ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
ตอนที่ ๑๖๔๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมรอยัล เรสซิเดนซ์ ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ โทสะเกิดเมื่อไหร่ โทสะก็เป็นโทสะ โทสะหมดแล้ว ถ้าเป็นตัวเรา เราก็ต้องหมดไปด้วย เพราะเราไปถือว่าโทสะเป็นเรา ใช่ไหม ถือทุกอย่างว่าเป็นเรา เมื่อโทสะหมด อย่างอื่นเกิดก็เป็นเราอีก เมื่ออย่างอื่นเกิดก็เป็นเราอีก คือไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น จะแก้ได้อย่างไร ในเมื่อธรรมมีปัจจัยเกิดแล้วดับ มีหน้าที่อย่างเดียวคือเข้าใจถูกเห็นถูกว่า โทสะเป็นโทสะ เป็นธรรมที่เกิดแล้ว ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ๔๕ พรรษา
ผู้ฟัง หมายถึงเราก็ต้องแสดงให้ลูกศิษย์ ลูกน้อง เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ถ้าเขาอยากจะเข้าใจธรรม เราก็กล่าวให้เขาเข้าใจว่าเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง
ผู้ฟัง อธิบายไปในทางกุศล
ท่านอาจารย์ ต้องให้คนที่กำลังต้องการจะเข้าใจ และขณะนั้นเป็นโทสะหรือเปล่า หรือแก้โทสะหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ คนละขณะแล้ว โทสะดับไปก็เรื่องของโทสะ มีปัจจัยเกิดแล้วต้องดับแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ความจริงว่า เป็นโทสะที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ก็เลยเป็นเรา ไม่ใช่ความเห็นถูกว่าเป็นธรรม
การฟังธรรมคือสะสมความเห็นถูก จนกระทั่งไม่ว่าสภาพธรรมใดเกิด สติ เป็นสภาพที่ระลึกได้ ขณะที่รู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม นั่นคือมีสติ จึงสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ไม่ต้องไปหาสติมาตั้ง มารู้ภายหลัง ทันทีที่มีความเข้าใจถูก สภาพธรรมที่เกิดร่วมกันเป็นโสภณเจตสิกทั้งหมด นี่เป็นเหตุที่เราเรียนเรื่องธรรม เรื่องจิต เรื่องเจตสิก เพื่อที่จะได้ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่มีเรา เจตสิกแต่ละชนิดก็ไม่ใช่เรา ผัสสเจตสิกก็ไม่ใช่เรา สัญญาเจตสิก เวทนาเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมดไม่ใช่เรา แต่ลืมบ่อยๆ ก็ต้องฟังบ่อยๆ
ผู้ฟัง เราก็ต้องฟัง แล้วก็เจริญปัญญาไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ ไม่มีเราเจริญ ขณะที่เข้าใจเป็นปัญญา เข้าใจอีกปัญญาก็สะสมอีก ฟังอีก เข้าใจเมื่อไหร่ก็เป็นปัญญาเมื่อนั้น ถ้าไม่เข้าใจจะเป็นปัญญาไม่ได้เลย แต่คนไทยนำภาษาบาลีมาใช้จนปิดบังลักษณะจริงๆ ของธรรม เช่น บอกว่าคนนี้ปัญญาดี รู้จักปัญญาหรือเปล่า แต่เราใช้คำนี้แล้ว มีสติปัญญาดี ใช้ทั้งสติ ทั้งปัญญา คือเราคิดเอง เข้าใจเอง แต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติลักษณะนั้นว่าเป็นสติ ลักษณะนั้นว่าเป็นปัญญา เพราะว่า ๒ ลักษณะนี้ต่างกัน สติไม่ใช่ปัญญา และปัญญาไม่ใช่สติ
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเมื่อไหร่ คือเพื่อค่อยๆ เข้าใจความจริง สะสมไปจนกว่าสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง ขณะนี้มีธาตุรู้แน่นอน กำลังเห็น ไม่ใช่เรา ถ้าโทสะเกิดก็เป็นธรรมแน่นอน มีปัจจัยเกิด ไม่ใช่เรา เมื่อครู่นี้ คุณหมอใช้คำว่ามนสิการ เป็นภาษาบาลี แต่ความจริงขณะนั้นถ้ามีความเข้าใจก็คือ ไม่ใช่คุณหมอที่มนสิการ แต่เมื่อไม่มีความเข้าใจ ก็เป็นผมที่มนสิการ
