ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
ตอนที่ ๑๖๔๙
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมรอยัล เรสซิเดนซ์ ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ ถ้ายึดถือว่าเป็นเราคือ หลงผิดเพราะไม่ได้ฟังพระธรรม และไม่รู้หนทางที่จะเข้าใจพระธรรม เพราะว่าปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะรู้จักธรรมตามความเป็นจริงแล้วก็ดับกิเลสได้
อ.ธีรพันธ์ อรรถของจิตอีกประการหนึ่ง คือจิตเป็นธรรมชาติที่วิจิตรด้วยอำนาจสัมปยุตตธรรม
ท่านอาจารย์ สัมปยุตต์ หมายความถึงเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต ถ้าวิปยุตต์ คือเจตสิกนั้นๆ ไม่ได้เกิดร่วมกับจิต เพราะฉะนั้น โลภะมี ๒ อย่าง มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย คือ ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ เป็นไปร่วมกับความเห็นผิด เเต่ถ้าขณะใดที่ไม่เห็นผิดขณะนั้นก็เป็น ทิฏฐิคตวิปยุตต์ ต่อไปเวลาได้ยินแล้วก็ไม่ลืมอีก เมื่อได้ยินคำว่า วิปยุตต์ ก็เข้าใจ ได้ยินคำว่า สัมปยุตต์ ก็เข้าใจ
กล่าวถึงสัมปยุตตธรรม แสดงว่าเมื่อกล่าวถึงจิต ทำไมจิตถึงไม่เหมือนกัน ทำไมจึงต่างกันเป็น ๘๙ ประเภท ก็เพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยทำให้จิตต่างกันไป อย่างเช่น อกุศลเจตสิกเกิด จิตจะเป็นกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตนั้นเป็นอกุศลเพราะอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย เวลาที่เป็นธรรมฝ่ายดี คือเจตสิกฝ่ายดีเกิดกับจิต จิตนั้นก็เป็นกุศล
ดังนั้น จิตที่ต่างกันเป็นกุศลและอกุศลเพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ใช้คำว่า สัมปยุตตธรรม หมายถึงเฉพาะจิตและเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกัน อย่างอื่นไม่สามารถที่จะเข้ากันได้เลย อย่างรูปธรรมกับนามธรรมต้องต่างกัน แต่นามธรรมกับนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกันจึงเป็นสัมปยุตตธรรม
เพราะฉะนั้นเวลาที่กล่าวว่า จิตต่างกันด้วยสัมปยุตธรรมที่เกิดร่วมด้วย คือเพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างกันนั่นเอง สัมปยุตตธรรมธรรมของจิตจะเป็นเจตสิกเท่านั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ และสัมปยุตตธรรมของเจตสิกก็คือ จิตและเจตสิกทั้งหมดที่เกิดร่วมกัน เจตสิกเป็นสัมปยุตตธรรมของจิต และเป็นสัมปยุตตธรรมของเจตสิกอื่นที่เกิดร่วมกัน ต่างกันโดยอารมณ์ซึ่งคือขณะนี้ ใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏทางตาอาศัยตาจึงปรากฏได้ จิตเห็นเกิดขึ้น เมื่อเป็นได้ยินก็ไม่ใช่จิตเห็นแล้ว ดังนั้นจิตก็ต่างกันโดยอารมณ์อีกประการหนึ่ง นอกจากต่างกันโดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ก็ยังต่างกันโดยอารมณ์ต่างๆ เพราะว่าจิตรู้อารมณ์ต่างๆ
ผู้ฟัง จิตในพระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สมองแน่นอน สมองเป็นเพียงรูป จากการที่เคยเรียนถามท่านอาจารย์และได้รับคำตอบว่า ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดเริ่มเป็นชีวิต สมองยังไม่ได้พัฒนาขึ้นมา แม้กระทั่งไปถึงขั้นที่เป็นปัญจสาขาแล้วก็ยังไม่มีเซลล์สมองเกิด ตอนนั้นมีจิตแล้วหรือยัง ขอทราบความละเอียด
ท่านอาจารย์ แม้ว่าเราจะไม่ใช้ชื่อสมอง ไม่ใช่ชื่อเซลล์ หรือชื่ออะไรตามสาขาวิชาการต่างๆ มีอะไรในขณะแรกที่จิตเกิด มีแต่จิตเท่านั้นหรือ หรือว่ายังรู้มากกว่านั้นว่าจิตที่เกิดนั้นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่มีแต่จิตซึ่งเป็นนามธรรม
ในหนึ่งขณะของจิตที่เกิดเพราะกรรม ในภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ กรรมทำให้ทั้งนามธรรมและรูปธรรมเกิด ไม่ใช่มีแต่รูปธรรมอย่างเดียว หรือนามธรรมอย่างเดียวเกิดขึ้น และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรมและรูปธรรมต้องอาศัยกันด้วย ไม่ใช่แยกกันไปคนละทิศคนละทาง
