ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
ตอนที่ ๑๖๔๑
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมรอยัล เรสซิเดนซ์ ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ วันนี้ฟังแล้วเข้าใจแค่นี้ วันต่อๆ ไปฟังอีก เข้าใจอีก เหมือนตายไปคือชาติหนึ่งก็ได้เข้าใจแค่นี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้เข้าใจอีก ถ้ามีความเข้าใจสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพียงได้ยินคำที่บอกว่าธรรม สิ่งที่กำลังปรากฏก็จะเข้าใจได้เลยและสามารถรู้จริงๆ ว่าเพียงปรากฏด้วย
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีความติดข้อง ไม่มีความสงสัย เพราะว่าคุ้นเคยกับธรรม ไม่ใช่จำว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เเต่คุ้นเคยที่จะเริ่มรู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว ก็จะทำให้สามารถประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปได้ เพราะว่ากำลังเกิดดับจริงๆ ให้เข้าใจว่า พระธรรมคำสอนจากการตรัสรู้จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ขณะนี้ธรรมที่ปรากฏเหมือนไม่ดับ ความจริงเกิดดับทุกขณะอย่างรวดเร็ว แต่ว่าการจำสิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิตสัณฐานรูปร่างต่างๆ ทำให้ไม่รู้ว่าเพียงปรากฏแล้วก็หมด เพียงปรากฏแล้วก็หมด ก็ไปจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูกต้องตามลำดับ ไม่ต้องไปพูดเรื่องสติปัฏฐานเลยถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม และถ้าไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วขณะนี้ธรรมปรากฏแต่ละอย่าง เพียงให้รู้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้สติปัฏฐานก็เกิดไม่ได้
ดังนั้น ขณะใดก็ตามที่เริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรม เมื่อนั้นไม่ต้องเรียกชื่อ ขณะนั้นปัญญาเริ่มเกิดเพราะสติ ไม่ได้ไปคิดเรื่องอื่นเลย แต่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏเหมือนเดิมทางตา แล้วขณะนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง ขันธ์ทั้ง ๕ ที่เป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นปรมัตถ์ ที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลานี้ คนทั่วไปมักจะถือว่าเป็นขันธ์ของเรา ร่างกายของเรา เวทนาของเรา สัญญาของเรา สังขารของเรา และจิตวิญญาณของเรา หรือเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้น สักกายทิฏฐิก็คือตัวนี้ ท่านอาจารย์ได้พูดไว้ว่า ความจริงไม่ใช่ ๕ แต่เป็นถึง ๒๐ ลักษณะ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ให้รายละเอียดอีกสักครั้งหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ก็เป็นชื่อ จาก ๕ แล้วก็เป็น ๒๐ แต่ว่าตามความเป็นจริง แม้แต่คำว่าขันธ์ เรารู้จริงๆ หรือเปล่า เพราะว่าส่วนใหญ่จะไม่ได้ศึกษาธรรมตามลำดับขั้นตั้งแต่ต้น ไปที่นั่นเขาพูดเรื่องขันธ์ มาที่นี่เขาพูดเรื่องอายตนะ ไปอีกที่หนึ่งเขาพูดเลยอริยสัจจะ เพราะฉะนั้นความเข้าใจของเราก็เพียงแต่จำๆ แต่ถ้าเราเข้าใจธรรมว่ามีจริงๆ เพราะเกิดแล้วปรากฏแล้วก็ดับไป ดังนั้นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไม่ใช่ขณะนี้ แต่ขณะก่อนนั้นมีจริงๆ แต่เป็นอดีต จะปฏิเสธว่าไม่จริงไม่ได้ อย่างเมื่อวานเห็นก็มีจริงๆ ไม่ใช่เมื่อวานนี้ไม่เห็น จะเห็นเฉพาะขณะนี้ก็ไม่ใช่ แต่ว่าเห็นเมื่อวานนี้ไม่ใช่วันนี้