ผู้ฟัง อาจจะใช้คำพูดผิด ที่จริงเป็นอนัตตาทั้งหมด ต้องนึกอยู่ตลอดเวลา ไปไหนก็เป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นอนัตตา ที่คุณหมอบอกว่าเป็นอนัตตาคืออะไร จริงๆ คือธรรม ซึ่งลักษณะนั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่เป็นอนัตตาแต่ไม่มีลักษณะของธรรม แต่ลักษณะของธรรมนั้นเองเป็นอนัตตา เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงบังคับบัญชาได้ ซึ่งบางเวลาที่เรายังติดข้องในความเป็นเรา ก็คิดที่จะทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เช่น เจริญกุศล เป็นต้น
แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีความมั่นคงว่า ขณะนั้นไม่ใช่เราที่คิด ความเข้าใจธรรมไม่ใช่เว้นช่องว่าง ตอนนี้บอกว่าเป็นอนัตตา ทิ้งไปนาน มาอีกตอนหนึ่งก็เป็นอนัตตา เเต่ความจริงการที่จะรู้ว่าเป็นอนัตตา ต้องตามความเป็นจริงเท่าที่จะรู้ได้ เช่น คุณหมอคิดว่าเราจะเจริญกุศล บอกว่าเป็นอนัตตา แต่เรา ขณะนั้นเป็นคิด ซึ่งเป็นอนัตตา ทำไมเกิดคิดขณะนั้น ไม่ใช่ขณะอื่น ใครบอกให้คิดก็ไม่ใช่ ใช่ไหม คิดทั้งหมดเกิดเองตามเหตุตามปัจจัย แลกความคิดกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราคิดทั้งวัน เมื่อไหร่จะรู้ว่าคิดเป็นธรรม จะคิดอะไรก็ได้ จะคิดว่าจะเจริญกุศล จะคิดว่าจะไม่โกรธ จะคิดว่าจะทำความดี คิดอะไรทั้งหมด คิดก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ดังนั้น ปัญญาที่จะรู้ทั่วจริงๆ ว่าทั้งหมดเป็นธรรม ไม่เว้น ไม่ใช่เว้นตรงนี้เป็นอนัตตา แล้วก็ห่างไปอีกนานเป็นเราจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็มาเป็นอนัตตาอีกตอน อย่างนี้ไม่ใช่ ทั้งหมดเลยเป็นอนัตตา และมีลักษณะของสภาพธรรมที่แสดงความเป็นอนัตตาด้วย ต้องเป็นธรรม มีลักษณะที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่ไม่มีลักษณะของสภาพธรรมเลยสักอย่าง ก็เป็นเพียงชื่ออนัตตา แต่ตัวอนัตตาจริงๆ คือไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะคิด จะนึก จะสุข จะทุกข์ อย่างไร ก็เป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา
การสนทนาธรรมนี้อยากจะให้ทุกคนได้เข้าใจจริงๆ เมื่อได้ยินคำไหน อย่าเหมือนกับว่าเข้าใจตามไปเรื่อยๆ แต่ถ้าสงสัยว่าคืออะไร ต้องให้แจ่มแจ้งแม้แต่คำเดียว แต่ละคำๆ ก็ซักถามได้ เพราะว่าถ้าเราได้ฟังตั้งหลายๆ ชื่อ หลายๆ คำ และเราไม่เข้าใจทั้งหมดเลย และคิดว่าอาจจะเข้าใจบ้าง อย่างนี้ไม่ถูก ถ้าเข้าใจต้องเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ
เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสดี ขอเชิญซักถามจนกว่าจะเข้าใจชัดเจนจริงๆ ไม่ว่าจะได้ยินคำอะไร หรือสงสัยคำอะไร ถามจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับว่าเราไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งมีคำนี้ แล้วก็ไปอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็มีคำนี้ แล้วไปอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็มีคำนี้ แต่คำพูดของหนังสือแต่ละเล่มถึงสิ่งที่กำลังมีอาจจะต่างกัน กว่าเราจะเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร คือเข้าใจแล้วจนไม่ต้องถามใคร คือเข้าใจจริงๆ ขอให้เป็นอย่างนั้น
ขอถามว่า ได้ยินคำว่าธรรม แล้วได้ยินคำว่าเห็น เมื่อเห็นทีไรบอกธรรม ได้ยินก็ธรรม คิดนึกก็ธรรม อย่างนั้นหรือ ที่ว่าเป็นความเข้าใจ คืออย่างไร
ผู้ฟัง เห็นก็คือเหมือนตัวกระตุ้น หรือรูปที่มากระตุ้น
ท่านอาจารย์ ตัวกระตุ้นอยู่ตรงไหน และรูปที่มากระตุ้นอยู่ตรงไหน แม้แต่เห็น แค่เห็น เรื่องเห็น ตัวเห็นจริงๆ เราก็ยังไม่มีความละเอียดที่จะรู้ขึ้นๆ ว่าคืออะไร แต่เราไปนำข้อความอื่นที่บอกว่ามีตัวกระตุ้น เราก็เลยไม่ได้เข้าใจตัวเห็น ใช่ไหม เราไปคิดถึงอย่างอื่นที่จะทำให้เกิดเห็น หรือคิดว่าสิ่งนั้นมากระตุ้นให้เห็น แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น การฟังธรรม ถ้าเริ่มต้นใหม่จริงๆ อย่างละเอียด อย่างรอบคอบ ก็จะทำให้ความเข้าใจของเราถูกต้อง ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรมบ้าง
