ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1629


    ตอนที่ ๑๖๒๙

    สนทนาธรรม ที่ วัดไผ่ดำ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

    วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุดคือเรื่องของพระพุทธศาสนา ซึ่งคนที่ไม่เคยมีการสะสมมาจะไม่มีโอกาสได้ฟัง ที่เมืองไทยก็มีคนที่อยู่ด้วยกันมากมายจะอยู่บ้านเดียวกัน เป็นพี่น้อง เป็นวงศาคณาญาติกันเเต่ไม่ฟัง ในขณะที่อีกคนหนึ่งกำลังฟังก็ได้ เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้เลย ใครก็ไม่สามารถที่จะบังคับคนอื่น แม้ตัวเองก็บังคับไม่ได้ แต่ให้ทราบว่า ไม่ว่าจะเป็นกุศลเกิดก็ต้องมีปัจจัยของกุศลประเภทนั้น มีฉันทะเป็นมูล หรือเวลาที่อกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดก็ต้องมีปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นอย่างนั้น โดยมีฉันทะเป็นมูล

    แต่ละคนสะสมฉันทะ ความพอใจที่จะกระทำ โดยไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เช้ามาจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน แม้แต่จะพูดก็เป็นไปตามฉันทะที่ได้สะสมมา นี่คือค่อยๆ เห็นความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา เมื่อธรรมขณะนี้เป็นอย่างนี้ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ประเสริฐที่สุด คือมีโอกาสได้เข้าใจธรรม

    เมื่อมีความเข้าใจธรรมแล้ว ผลคือเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม มิฉะนั้นการฟังธรรมจะไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อละ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง และรู้ว่าการศึกษาธรรมเพื่อละอกุศล จนเป็นผู้ที่ถึงความไม่มีโลภะ คือนิจฉาโต แต่กว่าจะถึงความไม่มีโลภะได้ก็ต้องนานมาก ซึ่งจุดประสงค์ของพระธรรมคือให้ถึงการดับกิเลส เพราะว่าถ้าตราบใดที่ยังมีโลภะก็เป็นทุกข์แน่นอน

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ถ้ามีความมั่นคงว่าเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อความติดข้อง เป็นการรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ซึ่งคนอื่นให้ไม่ได้ พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ให้ไม่ได้เลย ต้องเป็นตัวเองที่ฟังด้วยการไตร่ตรอง พิจารณาด้วยความเป็นผู้ตรงที่จะเข้าใจธรรม และประพฤติปฏิบัติตามธรรม เพราะเหตุว่าการศึกษาไม่ใช่หมายความว่าอ่านหนังสือแล้วเข้าใจ แต่การศึกษาคือประพฤติปฏิบัติตามที่ได้เข้าใจถูกต้องด้วย

    ถ้าพระคุณเจ้าได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น พระคุณเจ้าจะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นได้ โดยการพูดเผยแพร่ สอนเณร ด้วยสิ่งที่พระคุณเจ้าเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่มีความเข้าใจธรรมแล้วก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ได้มาก เพราะว่าธรรมทั้งหมดมีฝ่ายที่ไม่ใช่อกุศล และก็ยังมีฝ่ายกุศลมากมายหลายอย่างซึ่งจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสซึ่งติดอยู่ในจิต ซึ่งถ้าไม่ใช่ปัญญาจะนำออกไม่ได้เลย ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นสามารถที่จะนำอกุศลทั้งหลายออกไป จนกระทั่งไม่เหลือเลยได้

    ดังนั้น ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าที่ใช้คำว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน หมายความว่า คนอื่นไม่สามารถที่จะนำปัญญามาหยิบยื่น แลกเปลี่ยนซื้อขายได้เลย ต้องเป็นบุคคลนั้นเองที่มีศรัทธา และเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ รู้ความลึกซึ้งของพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจถูกต้องก็เผยแพร่และให้สิ่งนั้นกับคนอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากซึ่งพระคุณเจ้าก็สามารถที่จะกระทำได้ ส่วนกิจของภาระอื่นๆ ในฐานะเจ้าถิ่น หรือเจ้าอาวาส หรือรองเจ้าอาวาส หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือแม้เป็นพระภิกษุก็จะต้องร่วมกันที่จะรักษาอาวาส แล้วทำทุกสิ่งทุกอย่างตามสมควรที่ขณะนั้นสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้