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดดับ ดับแล้วเป็นอดีต ขณะปัจจุบันนี้ดับเมื่อไหร่ ขณะที่ยังไม่มาถึงก็มาถึง เป็นปัจจุบัน ถ้าเราจะพูดถึงอนาคตก็ใกล้มาก คือทันทีที่สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ดับ สภาพธรรมที่จะเกิดก็เป็นปัจจุบันแล้ว เกิดต่อทันที ซึ่งสภาพธรรมที่ไม่เที่ยงเกิดดับนี่เอง จึงเป็นอดีตก็มี อนาคตก็มี ปัจจุบันขณะนี้ก็มี เพราะเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น จึงเป็นขันธ์แต่ละขันธ์ ซึ่งธรรมหลากหลายมากโดยแยกประเภทเป็นส่วนๆ คือธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เสียงก็ไม่รู้ กลิ่นก็ไม่รู้ รสก็ไม่รู้ แข็งก็ไม่รู้ สภาพที่ไม่รู้ทั้งหมดนี้ ก็เป็นสภาพธรรมอย่างเดียว ถ้าจะแยกสภาพธรรมเป็น ๒ อย่างใหญ่ๆ สภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ก็เป็นรูปธรรม
เมื่อเป็นรูปธรรมก็เป็นรูปขันธ์ คือต้องเข้าใจด้วยว่าขันธ์ไม่ได้มาจากอื่น สิ่งที่มีในขณะนี้เอง แต่จะกล่าวถึงขันธ์เมื่อวานนี้ รูปที่ปรากฏทางตาเมื่อวานนี้ รสหวานๆ เมื่อวานนี้ กลิ่นหอมๆ เมื่อเดือนก่อน ก็จะยุ่งยากมากเลย แล้วก็ประมาณไม่ได้ว่าเท่าไหร่ จึงประมวลรวมเป็นรูปขันธ์ ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่ารูปทุกชนิด รูปทุกประเภท จะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตามแต่ ทั้งหมดเป็นสภาพที่ไม่รู้ก็ต้องเป็นรูปขันธ์ ให้เรามีความเข้าใจอย่างนี้ก่อน
นี่คือการที่จะไม่เผิน เมื่อใครเขาพูดเรื่องขันธ์ก็รู้เลย เราสามารถที่จะรู้ละเอียดด้วยว่าอะไรบ้างที่เป็นขันธ์ ถ้าเขาบอกว่ารูปขันธ์ เขาอาจจะไม่เข้าใจว่ารูปเมื่อวานนี้เป็นขันธ์หรือเปล่า รูปขณะนี้เป็นขันธ์หรือเปล่า รูปที่จะเกิด ซึ่งเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดและเกิดแล้วนี่เองเป็นปัจจุบัน เป็นขันธ์หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น รูปทั้งหมด เมื่อไม่ใช่สภาพรู้ก็เป็นรูปขันธ์ กล่าวเพียงทีละขันธ์ก่อนจะได้เข้าใจความหมาย รูปเมื่อวานกับรูปวันนี้เป็นรูปเดียวกันหรือเปล่า หลายรูป รสอาหารเมื่อวานกับรสอาหารเมื่อเช้า เป็นรสเดียวกันหรือเปล่า รสไหนปราณีตกว่ากัน นี่คือการที่ไม่สามารถที่จะตอบไปได้ทุกขณะที่รสปรากฏ เพราะว่ามากมายเหลือเกินในมื้อหนึ่ง ในวันหนึ่ง ในเดือนหนึ่ง ในปีหนึ่ง ในชาติหนึ่ง
ดังนั้นแม้แต่ความหลากหลายของรส รสหยาบก็มี ละเอียดก็มี ปราณีตก็มี ทรามก็มี นี่คือความหมายของสภาพธรรมที่หลากหลายที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างๆ กัน ก็เป็นขันธ์แต่ละขันธ์ ซึ่งจะประมวลได้ว่าเป็นภายใน รูปที่นี่ไหม มี รูปข้างนอกมีไหม มี
เพราะฉะนั้น รูปที่เป็นภายในก็มี ภายนอกก็มี เกือบจะว่าถ้าเข้าใจความหมายของขันธ์แล้ว ไม่ว่าใครจะกล่าวถึงโดยนัยใดก็เข้าใจได้ทันที ไม่หลงผิดเลย แข็งที่โต๊ะนี้เป็นขันธ์หรือเปล่า แข็งที่ตัวนี้เป็นขันธ์หรือเปล่า
ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ก็งงแล้วอาจจะต้องคิด ใช่ไหม แต่ถ้ามีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า สภาพธรรมใดมีปัจจัยเกิดแล้วปรากฏแล้วดับไป สภาพธรรมนั้นเป็นขันธ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะที่ไหน ภายใน ภายนอก
เราพูดถึงดวงอาทิตย์ ถ้าไม่มีธรรมที่เราเรียกว่าดวงอาทิตย์ จะมีคำว่าดวงอาทิตย์หรือพระอาทิตย์ไหม ก็ไม่มีใช่ไหม แล้วจริงๆ แล้วพระอาทิตย์เป็นอะไร เป็นรูป เกิดดับหรือเปล่า เกิดดับ แต่ไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้ถึงการเกิดดับ มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏเป็นสัณฐาน เวลาเช้าๆ ตื่นมาก็ทรงจำไว้นั่นพระอาทิตย์ ก็ไปจำสิ่งที่มีเป็นเรื่องเป็นราว เป็นรูปต่างๆ เรื่องราวต่างๆ ของพระอาทิตย์ก็มาอีกมากมายเลยก็คือจำ แต่ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว ถ้าไม่จำไว้ แยกๆ ออกไปเป็นแต่ละลักษณะก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็หลากหลายสุดที่จะประมาณได้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรือเรียกอีก ใช่ไหม ก็เป็นรูปขันธ์ ถ้ามีความเข้าใจรูปขันธ์แล้วก็จะเข้าใจถึงสภาพธรรมที่เป็นนามขันธ์ ซึ่งต่างกับรูปโดยสิ้นเชิง
นามขันธ์คือธาตุรู้ ซึ่งมี ๒ อย่างเมื่อเกิดขึ้น ธาตุหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ มองออกไปข้างนอกรู้ว่าเป็นฟ้ากับเป็นพระอาทิตย์ รู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งไม่เหมือนกันใช่ไหม
อะไรทำให้เราเห็นและจำได้ว่านี่เป็นดาว นั่นเป็นพระจันทร์ นั่นเป็นพระอาทิตย์ ก็เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ดาวก็เกลื่อนฟ้า นั่นเป็นดาวพระศุกร์ นี่เป็นดาวอะไร จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เวลาที่จิตเกิดขึ้นต้องมีสภาพนามธรรมที่เกิดร่วมกัน สภาพนามธรรมที่เกิดกับจิต เกิดในจิต อาศัยจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต คือเจตสิก ขณะนี้ใครรู้เจตสิกบ้าง รู้จริงๆ ไม่ใช่เเค่จำชื่อ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราจำแต่เรื่องชื่อมากมายทั้งนั้นเลย แต่ว่าตัวจริงของธรรมเหมือนกับเราดูสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ โดยไม่รู้ว่าถ้าไม่มีจิต ทั้งหมดที่เป็นเรื่อง ที่เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เป็นเรื่องราวต่างๆ จะมีไม่ได้เลย ซึ่งที่จริงแล้วขณะนี้เพราะจิตกำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏแต่ละขณะ ไม่ว่าจะทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั่นเอง จะปราศจากจิตไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่และมีโอกาสได้ฟังธรรม แต่ถ้าฟังเผินก็เป็นเรื่องในหนังสือ ไม่มีทางที่จะระลึกรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมที่กำลังได้ยินได้ฟัง เราก็ไปจำเป็นขันธ์บ้าง เป็นอะไรบ้าง แต่ความจริงลักษณะนั้นคือลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะคำว่าธรรมหมายความว่าไม่เป็นของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สิ่งที่ปรากฏทางตาใครจะเห็นหรือไม่เห็น ไม่ใช่เรื่องของสิ่งที่เป็นรูปที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะมีปัจจัยทำให้เกิดเป็นสิ่งนั้นและก็ดับไป