ดังนั้น เวลาที่กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมเจตสิก ซึ่งเป็นผลของกรรมทั้งสองอย่าง ทั้งจิตและเจตสิกเป็นวิบาก คือสิ่งที่กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น และกรรมก็ยังทำให้ปฏิสนธิกัมมชรูป คือรูปที่เกิดจากกรรมอย่างเดียว ไม่มีรูปที่เกิดจากจิต ไม่มีรูปที่เกิดจากอุตุ ไม่มีรูปที่เกิดจากอาหาร เพราะเหตุว่ารูปทุกครั้งที่เกิดขึ้นจะต้องมีรูปเกิดรวมกัน
รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานมี ๔ รูป คือสภาพธรรมที่อ่อนหรือแข็ง ใช้คำว่าปฐวี หรือธาตุดิน เย็นหรือร้อน คือเตโชธาตุ ตึงหรือไหว คือวาโยธาตุ เเละ ธาตุที่เกาะกุมรูปอื่นให้รวมอยู่ด้วยกัน ไม่ให้กระจัดกระจายไป คืออาโปธาตุ ทั้ง ๔ รูปนี้เป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นปัจจัยให้มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทเกิดร่วมด้วย ที่เราใช้คำว่า สี หรือ วรรณ วัณโณ นิภา สิ่งที่ปรากฏทางตาหรืออะไรก็ตาม ต้องมีมหาภูตรูป รูปนั้นจึงมีได้ ถ้าไม่มีมหาภูตรูปจะมีแต่เพียงสีสันวัณณะเท่านั้นปรากฏไม่ได้เลย ดังนั้น เมื่อมีมหาภูตรูป ๔ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ใช้คำว่าสีก็ได้ แล้วมีกลิ่น รส และโอชา คือ รูปที่สามารถจะทำให้รูปอื่นเกิดด้วย
เพราะฉะนั้น รูปกลาปหนึ่งคือ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเกิดเพราะกรรมจะมีในภูมิที่เป็นมนุษย์ ในครรภ์จะมีปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับกัมมชรูป ๓ กลาป หรือ ๓ กลุ่ม โดยที่ทุกกลาป ทุกกลุ่ม จะต้องมีมหาภูตรูป ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เเละสี กลิ่น รส โอชา แต่เมื่อกรรมเป็นปัจจัยจะต้องมีชีวิตินทริยรูป ไม่ต้องไปพูดถึงเซลล์หรืออะไรเลย แต่ว่าชีวิตินทริยรูปทำให้รูปนั้นมีชีวิต ต่างกับรูปที่ไม่มีชีวิต
ต้นไม้ใบหญ้าก็มีทั้งแข็งเเละอ่อนนุ่ม แต่ไม่ได้เกิดจากกรรมจึงไม่มีชีวิตินทริยรูป คือรูปนั้นไม่เป็นรูปที่มีชีวิต อย่างเช่น จักขุปสาทของทุกคนขณะนี้เกิดเพราะกรรม มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชา และมีชีวิตินทริยรูป ทำให้ตาเป็นรูปที่มีชีวิต ถ้าเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ถึงเเม้ว่าจะดูเหมือนคนเลย แต่ไม่มีชีวิตินทริยรูป
เพราะฉะนั้น รูปอื่นที่นอกจากกรรมจะมีรูปที่เกิดรวมกัน ๘ รูปอย่างน้อยที่สุด แต่ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรมอย่างน้อยที่สุด ๙ รูป เพราะว่าต้องมีชีวิตินทริยรูปด้วย ในขณะนั้นกลุ่มที่สองก็คือ กายทสกะ ๘ บวกอีก ๒ คือ นอกจากชีวิตินทริยรูปที่เพิ่มมาหนึ่ง กลุ่ม ๓ กลุ่มนี้ก็ยังมีรูปต่างกันไปอีก คือทุกกลุ่มต้องมีชีวิตินทริยรูปรวมจาก ๘ เป็น ๙ และก็เพิ่มกายปสาทเป็นกายทสกะ มีปสาทที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏกระทบได้ มีหทยวัตถุ คือกลุ่มของรูปมีรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต รูปใดก็ตามซึ่งเป็นที่เกิดของจิต จิตในภูมิที่มีรูปต้องเกิดที่รูป จะไปเกิดนอกตัวนอกรูปไม่ได้เลย จักขุวิญญาณก็ต้องเกิดที่ตา โสตวิญญาณก็ต้องเกิดที่หู ฆานวิญญาณก็เกิดที่จมูก ชิวหาวิญญาณก็เกิดที่ลิ้น กายวิญญาณก็เกิดที่กายปสาทรูป ทั้งหมดเป็น ๕ รูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิตที่สามารถที่จะรู้ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ในขณะที่ปฏิสนธิจะมีหทยทสกะ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา ชีวิตินทริยะ และรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ไม่ใช่กายปสาทรูป ไม่ใช่ภาวรูป รูปนั้นไม่ใช่เพศหญิงชาย แต่เป็นรูปซึ่งเป็นที่เกิด โดยทั่วตัวทั้งหมดแบ่งเป็นกลุ่มเล็กที่สุด มีอากาศธาตุแทรกยิบพร้อมที่จะแตกสลาย ซึ่งความจริงก็เกิดดับทุกกลาปหรือทุกกลุ่ม มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ รูปใดก็ตามซึ่งเกิดจากกรรม ในตัวกลาปนี้จะต้องมีชีวิตินทริยรูปเกิดร่วมด้วย แต่ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากจิต เกิดจากอุตุ เกิดจากอาหารไม่มี นี่ก็เป็นความต่างกันอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้จิตเกิดที่ใด รูปใดก็ตาม รูปนั้นเป็นหทยรูป หมายความว่ากลุ่มหรือกลาปนั้นมีรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต เช่น ที่ตัวที่เป็นกายปสาท ก็แล้วแต่ว่าเมื่อเป็นกายปสาท เป็นปัจจัยให้เฉพาะกายวิญญาณเกิด แต่จิตอื่นเกิดที่หทยรูป
ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ แม้รูปเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่จิตที่เกิดที่รูปก็แล้วแต่ว่าจะเป็นจิตประเภทใด และเกิดที่ไหน ลองคิดดู จักขุวิญญาณ จิตเห็นเกิดที่จักขุปสาท แต่โลภะเกิดที่หทยรูป โลภะจะไปเกิดที่จักขุปสาทไม่ได้ จักขุวิญญาณจะมาเกิดที่หทยรูปก็ไม่ได้ นี่คือความละเอียดหรือความเป็นปัจจัยของธรรม
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเล็กมาก ๓ กลาป ซึ่งเป็นกลุ่มของรูปที่เป็นที่เกิดของจิตหนึ่ง กลุ่มของรูปซึ่งมีกายปสาทรวมอยู่ด้วยหนึ่ง และอีกรูปหนึ่งคือกลุ่มที่มีภาวรูป รูปที่เมื่อเจริญแล้วก็จะปรากฏอาการของเพศหญิงหรือชาย ซึ่งรูปนี้จะซึมซาบอยู่ทั่วตัว ไม่ใช่เฉพาะบางส่วนแต่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว เช่น แขน ขา หรืออะไรก็แล้วเเต่ของผู้หญิง ภาวรูปก็ทำให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องของความละเอียด แต่ให้ทราบว่าการตรัสรู้สามารถจะรู้ถึงรูปที่เกิดที่นั่น ซึ่งไม่ใช่สมองและก็ไม่ใช่หัวใจ แต่เมื่อเจริญเติบโตแล้วหทยรูปจะอยู่ที่กลางหัวใจ แต่เป็นรูปที่เกิดดับเพราะกรรม
ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะตัดหัวใจออกไป ก็ยังมีกรรมที่ทำให้หทยรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต เหมือนตอนเกิดก็ไม่มีรูปหัวใจ แต่กรรมก็ยังทำให้มีรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต เพื่อให้เห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเราเลย เป็นธรรมทั้งหมด ฟังเพื่ออย่างเดียว คือมีความเห็นถูกว่าไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าความเป็นเราลึกแล้วก็หนาแน่นมาก ยากที่จะไถ่ถอน
สนทนาธรรม ที่ ธัมเมกขสถูป สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา
เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วคิดว่า บุคคลใดสมควรที่สะสมปัญญามาพอที่จะเข้าใจได้ ก็เห็นว่าท่านพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ซึ่งเคยอุปถัมภ์พระองค์ก่อนที่จะได้ทรงตรัสรู้ เป็นผู้ที่ได้สะสมปัญญามาแล้ว พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นสัจจะ เป็นความจริงในขณะนี้เอง เหมือนวันก่อนๆ ที่ยังไม่มีการตรัสรู้ และยังไม่มีการทรงแสดงธรรม แต่ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และการทรงแสดงธรรมของพระองค์ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งเป็นจริงตั้งแต่เกิดทุกชาติ
เพราะฉะนั้น ชาติที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นสัจจธรรม ซึ่งได้ทรงแสดงกับท่านพระปัจจวัคคีย์ ณ ที่นี้เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี ก็เป็นผู้ที่ได้สะสมศรัทธาและปัญญามาแล้วในอดีต เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี หลังจากที่ได้ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ก็มีผู้ที่ตรัสรู้ความจริงซึ่งเป็นอริยสัจจะ ทำให้ผู้นั้นสามารถที่จะดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคลได้มากมาย แต่ผู้ที่คงจะได้เคยเกิด เคยฟังพระธรรมมาแล้วในอดีตนานแล้ว คงหลายชาติ ผ่านพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ เมื่อมีโอกาสได้ฟังบ้างแต่ว่ายังไม่ได้รู้แจ้งความจริง
ใน ๒๕๐๐ปีที่ผ่านไป แต่ละคนก็ไม่ทราบว่าจะได้เกิดวนเวียนอย่างไรในสังสารวัฏฏ์ แต่ปัจจัยที่ได้สะสมศรัทธาและปัญญา ทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงเป็นครั้งแรก ณ ที่นี้อีก
