมีการฟัง

    ขณะใดก็ตาม เวลาที่สภาพธรรมปรากฏ แล้วเข้าใจลักษณะนั้นว่าเป็นธรรม ประโยชน์มากกว่านึกถึงชื่อ ใช่ไหม จะเห็นได้ว่าตัวจริงของธรรมไม่มีชื่อเลย มีแต่เฉพาะลักษณะแท้ๆ ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือรูปธรรมใดๆ ก็ตาม เพราะฉะนั้น ขณะนั้นที่กำลังรู้ลักษณะ แล้วเริ่มเห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน เกิดแล้วก็หมดไป อย่างนั้นก็จะมีประโยชน์ มิฉะนั้นก็อาจจะพยายามไปนึกถึงชื่อแล้วก็เลยไป เพราะขณะที่นึกถึงชื่อไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็เป็นเรื่องของความละเอียดที่จะต้องมีความเข้าใจ

    อ.ธีรพันธ์ ต้องศึกษาอย่างอื่นไปอีก แค่นี้ไม่พอ ก็ต้องศึกษาไป แต่ว่าก็ยังไม่รู้ตามความเป็นจริง ตราบใดที่สติยังไม่เกิดแล้วรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ซึ่งต้องเป็นปัญญา การจำชื่อ เป็นปัญญาหรือเปล่า หรือว่าเป็นสัญญาเจตสิก เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าใจธรรมเป็นปัญญา มีความเห็นที่ถูกต้อง

    ขณะที่ฟังเรื่องของจิต รู้ว่าจิตเป็นธรรม เจตสิกเป็นธรรม ขันธ์เป็นธรรม ธาตุเป็นธรรม อายตนะเป็นธรรม เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีว่า จะใช้คำว่าอะไรก็ตาม ไม่ได้เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นเลย จะใช้คำว่าธาตุก็ได้ ธาตุแข็ง ธาตุอ่อน จะใช้คำว่าธรรมก็ได้ จะเรียกชื่อต่างๆ ก็ได้ แต่ก็ไม่เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้น และสามารถจะรู้ว่าการฟังมีประโยชน์ คือสามารถทำให้เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ อย่างนี้ก็จะเป็นประโยชน์จริงๆ แต่ถ้าการฟังไม่สามารถที่จะทำให้ระลึกได้ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็ไม่สามารถที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมได้ เพราะเพียงแต่ฟังแล้วก็จำ

    ผู้ฟัง ตอนนี้ มีเจตสิกที่ปรากฏกับผม ๒ ดวง คือถีนะ กับมิทธะ แต่ปรากฏว่าเป็นผมที่ง่วง เป็นผมท้อแท้ ถดถอย ก็ยังไม่ชื่อว่ารู้ธรรม ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ศึกษาอย่างนั้นทำให้คุณนิพัทธ์เรียกชื่อ นึกถึงชื่อ แต่ตัวถีนะ มิทธะ จริงๆ เป็นอย่างไร เพราะว่าเกิดพร้อมกัน ไม่แยกกันเลย จะไม่มีถีนะเกิดโดยไม่มีมิทธะ จะไม่มีมิทธะเกิดโดยไม่มีถีนะ เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่ามี ต้องเป็นผู้ที่สามารถรู้ความต่างของถีนะและมิทธะ แต่ถ้ายังไม่รู้ความต่างของถีนะและมิทธะ ก็จำแล้วก็เรียกชื่อ และไม่รู้ว่าอย่างไรเป็นถีนะและมิทธะ เพราะว่าเกิดพร้อมกัน นี่ก็เป็นเรื่องของความละเอียด ซึ่งจะทำให้เข้าใจว่าปัญญาจริงๆ ต้องเริ่มตามลำดับ

    ถ้ายังไม่รู้ว่าเป็นธรรม ลักษณะนั้นก็ต้องเป็นเรา แล้วก็จำชื่อได้ แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความต่างที่เป็นลักษณะ แต่ว่าจำความหมายที่ต่างได้

