ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1623


    ตอนที่ ๑๖๒๓

    สนทนาธรรม ที่ กองบิน ๔๑ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ ทราบไหมว่าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ทำบุญอะไรมา

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เหตุต้องมี ผลจึงมีได้ ใช่ไหม การที่เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศล แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นผลของกุศลแต่ครั้งไหนและกุศลอะไร เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในขณะที่เกิดก็มีความไม่รู้ หรือแม้ขณะนี้เอง ถ้าเราพูดถึงเรื่องกรรมและผลของกรรมอย่างที่สงสัย เหมือนกับว่าเหตุไม่สมควรแก่ผล แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นความคิดของเราเอง แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจในเรื่องของธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเหตุที่ดีให้ให้ผลที่ไม่ดีได้เลย

    เมื่อเป็นเหตุที่ดี ผลต้องดี และเหตุที่ไม่ดี ผลก็ต้องไม่ดี แต่เหตุที่ดีและเหตุที่ไม่ดีไม่ได้มีแต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว สะสมมามากมาย แล้วก็ไม่รู้ว่ากรรมไหนจะให้ผลเมื่อไหร่ เราไม่สามารถที่จะเลือกได้เลยว่าเมื่อเราเกิดมาชาตินี้เป็นมนุษย์ก็ขอให้เราได้รับแต่ผลของกรรมดีๆ ที่เราได้ทำแล้ว เพราะเหตุว่าอดีตกรรมในชาติก่อนๆ ที่ไม่ดีที่ได้กระทำแล้วก็มี

    เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเวลาที่กรรมไหนจะให้ผล กรรมนั้นก็ต้องให้ผล เราเลือกได้ไหม แม้แต่กรรมจะให้ผลทางตา หรือให้ผลทางหู หรือให้ผลทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เลือกไม่ได้ แต่ให้ทราบว่า ขณะที่เกิดไม่ใช่ขณะที่กระทำกรรม แต่เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์ประมาทกรรมไม่ได้เลย

    กรรมที่ทำแล้วสามารถที่จะทำให้เกิดที่ไหนก็ได้ ตามกำลังของกรรมนั้น เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกรรมดี แต่ทำไมต่างๆ กันไป เพราะเหตุว่าต้องตามควรแก่ผล ขณะเกิดเป็นขณะที่ประมวลกรรมทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในชาตินั้น แม้ว่าบุคคลนั้นจะเคยทำกุศลกรรมไว้มาก แต่อกุศลกรรมก็มี เมื่อถึงกาลที่จะเกิด ถ้าเกิดในอบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็น นก หนู ปู ปลา อะไรก็ตามแต่ ผลบุญที่ทำไว้จะมาตามให้ผลเหมือนอย่างการเกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม ก็เป็นไปไม่ได้ ตามควรแก่กำลังของการเกิดว่าเกิดเป็นอะไร

    เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็แล้วแต่ว่ากรรมไหนจะให้ผล ไม่ว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล ป่วยไข้ได้เจ็บหรือเปล่า นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเลือกไม่ได้เลย แล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลขณะไหน ข้อสำคัญก็คือไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นกรรม และขณะไหนเป็นผลของกรรม ได้ยินแต่ชื่อ กรรมคือการกระทำ เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ต้องมีผล เมื่อมีเหตุ

    เพราะฉะนั้น ผลของกรรมทางธรรมซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า วิปากะ ภาษาไทยเราใช้คำว่า วิบาก โดยมากเวลาที่ใช้คำนี้เราคิดว่าลำบาก ใช่ไหม วิ่งวิบากหรือว่าวิบากกรรม แต่ความจริง วิบาก หรือ วิปากะ หมายความถึงความสุกงอมของกรรมที่ถึงกาลจะให้ผลได้

