ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621


    ตอนที่ ๑๖๒๑

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ เชียงใหม่

    วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ เวลาถูกถามก็ตอบว่าเป็นธรรม แต่ตอนเห็นแล้วเป็นอย่างไร เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่คือธรรมจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดเป็นธรรม ลืม เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ลืม เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างก็เป็นธรรมหมด แม้แต่ขณะนี้ถ้าจะเข้าใจธรรม พูดเรื่องจิต พูดเรื่องเจตสิก พูดเรื่องขันธ์ เรื่องความรู้สึกทั้งหมด จนกระทั่งถามว่าขณะนี้เห็นไหม ตอบว่าเห็น แต่คำถามก็คือว่าแล้วอย่างไร

    ผู้ฟัง แล้วอย่างไร คือดับไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ถูกถามคือต่างคนต่างใจ แต่มีเห็นแน่ๆ แล้วสำหรับแต่ละคนจะเหมือนกันได้ไหม เพราะฉะนั้น ขณะนี้เห็นแล้วอย่างไร สำหรับแต่ละคนเห็นแล้วไม่รู้ว่าเป็นธรรม หรือใครรู้ว่าเป็นธรรม เพราะว่าฟังเรื่องธรรม เห็นก็เป็นธรรม เห็นเกิดแล้วก็ดับไป แต่ว่ากำลังเห็นแล้วอย่างไร คือรู้หรือเปล่าว่าเป็นธรรม ก็เป็นอื่นไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่ามีอะไรจะเกิดขึ้นสืบต่อ ซึ่งแสดงถึงความเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น ตลอดชาตินี้จะยาวจะสั้นมากน้อยเท่าไหร่ จะอีกกี่วันกี่นาทีก็แล้วแต่ ประโยชน์จริงๆ คือฟังธรรมแล้วเข้าใจว่า ขณะนี้มีธรรมแน่นอน ปรากฏเป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ไม่ได้เห็นความจริง ไม่รู้จักตัวธรรมนั้นว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่า แม้ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วจะทรงแสดงว่า ธรรมทุกอย่างเกิดแล้วดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้

    ขณะนี้ธรรมใดซึ่งปรากฏแล้วไม่รู้ คือเกิดแล้วดับแล้ว ไปกับความไม่รู้ แม้ว่ากำลังจะฟังเรื่องของธรรมค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ตัวธรรมจริงๆ ก็เป็นธรรมซึ่งไม่มีใครรู้จัก กำลังเกิดขึ้นทำหน้าที่ จิต เจตสิก เกิดขึ้นเห็น หลังจากนั้นจิต เจตสิก ก็เกิดดับสืบต่อ เป็นความคิดนึก เป็นกุศล เป็นอกุศล ทั้งหมด ผ่านไปด้วยความไม่รู้

    การฟังธรรมจริงๆ ในแต่ละภพแต่ละชาติ ไม่ใช่ให้เราสามารถจะไปรู้โดยไม่มีการเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เพราะความรวดเร็วของธรรมสุดที่จะประมาณจริงๆ ในขณะนี้เหมือนไม่ดับ แต่เพราะเหตุว่ามีการเริ่มเข้าใจลักษณะที่ต่างกันของเห็น ไม่ใช่ได้ยินแน่นอน ไม่ใช่คิดนึกด้วย ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ คือสภาพธรรมทั้งหมดแต่ละลักษณะ เพียงแต่ใส่ชื่อให้รู้หมายความถึงธรรมไหนเท่านั้นเอง แต่ตัวจริงๆ ก็คือธรรม

