ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
ตอนที่ ๑๖๒๗
สนทนาธรรม ที่ วัดไผ่ดำ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
อ.คำปั่น ศึกษาอย่างไรจึงจะชื่อว่าศึกษาธรรม และศึกษาอย่างไรจึงจะเข้าใจสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะศึกษาวิชาอะไรก็ต้องทราบว่า ต้องเป็นผู้ที่ควรรู้จริงในสิ่งที่ได้ศึกษา เพราะเหตุว่าการศึกษา งูๆ ปลาๆ หรือครึ่งๆ กลางๆ หรือรู้ไม่จริงก็เป็นอันตรายมาก ไม่ว่าจะเป็นวิชาใดๆ ทั้งสิ้น
ในการศึกษาธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งกว่าวิชาอื่นทั้งหมดในโลก หรือทั้งจักรวาล เพราะเหตุว่าเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะคิดถึงพระปัญญาคุณของพระองค์ได้ว่ามากมายเพียงใด แต่เมื่อได้ทรงตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ก็มีผู้ที่สะสมความเข้าใจสิ่งที่ยากที่จะได้ยินได้ฟัง และสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังก็เป็นสิ่งซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ เพราะแม้ว่าจะมีจริงแต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เหมือนอย่างเด็กเล็กๆ เข้าไปในป่า หรือจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เกิดมาเป็นเด็กเล็กจะรู้อะไรไหม เห็นอะไรก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยสักอย่างเดียว แต่ว่าเมื่อเจริญเติบโตขึ้น และมีผู้ที่สอนก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ผู้ที่สอนนั้นไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพียงสอนให้รู้ว่าสิ่งนั้น เรียกว่าอะไร ใช้ประโยชน์อะไร แต่ไม่รู้ความจริงแท้ของสิ่งนั้น ฉันใด
ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่า ผู้ที่รู้ความจริง กับผู้ที่ไม่รู้ความจริงนั้นต่างกันอย่างไร เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมก็มีผู้ที่ศึกษาไม่ใช่วันเดียวสองวัน แต่ว่าศึกษานานมาก อาจจะบอกได้ว่าตลอดชีวิตก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่า ต้องต่อไปอีก ต่อไปอีก จนกว่าจะรู้ความจริงของแม้เพียงคำเดียวว่าธรรม ซึ่งเราได้ยินบ่อยมาก ไม่มีใครที่รู้จักพระรัตนตรัยและจะไม่ได้ยินคำว่าธรรมเพราะเหตุว่าพระรัตนตรัยนั้นก็คือ พระพุทธรัตน พระธรรมรัตน พระสังฆรัตน แต่ว่ารู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระองค์เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรม ซึ่งแม้แต่เทวดาหรือพรหมก็ยังต้องกราบไหว้นมัสการ ไม่มีผู้ได้เลยที่จะไม่กราบไหว้นมัสการในพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่ายังไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงแสดง นี่เป็นสิ่งที่ต่างกันมาก
ดังนั้น เวลาที่เรารู้จักใครสักคนหนึ่งผิวเผิน เราก็จะไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นอย่างไร แต่ถ้ารู้จักยิ่งขึ้นๆ ก็สามารถที่จะรู้จักคนนั้นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระคุณนาม ซึ่งจากการตรัสรู้พระธรรมที่ได้ทรงแสดงโดยตลอด โดยประการทั้งปวงด้วยพระปัญญาคุณ ซึ่งทำให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส และทรงพระมหากรุณาคุณแสดงพระธรรมตลอด ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพาน ๔๕ พรรษา ทรงแสดงธรรมมากกว่าใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย ค่ำ ก็ทรงแสดงธรรมอุปการะแก่ผู้ที่ใคร่ที่จะฟังธรรม มีโอกาสเกิดมาที่จะได้ยินได้ฟังคำที่ได้ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็โดยเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม จะกล่าวว่ารู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพียงเล็กน้อย เพียงบางประการ แต่ถ้าได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นก็จะเห็นความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น
