ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1650


    ตอนที่ ๑๖๕๐

    สนทนาธรรม ที่ ธัมเมกขสถูป สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา

    เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ คนที่เข้าใจธรรมแล้วถวายทาน กับคนที่ไม่เข้าใจธรรมเลยถวายทาน ดูภายนอกจะไม่รู้เลยว่า การถวายทานของสองบุคคลต่างกันอย่างไร เพราะฉะนั้น คนที่เพียงถวายทานแต่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่เข้าใจธรรม ไม่อบรมปัญญา ไม่มีการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ในขณะที่คนที่เข้าใจธรรมถวายทานก็มีการที่อบรมปัญญา แล้วสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

    การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ปัญญาตรงกันข้ามกับอวิชชา ก่อนที่พระปัญจวัคคีย์ได้ฟังธรรม เวลาเห็น ท่านก็ไม่รู้ความจริงของเห็น เพราะแม้ว่าจะได้อบรมปัญญามามากแต่บำเพ็ญบารมีเป็นสาวก เพราะฉะนั้น ในชาติที่ท่านจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมจึงต้องได้ฟังพระธรรมก่อน

    ถ้าใครเคยเข้าใจลักษณะของเห็นด้วยสติสัมปชัญญะมามากแล้ว เวลาที่ได้ฟังคำว่า เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา เป็นธรรม สามารถที่จะเข้าใจและคลายการยึดถือธรรมว่าเป็นตัวตน ในขณะนั้นเป็นการสมบูรณ์ของปัญญาที่สามารถที่จะแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมคือการเกิดดับได้ เพราะสำหรับคนที่มีอวิชชาแม้ขณะนี้สภาพธรรมปรากฏก็ไม่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้เลย ไม่สามารถที่จะคลายความสงสัยและความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรม

    เมื่อมีการอบรมและมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรม สภาพธรรมปรากฏกับปัญญาที่อบรม ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นโดยความเป็นอนัตตา เลือกไม่ได้ว่าจะรู้ความไม่เที่ยงของสภาพธรรมใด ขณะไหน เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมของพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จึงต่างกาลกัน

    ผู้ฟัง ในการแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศทุกขสัจจะก่อน ไม่ได้ยินคำว่าสติปัฏฐานในขณะนั้น จึงขอถามว่า สติปัฏฐาน เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ผู้ที่เป็นพระอริยะไม่ใช่คนไม่รู้อริยสัจจะ ผู้ที่ฟังเข้าใจเรื่องราวของธรรมแต่ไม่รู้จักตัวธรรมเดี๋ยวนี้จะเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ คนที่ได้สะสมปัญญามาแล้ว เวลาพูดถึงความไม่เที่ยงของสภาพธรรมในขณะนี้ เช่น ขณะนี้เห็นเพราะเกิด ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีการเห็น เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นเกิดแล้วเห็นดับจึงเป็นทุกข์ ในขณะนี้เอง

    จากการได้ยินได้ฟัง หรือศึกษาพระไตรปิฎกมาก็จะทราบว่า สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั่นเป็นการจำคำว่า สังขารทั้งหลาย แต่ผู้ที่ได้อบรมความเข้าใจมามากสามารถที่จะรู้ว่าสังขาร หมายความถึงสภาพธรรมที่เกิดแล้วจึงปรากฏ ขณะที่ฟังเรื่องราวของสภาพธรรม ไม่รู้จักตัวธรรม เพราะว่าไม่มีการรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังเรียนหรือกำลังเข้าใจ แต่ตัวธรรมจริงๆ ตรงกับที่ได้ฟังทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้อบรมปัญญามาแล้ว เห็นความต่างกันของความรู้เรื่องของธรรม กับการกำลังรู้จักตัวธรรมและเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ขณะที่ได้ยินหรือฟังเรื่องจิตเห็น ผู้นั้นสามารถที่จะเข้าใจธรรมที่เป็นจิตที่กำลังเห็น แล้วก็รู้ว่าขณะนั้นเห็นเท่านั้น ไม่มีอะไรเลยที่จะปรากฏร่วมด้วย ขณะนั้นจะชื่อว่าสติปัฏฐาน เมื่อเรียก แต่ขณะที่กำลังรู้อย่างนั้นไม่มีชื่อว่าสติปัฏฐาน แต่รู้ตรงลักษณะซึ่งเป็นสติปัฏฐาน