    แต่ละภพแต่ละชาติเราไม่สามารถที่จะจำเรื่องราวทั้งหมด เราอาจจะเคยอ่านพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎกสูตรนั้นมาหลายครั้ง ชาตินั้นก็เคยผ่าน ชาตินี้ก็เคยผ่าน แต่ว่าจำอะไรได้ เรื่องราวแต่ละภาษา ถ้าชาติก่อนเคยพูดภาษาหนึ่ง เคยอยู่ในแคว้นมคธพูดภาษาบาลี ภาษามคธ เมื่อถึงสมัยนี้ได้ยินแล้วก็ไม่มีทางรู้เรื่องเลย และสิ่งที่จำไว้เป็นภาษานั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมทีละเล็กทีละน้อย เมื่อได้ยินคำที่แสดงถึงลักษณะของสิ่งที่มีจริงไม่ว่าจะในภาษาใด อย่างคนไทยเราพูดภาษาไทยแล้วเข้าใจ แต่ถ้าพูดภาษาบาลีใครรู้เรื่องบ้าง ทั้งๆ ที่หมายความถึงสิ่งเดียวกันก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้

    ดังนั้น เรื่องของภาษาคือเป็นเพียงสื่อที่จะทำให้ส่องไปถึงลักษณะของสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจตรงกันให้ถูกต้อง เช่น เห็น ไปพูดกับคนที่อินเดียเขาก็ไม่รู้ พูดกับคนญี่ปุ่น คนจีน ก็ไม่รู้ แต่พูดกับคนไทยรู้ว่าเห็นคืออะไร นั่นก็คือธรรม

    ถ้าสามารถที่จะเข้าใจธรรมและรู้ความเป็นอนัตตาของธรรม คือการสะสมที่จะรู้จักธรรม โดยที่ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเรื่องราวหรือชื่อของธรรม และการที่จะเข้าใจตัวจริงของธรรมไม่ใช่ว่าเมื่อฟังแล้วเข้าใจได้ อย่างท่านพระสารีบุตร หรือท่านอนาถบิณฑิก หรือวิสาขามหาอุบาสิกา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผู้ที่สะสมมา ฟังแล้วสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ขั้นต้น และต่อจากนั้นก็จะเห็นได้ว่าแต่ละคนมีการสะสมมาต่างกัน

    เพราะฉะนั้น การที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ไปอาศัยการสะสมของคนอื่น แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรง สัจจบารมี ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ตรงจะไม่ได้สาระจากธรรมเลย ฟังธรรมเเต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ตรงไหม ฟังอะไร ไม่รู้จักธรรม ฟังตั้งนานก็ไม่รู้จักว่าธรรมคืออะไร แล้วอย่างนั้นตรงหรือเปล่าว่าฟังธรรม ก็คือไม่ได้ฟังธรรมแน่นอน แต่เมื่อฟังธรรมแล้วเริ่มเข้าใจขึ้นก็รู้ว่าธรรมมีจริงๆ

    ขณะนี้มีธรรม ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ปัญญายังไม่ถึงระดับที่จะประจักษ์ความจริงอย่างนั้นได้ เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรม เพียงแต่กำลังฟังเรื่องราวของธรรม ก็เป็นทางที่จะทำให้อบรมแล้วก็มีความเห็นถูก ไม่คิดที่จะจำชื่อ หรือว่าได้ยินคำอะไรก็สะสมชื่อไว้มากๆ แต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร อย่างเช่น ปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ อริยสัจจ์๔ ธาตุ๑๘ ปัจจัย๒๔ ได้ยินแต่ชื่อ แต่ขณะนี้อยู่ที่ไหน เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมอะไร แม้แต่ขณะนี้มีจริงๆ เป็นขันธ์หรือเปล่า ถ้าได้ยินชื่อขันธ์โดยไม่รู้ว่าเป็นขันธ์ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้เลย เพียงแต่จำชื่อไว้เท่านั้นเอง

    ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นผู้ที่ตรง อย่างผู้ที่บอกว่ามีศรัทธาในการฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจธรรม แต่ไม่ใช่ไปเปลี่ยนอัธยาศัยที่สะสมมา ไม่ใช่ไปทำเป็นอีกบุคคลหนึ่ง เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง ไม่ใช่เรื่องเหมือนกับว่ายังมีกิเลสอยู่เเต่ทำเสมือนว่าไม่มีกิเลส ไม่ใช่อย่างนั้นเลย และเป็นผู้ที่ตรง คือธรรมเกิดแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไร ถ้าทำคือผิด