การที่จะมีศรัทธา เคารพ สักการะ มากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่าธรรมคำเดียวก็ไม่ประมาท เป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ไตร่ตรองพิจารณา เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่มีโอกาสจะได้ฟังสิ่งซึ่งคนอื่นอาจจะเข้าใจผิวเผิน แต่ผู้ที่ศึกษาและเข้าใจเพิ่มขึ้นก็สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง แม้เพียงคำเดียวทำให้ถึงการหมดจดจากกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ ก็คงจะสงสัยว่าแล้วธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว รู้จักแค่ไหน ธรรมคืออะไร
พระคุณเจ้า ตามที่เข้าใจ ธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือสภาวธรรมชาติ คือสิ่งรอบตัวทุกอย่างก็คือธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นก็ดำเนินไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น คิดว่าธรรมคือสภาวะทั่วไปที่เราสามารถมองเห็น สัมผัสได้ คิดได้ มีขึ้นแล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะได้ยินเพียงชื่อธรรม ความคิดเรื่องธรรมว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง มีแล้วก็หมดไป ไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็ได้ยินเพียงเท่านี้ นี่คือความไม่ละเอียด เพราะเหตุว่าธรรมเมื่อหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ขณะนี้มีจริงๆ หรือไม่มี เดี๋ยวนี้
พระคุณเจ้า มี
ท่านอาจารย์ และอะไรที่เป็นธรรมขณะนี้ที่มีจริงๆ โดยมากจะได้ยินเพียงเรื่องราวของธรรม แต่ยังไม่ได้รู้ความละเอียดของธรรมจริงๆ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นสิ่งที่ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เปลี่ยนความจริงของสิ่งที่ได้ทรงตรัสรู้ไม่ได้เลย เมื่อได้ตรัสคำใดสิ่งนั้นไม่เป็นสอง คือไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จะต้องเป็นอย่างนั้น
ถ้ากล่าวว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง จริงเมื่อไหร่ ถ้าไม่เกิดจะมีได้ไหม ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นที่ไม่เกิดขึ้นจะมีได้ไหม คำตอบ จะเปลี่ยนไปตามความคิดของแต่ละคน หรือว่าจะต้องตรงตามความเป็นจริงที่ได้พิจารณาแล้วว่า ถ้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จะมีสิ่งนั้นปรากฏว่ามีจริงๆ ได้ไหม
พระคุณเจ้า จะต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะปรากฏให้รู้ได้ไหม เพราะไม่เกิด
พระคุณเจ้า ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าแต่ละสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดแล้วจึงปรากฏ เช่น ขณะนี้ ถ้าพูดถึงธรรมก็เลื่อนลอย ธรรมเป็นสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แต่อะไรเป็นธรรม ขณะนี้อะไรเป็นธรรมที่เกิดและปรากฏ และความจริงก็คือว่าต้องดับไปด้วย ขณะนี้มีใครรู้สึกเย็นบ้างไหม
พระคุณเจ้า เย็น เพราะพัดลม