    ดังนั้น คนที่สติปัฏฐานไม่เกิด ไม่เข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน รู้เรื่องราวของสติปัฏฐาน แต่ไม่รู้ว่าขณะไหนสติปัฏฐานเกิด ขณะไหนสติปัฏฐานไม่เกิด เพราะฉะนั้น ผู้ที่สติปัฏฐานเกิดเพราะเป็นผู้ที่รอบรู้ในปริยัติ แล้วเวลาที่สติปัฏฐานเกิดบ่อยๆ นานมาก จนเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างจนชิน และละคลายการติดข้องในสภาพธรรมที่สติปัฏฐานระลึก จึงรู้จักตัวธรรมนั้น

    ขณะนี้เป็นสภาพธรรมทั้งหมด ใครฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน คำว่าทั้งหมด คือคนที่เข้าใจแล้วเพราะสติเกิดแล้ว รู้จักลักษณะเเละตัวธรรมจริงๆ จนชินแล้ว ไม่สงสัยในคำว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมทั้งหมด แม้ว่าจะไม่ใช้คำว่า สติปัฏฐาน ก็เป็นสติปัฏฐาน แต่ถ้าไม่รู้ความจริงก็ใช้ชื่อว่า สติปัฏฐาน แต่ไม่รู้จักสติปัฏฐานเพราะสติปัฏฐานไม่เกิด

    ถ้าสำหรับพระปัญจวัคคีย์ไม่เข้าใจสติปัฏฐาน ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม จะรู้แจ้งอริยสัจจะคือการเกิดดับของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย ถ้าสภาพธรรมไม่เกิดดับเร็วอย่างนี้ทุกคนก็เข้าใจสภาพธรรมได้ แต่เพราะสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็ว ประมาณไม่ได้เลยว่าเร็วขนาดไหน

    ด้วยเหตุนี้ในพระไตรปิฎกจึงมีคำว่า รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต และวิญญาณนิมิต แสดงถึงความเกิดดับอย่างเร็วมากในขณะนี้ ไม่มีการที่จะรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏดับหมดแล้ว แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ จนเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานที่ทำให้ความจำเกิดขึ้น จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ดับเลย

    ผู้ฟัง สังขารนิมิต เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ การเกิดดับเร็ว ถ้าเพียงขณะเดียวก็ไม่ปรากฏให้รู้ได้ อย่างเราคิดว่าโลภะเกิด ขณะที่กำลังรู้ โลภะเกิดมากหลายขณะสืบต่อ ซึ่งจะรู้ได้โดยการศึกษาว่า ต้องเป็นขณะที่เป็นทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวาร ขณะที่ทำกิจชวนะเท่านั้นโลภะจึงจะเกิดได้ เเละเมื่อดับไปแล้ววิถีจิตก็เป็นภวังค์ แล้วก็เป็นมโนทวาร แม้แต่ในขณะนี้ก็แยกปัญจทวารทวารและมโนทวารไม่ได้ ว่าขณะเห็นมีทั้งปัญจทวารปรากฏ เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา และมโนทวารก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตานั่นเองปรากฏให้รู้ด้วย ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วเพราะว่าแต่ละวาระมีภวังค์คั่น และก็มีความคิดนึก ความจำว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ถ้าคิดถึงความรวดเร็วก็จะเข้าใจว่า ขณะนี้มีแต่นิมิตของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นขันธ์ใดทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง สติปัฏฐานเกิดร่วมกับมหากุศลญาณสัมปยุตต์ กุศลในการฟังธรรม ปัญญาเกิดร่วมกับสติปัฏฐานแล้วหรือยัง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญาไม่ชื่อว่าสติปัฏฐานเลย อริยสัจจ์ ๔ มี ๓ รอบ จึงเป็น ๑๒ คือต้องมี สัจจญาณในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ มี กิจจญาณในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ มี กตญาณในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ เพราะฉะนั้น ถ้าเพียงเข้าใจเรื่องราว แต่ไม่มีความมั่นคงที่เป็นญาณที่เป็นสัจจะว่า ธรรมคือขณะนี้ ที่ทรงแสดงเรื่องจิต เจตสิก รูป ก็คือความจริงในขณะนี้ทั้งหมด