    เกิดแล้วก็คือไม่ลืมที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของธรรมขณะนี้ แม้ว่าจะเข้าใจยาก เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้มีจริง เราหลงยึดถือ หลงพอใจในสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นแล้วหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย เสียงปรากฏให้ได้ยิน แล้วหมดไปไม่กลับมาอีก ทุกอย่างที่ปรากฏสั้นมากน้อยมาก แต่เพราะความไม่รู้ การเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นสัณฐานนิมิตต่างๆ ก็ทำให้เกิดการติดข้อง และมีการยึดถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็ยากที่จะละคลาย เพียงแต่ว่าฟังธรรมแล้วเข้าใจ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยทั้งสิ้น

    ขณะนี้กำลังเป็นแต่ละคนที่สะสมมาแล้วได้ฟังธรรม แล้วก็เข้าใจธรรม เหมือนเดิมไหม หรือเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว สงบเสงี่ยมเจียมกายขึ้นมาหรืออย่างไร หรือหัวเราะก็ได้ เบิกบานก็ได้ จะดู จะทำอะไรให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรากำลังฝืน แต่สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วนั้นเป็นความจริงที่จะทำให้รู้การสะสมจริงๆ ว่าเป็นธรรม มิฉะนั้นก็มีตัวเราจะเป็นผู้จัดการ เป็นผู้บงการ เป็นอัตตาที่สามารถที่จะให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ แทนที่จะละด้วยการรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเกิดแล้ว ขณะนี้ทุกอย่างที่ปรากฏเกิดแล้ว ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ลองหาดู เกิดแล้วใช่ไหม หรือว่าใครไปทำ ลืมว่าเกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้นก็คือเข้าใจถูกในสิ่งที่เกิดแล้ว เมื่อฟังธรรมแล้ว เราเห็นกุศล อกุศล อะไรหรือเปล่า หรือว่าเป็นแต่เพียงชื่อซึ่งเราอยากจะเข้าใจ ทั้งๆ ที่ตัวจริงๆ ไม่มีใครที่จะไม่มีอกุศล แต่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็น และมีปัญญาที่จะละอกุศลแล้วเจริญกุศลหรือเปล่า แม้แต่คำว่าเมตตา ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน หวังดี พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นทางกายหรือทางวาจา ถ้าขณะใดก็ตามจิตไม่อ่อนโยน ไม่มีความหวังดี ไม่พร้อมที่จะเกื้อกูล ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต

    การศึกษาธรรมไม่ใช่เพียงแต่มีเราซึ่งอยากจะเข้าใจธรรม โดยไม่รู้ว่าขณะนั้นๆ ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสม แล้วตัวของธรรมก็มีทั้งที่เป็นกุศล และอกุศลในทุกๆ ระดับ

    เราไม่ได้อยู่คนเดียว เรายังมีพี่น้อง มีเพื่อนฝูง มีคนที่รัก มีคนที่หวังดี แล้วเราหวังดีกับใครต่อใครเพิ่มขึ้นหรือเปล่า หรือเราคิดถึงแต่เฉพาะตัวของเราเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าขณะใดก็ตามที่เราคิดว่าคนอื่นจะมีความสุขเพราะเรา เราทำได้ไหม ไม่ได้ขัดกันเลย เวลาที่มีคนชวนไปดูหนัง ดูมหรสพ ละคร หรืออะไรก็ตามแต่ เขาอยากให้เราไป จะไปหรือไม่ไป ถ้าไปก็ไป ถ้าไม่ไปก็ไม่ไป แต่แม้ไปหรือไม่ไปก็เป็นธรรม ถ้าเราเลือกคิดว่าจะรู้แต่เฉพาะธรรมอย่างนี้ แต่ไม่รู้ธรรมอย่างอื่น ก็หมายความว่าไม่ได้รู้ทั่วจริงๆ ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ ทุกอย่างที่เกิดแล้วเป็นปกติตามความเป็นจริง เราจะเห็นชัดเจนคือปัญญาขณะนั้นสามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นกุศลหรืออกุศล ดูเหมือนเป็นกุศลที่เราสนใจธรรม แต่อกุศลก็ละเอียดมาก วันหนึ่งๆ มีความรู้สึกประเภทไหนบ้าง