ท่านอาจารย์ เย็นต้องเกิด ถ้าไม่มีเย็นเกิดขึ้นปรากฏเลย จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าเย็นได้ไหม ไม่ได้ แม้ในขณะนี้เอง เย็นก็เกิด เพราะฉะนั้นเย็นเป็นสิ่งที่มีจริง ลักษณะที่เย็นเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ เย็นเป็นธรรมหรือเปล่า
พระคุณเจ้า เป็น
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทั้งหมดเป็นธรรม ถ้ากล่าวอย่างนี้แล้วพระคุณเจ้าก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า อะไรกำลังเป็นธรรมขณะนี้บ้าง เพราะว่าเย็นก็เป็นธรรม มีอะไรอีกไหม
พระคุณเจ้า ภาพที่เราเห็นได้ ทุกอย่าง
ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา ถ้ากล่าวว่าสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา คำนี้มีในพระไตรปิฎกทั้งหมด เพราะเหตุว่าเมื่อมีตาก็มีเห็น เมื่อขณะใดที่เห็นเกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ปรากฏให้ได้ยิน ขณะนี้เองที่กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นธรรม เห็นก็มีจริงๆ เห็นเกิดขึ้น และก็รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น เห็นก็เป็นธรรม
ชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตายทั้งหมดเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ และก็มีลักษณะต่างกัน แต่ก็ไม่พ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เมื่อคืนนี้ทุกท่านนอนหลับ มีอะไรปรากฏบ้างไหม ขณะที่กำลังหลับสนิทเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ใครรู้บ้าง กำลังหลับสนิท จะอยู่ที่วัดไผ่ดำ หรือจะอยู่ที่เคยเกิด หรือจะมีเพื่อนคนนั้นคนนี้ บิดามารดาชื่อนั้นชื่อนี้ ก็ไม่มีเลยทั้งสิ้น ในขณะที่หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่ยังมีจิตเพราะเหตุว่าไม่ใช่คนที่สิ้นชีวิตแล้ว แต่ก็พูดเรื่องจิตโดยที่ไม่รู้ว่าจิตคืออะไร จิตเกิดแล้วทำหน้าที่อะไร และจิตที่ว่ามี ขณะนี้อยู่ที่ไหน ก็เป็นสิ่งที่เพียงฟังเผินๆ แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ทำให้มีความเข้าใจถูกว่าสิ่งที่ได้ทรงแสดงนั้น เมื่อตรัสแล้วก็เป็นความจริงที่สามารถจะพิสูจน์ให้เข้าใจได้ทุกกาลสมัย
ในอดีต ๒๕๐๐ กว่าปี ผู้ที่ฟังพระธรรมไม่ได้ฟังเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เพื่อที่จะได้มีความรู้ มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วก็จะทำให้รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ แล้วถ้าไม่มีการฟังพระธรรมจริงๆ เพียงแต่อ่านหนังสือจากท่านผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นนักปรัชญา หรือนักจิตวิทยา ชาวไทยหรือชาวเทศ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะให้ความเข้าใจชัดเจน และสามารถที่จะพิสูจน์ได้เท่ากับพระธรรมที่ทรงแสดง
พระคุณเจ้า มาที่นี่แรกๆ ก็รู้สึกคุ้นๆ นั่งรถเข้ามาแล้วก็เหมือนมีต้นไผ่ขึ้นสองข้าง เหมือนกับเราเคยอยู่ที่นี่ อย่างนี้เป็นสภาวะแบบไหน
ท่านอาจารย์ ความจริงคือมีเห็น แน่นอน ถ้าไม่เห็นจะไม่มีเรื่องราวอย่างนี้เลยในใจ ถูกไหม ก่อนอื่นต้องเห็น
พระคุณเจ้า ก็ไม่เคยมาที่นี่
ท่านอาจารย์ แต่เห็น เห็นเป็นธรรม คือเราพยายามที่จะเข้าใจสิ่งที่มีโดยไม่ข้าม มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้โดยเพียงคิดเรื่องราวต่างๆ แต่ยังหาธรรมไม่เจอ ก่อนอื่น ก่อนจะถึงคำตอบของพระคุณเจ้า ก็จะถามว่าเมื่อเข้ามาแล้วต้องเห็น แล้วก็คิดเรื่องต้นไม้ แล้วก็คิดไปไกลมากเลยว่าเคยมาที่นี่มาก่อนหรือเปล่า
