ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643


    ตอนที่ ๑๖๔๓

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมรอยัล เรสซิเดนซ์ ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมต้องเพื่อประโยชน์จริงๆ เป็นผู้ที่อ่อนน้อมพร้อมที่จะรับคำสอน แล้วประพฤติปฏิบัติตามเพื่อการขัดเกลา มิฉะนั้นก็เป็นอื่น ตามกำลังของกิเลสที่สะสมมาซึ่งก็เป็นโทษด้วย

    อ.อรรณพ ถ้าเป็นผู้ที่ศึกษาปริยัติ มีความเข้าใจในขั้นการฟังเป็นปัญญา มีปัญญาในขั้นพิจารณาไตร่ตรองที่เป็นปัญญา ที่เป็นไปเพื่อการที่จะเข้าใจสภาพธรรมขณะนี้ เป็นนิสสรณัตถปริยัติ จะไม่มีทางที่จะเป็นโทษ หรือว่าออกไปจากข่ายของพระธรรมเลย

    เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ผู้ที่ทรงไว้ซึ่งปริยัติจะไม่พ้นทุกข์ เป็นไม่มี เพราะในขณะที่เข้าใจแม้ขั้นการฟัง การพิจารณา แม้ไม่ใช่ขณะที่สติเกิด เพราะว่าขณะที่เป็นสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ก็ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา เกิดสลับกันในขณะนั้น เป็นปัญญาขั้นเข้าใจปริยัติ แต่ว่าเป็นปัญญาที่เป็นพื้นของการที่จะเป็นไปเพื่อการละคลาย ก็จะต้องนำไปสู่การดับกิเลส ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ไตร่ตรอง สังขารขันธ์มี ซึ่งทรงแสดงเจตสิก ๕๐ โดยละเอียดว่าเป็นสังขารขันธ์ เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะเป็นตัวตนที่ไปปรุงแต่ง เหมือนกับช่างตัดเสื้อจะตัดแบบไหนก็ได้ ให้จิตเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่อาศัยการฟังธรรมและเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ได้ว่าเราจะไม่สามารถรู้การเป็นไป การสะสมของสังขารขันธ์แต่ละครั้งที่ได้ฟัง หรือว่าสภาพธรรมที่มีซึ่งก็มีทั้งกุศลบ้าง อกุศลบ้าง หลากหลายเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นสังขารขันธ์อย่างไร จนกว่าสภาพธรรมนั้นจะเกิดขึ้น อย่างเช่น คนที่ฟังธรรม แต่ก่อนก็เป็นคนที่โกรธ วันก่อนมีผู้พูดถึงเรื่องโกรธใช่ไหม แต่ระลึกได้ว่าไม่มีตัวตน เป็นสังขารขันธ์

    ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลยจะเกิดการระลึกได้ไหม หรือจะให้เลือกระลึกว่าตอนนี้ให้สังขารขันธ์เกิด ให้นึกให้ได้ว่าไม่ใช่ตัวตน ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็จะมีความเข้าใจการเป็นไปของสังขารขันธ์ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตนหรือเราเลย

    วันนี้เป็นผู้ที่ตรง ฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อขัดเกลา เพื่อละคลาย ด้วยความรู้ความเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จะทำให้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตามมีตามได้หรือเปล่า ถ้าไม่เกิดคือสังขารขันธ์ยังไม่ปรุงแต่งพอที่จะเป็นอย่างนั้น เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ชอบหรือไม่ชอบ หรือเดือดร้อนหรือเปล่า ถึงระดับไหน ระดับที่ต้องเอ่ยเป็นวาจา หรือแสดงกิริยาอาการหรือเปล่า นี่ก็เป็นความเป็นไปของสังขารขันธ์ทั้งหมด ซึ่งบุคคลนั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าจากที่เคยเป็นอย่างหนึ่ง ก็มีการเป็นไปแล้วอีกอย่างหนึ่ง ไม่ต้องกล่าวว่าเพราะสติ เพราะศรัทธา เพราะอโลภะ เพราะอโทสะ เพราะว่าขณะนั้นเป็นสังขารขันธ์ทั้งหมดที่เกิดพร้อมกัน ทำกิจในขณะนั้นที่เป็นอย่างนั้น