ดังนั้นก็มีธรรมที่ต่างกัน คือนามธรรมกับรูปธรรม ซึ่งเวลาที่ได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ แล้วไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็จำเพียงชื่อ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ แต่เวลาเข้าใจธรรมก็สามารถที่จะรู้ว่ารูปขันธ์ทั้งหมดไม่ใช่นามขันธ์
เวทนา เป็นภาษาบาลี ภาษาไทยหมายถึงความรู้สึก สุข ทุกข์ เฉยๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ภาษาบาลีก็เป็น อทุกขมสุข แล้วก็โสมนัสกับโทมนัส เป็นเรื่องของใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของกาย ถ้าสุขกับทุกข์ก็เกี่ยวกับกาย เ๗็บปวด สบายดี นั่นเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา แต่แม้ว่าร่างกายไม่ป่วยไข้เลย แต่วันนี้จิตใจเศร้าหมอง เสียใจ เดือดร้อน ขณะนั้นก็เป็นโทมนัสเวทนา เดี๋ยวนี้มีไหม เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า ไม่มีทางเลยที่จะเป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ซึ่งเกิดสั้นมากและดับไปหมดแล้ว ขณะที่เราไม่พูดถึงเวทนา ความรู้สึก เวทนาเกิดดับไปนับไม่ถ้วน
ดังนั้น สภาพธรรมใดก็ตามที่ไม่ได้กล่าวถึง หรือที่ไม่รู้ สภาพธรรมนั้นเกิดแล้วดับแล้วมากมายโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้จะมากมายหนาแน่นสักเท่าไหร่ กว่าจะเริ่มค่อยๆ ลดน้อยลงไปได้ จากแม้ขั้นของการฟังที่จะเข้าใจ เพราะว่าจริงๆ แล้วความรู้สึกที่ทุกคนมีแต่ละวันไม่ขาดเลย ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา
เมื่อไม่รู้ก็เป็นเราเสียใจ เราเจ็บ ถูกฉีดยาเจ็บ เราหรือ ก็เป็นสภาพความรู้สึกที่อาศัยกายจึงเกิดได้ ถ้าไม่มีกายปสาทที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว ซึ่งเมื่อกระทบกับสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน เป็นปัจจัยให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ความรู้สึกนี้จะเกิดไม่ได้เลย
นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหมดต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดจึงเกิดได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เป็นสติปัฏฐานหรือยัง กำลังจะเป็นหรือเปล่า หรือยังเลย อีกนานหรืออย่างไร ต้องเป็นผู้ที่ตรง ยังใช่ไหม ดังนั้นถ้าถามถึงสติปัฏฐาน วิปัสสนา นิพพานก็อีกไกลทีเดียว ถ้าไม่มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏมั่นคงขึ้น
ผู้ฟัง เวลาที่เราศึกษาธรรมมาก ฟังมาก สังเกต พิจารณามากๆ ความเข้าใจในเรื่องการศึกษาก็จะมุ่งไปที่ตำรา หรือว่าการฟัง แต่การศึกษาตามความหมายที่อาจารย์อธิบาย คือศึกษาสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ฟังอะไร