    ผู้ฟัง มีทั้งโกรธ มีความสุข เฉยๆ ก็มีทุกอารมณ์

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นธรรมจริงๆ ก็จะรู้ว่าโกรธเกิดแล้วเพราะอะไร แล้วเราสามารถที่จะเข้าใจสมุฏฐาน และสามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยปัญญา แล้วเมื่อเราโกรธ คนอื่นที่ใกล้ชิดกับเราพลอยโกรธไปด้วยหรือเปล่า เป็นประโยชน์ไหมทั้งเขาและเรา แล้วที่จะไม่ให้โกรธทั้งสองฝ่ายเป็นไปได้ไหม แม้ขณะนั้นก็เป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักธรรมต้องรู้จักทั่ว ไม่ใช่เลือกเพียงบางอย่าง ดังนั้นอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามขึ้นอยู่กับสภาพจิตในขณะนั้นว่า เราคิดถึงคนอื่นบ้างหรือเปล่า เรามีความเมตตาหวังดีเกื้อกูลช่วยเหลือเขาบ้างหรือเปล่า

    บางคนเป็นคนที่เห็นแก่ตัวโดยไม่รู้ตัวเลย ไม่ทำอะไรให้ใครเลย แต่ก็บอกว่าเขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร พอไหม ซึ่งขณะนั้นไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่สามารถจะทำประโยชน์หรือความดีให้ใครบ้างหรือเปล่า พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือของเรา แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องอื่นก็ตามแต่ เพียงการเป็นมิตรไปไหนไปด้วย มีความอบอุ่น มีความสบายใจที่จะได้มีเรา ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่เข้าใจเขา ให้คำแนะนำเขา หวังดีต่อเขา ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใครเลย

    ถ้าเราเข้าใจธรรมหรือเห็นประโยชน์ของธรรม เราชวนคนอื่นฟังธรรม หรือถ้าเขาไม่ได้ฟังธรรมอย่างเรา แต่ว่าเราสามารถที่จะเป็นมิตรกับเขาทางโลกทางธรรมใดๆ ก็ตาม ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งไม่หนีหายไปจากปัญญาที่สามารถที่จะเห็นถูกได้ คือเป็นตัวเองจริงๆ เหมือนเดิม ไม่ได้ฝืน ไม่ได้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วยว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล

    ฟังธรรมแล้วยังโกรธก็แสดงว่ายังไม่ได้รู้จักธรรมจริงๆ ใช่ไหม เมื่อโกรธแล้วทำอะไร จะมีพฤติกรรม แม้แต่ความคิดเรื่องราวความเป็นไปอีกมากมาย ล้วนแต่ว่าในขณะนั้นๆ ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ คือศึกษาเพื่อเข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่เกิดแล้วกำลังปรากฏ และหลากหลายมาก แล้วธรรมก็มีทั้งฝ่ายดีฝ่ายไม่ดี มิฉะนั้นก็คงจะไม่ต้องเจริญกุศล แต่ว่าจากการเข้าใจธรรม กุศลทุกอย่างก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น วันนี้จะเป็นอย่างไร มีความสุขขึ้นไหม

    ผู้ฟัง บางครั้งโกรธก็รู้ว่ากำลังโกรธอยู่ บางครั้งเหมือนกับคุมตัวเองไม่ได้ แต่สักพักมันก็จะค่อยๆ เย็นลง

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คุมตัวเองไม่ได้ก็ตรงกับคำถามที่ว่า แล้วอย่างไร เมื่อโกรธแล้วอย่างไร จะมีตัวตนที่พยายามจะบังคับ หรือรู้ทันทีว่า ขณะนั้นเป็นธรรมตามที่ได้เรียนมาทุกอย่าง รู้จักตัวธรรม