    ดังนั้น จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุทเฉท ยังเต็ม แต่ว่าฉันทะ อัธยาศัยของแต่ละคนก็ต่างๆ กันไป จนกระทั่งทำให้สามารถที่จะเห็นความเป็นบุคคลต่างๆ ฉันทะ ต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นความเป็นไปของธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะโกรธหรือไม่พอใจ หรือไม่อภัย ก็รู้ว่าเป็นธรรมที่เป็นอย่างนั้นตามการสะสม นี่คือการที่ได้ประโยชน์จากการเข้าใจธรรม และธรรมที่ได้ยินได้ฟังก็เป็นประโยชน์จริงๆ เพราะว่าไม่ไปทำให้มีความสำคัญตน หรือว่าแทนที่จะละก็กลับเป็นการเพิ่มความเป็นตัวตนยิ่งขึ้น

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าท่านอาจารย์ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องศึกษา เพียงแต่ต้องการจะให้เกิดความตระหนักแก่ผู้ฟังว่า การเรียนธรรม การฟังธรรม ต้องไม่เผิน ต้องไม่ทำด้วยความต้องการที่จะเป็นผู้ที่จะรู้มากกว่าคนอื่น ซึ่งก็เป็นไปด้วยกิเลส แล้วก็จะทำให้การเรียน การฟังธรรมไปติดอยู่ที่ชื่อ บัญญัติ ถ้อยคำ ภาษา จนทิ้งสาระของปริยัติ คือความรู้ ความเข้าใจถูกต้องในธรรมต่างๆ ตรงตามสภาพที่เป็นจริง ในขณะที่ธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฏให้เห็น แล้วถ้าจะอ้างคำว่า ผู้ทรงปริยัติจะไม่พ้นทุกข์ เป็นไม่มี นั้น ต้องหมายความว่าต้องได้ฟัง แล้วศึกษาปริยัติธรรมอย่างถูกต้อง ด้วยความเข้าใจในเนื้อแท้ของตัวธรรม ถึงจะเป็นผู้ทรงปริยัติ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็รู้จักตัวเองใช่ไหม ฟังธรรมเพื่ออะไร ถ้ายังไม่รู้ก็คือจะไม่ได้ประโยชน์แน่ แต่ถ้าฟังเพื่อที่จะได้ละอกุศล ละความไม่รู้ เพราะว่าบางคนได้ยินคำว่าปฏิจจสมุปบาท ก็สนใจอยากรู้ ทำไมสนใจอยากรู้ปฏิจจสมุปบาท แล้วธรรมเดี๋ยวนี้รู้หรือยัง คือการข้ามขั้นแล้วคิดหรือว่าจะรู้ ถ้าไม่รู้ตัวธรรมจริงๆ แม้แต่คำว่า อวิชชา พูดได้ แต่เวลานี้สภาพธรรมปรากฏแล้วไม่รู้ ต่างกับขณะที่สามารถรู้จนแทงตลอด ซึ่งเป็นลักษณะที่ต่างกัน เริ่มเข้าใจ เริ่มรู้ยิ่งขึ้น จนละคลาย จนแทงตลอด นั่นคือปัญญา ไม่ใช่ความไม่รู้ ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้

    ลักษณะที่ไม่รู้ ที่เราใช้คำว่าอวิชชา แต่ในวันหนึ่งๆ ไม่รู้ว่าอวิชชาเมื่อไหร่ เพราะขณะที่เป็นอวิชชาไม่สามารถที่จะรู้ว่าเป็นอวิชชา เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปสนใจอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นพิเศษ โดยไม่มีความรู้ขั้นต้นตามลำดับ

    เมื่อพูดถึงเรื่องปัฏฐาน บางคนก็อยากรู้โดยละเอียด แต่ว่าเดี๋ยวนี้ แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏ เพราะจิตเกิดขึ้นได้ยิน ถ้าไม่ใช่เสียง จิตได้ยินจะเกิดได้ไหม ถ้าไม่ใช่เสียง จิตได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตนี้เป็นธาตุที่เกิดขึ้นแล้วรู้เฉพาะเสียง ไม่รู้อย่างอื่นเลย แค่นี้เอง เกิดมาทำงานแต่ละวันคือเกิดขึ้นมาได้ยินเสียง