ผู้ฟัง ทุกอย่าง
ท่านอาจารย์ ถ้าเรายังไม่พูดให้เข้าใจอย่างนี้ เราไปถามถึงอาการ ๑๒ อริยสัจจ์ ๔ ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย เพราะฉะนั้น ต้องตามลำดับขั้น ที่รู้ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ แน่ใจไหมว่ามี แล้วธรรมที่ว่ามีนั้นอยู่ที่ไหน พูดถึงสิ่งที่มีจริง เพราะเป็นการตั้งต้นของปัญญา ที่เราใช้คำว่าปัญญาหมายความว่า ความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นที่กำลังมีในขณะนี้ เมื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ก็สามารถที่จะรู้ในความหมายของคำว่าธรรม ไม่ใช่เพียงได้ยินชื่อ แล้วก็คิดเอาเองว่าธรรมคืออย่างนี้ ธรรมคืออย่างนั้น แต่ขณะนี้ ความละเอียดคือธรรมมีแน่นอน เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้มีธรรม แต่ต้องละเอียดกว่านั้นอีก เมื่อมีแล้วอะไรเป็นธรรม และอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้มีธรรมใช่ไหม อะไรบ้างที่เป็นธรรม
ผู้ฟัง กำลังนั่ง พยายามฟังเสียงอาจารย์
ท่านอาจารย์ พยายามฟังเสียง จริงๆ แล้วความพยายามมี เราก็เคยพยายามเรื่องทั้งหลายมาแล้วทุกวันๆ ตัวพยายามมี แต่ว่าเป็นธรรมหรือเป็นเรา คือก่อนอื่น จากการตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ คือรู้ว่าสิ่งที่มีจริงทุกขณะเป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่มี มี แต่ก่อนเคยเป็นเราหมดเลย เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่จากการตรัสรู้ทรงแสดงว่าสิ่งที่มี ที่เคยเป็นเราก็คือเป็นธรรมแต่ละอย่าง มีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา เช่น พยายามมีไหม
ผู้ฟัง พยายามก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ มีใช่ไหม ก่อนจะฟังธรรม มีความพยายามไหม พยายามทำอะไร สารพัดที่จะพยายาม มีทุกวัน ตอนเป็นเด็กยังเดินไม่ได้ก็พยายามเดิน พูดไม่ได้ก็พยายามพูด คิดไม่ได้ เรื่องราวต่างๆ คิดไม่ออกก็พยายามคิด เพราะฉะนั้น สภาพที่พยายามมี แต่ไม่เคยรู้ความจริงของสภาพธรรมเลยสักอย่างเดียว แม้ความพยายามมีจริง เกิดได้อย่างไร หมดไปแล้วก็ไม่รู้ แต่ยึดถือสิ่งที่มี ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามว่าเป็นตัวเราและเป็นของเรา แล้วก็เป็นเรา แต่ความจริงเป็นธรรม
จากการเริ่มฟังพระธรรมก็จะได้รู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงมีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เกิดแล้ว และก็ไม่รู้ว่ามีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมที่มีจริงแต่ละลักษณะ เกิดเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เช่น โกรธ มีไหม
ผู้ฟัง โกรธก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ โกรธมี นับครั้งไม่ถ้วน มีเมื่อเกิดขึ้น ขณะนี้ถามว่าโกรธไหม จะตอบว่าไม่โกรธ เพราะโกรธไม่ได้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น มีเมื่อเกิดขึ้น เกิดแล้วดับไป มีอะไรบ้างที่เกิดแล้วไม่ดับ นี่แสดงให้เห็นว่าความรู้ของเราเทียบกับพระธรรมที่ทรงแสดงให้เรารู้ไม่ได้ ต้องมีการตั้งต้นคือการฟังให้ถูกต้อง สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทำให้เกิดขึ้นได้ไหม เดี๋ยวนี้โกรธไม่มี ทำให้เกิดมีโกรธขึ้นได้ไหม นี่คือธรรม ทำได้ไหมทำให้เกิดโกรธ ถ้าทำโกรธไม่ได้ ทำอะไรได้