    เรื่องของธรรมเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลย แล้วเกิดเห็นคือตื่น หรือว่าหลับสนิทแล้วเสียงปรากฏ ตื่นขึ้นได้ยินเสียง เสียงปรากฏได้อย่างไร เสียงมาจากไหน แล้วทำไมปรากฏ หรือบางคนหลับสนิท ตื่นขึ้นมาก็คิด ไม่มีใครสามารถที่จะเลือก หรือที่จะรู้ว่าขณะต่อไปของชีวิตคืออะไร จะเห็นหรือจะได้ยิน จะสุขหรือจะทุกข์ จะเป็นหรือจะตาย ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่รู้ได้ว่าเมื่อเหตุมี ผลต้องมี

    เมื่อเกิดมาแล้ว การเกิดเป็นผลของกรรม ขณะจิตแรกที่เกิด เลือกเกิดไม่ได้แล้วแต่กรรม แล้วจิตก็เป็นธาตุซึ่งวันนี้สมควรที่จะเข้าใจ เพราะเหตุว่าทุกคนมีจิต แต่จิตเป็นสิ่งที่ใครก็มองไม่เห็น แม้มีก็มองไม่เห็น สภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่มีรูปร่างที่จะปรากฏ เป็นสีสันวัณณะทางตา หรือเป็นเสียง เป็นกลิ่น แต่ว่าธาตุชนิดนั้นไม่มีรูปร่างเลย แต่เกิดขึ้นทำกิจการงานต่างๆ เช่น ในขณะนี้กำลังเห็น คิดว่าเป็นเราเห็น แล้วเราบอกว่าทุกคนเกิดมามีจิต แต่รู้ไหมว่าขณะนี้ที่เห็นเป็นจิต ไม่ใช่เรา คือความรู้ความเข้าใจธรรมของเราสับสน เล็กน้อย ไม่ชัดเจน แต่ถ้าเราสามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรม เข้าใจขึ้นๆ การเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตแต่ละขณะก็จะตรงขึ้น

    เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดเป็นผลของกรรมเกิดขึ้นขณะหนึ่งแล้วดับไป พอไหม คุ้มไหมกับการกระทำกรรม ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกุศลหรือทางฝ่ายอกุศล เพราะฉะนั้นกรรมไม่พอ เพียงแต่จะทำให้เกิดเท่านั้นไม่พอ ยังให้ต้องดำรงชีวิตต่อไป จนกว่าจะสิ้นสุดกรรมที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนั้น แล้วก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น

    ดังนั้น ทุกคนเกิดมาในโลกในชั่วคราว เป็นบุคคลนี้ชั่วคราวจริงๆ แล้วสุขทุกข์ของแต่ละคน ก็แล้วแต่ว่าขณะที่จิตทำการเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ทำกิจเกิดขึ้น ประมวลมาซึ่งกรรมที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งพร้อมหรือพอที่จะให้ผลเกิดขึ้นขณะไหนก็ต้องเกิดขึ้นเมื่อนั้น โดยที่ใครไม่สามารถที่จะยับยั้งได้

    ผลของกรรมก็คือไม่ใช่เพียงแต่ทำให้เกิดขณะเดียว จิตที่เกิดขณะแรกดับไปแล้ว ไม่ได้มีเหลืออยู่ในขณะนี้เลย แต่ทันทีที่จิตที่เกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่ออย่างรวดเร็ว โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย ซึ่งตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงขณะนี้นับไม่ถ้วน หรือแม้แต่เมื่อครู่นี้กับขณะนี้ก็นับไม่ถ้วน แต่ไม่รู้ เพราะเหตุว่าเป็นนามธรรม และเป็นสิ่งที่ยากแก่การที่จะรู้ได้

    ก่อนอื่นต้องทราบว่า จิตก็คือขณะที่สามารถที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ขณะเกิดแล้วก็เป็นภวังค์ยังไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่ว่าเมื่อกรรมมี ผลของกรรมคือเกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เลือกได้ไหมที่จะเห็นอะไร ที่จะได้ยินอะไรเมื่อไหร่ เป็นสิ่งที่แล้วแต่กรรม

    ถ้ามีความเข้าใจละเอียดขึ้นก็สามารถที่จะรู้ว่าเหตุกับผลต้องตรงกัน ถึงกาลที่เหตุจะให้ผลเมื่อไหร่ใครก็ยับยั้งไม่ได้ จะต้องเป็นผลที่สมควรแก่เหตุนั้นๆ