    ถ้าฟังอย่างนี้ก็เริ่มที่จะคลายความเป็นเรา เพราะเห็นตามความเป็นจริงว่าทุกขณะที่ได้ยิน ถ้าสามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งอาศัยเสียงเกิดขึ้นทำกิจได้ยินเสียงนั้นเท่านั้นเอง แล้วก็หมดไปไม่กลับมาอีกเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ ใส่ชื่อว่าเสียงเป็นอารมณ์ของจิตที่ได้ยิน โดยเป็นปัจจัยที่ทำให้ได้ยินเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เสียงเป็นปัจจัยโดยเป็นอารมณ์ จึงเป็นอารัมมณปัจจัย

    ถ้าเราเข้าใจตัวธรรม ชื่อทั้งหลายเราสามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ ไม่ใช่ไปจำชื่อ ท่องชื่อ แล้วไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วขณะนี้ คือจิตจะเกิดโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้เลย ปราศจากอารมณ์ไม่ได้ ก็ครอบคลุมไปหมดทั้งไตรปิฎก ไม่ว่าจะพูดถึงอะไร ความจริงต้องเป็นความจริง คือจิตเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ขณะนั้นไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่จิตรู้เป็นอารัมมณปัจจัย คือเป็นปัจจัยให้จิตเกิดโดยเป็นอารมณ์เท่านั้นเอง ปัจจัยอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เช่น จิตกับเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน แยกกันไม่ได้เลย ไม่ใช่นามธรรมกับรูปธรรมเลย เพราะเหตุว่ารูปไม่รู้ แต่นามธรรมเป็นสภาพรู้

    ดังนั้น ถึงแม้ว่าเป็นจิตและเจตสิกแต่ก็เป็นสภาพรู้ด้วยกัน จึงแยกจากกันไม่ได้ เข้ากันได้สนิท เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน กล่าวได้ว่าเจตสิกเกิดในจิต คือเกิดร่วมกัน พร้อมกันเลย จึงเป็นสัมปยุตตปัจจัย ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ รูปเป็นสัมปยุตตปัจจัยได้ไหม ไม่ได้ แม้เกิดพร้อมกัน แต่ไม่รู้อารมณ์ ก็ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย แต่เกิดพร้อมกันจึงเป็นสหชาตปัจจัย

    ถ้ามีความเข้าใจธรรม จะช่วยทำให้เข้าใจสิ่งที่คิดว่าเข้าใจยาก แต่เพราะเหตุว่าเข้าใจธรรมตามลำดับจึงเข้าใจได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมตามลำดับจะไม่สามารถเข้าใจได้เลย ก็ติดขัดไปหมดทุกๆ คำ และบางคนอาจจะคิดเองซึ่งก็ไม่ถูก

    อ.อรรณพ ถ้าเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ แต่มีการศึกษาพระธรรมแล้วก็ไม่ประมาท แม้พืชเชื้อกิเลสยังมีอยู่ แต่ว่าความรู้ขั้นระลึก และความรู้ในขั้นปริยัติที่สะสมสลับกัน ก็เป็นไปเพื่อที่จะละคลายกิเลสที่มีอยู่ แต่ขึ้นกับระดับของความรู้ปริยัตินั้นด้วยหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถ้าใช้คำว่าปริยัติ ไม่ใช่ปฏิบัติ ถูกไหม แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจซึ่งเป็นปริยัติ ปฏิบัติก็เกิดไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้มีความเข้าใจจริงๆ มั่นคงว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงที่ปรากฏได้ ๖ ทาง เดี๋ยวนี้เอง ได้ไหม ถ้ามีความมั่นใจแล้วยังไม่รู้ก็ฟังให้เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไปคิดว่า แล้วเมื่อไหร่สติจะเกิด นั่นคือ โลภะ