ผู้ฟัง ฟังเรื่องสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ ฟังเรื่องธรรม แล้วมีตัวธรรมไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้จักตัวธรรมว่า ที่ฟัง เป็นเรื่องตัวธรรมเดี๋ยวนี้เอง ขณะนี้รู้สึกอย่างไร
ผู้ฟัง เฉยๆ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า มีจริงๆ หรือเปล่า เกิดแล้วดับแล้วหรือเปล่า เป็นขันธ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เฉยๆ คือหยาบหรือละเอียด เกิดแล้วต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นอดีตไปแล้วก็จริง เป็นอนาคตยังไม่มาถึง แล้วกำลังเป็นปัจจุบันเพราะมาถึงแล้ว ก็ตามแต่ แต่ความรู้สึกนั้นหยาบหรือละเอียด ที่ว่าเฉยๆ ละเอียดเพราะรู้ยากกว่าหยาบ
โกรธเกิดขึ้น เกิดกับเวทนาอะไร ขณะโกรธนั้นไม่ดีเลยใช่ไหม ไม่ชอบเลย ไม่เป็นสุขเลย หยาบกว่าอทุกขมสุขหรือเปล่า เพราะว่ารู้ได้เลย แต่ขณะนี้ถามแล้วก็ไม่รู้ ตอบได้ยากเพราะไม่ปรากฏ เพราะว่าไม่สุข ไม่ทุกข์ จะรู้ได้อย่างไร แต่ถ้าเทียบอีก ระหว่างความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ ในภูมิมนุษย์ กับในภูมิอื่นๆ ความประณีตก็ยังเพิ่มขึ้นอีก
เพราะฉะนั้น แม้ความหลากหลายของความรู้สึกก็มากมายสุดที่จะประมาณได้จริง จากอากาศธาตุ ซึ่งไม่มีอะไรเลยก็มีธรรมเกิดขึ้น และธรรมที่เกิดขึ้นนั้นก็หลากหลายมากมาย แล้วไม่ซ้ำกันด้วยสักขณะเดียว เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย มีแต่ของใหม่ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดดับไปเรื่อยๆ ไม่มีใครสามารถที่จะดับการเกิดดับของธาตุเหล่านี้ได้ จนกว่าปัญญาถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมด เป็นพระอรหันต์ สภาพธรรมที่เคยมีปัจจัยเกิดเป็นอะไรต่างๆ ก็ไม่มีปัจจัยเหลือที่จะทำให้เกิดขึ้นอีกได้เลย
นี่คือการฟังธรรมแล้วเข้าใจธรรม และรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทำให้คนอื่นสามารถเข้าใจในสิ่งซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ จนกระทั่งค่อยๆ คลายความสงสัยและความไม่รู้ แต่ตราบใดที่ไม่รู้จักตัวธรรมก็ยังเป็นเรากำลังเข้าใจเรื่องราวของธรรมเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นเวทนา เป็นภาษาบาลี หมายความถึงความรู้สึก ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงเป็นเราใช่ไหม เสียใจทนไหวไหม ยากที่จะทน ดีใจก็ตรงกันข้าม ยับยั้งไม่ได้เลย อาจจะยิ้ม อาจจะหัวเราะ อาจจะอะไรก็ได้ ใช่ไหม นี่ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ
ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่เข้าใจธรรม เหมือนสุขทุกข์อยู่ในโลกมืดเพราะความไม่รู้ ไม่รู้อะไร ก็เพียงปรากฏเล็กน้อยก็ต้องการแล้ว ติดข้องแล้ว ช่างไม่ฉลาดเสียเลย หรือจะใช้คำอีกคำหนึ่งก็ยิ่งแย่ ช่างโง่เสียจริงๆ ก็ไม่ผิดใช่ไหม แต่คงจะไม่มีใครอยากจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ฉลาด ไม่เข้าใจ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย โลกมืดเพราะไม่มีแสงสว่างคือปัญญา ที่จะเห็นความไม่เที่ยง การเกิดขึ้นของสภาพธรรมซึ่งเป็นไปตามปัจจัย หลงยึด หลงติดข้อง หลงต้องการ เมื่อไม่ได้ก็โทสะเกิด มีการประทุษร้ายเบียดเบียนระหว่างที่เกิดมาชั่วคราว แต่ก็สะสมความไม่รู้นั้น สะสมอกุศลต่อไปอีก