พระธรรมที่ทรงแสดงลึกซึ้งมาก แม้ว่าจะได้เคยฟังมาแล้วกี่ชาติ หรือแม้ชาตินี้ ก็เป็นผู้ที่กำลังสะสมปัญญา ความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในเรื่องของธรรมในขณะนี้ต่อไป จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ จนสามารถที่จะประจักษ์ความจริงตรงตามที่ได้ทรงแสดงทุกอย่าง
ขณะนี้เป็นโอกาสของศรัทธาที่จะได้ฟัง และพิจารณาให้เข้าใจสิ่งที่เป็นความจริง ทุกคนได้ยินคำว่าธรรม เมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทรงแสดงพระธรรม และมีผู้ที่บรรลุธรรมเป็นสาวก ครบทั้ง ๓ รัตนะ เมื่อมีพระพุทธรัตนะแล้ว พระธรรมเป็นธรรมรัตนะ และผู้ที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามก็เป็นสังฆรัตนะ
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนที่ยังมีกิเลสเป็นปุถุชน ถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ คือปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือ มีปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรม ขณะใดที่มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นเป็นปัญญาในภาษาบาลี
ดังนั้น ปัญญาไม่ได้อยู่ไกลเลย ในขณะที่กำลังฟังและเข้าใจ นั่นคือการสะสมความเห็นถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง คือสภาพธรรมขณะนี้ ที่สำคัญที่สุดของการได้ฟังพระธรรมทุกชาติ ทุกครั้ง คือมีความเห็นถูกในความหมายของคำว่าธรรม เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด พูดถึงความจริงซึ่งเป็นธรรมทั้งสิ้น สิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่ลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมเป็นอนัตตา
ถ้ายังไม่รู้จักธรรม ก็คือขณะนี้เอง เดี๋ยวนี้เองเป็นธรรม ขณะนี้กำลังเห็น มีจริงๆ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แจ้งความจริงของเห็นในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ถ้าปัญญาเจริญขึ้นก็จะเข้าใจได้ถูกว่า ในขณะนี้มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏและสภาพเห็นเท่านั้น เพราะเหตุว่าสภาพที่เห็นเกิดและดับไปเร็วมาก จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานต่างๆ ทำให้หลงเข้าใจว่า เห็นไม่ได้ดับ และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะการเกิดดับอย่างเร็วมากของเห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตา ทำให้สัตวโลกไม่รู้ความจริง ซึ่งละเอียดยิ่ง รวดเร็วยิ่งแต่ละขณะ
ขณะใดก็ตามที่จำได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่รู้ว่าเป็นธรรมตามลำดับซึ่งเกิดสืบต่อกัน ตั้งแต่เห็นแล้วก็ไม่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตสัณฐาน เป็นสิ่งต่างๆ ขึ้น
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรมได้ไม่ใช่รวมกันแล้วก็เข้าใจ แต่ต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่งลักษณะ พระธรรมเป็นสิ่งที่ตรงและจริง จึงสามารถที่จะกล่าวถึงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะอย่างชัดเจน เช่น ขณะนี้เห็นไม่ใช่ได้ยิน ถ้าเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน แน่นอน
ขณะนี้ ธรรมที่ไม่ได้ปรากฏ แม้มีก็เกิดแล้ว ดับแล้ว ระหว่างเห็นกับได้ยิน เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่ปัญญาจะเกิดได้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เมื่อศึกษาสภาพธรรมโดยละเอียดจริงๆ ให้เข้าใจแต่ละลักษณะของสภาพธรรมว่า ไม่ใช่ธรรมที่ปนกัน ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ว่า ในขณะที่เห็นไม่มีอย่างอื่นเลย ไม่มีโลกอื่น มีแต่สิ่งที่ปรากฏกับจิตที่เห็นเท่านั้น