    เพราะฉะนั้น แสดงว่าผู้นั้นหวังให้สติเกิดด้วยความเป็นเรา ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ว่า แม้สติก็เป็นอนัตตา จะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เวลาสติไม่เกิดจะเดือดร้อนไหม ไม่เดือดร้อน เป็นปัจจัยให้สติสามารถเกิดได้ แต่ถ้าเดือดร้อนก็ไม่เป็นปัจจัยให้สติเกิด ก็กั้นไปอยู่เรื่อยๆ

    ถ้ามีความเป็นเราที่ตั้งกฎเกณฑ์ เลือกที่จะรู้อย่างนั้นอย่างนี้ คือปิดกั้นการเกิดขึ้นของสัมมาสติ ด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นอย่างนั้นไม่ใช่ปริยัติ เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ในคำแรก ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทิ้งไปเลย มีตัวตนเข้ามา แล้วก็มีความต้องการ ลืมความหมายของธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ดังนั้น แต่ละครั้งที่ฟังต้องเข้าใจยิ่งขึ้นในความเป็นอนัตตาด้วย

    ผู้ฟัง (แปลจากคำถามภาษาอังกฤษ) โปรดอธิบายปัจจัย ๒๔ โดยความเชื่อมโยงตามนัยของปฏิจจสมุปบาท

    ท่านอาจารย์ จะรู้ทั้งหมด หรือค่อยๆ รู้ทีละเล็กทีละน้อย นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้ารู้อะไรเเละรู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ ในสิ่งนั้น แล้วเมื่อได้ยินได้ฟังก็ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ รู้จริงๆ ในสิ่งนั้น ความเข้าใจจริงๆ ก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราเพียงกล่าวถึง ๒๔ ปัจจัย โดยนัยของปฏิจจสมุปบาท แล้วไม่ได้เข้าใจทีละปัจจัยทีละเล็กทีละน้อยก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าเราก็จะลืม เพราะเราเพียงเเค่จำ

    ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะกล่าวถึงปัจจัย ๒๔ ก็กล่าวถึงปัจจัยเดี๋ยวนี้ ทีละกี่ปัจจัยก็ตามแต่ อย่างเมื่อครู่นี้ กล่าวถึงอารัมมณปัจจัย ชัดเจนแล้วก็ไม่มีทางที่เราจะเปลี่ยนความเห็นเป็นอย่างอื่น บัญญัติ ความคิดนึก เรื่องราวต่างๆ เป็นอารัมมณปัจจัย หรือเปล่า นี่คือเพื่อที่จะได้ตรวจสอบว่าความเข้าใจของเรามั่นคงในคำที่เราได้ยินได้ฟังหรือเปล่า เสียงเป็นอารัมมณปัจจัยหรือเปล่า เป็นเมื่อไหร่ เสียงเกิดแล้วดับเร็วมาก เสียงเป็นอารัมมณปัจจัยเมื่อไหร่ เมื่อจิตได้ยินเกิดขึ้นจึงเป็นอารัมมณปัจจัย เพราะเป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิด

    ถ้ามีปัจจัยก็ต้องมีปัจจยุบบัน คือมีธรรมที่เป็นเหตุ ต้องมีธรรมซึ่งเกิดจากเหตุนั้น ซึ่งเป็นผลของเหตุนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าขณะนั้นผลไม่เกิด แล้วจะบอกว่าเป็นปัจจัยได้ไหม ก็ไม่ได้ เวลาที่พูดถึงปัจจัย และไม่พูดถึงปัจจยุบบัน คือธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยนั้น ได้ไหม ก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องพูดว่าปัจจัย คือขณะนั้นต้องมีปัจจยุบบัน ซึ่งเป็นผลของปัจจัยนั้น จึงจะกล่าวได้ว่าธรรมนั้นเป็นปัจจัย เสียงที่เกิดและดับไปอยู่เรื่อยๆ โดยไม่มีจิตได้ยินเกิดขึ้นเป็นปัจจัยหรือเปล่า จะไปเป็นปัจจัยกับอะไร เห็นไหมว่าโดยเหตุโดยผล แต่เมื่อจิตได้ยินเกิดขึ้น เสียงนั้นจึงเป็นปัจจัย โดยเป็นอารมณ์ของจิตที่ได้ยิน นี่เป็นปัจจัยหนึ่ง คืออารัมมณปัจจัย มีเหตุปัจจัย มีอะไรอีก