    ผู้ฟัง หลักธรรมข้อใดที่จะสงเคราะห์เกื้อกูลกับการอยู่ในหน่วยงาน หรือในสังคมโลก หรือในครอบครัวของเรา ทำให้มีความสามัคคี มีความรัก ไมตรี แล้วก็กลมเกลียวกัน

    ท่านอาจารย์ อะไรสำคัญ โลกจะสุขหรือจะทุกข์ เราแต่ละคนจะสุขหรือจะทุกข์ อะไรสำคัญ สำคัญที่ไหน ลองคิดดู

    ผู้ฟัง ถ้าให้เลือก เลือกสุขดีกว่า

    ท่านอาจารย์ เราทุกคนเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ แล้วทุกคนก็อยากจะมีแต่ความสุข ไม่อยากจะมีความทุกข์ อยากจะมีแต่ความสามัคคี กลมเกลียว เห็นอกเห็นใจกัน อภัยกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ทั้งหมด ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตายไปสำคัญที่ไหน

    ผู้ฟัง คิดว่าน่าจะทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ทำความดีอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ สำคัญที่จิต จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ถ้ามีแต่รูปธรรม สีสัน วัณณะ กลิ่น ภูเขา หรือต้นไม้ ทะเล แต่ไม่มีสภาพที่รู้ที่เห็น ที่ชอบที่ชัง สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไรเลยทั้งสิ้น

    ดังนั้นให้ทราบว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงก็ต่างกันโดยลักษณะของธรรมนั้น ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คือธรรมประเภทหนึ่งเกิดมีจริงๆ เช่น เสียงมีจริงๆ กลิ่นมีจริงๆ ปรากฏ สามารถที่จะได้กลิ่น สามารถที่จะได้ยินเสียง แต่เสียงก็ไม่รู้อะไรเลย ตัวเสียงเองไปทำความเดือดร้อนให้ใครได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ตัวกลิ่น ไปทำความเดือดร้อนให้ใครได้ไหม รสหวาน รสเปรี้ยวจัดๆ รสเผ็ดมากๆ หรือรสเค็ม ไปทำความเดือดร้อนให้ใครได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าใจเราไม่คิดก็ไม่น่าจะทำความเดือดร้อนได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่มีเจตนา ไม่มีความจงใจที่จะให้ใครรักใครชัง เราบอกว่าดอกไม้สวยดีชอบ แต่สภาพของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา สีสันต่างๆ ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ใครรักใครช้งเลยเพราะไม่ใช่สภาพรู้

    เพราะฉะนั้น โลก ไม่ว่าจะจักรวาลนี้หรือที่ไหนๆ ก็ตาม ธรรมเป็นธรรม ซึ่งธรรมมี ๒ อย่าง ธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่มี เป็นธรรมที่ประมวลเรียกสภาพธรรมนั้นๆ ทั้งหมดว่า เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม

    ภาษาไทยเราอาจจะใช้คำที่ไม่ตรงกับความหมายในภาษาบาลี ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน อย่างคำว่ารูปธรรม ยุคนี้จะไม่มีความหมายตรงกับที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า รูปธรรม รูปคือสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นปรากฏแต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่จำเป็นที่จะต้องมองเห็นเลย ส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงรูป เราคิดถึงรูปที่เรามองเห็น แต่ว่ารูปอื่นๆ ที่มีจริงๆ แล้วมองไม่เห็นเลย เช่น กลิ่น เสียง และรสต่างๆ แม้แต่แข็งหรืออ่อน ใครมองเห็น ไม่มี แต่แข็งปรากฏเมื่อกระทบสัมผัส เป็นรูปแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

    เพราะฉะนั้น ส่วนธรรมที่เป็นรูปนั้นมี รูปบางรูปอยู่ใกล้ตัว บางรูปอยู่ไกลตัว บางรูปประณีตสวยงาม น่าพอใจ เสียงบางเสียง เช่น เสียงดนตรีต่างๆ ที่ไพเราะก็มี ที่ดังจนกระทั่งไม่น่าฟังก็มี แต่ทั้งหมดก็คือรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้