ผู้ฟัง ถ้าความรู้สึกคงมีอยู่
ท่านอาจารย์ มี ทำให้ความรู้สึกเกิดขึ้นได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ทำได้เหรอ ถ้าอย่างนั้นทำปัญญาให้เกิดก็คงได้ ถ้าทำความรู้สึกให้เกิดได้ เพราะฉะนั้นทำปัญญา คือการรู้แจ้งสภาพธรรม ดับกิเลส ก็ต้องทำได้สิ ถูกต้องไหม หรือบางอย่างทำได้ บางอย่างทำไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นก็ยังไม่ครบถ้วน เพราะว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ทุกอย่างในขณะนี้ แม้แต่คำพูดว่าทำได้ หรือคำพูดว่าทำไม่ได้ก็เกิดแล้ว โดยไม่ต้องมีใครไปทำเลย คิดเกิดแล้ว
ก่อนคิด ไปทำให้คิดเกิดได้ไหม อย่าเพิ่งไปถึงอาการ ๑๒ ของอริยสัจจ์ ๔ แต่ต้องมีความเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าถ้าสามารถที่จะเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมจริงๆ สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ ไม่มีข้อสงสัยในธรรมประการใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะว่ามีธรรมก็ไม่ได้เข้าใจธรรม อาจจะได้ยินชื่อธรรม แล้วเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรม แต่ว่าไม่รู้จักตัวธรรม ซึ่งขณะนี้ เมื่อครู่นี้ก็บอกว่าเป็นธรรม รู้จักเพียงเล็กน้อยว่าเป็นธรรม ขณะนี้เป็นธรรม แต่ธรรมเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ใช่ไหม รู้หรือยังว่าธรรมคืออะไร
ผู้ฟัง ในความเข้าใจ ...
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม ทุกสิ่งที่เกิดเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ หลากหลายมาก แต่ไม่มีการรู้ลักษณะของธรรมสักอย่างที่หลากหลาย เพราะว่าไม่รู้ความจริง และสภาพธรรมก็เกิดดับเร็วมาก ไม่มีใครสามารถที่จะประมาณการเกิดดับสืบต่อของธรรมได้เลย จึงปรากฏเสมือนว่าเป็นสิ่งที่เป็นคน เป็นสัตว์ แต่ความจริงสิ่งที่กระทบตา สามารถเพียงให้เห็นโดยยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเลย นิดเดียวหลับตา ลืมตา ก็มีสิ่งที่ปรากฏ เข้าใจว่ามีคนหลายคนที่นี่ เดี๋ยวนี้ มีหลายคนที่นี่ไหม
ผู้ฟัง มีหลายคน
ท่านอาจารย์ ลองหลับตา มีกี่คน
ผู้ฟัง มีหลายคน
ท่านอาจารย์ หลับตาแล้วยังมีหลายคนหรือ มีได้อย่างไร หลับตาแล้วมีคนหลายคน
ผู้ฟัง ได้ยินเสียง
ท่านอาจารย์ เสียงเป็นอีกอย่างหนึ่ง ความหลากหลายของธรรมในวันหนึ่งๆ ไม่มีใครรู้ แม้แต่ว่าสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นคนเมื่อเห็น ต้องมีเห็นก่อนแน่นอน แล้วก็คิดตามรูปร่างสัณฐาน เป็นรูปคน จำไว้ เป็นรูปสัตว์ จำไว้ เป็นรูปต้นไม้ ก็จำไว้ แต่ความจริงเพราะมีสิ่งที่ปรากฏ และมีรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็เลยจำว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นเพียงแค่หลับตา สิ่งที่ปรากฏว่ามีหลายคนที่นี่ แล้วหลับตา มีใครหรือเปล่า
ผู้ฟัง หลับตาก็ไม่เห็น แต่ทราบว่ามีคน
ท่านอาจารย์ จำได้ เพราะฉะนั้นเข้าใจว่ามีเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเพราะจำได้ แต่ความจริงสภาพธรรมแต่ละอย่างมีปัจจัยเกิดแล้วดับเร็วมากแต่ละทาง ขณะนี้ที่เห็นเพราะมีจักขุปสาท เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง ไม่สามารถได้ยินเสียง ไม่สามารถได้กลิ่น เพราะว่าเสียงก็เป็นอย่างหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นอย่างหนึ่ง กลิ่นก็เป็นอย่างหนึ่ง สภาพธรรมมากมายเหลือเกิน ไม่ใช่แค่วันเดียว แต่ละวันๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม
ดังนั้น เมื่อฟังธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงนี่เอง มีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ต่างกันโดยสิ้นเชิง ขณะที่เข้าใจว่าเห็นคนมากมาย คนมากมายที่เห็น เป็นตัวเห็นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ตัวเห็นน่าจะเป็นประสาทตา
ท่านอาจารย์ เรื่องอื่นแทรกเข้ามาแล้ว ประสาทตา กำลังฟังธรรมต้องลืมเรื่องอื่นทั้งหมด คำต่างๆ ที่จะใช้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับธรรม ถ้าเรายังฟังธรรมแล้วมีเรื่องอื่นเกี่ยวข้อง ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง
เพราะฉะนั้น เวลาฟังธรรม คือมีสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏจริงๆ ขณะใดที่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ต้องมีสภาพหรือธาตุที่สามารถเห็น แยกกัน นี่คือความลึกซึ้ง เพราะไม่เคยรู้จักธาตุที่สามารถจะเห็น ได้ยิน คิดนึก สุขทุกข์ต่างๆ เลย มีแต่สิ่งที่ปรากฏชั่วขณะที่ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง แล้วทั้งหมดคือคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏนั้นเอง ยาวมาก เป็นเรื่องต่างๆ แม้ว่าสิ่งนั้นไม่ปรากฏ ก็แสดงว่าความรู้ในสิ่งที่ปรากฏไม่พอที่จะเห็นความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เป็นเรา หรือเป็นใคร หรือเป็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบตาแล้วปรากฏให้เห็น เท่านั้นเอง
ถ้าจะเข้าใจพระธรรมก็คือ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หลับตาเห็นอะไร แน่ใจหรือว่าอะไรสักอย่างก็ไม่เห็น หรือว่ามีสิ่งที่ปรากฏแต่ไม่ใช่คน เช่น สว่างๆ กับมืดๆ สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่คน แต่ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นสำหรับคนที่ตาไม่บอด ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหม พระพุทธเจ้าไม่ได้เปลี่ยนสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่สามารถที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น หรือไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้
การศึกษาธรรม เป็นผู้ตรงแล้วจะมีคำอธิบายให้เข้าใจสภาพนั้น แต่ถ้าเราเรียนมา หลับตาไม่เห็นมีอะไร ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีอะไรๆ ที่ปรากฏสีสันต่างๆ ที่จะให้จำได้ว่าเป็นคนนั้นคนนี้ แต่ก็ยังมีสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเปิดไฟสว่างจ้าแล้วหลับตา เห็นไหม แต่ไม่ใช่คนใช่ไหม แล้วถ้ามืดกว่านั้นอีกนิดเดียวก็ยังเห็นแต่ไม่เหมือนกัน จนกระทั่งห้องมืดสนิท ลืมตามีเห็นไหม ต้องตรง ไม่อย่างนั้นคุณหมอจะตอบไม่ได้ว่ามืด เพราะว่าไม่สว่าง คนที่ตาบอดจะต่างกับคนที่มีจักขุปสาท คือตา นั่นไม่มีอะไรที่จะปรากฏเลย แม้แต่มืดหรือสว่างก็ไม่ปรากฏสำหรับคนที่ไม่มีจักขุปสาท
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีจริงต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแต่ละอย่าง แต่ละลักษณะ ซึ่งถ้าพิจารณาแล้ว จิต ธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ใครเปลี่ยนลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ เป็นอย่างไรก็คือจิตกำลังเห็นแจ้งสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้ เห็นแจ้งสิ่งที่ปรากฏ ทางหูมีเสียง ได้ยิน เปลี่ยนลักษณะของเสียงได้ไหม ไม่ได้