    พูดถึงปัจจัยที่มีทีละเล็กทีละน้อยแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็ครบ ๒๔ แต่ต้องไม่ใช่รู้โดยที่ปัจจัยนั้นไม่มีในขณะนี้ แล้วก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ที่พอจะเข้าใจได้ที่เราได้ยินตั้งแต่ต้น คือจิต เจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพียงแค่นี้ก็หลายปัจจัยแล้ว สหชาตปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย อัตถิปัจจัย ก็แล้วแต่ ยังไม่จำเป็นต้องพูดชื่อก็ได้ แต่ว่าเข้าใจเสียก่อนแล้วชื่อก็ตามมาทีหลัง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องมีปัจจัยนั้นๆ แน่นอน เพียงแต่ว่าเราจะกล่าวถึงชื่อ หรือไม่กล่าวถึงชื่อเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง มีคำถามว่า สติปัฏฐาน เกิดขณะที่เป็นวิถีจิตทางปัญจทวาร และมโนทวาร เกิดทั้ง ๒ วิถีได้หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ กุศลจิตเกิดได้กี่ทวาร คนถามต้องรู้ ไม่รู้ถามไม่ได้ มีทวาร ๖ ทวาร แล้วมาถามอย่างนี้ก็ต้องรู้ใช่ไหม ไม่รู้จะถามได้อย่างไร

    ผู้ฟัง กุศลก็เกิดได้ทุกทวาร

    ท่านอาจารย์ แล้วกุศลญาณสัมปยุตต์ เกิดได้กี่ทวาร

    ผู้ฟัง ทั้ง ๖ ทวาร

    ท่านอาจารย์ แล้วสงสัยอะไร

    ผู้ฟัง สงสัยว่า สติเกิดทางปัญจทวารได้หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ สติเกิดกับอกุศลจิตได้ไหม สติต้องเกิดกับจิตประเภทไหน

    ผู้ฟัง กุศลจิต

    ท่านอาจารย์ กุศลจิตเกิดได้กี่ทวาร

    ผู้ฟัง ๖ ทวาร

    ท่านอาจารย์ กุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา เกิดได้กี่ทวาร

    ผู้ฟัง ๖ ทวาร

    ท่านอาจารย์ แล้วสงสัยอะไร ได้ยินทวารแต่ยังไม่รู้จักทวาร เมื่อได้ยินปัญจทวาร มโนทวาร ก็ไม่รู้ว่าขณะนี้ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นจักขุทวาร หรือ มโนทวาร เพราะว่าเกิดสืบต่อเร็วทันที มีภวังคจิตคั่น แล้วก็มีการรับรู้อารมณ์ที่ปัญจทวารรู้นั่นเอง อย่างเดียวกันเลย ใครแยกได้ แล้วถ้าปัญญาเกิดทางมโนทวาร จะไม่ให้ปัญญาเกิดทางปัญจทวารหรือ อะไรจะไปหยุด มิฉะนั้นก็กลายเป็นมโนทวารมีสติปัฏฐาน จักขุทวารไม่มีปัญญา เมื่อมาเป็นมโนทวารก็มีปัญญา เมื่อไปถึงปัญจทวารก็ไม่มีปัญญา ขณะนั้นเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ตรงตามที่ได้ศึกษาหรือเปล่า และที่ศึกษาหมายความถึงอะไร

    ผู้ฟัง หมายถึงศึกษาแต่เรื่องราว

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่ได้ศึกษาด้วยว่า นี่เป็นสิ่งที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว กลับจะไปเปลี่ยนไม่ให้กุศลจิตเกิดถึงปัญจทวาร