    ผู้ฟัง ยังไม่ได้มีปัญญาขนาดนั้น

    ท่านอาจารย์ แต่อาศัยการเข้าใจขึ้นแล้วก็จะรู้เลยว่า ปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกต้องว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล ตรง ไม่เข้าข้างตัวเองหรือใครทั้งนั้นเพราะว่าเป็นความเห็นถูกต้อง และปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องก็จะทำให้กุศลทุกประเภทเจริญขึ้นด้วย ความเมตตาจะมีมากขึ้น รวมทั้งความกรุณา มุทิตา อุเบกขา อะไรทั้งหมดที่เป็นฝ่ายกุศล

    ผู้ฟัง ตอนนี้กำลังเห็นท่านอาจารย์ และท่านวิทยากร เห็นอย่างนี้ จะเรียนถามว่าขณะที่เห็น ขณะใดเป็นความเห็นผิด แล้วขณะที่เห็นที่ไม่มีความเห็นผิดที่บอกว่าเป็นโลภะ ๒ ขณะนี้เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดดับเร็วมากเลย แล้วเมื่อจิตเกิดแล้วต้องทำกิจหนึ่งกิจใด จิตหนึ่งทำกิจหนึ่ง ไม่ใช่ทำ ๒ กิจ เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นเห็น ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้เห็นผิดอะไรเลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง เป็นหนึ่งขณะใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ หนึ่งขณะที่เห็น

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติขณะที่มีความเห็นผิด หรือว่าขณะที่มีโลภะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ขณะเดียวกับขณะที่เห็น ขณะที่เห็นดับไปก่อนแล้ว แล้วภายหลังจึงจะมีความติดข้อง หรือความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพนั้นๆ ว่าเป็นตัวตน

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าขณะที่เห็นเป็นสภาพธรรมใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะว่าเห็นจริงๆ กำลังเห็น ขณะนี้เห็นอะไร

    ผู้ฟัง ขณะนี้เห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องมีเห็นก่อนใช่ไหม แล้วถึงจะคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไรเพราะจำได้

    ผู้ฟัง แล้วเห็นผิดเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังเห็นผิด จะรู้ไหมว่าเห็นผิด

    ผู้ฟัง ก็ถ้ามีปัญญา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญาต่างหากที่รู้ ถ้าปัญญาไม่เกิดจะนึกสักเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

    ผู้ฟัง หมายความว่าคำตอบนี้ผมต้องตอบเอง หมายถึงต้องรู้เองใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าทุกคำที่เราได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริง แต่จะรู้ลักษณะนั้นจริงๆ ได้ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นจึงสามารถที่จะรู้อย่างนั้นได้ ถ้ายังเป็นเราคิดว่าโลภะเป็นอย่างไร ความเห็นผิดเป็นอย่างไร ขณะนั้นก็คือเรากำลังคิด แต่ว่าจริงๆ แล้วเมื่อไหร่ที่มีการเห็นผิด และปัญญาเกิดขึ้นขณะนั้นจึงรู้ลักษณะที่เห็นผิดในขณะนั้น แต่แม้ว่ามีความเห็นผิดเกิดแล้ว แต่ปัญญาไม่เกิดก็ไม่สามารถที่จะเห็นสภาพที่เห็นผิดได้ว่าเป็นความเห็นผิด

    ผู้ฟัง ตอนนี้ขณะที่เห็นท่านอาจารย์ เห็นอย่างนี้แล้วก็พูดอย่างนี้ ไม่ทราบว่าเป็นความเห็นผิดหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกใช่ไหม เพราะว่าไม่ใช่จะรู้ด้วยการคิด พระพุทธเจ้าเห็นไหม เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะ เห็นท่านพระสารีบุตร เห็นท่านพระอานนท์ไหม