    ในครั้งพุทธกาล พระท่านก็ไม่ได้อยู่เฉยเลย ท่านกวาดกุฎี ลานพระเจดีย์ ช่วยกันทำจีวรกรรมหรือกฐิน ทำสังฆกรรมต่างๆ เหล่านี้ แต่ที่ขาดไม่ได้คือต้องมีความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่อาจหาญร่าเริง กล้าที่จะอยู่ข้างถูก ไม่ใช่ตามกระแสหรือตามสิ่งที่ผิดโดยทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดก็ยังตาม ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ตรง อย่างขณะนี้มีคำว่าปฏิบัติธรรมทุกหนทุกแห่ง เเต่ถ้าถามว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร หรือแม้แต่ถามว่าธรรมคืออะไรก็จะไม่มีคำตอบ มีคำตอบแต่ว่าต้องปฏิบัติแล้วจะรู้เอง แต่ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร แล้วรู้อะไร

    ถ้าขณะนี้ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ขณะอื่น ไม่ใช่สิ่งอื่น แต่เป็นสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าทุกขณะ ถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ จะไม่มีความเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลยเพราะสิ่งนั้นยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น หรือสิ่งนั้นหมดไปแล้ว จะไปตามรู้สิ่งที่หมดไปแล้วก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น พระธรรมซึ่งแสดงโดยละเอียดเป็นคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง ในเรื่องของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏให้ถึงแก่นคือสาระ คือความเป็นอนัตตา เพราะว่าเกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลย นี่คือสิ่งที่จะทำให้คลายการยึดมั่นว่าเป็นเรา เมื่อค่อยๆ คลายความยึดมั่นว่าเป็นเรา ก็จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบังคับไม่ได้ แม้แต่เห็นก็ต้องเห็น กำลังเห็น ได้ยินเกิดแล้วต้องได้ยิน ไปเปลี่ยนแปลงได้ยินไม่ให้เกิดขึ้นก็ไม่ได้เพราะว่าได้ยินแล้ว

    ดังนั้นก็จะมีความเข้าใจความเป็นอนัตตาของทุกอย่าง ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย และจะมีชีวิตตามที่ได้ทรงแสดงไว้ เช่น ตามมีตามได้ ไม่เดือดร้อนเลย เพราะเหตุว่าเลือกเห็นไม่ได้ เลือกได้ยินไม่ได้ เลือกลาภ เลือกยศ เลือกสรรเสริญ เลือกนินทา เลือกอะไรไม่ได้เลยทุกอย่าง เพราะว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วก็หมดไปด้วย ถ้ารู้ว่าไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราจริงๆ จะเป็นเราชาตินี้อีกนานเท่าไหร่ใครจะบอกได้ แค่พรุ่งนี้หรือแค่เย็นนี้ก็หมดแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะมาหาความเป็นบุคคลนี้จากสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ได้ เพราะแม้ขณะนี้ก็หมดไปทุกขณะ

    ถ้ามีความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่เกิดแล้วหมดไป แต่มีความยึดถือว่าเป็นเราก็ทำให้เดือดร้อน ทำให้มีเรา มีเขา หรือมีความขุ่นเคืองบ้าง ขาดความเมตตาบ้าง ริษยาบ้าง แต่ว่าจริงๆ ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดแล้วหมดแล้ว ไม่ใช่เราด้วย และก็ต้องเกิดอีกด้วย ไม่ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ได้