    ผู้ฟัง เคยได้ฟังมาว่า วิปัสสนาญาณเกิดทางมโนทวาร ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ปัญญาที่แทงตลอดความเป็นจริงของสภาพธรรม จึงจะเป็นวิปัสสนา ขณะนี้มีเห็น แล้วก็ต้องมีชวนะคือ กุศลหรืออกุศล สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ รู้ไหม ทางปัญญจทวาร มีแล้ว รู้หรือเปล่า ยังไม่รู้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญา ไม่ใช่อวิชชา ต้องต่างกันใช่ไหม เพราะว่า โลภะก็เกิดได้ ๖ ทวาร โทสะก็เกิดได้ ๖ ทวาร โมหะก็เกิดได้ ๖ ทวาร กุศลก็เกิดได้ ๖ ทวาร กุศลญาณสัมปยุตต์ก็เกิดได้ ๖ ทวาร ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่กล่าวว่าเป็นทางมโนทวาร เพราะเหตุว่าทางมโนทวารเป็นธรรมที่รับอารมณ์ทุกอารมณ์ต่อ

    ดังนั้น ลักษณะของมโนทวารปรากฏ ว่าสามารถที่จะรู้อารมณ์ทุกอารมณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ก่อนที่อารมณ์นั้นจะปรากฏกับมโนทวาร ต้องมีปัญจทวารก่อน แต่เหมือนขณะนี้ไม่รู้ใช่ไหม แต่ถ้าเป็นปัญญา คือขณะนั้น มโนทวารสามารถที่จะรู้อารมณ์ทุกอย่าง แล้วก็ต้องมีชวนวิถีของทางปัญจทวารด้วย แต่ว่าสภาพของมโนทวารที่สามารถที่จะรู้ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ขณะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ขณะนั้นมีนามธรรมหรือรูปธรรมเป็นอารมณ์

    เพราะฉะนั้น ลักษณะความรู้ชัดของรูปธรรมไม่ใช่เฉพาะทางมโนทวาร มิฉะนั้นแล้วทางปัญจทวารจะเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เป็นความรู้ชัดในรูปธรรม แต่สำหรับปัญจทวารนั้นไม่รู้นามธรรม ด้วยเหตุนี้ มโนทวารจึงสามารถที่จะรู้ชัดทั้งนามธรรมและรูปธรรมด้วย ซึ่งทางปัญจทวารไม่สามารถที่จะรู้นามธรรมได้เลย

    ผู้ฟัง ถ้าสติเกิดทางปัญจทวาร จะช่วยให้ละคลายได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เวลานี้สติเกิดแล้วรู้ไหมว่าทวารไหน เวลาที่รู้ชัดในรูปธรรมรู้ไหมว่าต้องมีสติกับปัญญาด้วย ที่สามารถที่จะรู้ลักษณะที่เป็นรูปธรรมแต่ละรูป ซึ่งต่างกับนามธรรม เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของเราที่จะไปบอก ไปกล่าว ไปคิดว่า ทางนี้จะต้องไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ทางนั้นมีปัญญาเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า หรือว่าความจริงควรจะเป็นอย่างไร ความจริงควรเว้นทางปัญจทวารไม่ให้มีปัญญา ไม่ให้รู้ลักษณะของรูปหรือเปล่า ในเมื่อเป็นวิปัสสนาญาณ

    เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่เป็นการคิด คิดเองไม่มีทางที่จะถูกได้เลย แต่ขึ้นอยู่กับว่าปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน และปัญญาสามารถที่จะรู้ชัดก็ต้องตรงกับความเป็นจริง เพียงแต่ว่าจะสามารถรู้ได้ระดับไหน ตามกำลังของแต่ละบุคคลที่สะสมมา แต่สำหรับญาณที่จะรู้ชัด เพราะเหตุว่ารู้ชัดทั้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จึงต้องเป็นการประจักษ์ลักษณะของมโนทวารวิถี ไม่มีความสงสัยในมโนทวารวิถีเลย

    ขณะนี้เหมือนไม่มีมโนทวารวิถี มีแต่จักขุทวารวิถี โสตทวารวิถี แม้มโนทวารที่คิดเรื่องราวก็ไม่เห็นปรากฏ เพราะว่าทางตาก็ยังเห็นอยู่ ไม่ดับไปเลย ใช่ไหม นี่คือต่างกับขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณ

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กล่าวว่า เกิดทางมโนทวาร หมายถึงว่า มโนทวารนั้นเกิดต่อจากปัญจทวาร แล้วมโนทวารนั้นก็รู้ชัดในสภาพของรูปธรรมที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ มโนทวารรู้อะไร ขณะนั้น