ด้วยเหตุนี้ ปัญญา แม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เห็นสภาพธรรมได้ เห็นชีวิตได้ตามความเป็นจริงว่า อะไรมีประโยชน์ที่สุดในการที่เกิดมาแล้วจะต้องตายไปแต่ละชาติ จะมืดอยู่ต่อไป หรือจะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ละเอียดและรู้ยาก เพราะแม้แต่ความรู้สึกเฉยๆ ขณะนี้ก็รู้ยาก แต่มีแน่นอน ขณะใดที่ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่โสมนัส ไม่ใช่โทมนัส ขณะนั้นคือเฉยๆ เป็นเราหรือเปล่า
ต่อไปนี้เมื่อได้ยินคำว่า เวทนาขันธ์ ไม่ว่าจะที่ไหนก็เข้าใจได้ เป็นธรรม เป็นความรู้สึก และเป็นขันธ์หนึ่ง คือเป็นสภาพของความรู้สึก แยกออกมาจากสภาพธรรมอื่น เพราะเหตุว่าเป็นที่ตั้งของความยึดถือและความต้องการ ตั้งแต่เกิดจนตาย
สิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกคนก็คือความสุข หรือโสมนัส ที่แสวงหาตั้งแต่เช้ามานี้ ลืมไปเลยว่าเราต้องการอะไร ต้องการสุขทั้งนั้นเลย ตอนกลางคืนหนาว ไม่สุขใช่ไหม ก็ห่มผ้า ต้องการอะไรหรือเปล่า ต้องการสุข ร้อนไปแล้วพัด ต้องการอะไรหรือเปล่า ก็ต้องการสุข
ชีวิตก็เต็มไปด้วยการแสวงหาเพื่อที่จะให้ความรู้สึกที่เป็นสุขเกิดขึ้น และความรู้สึกนั้นก็ไม่เที่ยงเลย ก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เวลาที่ใครพูดถึงเวทนาโดยที่เขากล่าวว่า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ แต่เขาจะเข้าใจความรู้สึกในขณะนี้หรือเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งที่เราจะรู้ได้ว่า การฟังธรรมจะมีคนที่มีศรัทธา ฟังด้วยความสนใจแต่ไม่เข้าใจแล้วก็ไม่รู้จักตัวธรรม กับผู้ที่มีการเข้าใจว่าธรรมมีจริงๆ เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของธรรมที่มีจริงทุกขณะ
ดังนั้น ฟังธรรมไม่ใช่ไปติดที่ชื่อ ชื่อเพียงแต่ทำให้เข้าใจว่าหมายความถึงสภาพธรรมอะไรในขณะนี้ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ความรู้สึกไม่ใช่รูปเพราะว่าเป็นความรู้สึก จึงไม่ใช่ธรรมที่เป็นรูปธรรม แต่เป็นธรรมที่เป็นนามธรรม รูปธรรมคือรูปขันธ์ รูปใดๆ ก็ตามเเต่ ทั้งหมดเป็นรูปขันธ์ทั้งนั้น
คนที่ไม่ศึกษาโดยละเอียด แปลภาษาบาลีแล้วก็ใช้ภาษาอังกฤษ คนที่ฟังภาษาอังกฤษเข้าใจว่าหมายความถึงกอง ทั้งๆ ที่ภาษาบาลี ก็มีคนที่ได้มารู้จักธรรมที่เป็นชาวต่างประเทศ ที่เป็นเจ้าของครอบครองประเทศอินเดีย ก็มีความสนใจศึกษาภาษาบาลี มีความรู้แต่ไม่เข้าถึงธรรม เมื่อได้ยินคำว่ารูปขันธ์ เขาเข้าใจว่าต้องเป็นกองของรูปทั้งหมด แต่ละรูปไม่ใช่หนึ่งขันธ์ๆ แต่ถ้าแต่ละหนึ่งไม่ใช่ขันธ์ ที่มีข้อความว่า ขณะจิตหนึ่งที่เกิดขึ้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จะต้องพร้อมทั้ง ๕ ขันธ์