คิดเป็นธรรมหรือเปล่า คิดมีจริง เกิดแล้วคิด คิดอะไร ก็คือคิดเรื่องนั้นเองเกิดขึ้น จึงคิดเรื่องนั้นไม่ใช่คิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น คิดเป็นธรรม มิฉะนั้นจะมีธรรมที่ไหน แต่ว่าเรื่องราวที่คิด จะคิดเรื่องอะไรก็ได้เพราะจิตเกิดขึ้นคิด เรื่องนั้นจึงมีในความคิด แม้ในขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมดแต่ว่าละเอียดมาก
ดังนั้นพื้นฐานที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่ว่ารีบร้อนที่จะไปนึกเอง แม้แต่แต่ละคำที่ได้ยิน ถ้าไม่ละเอียดไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้เลย ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรม เพราะว่าธรรมละเอียดลึกซึ้ง คัมภีร แม้แต่เห็นมีแน่นอน แล้วก็คิด คิดก็มีแน่นอน แต่เห็นไม่ใช่คิด
ถ้าเห็นเกิดเห็นตลอดเวลา คิดเกิดไม่ได้เลย เพราะว่ากำลังเห็นเท่านั้น แต่เมื่อเห็นเกิดแล้วดับไปก็จำสิ่งที่เห็น แล้วก็คิด แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร นี่คือการเกิดดับของสภาพธรรมอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะว่าถ้าฟังธรรมเพียงผิวเผินก็คือ เกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย นั่นคือไม่เที่ยง วันนี้สุข พรุ่งนี้ทุกข์ นั่นก็คือไม่เที่ยง ซึ่งห่างไกลกันมากกับความจริงของธรรม ซึ่งพระผู้มีพระภาคจะไม่ตรัสรู้เพียงเท่านี้แน่นอน เพราะเพียงเท่านี้ใครๆ ก็คิดได้
มีใครที่เกิดแล้วไม่แก่ มีใครที่เกิดแล้วไม่เจ็บ มีใครที่เกิดแล้วไม่ตาย ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอกเพราะความจริงของสิ่งนั้นก็เป็นอย่างนั้น ซึ่งทำให้คนอื่นสามารถจะรู้ว่าจริงๆ แล้วทุกคนเกิดแล้วตาย แต่ก่อนจะตายจะมีอะไรบ้าง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวฝัน เดี๋ยวสนุก ทั้งหมดเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมถ้าไม่เผินจะสามารถทำให้เข้าใจยิ่งขึ้น และรู้จักพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้ามีใครที่ถามแล้วคนอื่นก็ตอบ แต่ว่าไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจธรรม นั่นคือขณะนั้นไม่ได้ฟังธรรม แต่ฟังเรื่องราวที่แต่ละคนก็ต่างคิด
เวลาที่มีใครถามเรื่องอื่น ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาไหน คนที่ศึกษาวิชานั้นก็จะตอบตามวิชานั้น นักคิดมีมากตั้งแต่ครั้งพุทธกาล แม้ในปัจจุบันและในอนาคตก็จะมีนักคิด คิดจนเป็นหนังสือหลายๆ เล่ม เป็นเรื่องมากมาย แต่ไม่ใช่ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงและทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น เดี๋ยวนี้พระคุณเจ้าไม่ได้คิดเรื่องไผ่ดำ ใช่ไหม ไม่ได้คิดเรื่องต้นไม้แต่คิดเรื่องอื่น ความคิดเมื่อครู่นี้ก็ต้องหมดไปแล้ว
พระคุณเจ้า หมดไปแล้ว
ท่านอาจารย์ เป็นคิดเรื่องใหม่ นี่คือความจริงของชีวิตซึ่งจะเห็นได้ว่า การเกิดดับหรือการไม่เที่ยงเร็วมาก ไม่ใช่เพียงว่าเกิดแล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วก็ตาย นั่นยังหยาบมาก แต่ความจริงถ้าศึกษาธรรมก็จะรู้จักธรรมเพิ่มขึ้น ไม่ทราบเป็นที่กระจ่างหรือยัง คงไม่ต้องไปตอบว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น แต่ให้รู้จักตัวธรรมที่คิดว่า ตัวธรรมที่คิดเกิด ไม่เที่ยง หมดไป แล้วก็คิดเรื่องใหม่ก็ไม่มีความสำคัญ เพราะว่าสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วหมดแล้ว แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ ให้เข้าใจได้ถึงความจริงของสิ่งนั้น