    ผู้ฟัง รู้ อย่างเช่น การเห็น มโนทวารก็รู้การเห็นด้วย

    ท่านอาจารย์ รู้การเห็นต้องเป็นนามธรรม รู้สภาพรู้ ต้องเป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น หมายความว่า ต้องมีปัญจทวารก่อนหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ต้องมีปัญจทวารก่อน

    ท่านอาจารย์ แล้วแยกกันได้ไหม ปกติ เดี๋ยวนี้ บอกมาได้ไหมว่าขณะไหนเป็นทางจักขุทวาร ขณะไหนเป็นทางมโนทวาร เพราะความรวดเร็วของการเกิดดับของธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะประมาณได้เลย ทำให้เห็นเหมือนกับว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ดับเลย เหมือนมายากล เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ อยู่ในโลกของความไม่รู้ระดับไหน ไม่รู้แม้กำลังถูกหลอกว่ามีคน มีสัตว์ มีวัตถุ มีสิ่งต่างๆ เที่ยง ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ผู้ฟัง ทุกวันนี้ก็อยู่ในโลกของการหลอกลวง

    ท่านอาจารย์ อวิชชา โลภะ อกุศลทั้งหลาย

    ผู้ฟัง ไม่มีความจริงปรากฏเลย

    ท่านอาจารย์ ปรากฏก็ไม่รู้ ก็ยึดถือเลย หลอกหรือเปล่าว่ามีคน แล้วความจริงมีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ความจริงไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีธรรมที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง สังเวชนียสถานแสดงไว้ ๔ แห่ง แถวนี้ก็มีดงคสิริ มีบ้านนางสุชาดา สถานที่ลอยถาด แม้กระทั่งเขาคิชฌกูฏ วัดเวฬุวัน ก็เป็นพุทธสถาน ไม่ได้แสดงว่าเป็นสังเวชนียสถาน สังเวชนียสถานจะแสดงเรื่องสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงธรรมจักร และสถานที่ปรินิพพาน ส่วนสถานที่อื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึง ทำไมไม่แสดงว่าเป็นสังเวชนียสถาน

    ท่านอาจารย์ เมื่อได้ยินคำว่าสังเวชนียสถาน ก็สังเวชนียสถาน จบ หรือว่า สังเวชนียสถานคืออะไร แล้วจะเป็นสังเวชนียะอย่างไร อย่างที่ที่ประสูติเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ที่ปรินิพพานก็เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งหมดเลย แม้แต่ที่ตรัสรู้ ก็เป็นการตรัสรู้หลังจากที่ได้บำเพ็ญพระบารมีเต็มทำให้ได้ตรัสรู้ และที่ปฐมเทศนาก็เป็นการเทศนาครั้งแรก ที่ทำให้ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบูรณ์ เพราะว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะอุปการะสัตว์โลก ถ้ายังไม่ได้อุปการะสัตว์โลกก็ยังไม่เต็มตามที่ได้บำเพ็ญบารมีมา เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก

    เพราะฉะนั้น เวลาที่จะระลึกถึงความเป็นสังเวชนียสถาน อย่างที่ใกล้ๆ เราก็คือที่ตรัสรู้ ระลึกอย่างไรถึงจะเป็นสังเวชนียสถาน หรือเขาบอกว่า ... เราก็ว่าตามเขา คือสังเวชนียสถาน เพราะว่าต้องเป็นปัญญา จึงจะสามารถที่จะทำให้เกิดการระลึกถึงในทางที่ถูกได้

    คิดถึงคนหนึ่งในอดีตนานแสนนานมาแล้ว ซึ่งมีปัญญาแล้วมีความกรุณาที่รู้ว่า การรู้แจ้งสภาพธรรม สามารถที่จะรู้ได้โดยเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เฉพาะตน หรือว่ายังสามารถที่จะประกอบด้วยพระญาณต่างๆ ที่สามารถจะอนุเคราะห์คนอื่นได้ด้วย

    เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ฟังธรรม ธรรมแสนยาก จุดประสงค์ของแต่ละคนคือแค่ไหน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    1 ธ.ค. 2568