    ถ้ามีแต่เฉพาะรูปธรรมอย่างเดียว เดือดร้อนไหม ไฟไหม้ที่ไหนก็ไม่มีใครไปร้อน ไปรู้ แต่ไฟก็ไหม้ เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุที่จะเกิดไฟในป่า ธรรมดาปกติในป่าไม่มีไฟ แต่มีเหตุที่จะให้เกิดไฟป่าเมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้ไม่มีไฟ แต่ไฟก็เกิดขึ้นมาได้เมื่อมีเหตุ แต่ไม่มีใครไปรู้ ไปร้อน เดือดร้อนไหม ไม่เดือดร้อนเลย

    ดังนั้น สำคัญที่ธาตุรู้ คือธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งมีจริงๆ เป็นธาตุซึ่งเมื่อเกิดเมื่อไหร่ เป็นใหญ่เป็นประธานในการที่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นในขณะนี้ ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ก็คือ รู้ถึงสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ว่า ในห้องนี้มีทั้งสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม และมีสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ด้วย

    ถ้ามีแต่เฉพาะรูปธรรมอย่างเดียว จะมีใครคนหนึ่งคนใดอยู่ในห้องนี้และเห็นอะไร คิดอะไรไหม ก็ไม่มีใช่ไหม ถ้าเป็นแต่เพียงรูปธรรม แต่ก็มีนามธรรมด้วย ซึ่งไม่ใช่รูปธรรมเลย ตรงกันข้ามโดยประการทั้งปวง เพราะเหตุว่านามธรรมมีจริงๆ แต่ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย แต่เป็นธาตุซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏในห้องนี้ เพราะมีธาตุที่กำลังเห็น เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ที่ใช้คำว่า อนัตตา เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะสร้างธาตุนี้ให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ธาตุนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย ที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้น เปลี่ยนเห็นให้เป็นเห็นเสียงได้ไหม ให้เป็นได้ยินเสียงได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธาตุอีกชนิดหนึ่งอาศัยโสตปสาท และอาศัยเสียงซึ่งสามารถกระทบกับโสตปสาท เป็นปัจจัยให้ธาตุได้ยินเสียงเกิดขึ้นได้ยินเสียง แต่เสียงไม่ใช่ธาตุได้ยิน และธาตุได้ยินไม่ใช่เสียง

    ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เป็นนามธาตุ ไม่ใช่รูปธาตุ และนามธาตุมี ๒ อย่างที่ต้องเกิดพร้อมกัน แล้วก็ดับพร้อมกันด้วย นามธาตุหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน เช่น ขณะนี้ถามว่าเห็นไหม ตอบว่าเห็น ถ้าถามต่อไปว่าชอบไหม ชอบ ชอบเป็นเห็นหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะเห็นแล้วบางทีชอบ เห็นแล้วบางทีไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ชอบก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ชอบก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แต่ชอบไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ด้วยเหตุนี้ นามธรรมจึงมี ๒ อย่าง คือ จิตกับเจตสิก จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่ทำหน้าที่อะไรเลยทั้งสิ้น สามารถที่จะเห็นในห้องนี้ว่ามีอะไรบ้าง หรือรส ทุกคนก็ผ่านการรับประทานอาหารกลางวันมาแล้ว ถ้าไปอธิบายให้คนอื่นฟังถึงอาหารที่อร่อยมากๆ ว่ารสเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คนที่ฟังก็ไม่สามารถที่จะรู้รสนั้นได้ แต่ขณะที่กำลังลิ้มรส รู้รส รสปรากฏ ไม่ต้องอธิบายให้ใครฟังเลย ไม่ต้องอาศัยคำใดๆ เลย แต่ก็เปลี่ยนลักษณะของรสที่ปรากฏนั้นไม่ได้