ถ้าเป็นกองรูปมาแล้วจะพร้อมได้อย่างไร แค่รูปเดียวที่ปรากฏใช่ไหม หรือว่าเวทนาขณะนั้นก็อย่างเดียว สุขจะเป็นทุกข์ไม่ได้ จะเป็นโสมนัสไม่ได้ จะเป็นอุเบกขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะหนึ่งที่เป็นความรู้สึกก็คือขันธ์ จึงจะพร้อมทั้งเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ นามขันธ์ ๔ เกิดดับพร้อมกัน ไม่แยกกันเลย นี่คือความละเอียดที่ว่า การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจตัวธรรม มิฉะนั้นจะคลาดเคลื่อน จะนำชื่อมาคิดและก็คิดว่าเข้าใจ แต่ก็เข้าใจผิด ถ้าไม่กล่าวว่านามขันธ์ ๔ เกิดพร้อมกัน ไม่มีทางที่จะไปทำให้เขาหายสงสัยได้ว่าต้องเป็นแต่ละหนึ่ง เขาเข้าใจว่าต้องเป็นกอง ถึงจะเป็นนามขันธ์แต่ละกองๆ
คุณอุดร คิดว่าจะเข้าใจธรรมในพระไตรปิฎกได้ทั้งหมดหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ทั้งหมด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะเข้าใจได้ก็คือสามารถเข้าใจสภาพธรรมขณะนี้ จึงจะค่อยๆ เข้าใจข้อความในพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นก็เป็นแต่เพียงชื่อ รู้ชื่อแล้วก็งง ไม่มีตัวธรรมอะไรมาปรากฏให้เข้าใจแจ่มแจ้งได้ เพราะเป็นแต่เพียงชื่อและเป็นเเต่เพียงความคิด
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการฟังธรรม คนที่ฟังก็มีปัญญาที่สะสมมาต่างๆ กัน ผลก็คือบางคนฟังแล้วเป็นพระอริยบุคคลก็มี ไม่เป็นก็มี แล้วก็จำแต่เพียงชื่อ แล้วก็สงสัยในชื่อ แล้วก็คิดเรื่องชื่อไปเรื่อยๆ มีทางที่จะแจ่มแจ้งในธรรมและเป็นพระอริยบุคคลได้ไหม
เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ถ้าค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะรู้สิ่งที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นชัดเจนขึ้นอีก ได้ไหม เมื่อชัดเจนขึ้น คำต่างๆ ในพระไตรปิฎกก็แสดงความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ยิ่งขึ้น เช่น ขันธ์ก็แสดงแล้ว ยังมาแสดงธาตุ อายตนะ ก็เข้าใจขึ้นอีก ไม่ได้มีแต่เพียงชื่อ เข้าใจถึงในขณะนี้หรือขณะนั้นด้วยเมื่อมีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ถ้าได้ยินคำว่านิพพาน แล้วก็ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลยในขณะนี้ แล้วจะรู้ไหมว่านิพพานคืออะไร สิ่งที่ปรากฏให้เห็นยังไม่รู้ และชื่อที่เพียงได้ยินจะรู้ไหมว่าคืออะไร แล้วจะไปพยายามรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ นอกจากคิด แล้วคิดแล้วจะรู้ได้ไหม มีคำตอบ มีคำอธิบายมากมายหลายหน้าแล้วรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ก็รู้ไม่ได้
ท่านอาจารย์ จะรู้ได้เมื่อไหร่ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น แล้วถ้าปัญญาไม่เจริญ แล้วก็จะไปคิดถึงสิ่งซึ่งต้องรู้ด้วยปัญญาจึงจะเข้าใจได้จริงๆ ก็เป็นสิ่งที่เพียงต้องการจะทราบคำ ทราบความหมาย แม้แต่เพียงการระลึกถึงสภาพที่ดับกิเลส ลองคิดดู
ผู้ฟัง ถ้าเราได้ศึกษามากๆ เป็นพหูสูต แล้วก็มีสภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้สติเกิด อย่างนั้นหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ พหูสูตคือรู้ชื่อ หรือเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง
ผู้ฟัง เข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง
ท่านอาจารย์ ถ้ามีแต่ชื่อ โดยที่ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังก็เป็นโมฆะ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