เณรง่วงไหม ถ้าง่วงก็คือง่วง จะเปลี่ยนง่วงให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ เพราะง่วงแล้ว แต่คำถามคือว่า ง่วงมีจริงๆ ง่วงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น นี่คือสิ่งที่ต้องการให้ทราบ คือก่อนอื่นต้องเข้าใจคำนี้ เกือบจะไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลย ขณะนี้ไม่ต้องเรียกแต่ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ที่เรียกใช้คำแต่ละอย่างๆ เพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงสิ่งใด เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่คำเลย แต่ก็มีสิ่งนั้นปรากฏแล้ว แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหมายความถึงสภาพธรรมอะไร
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ขณะที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของธรรม ขณะนั้นไม่ใช่เป็นการคิดคำ หรือเรื่องราวของสภาพธรรมในขณะนั้น แต่ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม เมื่อสภาพธรรมเกิดดับ ต้องพูดไหมว่าเกิดดับ
ขณะนี้เห็นต้องพูดไหมว่าเห็น หรือว่าเห็นกำลังเห็น ขณะที่ได้ยินกำลังปรากฏ ต้องพูดไหมว่ากำลังได้ยิน ในเมื่อได้ยินจริงๆ เพราะว่าเสียงปรากฏ ถ้าได้ยินต้องหมายความว่ามีเสียงปรากฏให้รู้ จึงใช้คำว่าได้ยิน ถ้าจะใช้คำว่าได้ยินแล้วก็ไม่มีเสียงใดๆ ปรากฏเลย ผิดหรือถูก แค่นี้ต้องคิด แต่คล้อยตามความจริงว่า ถ้าไม่มีเสียงปรากฏจะกล่าวว่าได้ยินได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เพราะฉะนั้น ธรรมตรง ไม่ใช่มีใครต้องไปเปลี่ยนแปลงธรรมเพื่อที่จะเข้าใจธรรม แต่ธรรมเป็นอย่างไร ปรากฏอย่างไร ไม่เคยเข้าใจว่าเป็นธรรม เข้าใจว่าเป็นเรา แต่ว่าความจริงเป็นธรรมนั้นๆ
สามเณรที่ง่วง ง่วงเป็นสามเณร หรือว่าเป็นคฤหัสถ์ที่นั่งอยู่ข้างหลัง ที่อยู่ข้างนอก อยู่ที่ไหน ง่วงเป็นอะไร ง่วงเป็นธรรม ง่วงเป็นง่วง ไม่ใช่สามเณรง่วง ไม่ใช่ผู้หญิงง่วง ไม่ใช่แมวง่วง ไม่ใช่ใครง่วงทั้งสิ้น แต่ง่วงเป็นง่วง เปลี่ยนง่วงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ง่วงเป็นธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดา ใครจะง่วงเมื่อไหร่ก็ได้เป็นของธรรมดา
พระคุณเจ้า พอดีว่าอาจารย์พูดเรื่องง่วงก็เลยสงสัยว่า ง่วงอาจจะเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่ง ใช่ไหม อยากทราบว่าความง่วงกับถีนมิทธะ ต่างกันหรือเปล่า หรือเป็นอย่างเดียวกัน
ท่านอาจารย์ คนๆ หนึ่งเรียกได้หลายชื่อไหม หรือต้องเรียกชื่อนั้นตลอด เพราะฉะนั้น ลักษณะที่ง่วงเปลี่ยนไม่ได้ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ภาษาไทยเรียกง่วง ไม่มีคำนี้ในภาษาบาลี ภาษาอังกฤษก็ไม่มีคำว่าง่วง ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ก็ไม่มีคำว่าง่วง แต่สภาวธรรม ธรรมหรือลักษณะที่ง่วงมีจริงๆ
เพราะฉะนั้น ธรรม สากลทุกจักรวาล ใช้ภาษาไหนก็ได้ ที่เมื่อพูดแล้วสามารถที่จะทำให้เข้าใจธรรมได้ก็ควรจะใช้ภาษานั้น ถ้าเราไปใช้ภาษาซึ่งคนอื่นเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจ แล้วเราจะทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่เรากล่าวถึงได้อย่างไร อย่างคนที่ไม่ได้ยินคำว่า อุทธัจจะ ไม่ได้ยินคำว่าอะไรเลยทิ้งสิ้น ไม่ได้ยินคำว่า ถีนมิทธะ ไม่ได้ยินคำนั้นคำนี้อีกมากมาย แล้วเราใช้คำนั้นเขาจะเข้าใจได้ไหม แต่ถ้าพูดถึงง่วง เขามีหรือไม่มี
ลักษณะนั้น ใช้คำนั้น หมายความถึงสภาวธรรมอย่างนั้น ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ว่าใช้ชื่ออะไรก็ได้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าหมายความถึงสิ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งอื่น เพราะฉะนั้น ก็ไม่เป็นที่ที่จะต้องสนใจว่าใช้คำนี้ได้หรือเปล่า หรือต้องใช้คำนั้นคำเดียว อย่างโลภะ เป็นภาษาอะไร