จิตเป็นธาตุที่รู้แจ้งในเสียง จะเสียงดัง เสียงแหลม เสียงเบา เสียงอะไรก็ตามแต่ หลากหลาย ที่รู้ว่าหลากหลายเพราะจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งในลักษณะนั้น และสัญญา สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งก็จำลักษณะ สภาพธรรมที่เกิดร่วมกันสำหรับธาตุรู้ก็จะมีจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน แต่จิตจะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย ต้องมีสภาพรู้ที่เกิดร่วมด้วยที่ใช้คำว่า เจตสิก ธรรมที่เกิดกับจิต เป็นนามธรรม เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน เป็นสภาพรู้ เมื่อใช้คำว่านามธรรมที่เกิด หมายความว่าเกิด จึงต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้ายังไม่เกิดจะรู้ไม่ได้เลย
เวลานี้ ถ้าไม่มีนามธาตุหรือนามธรรมเกิด มีแต่รูปธรรม ไม่มีอะไรปรากฏแน่นอน ไม่มีความเดือดร้อนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะรู้จึงเดือดร้อน ใช่ไหม เห็น พอใจ อยากเห็น ขวนขวายที่จะเห็น ได้ยินเสียง ติดข้องในเสียง พอใจในเสียง หาเสียง ทั้งหมดที่เราเรียกว่า ลาภยศ สรรเสริญ สุข ก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏ จะมีลาภได้อย่างไร จะมียศได้อย่างไร ไม่มีคำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
แสดงให้เห็นว่า การศึกษาธรรมต้องรู้ตัวธรรม ถ้าไม่รู้ตัวธรรมเลยแล้วเราบอกว่าเราศึกษาธรรม ชื่อมากมายเลย เจตสิก แล้วก็ขันธ์ ธาตุ อายตนะ แล้วตัวไหน ขณะนี้สภาพธรรมจริงๆ เกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก แต่ยังปรากฏให้สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมนอกจากจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง ไม่ทำอะไรเลย ไม่จำ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เมตตา ไม่โกรธ ไม่อะไรเลย เพราะว่าจิตไม่ใช่เจตสิก และเจตสิกไม่ใช่จิต
เพราะฉะนั้น จิตเกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน ก็เป็นธาตุที่สามารถจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏแจ้งชัดในลักษณะนั้นๆ ถ้ามีคนถามว่าแล้วคนตาบอดสี มีเห็นหรือเปล่า เห็นอะไร เห็นแจ้งในลักษณะนั้นที่ปรากฏตามความเป็นจริง จึงสามารถรู้ได้ว่าต่างกับคนอื่นเวลามีการสนทนากัน
ดังนั้นให้ทราบว่า ตั้งแต่เกิดจนตายมีธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตเกิดขึ้น จึงเห็น รู้ว่ามีสิ่งนี้ในห้องนี้ จึงได้ยิน จึงได้กลิ่น จึงลิ้มรส รู้ว่ามีรสต่างๆ รู้ว่าเย็นหรือร้อน อ่อนแข็ง เพราะจิตทั้งนั้นเลย แล้วจิตเป็นเราหรือเปล่า ตอบได้ง่ายๆ ถูกต้องตามตำรา คือทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตา ดังนั้นจะบังคับจิต จะทำอะไรจิตไม่ได้เลย เกิดแล้วดับแล้ว บังคับตรงไหน เกิดแล้วดับแล้ว ไปทำตรงไหนให้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นมีทางเดียว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ คือผู้ที่ยังไม่ได้รู้แจ้งความจริงของสภาพธรรม ซึ่งก็เหมือนทุกคน เกิดมาก็เห็นได้ยิน เป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ มีสิ่งที่รัก มีสิ่งที่ชัง แต่ความต่างของพระโพธิสัตว์ กับผู้ที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์คือ ผู้ที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ก็ไม่สนใจที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฎ แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ ไม่ว่ามีสิ่งใดที่พอใจติดข้องหรือชอบ พระองค์ต้องการที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งที่ปรากฏให้ชอบ ให้พอใจ ให้ติดข้องนั้น ความจริงคืออะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