    เมื่อเป็นผู้ที่รอบรู้เข้าใจก็จะรู้ว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เป็นสติปัฏฐาน ทำให้ไม่ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม การที่เข้าใจจริงๆ และไม่ลืม เป็นปัจจัยให้มีการที่เราใช้คำว่า ระลึกได้ ใช้คำภาษาบาลีว่า สติ แต่ความจริงก็คือขณะที่กำลังรู้ลักษณะหนึ่งที่เป็นธรรม เพราะเหตุว่า ตั้งแต่เช้ามาก็มีธรรมมาตลอด แต่เราไม่เคยรู้เลย กระทบแข็ง แข็งเป็นธรรม ก็เป็นหนังสือ เป็นคน เป็นดอกไม้เป็นอะไรหลายอย่าง

    เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนั้นที่เราฟังเรื่องราวว่ามี จิต เจตสิก รูป เป็นในหนังสือ เพราะเหตุว่าความจริงรูปแข็งปรากฏ แต่บอกได้ว่าแข็งปรากฏเมื่อมีกายปสาท และเรื่องราวของแข็ง แต่ขณะที่แข็งกำลังปรากฏ เป็นลักษณะจริงๆ แล้วมีจิตที่กำลังรู้เฉพาะแข็ง โลกอื่นไม่มีเลย โลกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นที่ไหนไม่ปรากฏ มีแต่ธาตุรู้กับแข็ง ในขณะที่กำลังรู้อย่างนั้น สติไม่ใช่ไม่รู้ลักษณะที่เป็นธรรม แต่ว่าก่อนที่จะได้ฟังและเข้าใจธรรม ใครถามว่าแข็งไหม ก็ตอบว่าแข็ง แต่ไม่เข้าใจลักษณะที่เป็นธรรม

    ปริยัติ รอบรู้ในเรื่องของสภาพธรรม ถ้าไม่มีปฏิปัตติ ปฏิ คือเฉพาะ ปัตติแปลว่า ถึง สติสัมปชัญญะและปัญญาถึงเฉพาะลักษณะของธรรมจริงๆ จากที่ได้เรียนแล้วเข้าใจแล้ว จนกระทั่งเป็นปฏิเวธ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงเป็นสัจจญาณ สติปัฏฐานจึงเกิดได้ จึงมีการระลึกและรู้สิ่งที่ปรากฏ


    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมคลาร์ก (Clark Hotel)

    เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒


    ผู้ฟัง ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความ จิตสั่งสมสันดาน

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ คุณสุวิตรามีความรู้สึกอะไรบ้าง แล้วมีความเข้าใจธรรมหรือเปล่า ความเข้าใจเมื่อวานนั้นยังมีถึงวันนี้ หรือว่าหายไปหมดแล้ว

    ผู้ฟัง ยังมีอยู่

    ท่านอาจารย์ นี่คือการสะสม เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ใครจะไปทำให้จิตเกิดมากกว่านั้นก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นธาตุ เมื่อเป็นธาตุแล้วคือเหมือนไฟ หรือเหมือนอะไรที่ใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จิตของแต่ละคน หรือสัตว์ บุคคลใดๆ ก็ตาม เมื่อจิตเกิดขึ้น เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะเท่านั้น แล้วตามเหตุตามปัจจัยด้วย จะไม่ให้เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ลักษณะของจิตคือเกิดแล้วดับ เกิดเพื่อทำกิจเฉพาะกิจนั้นๆ ทำกิจอย่างอื่นไม่ได้เลย จิตเกิดขึ้นเป็นอะไร ทำกิจอะไร ก็เกิดขึ้นทำกิจเสร็จแล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงขณะนี้เองจิตกำลังเกิดดับนับไม่ถ้วน

    เราไม่เคยฟังเรื่องของจิต แม้ว่าเราจะได้ยินเรื่องของจิต แต่ไม่รู้ความละเอียดว่าจิตไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไม่มีเรา เป็นธาตุซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การสืบต่อของจิตทำให้ปรากฏรู้ได้ว่าขณะนี้มีจิต ถ้าจิตขณะก่อนเกิดและดับไป ใครจะรู้เพราะหมดแล้วใช่ไหม แต่ว่าเมื่อจิตหนึ่งขณะเกิดและดับไปเป็นปัจจัย