    ผู้ฟัง ในบางตัวอย่าง ในขณะที่เรียนรู้ ฟังตรงนั้นหรือทรงจำก็ตาม ยังไม่ได้เข้าใจ ยังไม่ได้แทงตลอด แต่ภายหลังดูเหมือนว่าการเรียนด้วยความเคารพ ด้วยศรัทธา จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลในภายหลังได้ อย่างนี้จะขัดแย้งกันหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะมาที่นี่ วันเสาร์เราเรียนพระสูตรเรื่องอะไร

    ผู้ฟัง เรื่องเทศนาสูตร

    ท่านอาจารย์ ข้อความคืออะไร

    ผู้ฟัง เทศนา ๒ ประเภท คือเห็นบาปในความเป็นบาป แล้วก็ละบาป

    ท่านอาจารย์ แล้ววันนี้เห็นหรือยัง เห็นบ้างไหม

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ วันหนึ่งก็ระลึกได้ แต่ถ้าเป็นความจำเท่านั้น จำได้ว่าเมื่อวันก่อนเรียนเรื่องนี้ เรื่องเห็นบาปว่าเป็นบาป เมื่อเห็นแล้วก็ละ แต่ก็ยังไม่มีทั้งสองอย่าง เพราะว่าต้องมีความละเอียดที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม ชื่อและคำที่ว่าเห็นบาปว่าเป็นบาปอยู่ที่ไหน แล้วมีทางที่จะเห็นไหมถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม

    ดังนั้นการที่จะเกื้อกูลคือ ฟังแล้วก็เข้าใจว่าทั้งหมดเป็นธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะจำพระสูตรได้ทุกอาทิตย์ ซึ่งเราก็ผ่านไป แต่ว่าจากการฟังเริ่มเห็นว่าไม่ใช่เรา นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก ที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระสูตรไหนหรือพระอภิธรรม ชื่อเจตสิก ๕๒ หรืออะไรก็ตามแต่ จุดประสงค์คือให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ดังนั้นไม่ใช่อยากจะรู้ มนสิการเจตสิก หรืออยากจะรู้ สัญญาเจตสิก หรืออยากจะรู้ ชีวิตินทริยเจตสิก นั่นหรือคือผลของการฟัง ฟังแล้วอยาก ไม่ใช่ฟังแล้วละความติดข้องเพราะรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการตั้งต้นก็ผิด ฟังเพราะว่าอยากจะรู้ กับฟังเพราะรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เนื่องจากพระธรรมเป็นสิ่งที่ยาก และละเอียดลึกซึ้ง ไม่สามารถที่จะเข้าถึงหรือรู้ได้เพียงฟังครั้งสองครั้ง หรือปีสองปี หรือชาติสองชาติ ดูเหมือนว่าการฟังแม้เล็กน้อยจะไม่เปล่าประโยชน์

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจ ไม่ใช่เพียงจำ คุณเผชิญก็คงจะได้ยินคนอื่นที่ผ่านสูตรนี้ แล้วบอกว่าพระธรรมนี้ไม่ยาก สูตรนี้ก็ไม่ยาก แค่เห็นบาปว่าเป็นบาปแล้วก็ละเสีย สอนแค่นี้เอง

    ผู้ฟัง แบบนี้ก็เข้าใจไม่ถูก เข้าใจผิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องเข้าใจ

    อ.อรรณพ อีกประเด็นหนึ่ง คือแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ศึกษาปริยัติแล้วเข้าใจ แล้วก็น้อมไปที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เนื่องจากยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุทเฉท ก็เป็นไปได้ที่พืชเชื้อของกิเลส ความสำคัญตน หรือความเห็นผิด เป็นต้น ก็จะเกิดขึ้น และที่ท่านแสดงปริยัติเป็น ๓ ที่กล่าวว่า อลคัททูปริยัติก็มี อย่างนี้คือหมายความว่าไม่เป็นปริยัติ หรือเป็นปริยัติแล้ว แต่อำนาจของกิเลสที่สะสมมายังเป็นปัจจัยให้เขาสามารถที่จะผิดทาง