    ผู้ฟัง ทุกๆ คนก็มีเห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นแล้วรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เป็นการเกิดดับสืบต่อของจิต จากอาศัยตา มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มีรูปร่างสัณฐาน และใจก็สามารถที่จะจำว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นของธรรมดา เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ตัวความเห็นผิด แต่ว่าความเห็นผิดก็มีในสิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อเกิดขึ้นเห็นผิด ถ้าขณะใดที่ความเห็นผิดไม่เกิดขึ้น ปัญญาไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่านั่นเป็นความเห็นผิด

    ผู้ฟัง แสดงว่าขณะที่เห็นท่านอาจารย์ ขณะนี้ก็เป็น ...

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น เป็นกุศล หรืออกุศลก่อน

    ผู้ฟัง ก็เห็นเป็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เห็นอย่างนี้เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง น่าจะเป็นอกุศล เพราะไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้ เราจะเดาทั้งหมดเลย เพราะว่าสภาพธรรมเกิดและดับไปเร็วมาก แต่การที่จะรู้สภาพธรรมจริงๆ ขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิด และมีแข็งปรากฏเพียงอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นปรากฏปะปนเลย แข็งนั้นเป็นเราหรือเปล่า

    เราต้องย่อมาจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ยาว จิตเกิดดับมากมายจนถึงขณะจิตหนึ่ง ถ้าจะรู้จริงๆ ว่าขณะนั้นมีความเห็นผิด หรือไม่มีความเห็นผิด ถ้าไม่มีความเห็นผิดจะไปเห็นลักษณะที่เห็นผิดไม่ได้ แต่เมื่อมีความเห็นผิดเกิดขึ้น ปัญญาที่ได้อบรมแล้วจึงสามารถที่จะรู้ว่านั่นเป็นสภาพธรรมที่เห็นผิด เห็นผิดอย่างไร เพราะแข็งนั้นเป็นเรา

    สภาพธรรมที่พูดมาทั้งหมด เป็นสิ่งซึ่งเป็นลักษณะของธรรมแต่ละอย่างๆ แต่เกิดดับสืบต่อเร็วมาก จนกระทั่งพูดถึงสภาพธรรมหนึ่งไม่ได้ปรากฏจริงๆ เลย เพราะเหตุว่าทุกขณะเกิดดับเร็วมาก จะปรากฏกับสติสัมปชัญญะเท่านั้น อย่างเช่นเราพูดถึงโลภะ เมื่อเห็นสิ่งที่เราชอบ รสอาหารที่อร่อย เราชอบเราก็บอกว่าโลภะ เรียกชื่อว่าโลภะ ลักษณะของโลภะปรากฏจริงๆ หรือเปล่า เพราะขณะนั้นก็มีเห็น ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่รส แต่เราชอบอะไร เราชอบทั้งสิ่งที่ปรากฏทางตา ทั้งรสที่กระทบลิ้น

    เพราะฉะนั้น จะรู้สภาพธรรมจริงๆ ก็ต่อเมื่อรู้ว่าเป็นธรรมก่อน จนกระทั่งสติสัมปชัญญะกำลังรู้ตรงลักษณะที่เป็นธรรม แล้วเริ่มเข้าใจสภาพที่เป็นธรรม จึงจะรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นอะไร ไม่คลาดเคลื่อน

    ขณะนี้พูดถึงทุกชื่อ แต่สภาพธรรมของจริงแต่ละอันไม่ปรากฏเลย เพียงแต่จำชื่อ เข้าใจชื่อว่าลักษณะต่างๆ กัน แต่ตัวลักษณะจริงๆ นั้นต่างกันอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ปรากฏกับปัญญา เพราะไม่ได้อบรมที่จะรู้ในขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิดจริงๆ และสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปแล้วอย่างรวดเร็ว