    นี่คือสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี่คือจิต เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่เวลาที่จิตหนึ่งขณะเกิดขึ้น จะมีสภาพนามธรรมอื่นๆ เกิดร่วมด้วยหลายประเภท ที่ทรงแสดงว่าสภาพธรรมที่เกิดกับจิต อาศัยจิต เกิดในจิต ดับพร้อมจิต สภาพธรรมนั้นคือ เจตสิก ภาษาบาลีออกเสียงว่า เจตสิกะ

    คนอื่นสามารถที่จะกล่าวถึงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม คือจิตและเจตสิกได้โดยละเอียด โดยถ่องแท้ โดยประการทั้งปวง ถึงการที่จิตประเภทนั้นๆ เกิดขึ้น และดับไป และประกอบด้วยนามธรรมที่เป็นเจตสิกอะไร ได้ไหม ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดงอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่เป็นธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทั้งนามธรรมและรูปธรรมเป็นอนัตตา อย่างที่ท่านกล่าวว่า ถ้าเรารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ต่อไปนี้เราก็เลือกเกิดได้ คือทำแต่ความดี อนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย เพียงเข้าใจอย่างนี้เเล้วจะไม่มีอกุศลได้ไหม ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง อีกต่อไป ได้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้ นอกจากพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา งามทั้งในเบื้องต้น ในท่ามกลางและที่สุด เพราะเหตุว่าเมื่อทรงแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริง ยังแสดงหนทางที่จะทำให้รู้จริงๆ สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสคือความไม่รู้ได้

    ก่อนฟังเรื่องจิต รู้เรื่องจิตไหมว่าเป็นนามธาตุ ขณะนี้กำลังเห็นนี่เองเป็นจิต กำลังได้ยินก็เป็นจิต กำลังคิดนึกก็เป็นจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แม้แต่เเต่ละคำก็จิตนั่นเองที่คิด และสามารถที่จะรู้แจ้งคำที่คิดได้ ไม่เป็นคำอื่น แต่เป็นคำนั้น ก่อนฟังธรรมเรื่องจิต รู้จักจิตหรือเปล่า รู้ไหมว่าจิตเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่มีจิตตั้งแต่เกิดจนตาย

    ผู้ฟัง มองไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้ได้เลยว่าใครสามารถที่จะทำให้เกิดความเข้าใจจิต ซึ่งก่อนนี้ไม่สามารถที่จะเข้าใจจิตได้เลย เริ่มเห็นความหมายของสัมมาสัมพุทโธ หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต่างกับคนอื่นประมาณไม่ได้เลย จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น เห็นจริงและเข้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นความจริงทั้งหมดที่สามารถที่จะเริ่มเข้าใจตั้งแต่ขั้นฟัง

    เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น การรู้ลักษณะของสิ่งที่ได้ยินได้ฟังตรงขึ้นจึงสามารถที่จะเป็นพยาน เหมือนท่านพระอัญญาโกณฑัญญะที่รู้แล้วหลังจากที่ได้ฟังพระธรรม ธรรมในขณะนี้เกิดขึ้นและดับไป ไม่เที่ยง สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องดับ แต่การดับรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะประมาณได้ จึงเสมือนกับนายมายากลที่มีหมวกใบหนึ่ง แล้วนกทำไมออกมาจากหมวกได้ ต้องเร็วใช่ไหม แต่นั่นเป็นเพียงรูป เเล้วความเร็วของนามธรรมจะยิ่งกว่านั้นสักแค่ไหน

    ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถที่จะรู้เลย ไม่สามารถที่จะรู้หนทางที่จะรู้จักสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นชีวิตแล้วก็คิดว่าเป็นเรา แต่ความจริงเป็นธรรม ซึ่งแต่ละขณะต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถจะดลบันดาลได้เลย