    ท่านอาจารย์ อลคัททูปมปริยัติ มีจริงๆ หรือเปล่า ต้องมีจริง ถ้าไม่มีไม่แสดงไว้ เพราะฉะนั้นเราจะรู้ว่าเราเป็นหรือปล่า ไม่ใช่คนอื่นเป็น รู้สึกจะไปบอกคนอื่นเขาง่ายๆ ว่าคนนั้นเป็น คนนี้เป็น แต่ว่าสำหรับเราเอง เราเป็นหรือเปล่า ถ้าขณะใดที่ศึกษาไม่ใช่เพื่อการละ เพราะรู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดเลยทุกคำเพื่อละ ละความติดข้อง ละความไม่รู้ ละทุกอย่างที่เป็นฝ่ายอกุศล จนถึงที่สุดคือละทั้งกุศลด้วย เพราะเหตุว่ากุศลก็ยังเป็นปัจจัยที่จะให้เกิด เพราะฉะนั้นก็แสดงความละเอียดว่า แม้อกุศลก็ไม่ได้คิดที่จะละในขณะที่ฟัง ฟังเพื่อต้องการที่จะรู้มากๆ

    อ.อรรณพ อย่างนี้จริงๆ ก็คือไม่เป็นปริยัติ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าไม่ได้เป็นประโยชน์กับตนเอง ฟังแล้วมานะก็เพิ่มขึ้น ความต้องการที่จะรู้มากๆ เพื่อเป็นผู้รู้กว่า ไม่ใช่เพื่อการขัดเกลา เพราะฉะนั้น ธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เราจะเห็นได้ว่าถ้าเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมจริงๆ เป็นผู้ที่อ่อนน้อม นอบน้อมต่อการที่ทรงพระมหากรุณาบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะให้ทุกคนได้เข้าใจธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้ง คุณค่ามหาศาลแต่ละคำ แล้วเราจะไม่ฟังเพื่อการละคลายอกุศล ละความไม่รู้ หรือ

    ทำไมจะศึกษาเพื่อต้องการจะเก่ง จะเด่น จะดี จะดัง จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข ได้สิ่งต่างๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ผู้นั้นก็ปลอดภัย หมายความว่าเริ่มรู้จักตัวเอง และพระธรรมที่ทรงแสดงก็จะเกื้อกูลทุกขณะ เห็นบาปว่าเป็นบาป คิดดู เรามีความรัก มีความชัง มีความผูกโกรธ มีความไม่อภัย มีอะไรหรือเปล่า ไม่ใช่ให้ไปรู้อื่น แต่ให้รู้ตัวเองเพื่อที่จะเห็นโทษของบาป แล้วจึงจะละด้วยความที่เข้าใจขึ้นๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย คิดเท่านั้นเอง เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ

    ขณะที่เห็นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นธาตุที่มีจริงๆ สามารถกระทบจักขุปสาท ไม่ใช่คนไปกระทบจักขุปสาท แต่ธาตุชนิดนี้สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วดับไป แล้วก็มีความคิดเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคน เป็นเหตุการณ์ต่างๆ เป็นความพยาบาท เป็นการไม่อภัยต่างๆ โทษอยู่ที่ไหน อยู่ที่กิเลสของตัวเอง เห็นหรือไม่ว่าบาปเป็นบาป

    การศึกษาธรรมต้องเพื่อประโยชน์จริงๆ เป็นผู้ที่อ่อนน้อมพร้อมที่จะรับคำสอน แล้วประพฤติปฏิบัติตามเพื่อการขัดเกลา มิฉะนั้นก็เป็นอื่น ตามกำลังของกิเลสที่สะสมมาซึ่งก็เป็นโทษด้วย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    29 พ.ย. 2568