    ดังนั้น การที่จะรู้จักลักษณะของธรรม ไม่ใช่โดยพยายามไปคิดว่านี่เป็นอะไร ไม่มีทางเลย นอกจากขณะนั้นสภาพธรรมนั้นปรากฏ และสติสัมปชัญญะกำลังรู้ลักษณะนั้น จึงสามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่าลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น

    คิดถึงความละเอียด ขณะที่เห็นไม่ได้มีกุศลเกิด และกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาที่จะรู้ว่า ขณะนี้เห็นเป็นอย่างนี้ เป็นธรรม นี่คือการเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม และสำหรับผู้ที่นานๆ จะเกิดเข้าใจลักษณะที่เห็นเพราะกำลังมีเห็น แล้วก็ไม่ได้สนใจใส่ใจอย่างอื่นเลย แต่กำลังเริ่มที่จะรู้ตรงเห็นจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย

    ทีละน้อยก็คือนานๆ ครั้ง ไม่สามารถที่จะเกิดบ่อยๆ ได้ เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้มานานมาก เมื่อเห็นก็คิดเรื่องอื่นไปเลย เป็นคนนั้นคนนี้ไปเลย แล้วเมื่อไหร่จะมีปัจจัยพอที่จะเริ่มเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แม้เพียงแค่นี้ก็ยังแยกไม่ออกเลย กับการที่ความจริงเป็นเพียงธาตุที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง

    ส่วนการที่จะจำว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ คืออีกโลกหนึ่งแล้ว ที่เกิดจากการเห็นแล้วเป็นโลกที่จำว่าสิ่งที่แม้ไม่เห็นก็มี ยังเข้าใจว่ายังมีอยู่ แต่ความจริงสิ่งนั้นหามีไม่ ไม่มีจริงๆ ดับไปแล้วจริงๆ แต่จากการเห็นก็จำว่ายังมี มีน้องไหม มีเพื่อนไหม มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ไหม ไม่ได้เห็นเลย แต่ยังเข้าใจว่ายังมีอยู่จากการที่เคยเห็น

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการที่จะรู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่เมื่อฟังแล้วก็รู้ได้เลยว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ฟังแล้วรู้ว่าจริง แต่ปกติไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ ปกติเมื่อเห็นก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปทันทีเลย

    ดังนั้นก็ฟังอีกจนกว่าจะค่อยๆ น้อมไปซึ่งไม่ใช่เราเลย หมายความว่าฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนอาจจะเกิดระลึกได้ว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง นี่คือขั้นหนึ่ง ต่อไปอีกคือสามารถที่จะเข้าใจทันทีที่สิ่งนี้ปรากฏ ไม่ติดข้อง จะรู้เลยว่าลักษณะของการหน่าย การคลายความติดข้องนั้นเป็นอย่างไร

    ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ อย่างอื่นไม่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้เลย มีสิ่งนี้เองที่กำลังปรากฏที่สามารถจะเห็นได้ นอกจากนั้นเห็นไม่ได้หมดเลย แม้มีลักษณะที่แข็งก็ไม่เห็น หวานก็ไม่เห็น เสียงก็ไม่เห็น แต่มี

    เพราะฉะนั้น ลักษณะของสิ่งนี้ที่เคยไม่รู้ และเคยหลงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ จะคลายการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ก็ต่อเมื่อเริ่มมีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ถูกไหม นานไหม บ่อยไหม

    การที่เคยเข้าใจผิดแล้วจำไว้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนานกว่านี้มาก จะเทียบกับเทือกเขาหิมาลัยสูงใหญ่แค่ไหน คือการสะสมความที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วจำไว้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และความที่จะเริ่มเข้าใจว่า เป็นเพียงธาตุสิ่งหนึ่งซึ่งเพียงปรากฏ เมื่อไม่เห็นก็ไม่มี นั่นอย่างหนึ่ง แต่แม้กำลังเห็นก็เกิดดับ นี่คือความน่าอัศจรรย์ของธรรมซึ่งเป็นจริงอย่างนี้ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ก็สามารถที่จะรู้จริงอย่างนี้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ อย่างนี้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    20 พ.ย. 2568