ขณะที่กำลังเห็น มีแขน มีขา มีตา มีจมูก ปรากฏหรือเปล่า นี่แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมปรากฏได้เพียงหนึ่งอย่าง เมื่อจิตหนึ่งประเภทเกิดขึ้นรู้สภาพธรรมนั้น แม้ว่าสิ่งนี้ยากที่จะเข้าใจและรู้แจ้งได้ แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นความถูกต้อง ก็มีความอดทนที่จะสะสมความเห็นถูกยิ่งๆ ขึ้น เพราะว่าความจริงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่ว่าในกาลสมัยไหน ก่อนการตรัสรู้และเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรมแล้ว และต่อไปๆ สภาพธรรมก็ต้องเป็นอย่างนั้นๆ ไม่ว่าจะเกิดภพไหน ภูมิไหน ก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ข้อความในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก ไม่พ้นจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้ารู้ความจริงของสภาพธรรม ที่มีในพระไตรปิฎกก็จะรู้ว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยสภาพธรรมใดๆ ก็เกิดไม่ได้เลย ถ้าขณะนี้ไม่มีปัจจัยของเห็น เห็นเกิดไม่ได้ พระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า แม้ว่าสภาพธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่ก็ไม่อิสระ
ถ้าฟังเผินๆ ก็เข้าใจว่าเมื่อเป็นอนัตตาก็ต้องเป็นอิสระ แต่ถ้าพิจารณาโดยละเอียดจะเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ว่า แม้ธรรมเป็นอนัตตา แต่ไม่อิสระเพราะต้องเป็นไปตามปัจจัย เช่น มีสิ่งที่ปรากฏกระทบจักขุปสาทเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิด จะให้จิตได้ยิน หรือจิตได้กลิ่นเกิดไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามปัจจัย สภาพที่เป็นรูปธรรมก็มีหลากหลายมาก สภาพที่เป็นนามธรรมก็หลากหลายมาก มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว และไม่กลับมาอีกเลย
เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก็มีปัจจัย คือสิ่งที่ปรากฏทางตาในครั้งนั้น เป็นปัจจัยให้เกิดจิตเห็นในครั้งนั้น ไม่ใช่ขณะนี้ แล้วพรุ่งนี้ซึ่งยังไม่เกิด เมื่อเกิดก็จะไม่ใช่สภาพธรรมในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถจะหยุดจิตที่เกิดไม่ให้ดับ หรือว่าทำให้จิตที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้นได้เลย ต้องเป็นไปตามปัจจัย เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีคงจะมีการได้อยู่ตรงนี้ ได้ฟังพระธรรม แต่ธรรมทั้งหมดเมื่อ ๒๕๐๐ ปีก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
การได้ยินได้ฟังพระธรรมนานแสนนานมาแล้ว ก็เป็นปัจจัยที่จะให้มีการได้ยินอีก อีก ๒๕๐๐ กว่าปีข้างหน้าก็จะมีการได้ยินอีก สภาพธรรมใหม่ไม่ใช่สภาพธรรมขณะนี้เลย เพราะฉะนั้น ปัญญาที่สะสมความเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทีละเล็กทีละน้อย จะทำให้สามารถเข้าใจธรรมที่จะเกิดเมื่อปัญญาถึงการสมบูรณ์ ซึ่งปัญญาที่สมบูรณ์จะมีได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ถูก เห็นถูก ในสภาพธรรมที่ปรากฏทีละเล็กทีละน้อย แต่ละขณะ
เพราะฉะนั้น ความอดทนที่จะฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจความจริงของธรรมจึงเป็นบารมีในขณะนี้เอง ไม่ต้องไปหาบารมีที่ไหนเลย กำลังเป็นบารมี มีเนกขัมมบารมี คือไม่ได้สนใจในเรื่องการที่จะเป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่มีศรัทธาที่จะฟัง ซึ่งเมื่อเข้าใจก็เป็นปัญญาบารมี
ขณะนี้ ไม่มีใครคิดจะต้องทำความเพียร เพราะเหตุว่า วิริยเจตสิกก็เกิดกับจิตที่เป็นกุศลแล้ว ดังนั้นเมื่อรู้ความจริงว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงก็มีสัจจบารมี ความตรง และความจริงที่จะเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงโดยละเอียด คือในขณะนี้เอง เมื่อมีความตรงและความมั่นคงก็เป็นอธิษฐานบารมี จะทำให้ถึงความไม่หวั่นไหว ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏจะเป็นอะไรก็ตาม จนกว่าจะไม่หวั่นไหวที่จะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
การฟังธรรมแล้วเห็นความลึกซึ้งของธรรมเป็นทางเดียวที่จะละโลภะ ความติดข้องต้องการผลของการฟัง ถ้าโลภะเกิดขึ้นก็จะทำให้เห็นผิด คิดว่าจะรู้ความจริงของพระธรรมได้โดยง่าย โดยวิธีอื่น ลืมเรื่องของปัญญา เพราะว่าโลภะกับปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกัน เพราะฉะนั้น ปัญญาจะค่อยๆ ละโลภะความต้องการ นี่เป็นหนทางของอริยสัจจะที่ ๒ คือ ละสมุทัย ไม่ใช่โดยความเป็นตัวตนที่พยายามจะละความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โดยไม่รู้ความจริงว่าไม่ใช่ตัวตน ถ้ายังคงมีความยึดมั่นและไม่รู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็ไม่มีปัญญาที่จะเห็นถูกต้องว่าเป็นธรรม