    จิตแต่ละขณะเป็นปัจจัยให้ทันทีที่จิตนั้นดับ จิตอื่นเกิดสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย บังคับให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าเมื่อวานนี้เห็นอะไร ได้ยินอะไรก็ตาม รู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ จิตขณะหนึ่งซึ่งเกิดและดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น จิตขณะต่อไปที่เกิดขึ้น ก็ต้องสะสมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีอยู่ในจิตดวงก่อน ไม่ใช่จิตใหม่ที่เกิดมาได้ลอยๆ แต่เพราะเหตุว่าสืบต่อจากจิตขณะก่อน ก็สะสมเก็บทุกอย่างไว้ในจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน

    ด้วยเหตุนี้เราถึงได้รู้ว่า เราเกิดมา เราจำได้ว่าตอนเป็นเด็กทำอะไรบ้าง สนุกสนานหรือว่าเป็นทุกข์อย่างไร หรือขณะนี้ วันนี้ก็กำลังจะหมดไป ถึงวันพรุ่งนี้ จิตเดี๋ยวนี้ขณะนี้ที่เกิดดับก็จะสะสมสืบต่อจนถึงวันพรุ่งนี้ โดยที่เราไม่ได้สังเกตและไม่ได้รู้เลยว่าทำไมเป็นอย่างนั้น แต่จำได้หมดว่าเมื่อวานนี้ทำอะไร จากขณะนี้ เมื่อถึงพรุ่งนี้ก็จำได้อีก เพราะขณะนี้คือจะเป็นเมื่อวานของพรุ่งนี้ เรากำลังอยู่ตรงนี้เอง เพราะฉะนั้น จิตก็เกิดดับสืบต่อ ไม่กลับมาอีก ข้อสำคัญที่สุด ถ้าคิดว่าจิตเป็นเรา จิตหนึ่งขณะเกิดและดับ ไม่กลับมาอีกเลย แล้วเราจะอยู่ที่ไหน เพราะว่าหนึ่งขณะที่เป็นจิตเกิดและดับไป เข้าใจว่าเป็นเราก็หมดแล้ว ขณะต่อไปยึดว่าเป็นเราอีก ก็หมดแล้วอีก เพราะฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าโดยแท้จริง

    การฟังพระธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาที่จะรู้ความจริง ซึ่งหลายคนไม่ชอบความจริงอย่างนี้ ชอบให้ทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยง แล้วเป็นของเรา แล้วก็ยั่งยืน แต่เป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย แต่ละชีวิตที่เกิดมา เราก็เห็นความต่างหลากหลายมากของแต่ละชีวิต ไม่มีใครไปทำให้เลย เป็นธรรมซึ่งเกิดสืบต่อนานแสนนานมาแล้วมีทั้งกรรมดีกรรมชั่ว แล้วแต่ว่ากรรมดีจะให้ผลมากน้อยแค่ไหน หรือว่าถึงกาลเวลาที่กรรมชั่วหรือบาปอกุศลจะให้ผล ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ถึงแม้จะเห็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็ยังเข้าใจว่าเป็นคนนั้นเกิดแล้วก็ทำกรรมอย่างนั้น ถึงได้เป็นผลอย่างนั้น

    บางคนก็ถึงกับว่าไปขโมยเขา ถูกจับเพราะไปขโมยเขามา ก็คิดสั้นๆ แต่ความจริงขณะนั้นเป็นเรื่อง และจริงๆ แล้วไม่มีใครรู้ความจริงว่า ขณะที่เป็นเรื่องราวต่างๆ ยาวมากนั้น ทั้งชีวิตหรือทั้งวันแตกย่อยออกเป็นขณะสั้นๆ แตกออกไปอีกให้สั้นที่สุด ให้สั้นที่สุดก็เหลือเพียงหนึ่งขณะจิต

    เพราะฉะนั้น ธรรมตรงมาก ทรงแสดงเรื่องของจิตหลากหลายโดยประการทั้งปวง เพราะอะไร ขณะนี้เป็นจิต แต่ไม่รู้ ความรู้สึกต่างๆ ก็มีซึ่งไม่ใช่เรา แล้วความรู้สึกก็ไม่ใช่จิต แสดงว่าทันทีที่จิตเกิด เป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม จะมีสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรมที่เกิดกับจิต ทำให้จิตหลากหลายตามสภาพของนามธรรมนั้นๆ