พระคุณเจ้า ภาษาบาลี
ท่านอาจารย์ คนชื่อโลภะไม่มีในภาษาไทย ใช่ไหม เพราะเหตุว่า โลภะ เป็นคำภาษาบาลี ลักษณะของโลภะเป็นอย่างไร เป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง ต้องการ มีหลายระดับขั้น เพียงแต่คิดว่าเย็นนี้จะทำอะไร เป็นโลภะหรือเปล่า
พระคุณเจ้า ถ้าเป็นการยึดติดในอารมณ์นั้นก็เป็นโลภะ
ท่านอาจารย์ คิดถึงเย็นนี้ ติดข้องหรือเปล่า
พระคุณเจ้า ติดข้อง
ท่านอาจารย์ จะทำอะไร ติดข้องหรือเปล่า
พระคุณเจ้า ติดข้องอยู่
ท่านอาจารย์ โลภะ มีชื่อมากมายหลายชื่อ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะใช้ชื่อไหนดี มีทั้ง อภิชฌา อาสา ราคะ นันทะ ตัณหา แล้วแต่ระดับ แล้วแต่จะแสดงคำนั้นให้ละเอียดยิ่งขึ้นว่า หมายความถึงสภาพธรรมนั้นเป็นไปอย่างไร เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ไม่ใช่ไปคิดถึงคำแล้วก็สงสัยว่าจะใช้คำไหน แต่ว่าควรเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าเข้าใจธรรมยิ่งขึ้นก็จะทำให้สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยปัญญาแน่นอน เพราะว่าทุกคนที่มีปัญญาจะรู้ว่าปัญญารู้อะไร ถ้าไม่รู้ธรรมก็คือไม่ใช่รู้สิ่งที่มีจริงๆ
พระคุณเจ้า อภิธรรมคืออะไร สามเณรอาจจะได้จด หรือได้ฟังบ้างเพื่อเป็นพื้นฐานความเข้าใจ เพราะตอนนี้อาจจะไม่รู้ว่า อภิธรรมคืออะไร
ท่านอาจารย์ ถ้าได้ยินคำว่าธรรม เข้าใจธรรมแล้ว ก็ยังมีอภิธรรม ก็ต้องไม่พ้นจากธรรม เพราะยังมีคำว่าธรรมอยู่ ไม่ใช่อภิเฉยๆ ไม่ใช่อภิอำนาจ ไม่ใช่อภิมหาเศรษฐี หรืออะไร แต่ว่าอภิธรรม หมายความว่าต้องเป็นธรรมนั่นเอง แต่ว่าอภิคือละเอียดยิ่ง ใหญ่ยิ่ง ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้
ดังนั้น ธรรมเป็นอภิธรรมทั้งหมด ไม่มีธรรมสักอย่างเดียวที่ไม่ใช่อภิธรรม เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงนั้นอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ใครทำให้เกิดขึ้น ลองทำสักอย่างสิว่าใครจะทำให้ธรรมอะไรเกิดขึ้นมาได้ ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจธรรมก็เข้าใจด้วยว่า ธรรมกับอภิธรรมก็คือความหมายเดียวกัน แต่ว่าละเอียดขึ้น แสดงให้เห็นความลึกซึ้ง คัมภีรของธรรม
พระไตรปิฎกรวบรวม ประมวลคำสอนที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง พร้อมทั้งพระวินัยบัญญัติเป็น สามปิฎก แต่ว่าเมื่อทรงตรัสรู้และเริ่มทรงแสดงพระธรรม ไม่มีวินัย ไม่ต้องมีการบัญญัติพระวินัยเลย เพราะเหตุว่าผู้ที่ได้ฟังรู้ว่า ธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้เองขัดเกลากิเลส ขัดเกลาความไม่รู้ กำจัดความไม่รู้ เพราะว่า วินย ความหมายก็คือกำจัด
ถ้าธรรมไม่กำจัดอะไรเลย ประโยชน์อะไรที่จะทรงแสดงธรรม เพราะว่าคนที่ไม่ได้ฟังธรรมมีความไม่รู้มากมายสุดที่จะประมาณได้ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนๆ เกิดมาก็ไม่รู้ความจริง แล้วตลอดชาติถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่รู้ธรรมไปจนตลอดชีวิต
เพราะฉะนั้น ในการที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้และทรงแสดงธรรม เพื่อกำจัดความไม่รู้ เพื่อกำจัดกิเลส ด้วยเหตุนี้ ผู้ฟังที่ได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกมาในอดีตพร้อมที่จะเข้าใจธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