ดังนั้นการฟังพระธรรม คือเพื่อเห็นถูกตามพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะปัญญาจะค่อยๆ เห็นถูกขึ้น จนกว่าจะหมดความสงสัยในธรรมที่ทรงแสดง เพราะเป็นผู้ที่รู้ความจริงด้วยตนเองจากการเข้าใจพระธรรม
ผู้ฟัง พระอริยบุคคลชื่อว่า มหาอุบาสิกาวิสาขา ท่านเป็นผู้ที่ทำทาน รักษาศีลตลอดมา ในขณะที่ได้พบพระพุทธเจ้า ฟังธรรมแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ถามว่า ท่านเคยสะสมในการเจริญสติปัฏฐานมาก่อน หรือเป็นแต่การสะสมกุศลขั้นทาน ศีล เท่านั้น เมื่อมาฟังธรรมเเล้วก็มีสติปัฏฐานในขณะที่ฟังธรรมเท่านั้น
ท่านอาจารย์ เมื่อมีปัญญาความเข้าใจธรรมแล้ว กุศลอื่นๆ เจริญขึ้นด้วย ในพระไตรปิฎกมีข้อความที่พระเถระที่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว กล่าวถึงอดีตชาติว่าท่านเคยถวายทาน หรือถวายเข็ม หรือว่าถวายปัจจัย แต่ไม่ได้หมายความว่า ขณะนั้นท่านเหมือนคนอื่นที่ไม่ได้เข้าใจธรรม คนที่เข้าใจธรรมแล้วถวายทานกับคนที่ไม่เข้าใจธรรมเลยถวายทาน ดูภายนอกจะไม่รู้เลยว่า การถวายทานของสองบุคคลนี้ต่างกันอย่างไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1621
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1622
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1624
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1625
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1626
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1627
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1628
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1630
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1631
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1632
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1633
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1634
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1635
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1636
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1637
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1638
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1639
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1640
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1641
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1642
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1643
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1644
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1645
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1646
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1647
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1648
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1649
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1651
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1652
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1653
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1654
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1655
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1656
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1657
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1658
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1659
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1660
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1680