    พระพุทธเจ้าทรงใช้คำบัญญัติเรียกธรรมซึ่งเป็นนามธรรมที่เกิดกับจิตว่า เจตสิกะ ภาษาบาลี แต่คนไทยก็ชอบตัดพยางค์สุดท้ายก็เป็น เจตสิก เพราะฉะนั้น มีจิตเกิดเมื่อไหร่ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกขณะ จิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย แล้วเราก็ไม่เคยรู้ว่าลักษณะของจิตกับเจตสิกไม่ใช่อย่างเดียวกัน บางขณะเราโกรธ ซึ่งก่อนโกรธก็ไม่ได้โกรธ เพราะอะไร จิตเป็นสภาพรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ทำหน้าที่อื่นใดจากนี้เลย เพียงแต่เกิดเมื่อไหร่ก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จิตกำลังรู้ ฟังยากใช่ไหม เพราะว่าเป็นเราเห็น แต่ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น สิ่งนี้จะปรากฏไม่ได้เลย

    ภาษาชาวบ้านเราก็บอกว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ปรากฏเพราะเราเห็น ขณะไหนที่ไม่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้ แต่ตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีสภาพซึ่งสามารถจะเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้ นี่คือโลก เกิดมาก็เห็นแต่ไม่รู้ความจริงของเห็น

    เวลาที่เสียงปรากฏน่าอัศจรรย์ไหม เมื่อครู่นี้ไม่มีเสียงเลยแล้วเสียงปรากฏได้อย่างไร แม้ว่าข้างนอกจะมีเสียงรถ เสียงอะไรก็ตาม แต่เมื่อไม่ได้ยิน เสียงนั้นๆ ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น เสียงปรากฏเมื่อมีจิตได้ยินเกิดขึ้น แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นจิต เป็นเราได้ยิน

    ดังนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกคนพูดว่ามีจิตแต่ไม่รู้จักจิต เพราะยึดถือจิตเป็นเรา เมื่อได้ฟังพระธรรม จากการที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมโดยประการทั้งปวง ไม่เหลือเลย ก็จะรู้ได้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวเรื่องจิตได้ชัดเจน ถูกต้องตามความเป็นจริงของจิตแม้หนึ่งขณะซึ่งเกิดขึ้น

    ขณะนี้ทุกคนทราบว่ามีจิตทีละหนึ่งขณะ แต่รู้ไหมว่าจิตขณะนี้เกิดได้อย่างไร ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสภาพของนามธรรมหรือรูปธรรม นามธรรมคือธาตุที่สามารถที่จะรู้ รูปธรรมหมายความถึงสิ่งนั้นมีจริง เป็นธาตุชนิดหนึ่งแต่ไม่รู้อะไรเลย ตลอดจักรวาลกี่ภพ กี่ชาติ แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว หรือขณะนี้ หรือต่อไป สภาพธรรมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง ก็มี ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งเป็นรูปธรรม อีกอย่างหนึ่งเป็นนามธรรม

    ตอนนี้ก็มีทั้งนามธรรมและรูปธรรม แต่แม้ว่าได้ฟังเพียงเล็กน้อย การที่ไม่เคยได้สะสมความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม บางทีเราจะตอบคำถามไม่ถูก เช่นถามว่า เสียง มีจริงหรือเปล่า ตอบว่ามีจริง นามธรรมเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ และรูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย นี่คือคำจำกัดความที่ตายตัวไม่เปลี่ยน สภาพธรรมที่เกิด มีลักษณะเฉพาะสิ่งนั้นจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย สภาพธรรมนั้นเป็นรูปธรรม เช่น เสียงก็มีลักษณะของเสียง จะเป็นกลิ่น จะเป็นรสไม่ได้ กลิ่นก็ไม่ใช่เสียง และก็ไม่ใช่รส

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมแต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะตน เสียงเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ตอบได้ว่าเป็นรูป บางคนก็ตอบได้เพราะจำว่า สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูป ก็มองไม่เห็นเสียงแล้วจะว่าเสียงเป็นรูปได้หรือ คุณสุวิตราว่าเสียงเป็นรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง เสียงไม่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ ได้แน่นอน เพราะเสียงมี ไม่ใช่เสียงไม่มี ใครจะปฏิเสธว่าเสียงไม่มีไม่ได้ แต่เมื่อมีจริงแล้วไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เสียงจึงเป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม แค่นี้ก็คือชีวิต ซึ่งเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดและดับเร็วมาก เร็วจนลวงให้เห็นเหมือนกับว่ามีสิ่งซึ่งไม่ได้ดับเลยเพราะความรวดเร็วอย่างยิ่ง

    ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะถึงความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น มีก็ไม่รู้ กับมีแต่รู้ก็ต่างกัน ใช่ไหม มีและไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ชอบแล้วยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อมี แต่ก็ยังสามารถที่จะรู้ความจริงแท้ๆ ของสิ่งนั้น ก็รู้ดีกว่าใช่ไหม หรือว่าจะเกิดมาแล้วตั้งแต่เกิดจนตาย จะทำ จะพูด จะคิด จะสนุก จะทุกข์ต่างๆ ก็ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม ไม่รู้อะไรเลย มีแต่เราเกิดแล้วก็เราตาย

    ถ้าเป็นเราก็อย่าตาย ก็ดี เพราะเป็นเราก็อยู่ยั่งยืน แต่ธรรมไม่ใช่เป็นอย่างนั้นเลย แม้ขณะเกิดก็มีปัจจัยที่จะทำให้เกิด ขณะตายก็ต้องมีปัจจัยที่ทำให้ตาย หลีกเลี่ยงความตายได้ไหม ผัดผ่อน ขอร้อง วิงวอน ซื้อได้ไหม เงินมหาศาลก็ไม่สามารถที่จะซื้อแม้เพียงหนึ่งขณะจิตที่จะไม่ให้เป็นไปอย่างนั้น คือไม่ให้เกิดขึ้น แล้วทำกิจที่ทันทีที่ดับก็พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ โดยจะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่เกิดมาก็มีชีวิตที่ต่างกันตามเหตุตามปัจจัย ไม่นานเลย เมื่อเกิดใหม่ก็ลืมหมด ใครจำว่าชาติก่อนเป็นใคร ชื่ออะไร ทำอะไร อยู่ที่ไหน ได้บ้างหรือเปล่า ไม่มีทาง มาจากไหน คุณพ่อคุณแม่ชาติก่อนอาจจะกำลังร้องไห้คิดถึงเราก็ได้ ใช่ไหม พรรณนาสารพัดแต่ก็ไม่รู้จัก ถ้าผ่านไปได้พบเห็นกันเเต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร

    ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ชั่วคราวจริงๆ ดูเหมือนชั่วคราวเพราะว่าบางคนเกิดมาอายุสั้นมาก บางคนก็เกิดมาอายุยืนมาก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะอายุสั้นหรืออายุยืนก็ลืม เมื่อหมดสิ้นความเป็นบุคคลนั้น

    ในพระไตรปิฎกก็แสดงความเป็นมาของจิต ถอยกลับไปแต่ละขณะจนถึงขณะเกิด สืบต่อจากจุติจิต คือ จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ถอยไปจนถึงปฏิสนธิของชาติก่อน เคยเป็นทุกบุคคล จะยากดีมีจน มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ ชั่วคราวเท่านั้นเอง และจริงๆ แล้วก็คือการที่เราไม่รู้ความจริง กับการรู้ความจริงนั้นต่างกันมาก เพราะว่าถ้าไม่รู้ความจริง ไม่รู้เหตุของการที่เราจะได้ลาภหรือเสื่อมลาภ ได้ยศหรือเสื่อมยศ ได้สุขหรือทุกข์ นินทาหรือสรรเสริญ อาจจะโทษคนอื่น อย่างเช่น ถูกรถชน ก็ว่าคนขับขับไม่ดี เขามาชนเรา แต่อย่าลืมว่าจริงๆ แล้วตลอดทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีกายปสาทซึมซาบ

    ใครจะไม่ให้กายปสาทเกิดก็ไม่ได้ เป็นรูปที่เกิดจากกรรม พิสูจน์ได้เลยเดี๋ยวนี้ กระทบตรงไหนที่มีการรู้ว่าแข็งหรืออ่อน ตรงนั้นมีกายปสาท เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่สัมผัสกาย ทำให้มีการรู้ว่าสิ่งที่กระทบนั้น อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ชั่วหนึ่งขณะที่มีการกระทบ แล้วมีจิตเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป


    @ สนทนาธรรมที่เมืองพาราณสี (1)

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    15 ธ.ค. 2568