    ใครทำเห็นขณะนี้บ้าง มีใครทำเห็นขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้างไหม แต่ลืมว่าเห็นเกิดแล้ว มีใครทำได้ยินได้ไหม แม้แต่เพียงจักขุปสาทรูป รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ ไม่ใช่รูปที่มองเห็นเลย สิ่งเดียวที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้คือเดี๋ยวนี้เอง เป็นวรรณธาตุ เป็นธาตุที่มีจริง อยู่ในมหาภูตรูป ที่ใดมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่นั่นต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท มิฉะนั้นจะมีใครเห็นสีของดอกไม้ไหม จะมีใครเห็นสีของโต๊ะไหม ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้เลย แต่รูปนี้เป็นรูปที่สามารถจะกระทบกับจักขุปสาทอย่างเดียว กระทบกายก็ไม่ได้ ไม่ปรากฏ กระทบอะไรไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น แม้รูปซึ่งอยู่กลางตาที่มองไม่เห็นเลย แต่มีลักษณะพิเศษคือสามารถที่จะกระทบเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่รูปนี้ก็ปรากฏไม่ได้อีกถ้าไม่มีจิต สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    นี่คือชีวิตทุกขณะ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะแสดงโดยละเอียด โดยประการทั้งปวงถึงการเกิดดับของจิตทีละหนึ่งขณะว่าประกอบด้วยเจตสิกอะไร และแต่ละเจตสิกเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นโดยปัจจัยต่างๆ กันอย่างไร

    ผู้ใดที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมก็เริ่มที่จะเข้าใจความหมายของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็รู้ว่ายังมีอีกมากนัก นี่ยังไม่ถึง ๔๕ ปีใช่ไหม แต่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาโดยละเอียด

    ผู้ฟัง เมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องจิต เจตสิก และรูป ก็เหลือนิพพานอีกอย่างหนึ่ง มีหลักธรรมข้อใดบ้างที่เกื้อหนุน สนับสนุนกันเพื่อที่จะไปให้ถึงพระนิพพาน ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดนั้น เพราะเป้าหมายก็คือนิพพาน คือสุขอย่างยิ่ง สุขที่ไม่มีสุขอื่นใดยิ่งกว่า

    ท่านอาจารย์ นิพพานมีจริงไหม

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ มีแน่ๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีแน่ๆ เพราะว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตขีณาสพบรรลุกันมาแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง คือ ไม่ใช่เพียงได้ยินคำว่า นิพพาน แล้วไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร และใครรู้นิพพนาน ถ้าอย่างนั้นไม่มีความหมายเลย แต่เมื่อได้ยินแล้วต้องรู้ว่า คำนี้หมายความถึงต้องเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่เพียงคิดขึ้นมา แต่ต้องเป็นธรรมที่ทำให้ผู้ที่สามารถรู้ลักษณะของนิพพาน ดับกิเลสได้ ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานธาตุ ดับกิเลสไม่ได้เลย

    ให้ทราบว่าสภาพธรรมที่มีจริงที่ใช้คำว่า ปรมัตถธรรม ธรรมที่จริงยิ่ง ไม่มีอย่างอื่นที่จะจริงยิ่งกว่านี้ ก็มีจิต มีเจตสิก มีรูป และนิพพาน เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงที่เป็นโลก เป็นการเกิดขึ้นและดับไป จึงปรากฏทั้งหมดเลย เห็นเป็นโลก เกิดขึ้นและดับไป เพราะว่าความหมายของโลก หรือโลกะ หมายความถึงสภาพธรรมที่เกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรม สิ่งที่มีที่ปรากฏ คือจิตก็มี เจตสิกก็มี รูปก็มี เกิดขึ้นให้รู้ว่ามี แต่นิพพานเป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป ไม่มีปัจจัยที่จะปรุงแต่งให้เกิดขึ้น แต่มี เพราะว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีการปรากฏเกิดขึ้นให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ลิ้มรส เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจทั้งนั้น

    มีตาเพราะชอบเห็น มีหูเพราะชอบได้ยิน ยังไม่ถึงกาลที่เป็นทุกข์เพราะเห็นเกิดและดับไป เป็นทุกข์เพราะได้ยินแค่เกิดและดับไป เป็นความจริงอย่างนี้ จนกระทั่งเห็นความจริงว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่เกิด เกิดและดับ เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่เห็นทุกข์ของสิ่งที่เกิด จะมีปัญญาที่น้อมไปรู้ธาตุซึ่งไม่เกิดและไม่ดับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    24 พ.ย. 2568