    ในชาติหนึ่งก็มีทั้งสุขทั้งทุกข์แล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จะไม่ทุกข์เพราะความเดือดร้อนในความติดข้อง และสามารถที่จะให้คนอื่นเข้าใจธรรมด้วย แล้วจะรู้ว่าแม้แต่คำเดียวก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้ายังไม่เข้าใจธรรมจะเข้าใจปฏิบัติธรรมได้อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเลย

    พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนไม่มีเหตุผลหรือให้เชื่อตาม แต่สอนให้รู้ว่าความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เป็นอย่างนี้ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องเป็นคนที่มั่นคง ความมั่นคงคือสัจจญาณ กิจจญาณเป็นปฏิปัตติ คือการที่ขณะนี้สามารถเข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏ จนถึงปฏิเวธคือแทงตลอดความจริงซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป

    ถ้าไม่มีสัจจญาณ ความเข้าใจขั้นฟัง จะไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิปัตติเกิด ปฏิเวธก็เกิดไม่ได้ ดังนั้นถ้ามีการปฏิบัติธรรมโดยไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระคุณเจ้า ทำไมทุกวันนี้พระมักนิยมสร้างวัตถุ บางทีก็พันล้าน สองพันล้าน ทำให้ญาติโยมต้องแห่แหนกันไปช่วยกันสร้าง แล้วยกย่องว่าเป็นบารมี ทำไมไม่มีการได้อบรมสอนกัน หรือได้สนทนาแล้วก็แลกเปลี่ยนกัน อันจะยังประโยชน์สูงสุดในศาสนา

    ท่านอาจารย์ ที่เป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่าไม่ได้ศึกษาธรรม ลองถามแต่ละท่านที่เป็นอย่างนี้ว่าศึกษาธรรมหรือเปล่า หรือว่าธรรมคืออะไรก็ตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาธรรม แล้วจะเป็นชาวพุทธจริงๆ ได้ไหม เพียงแต่กราบไหว้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเราก็เห็นได้ว่าหลังจากที่ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็มีความที่ไม่ได้เห็นคุณของพระธรรม การที่จะประพฤติปฏิบัติตามด้วยความจริงใจก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป คลาดเคลื่อนไปจากความจริง เป็นมหายาน เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นกวนอิม เป็นอะไรผสมรวมกันไปหมดเลย ซึ่งไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่ได้เป็นคำสอนที่บริสุทธิ์ซึ่งสอนให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงชัดเจน จนกระทั่งสามารถที่จะละการติดข้องได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้คือติดข้องหมด ไม่ได้ละ เพราะไม่รู้ว่าควรละ เพราะสิ่งที่ควรละนั้นเป็นเพียงธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไป

    โลกนี้ก็มีทั้งคนที่ไปตามกระแสเป็นจำนวนมาก และคนส่วนน้อยที่จะไม่ตามกระแส แล้วเราจะอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง จะตามกระแสหรือว่าจะไม่ตามกระแส ถ้าตามกระแสที่ไม่ศึกษาธรรมแล้วเราก็ไม่ศึกษาธรรม ตามกระแสที่ปฏิบัติธรรมโดยไม่รู้จักธรรม ถ้าเราตามกระแสคือไม่เข้าใจธรรม แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้สะสมความเห็นถูกกับการได้ฟังธรรม แล้วก็เป็นผู้ที่ละเอียด ไตร่ตรอง เพียงแค่ฟังจะรู้ได้เลยว่า คำไหนเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่ เช่น การสร้างตึกรามมโหฬาร ไม่มีในคำสอน เพราะคำสอนต้องเป็นเรื่องละ

    พระคุณเจ้า แล้วจะมีวิธีการอย่างไรที่เราจะแผ่ทิศทางที่ถูกต้องไปสู่ ...

    ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรมโดยละเอียด รอบคอบ ลึกซึ้ง ถูกต้องและเป็นผู้ตรง

    พระคุณเจ้า มีอาจารย์มากมายเหลือเกินในประเทศไทย

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังว่าสิ่งไหนเป็นการที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ความคิดของแต่ละอาจารย์

    พระคุณเจ้า ช่วงที่ใกล้จะปรินิพพานท่านทรงตรัสไว้ว่า ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ ทำไมท่านไม่ตรัสว่า ธรรม เท่านั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วชาวพุทธก็ไม่ฟังเลย ฟังคนนั้นคนนี้แทนพระธรรมกับพระวินัยที่มอบไว้เป็นศาสดา กลายเป็นว่าพระผู้นี้เป็นผู้สอน พระผู้นั้นเป็นพระอรหันต์ เหมือนกับมอบให้คนหนึ่งคนใดเป็น แต่ความจริงพระพุทธองค์ไม่เคยมอบให้ใครเป็นศาสดาเลย นอกจากพระธรรมวินัย

    พระคุณเจ้า เราจะมีวิธีการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ บางทีถ้าพระเถระชั้นผู้ใหญ่ให้ทิศทางเป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมดก็ไม่มีการที่จะคลาดเคลื่อนเลย แต่พระมหากัสสปะก็ต้องปรินิพพาน ท่านพระอานนท์ก็ต้องปรินิพพาน ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป แล้วจะมอบให้ใคร นอกจากธรรมที่ได้ทรงตรัส ทรงแสดงไว้ดีแล้วเป็นศาสนาทุกกาลสมัย เป็นคำสอนจากพระโอษฐ์และเป็นเรื่องจริง ถ้าศึกษาไตรปิฎกจะไม่มีข้อสงสัยเลยในเหตุในผล จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ได้ถูกต้อง

    พระคุณเจ้า ถ้าจิตเรารู้สึกเบื่อหน่ายในสังคมที่เราอยู่นี้ เราอยากจะดีดตัวออกไปอยู่กับความสันโดษ จะเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ก่อนจะถึงตรงนี้ก็ยังไม่รู้จักจิต เเต่มีเรื่องของจิตมากว่าจะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น หรือจะไม่เป็นอย่างนี้ ก่อนอื่นคือทุกคำต้องเข้าใจ แล้วจะค่อยๆ เข้าใจด้วยตัวเอง และสามารถที่จะรู้เหตุผลด้วยตัวเอง

    พระคุณเจ้า เพราะบางคนก็บอกว่า ถ้าเกิดว่าเราไปเป็นอย่างนั้น เหมือนกับว่าเราตัดช่องน้อยแต่พอตัว

    ท่านอาจารย์ นั่นคือเขา แต่ไม่รู้จักจิต พูดอะไรไปทั้งหมดก็คือไม่รู้จักธรรม เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นคือต้องตั้งต้นรู้จักธรรม โดยฟังธรรมและรู้ว่าอะไรเป็นธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ตรงไหนในพระไตรปิฎกเลยทั้งสิ้น นอกจากคิดเอง

    พระคุณเจ้า พุทธศาสนามีคำว่า ฟลุค หรือความบังเอิญ หรือไม่ ฟลุคหรือเปล่าที่ทำได้

    ท่านอาจารย์ พูดได้ทุกเรื่องคือปลายเหตุทั้งหมด แต่อะไรฟลุค และฟลุคคืออะไร ไม่มีคำตอบ คือไม่นำต้นตอหรือคำแรกไปเป็นเรื่องยาว โดยที่ไม่รู้ว่านั่นคืออะไร ถ้าบอกว่าฟลุคหรือเปล่า อะไรฟลุค ฟลุคเท่านั้นได้ไหม หรือว่าอะไรฟลุค ต้องละเอียดมาก และพระพุทธศาสนาจะมีคำตอบ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ ฟลุคหรือเปล่า ได้ยินเดี๋ยวนี้ ฟลุคหรือเปล่า หรือว่ามีเหตุ เห็นจึงเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีเหตุ เห็นจะเกิดไม่ได้เลย แล้วทุกคนก็อยากจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจทั้งหมดเลย แต่บางครั้งก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ฟลุคหรือเปล่า หรือว่ามีเหตุที่จะต้องเป็นอย่างนั้น

    กำลังนอนหลับไม่มีอะไรปรากฏเลยแล้วก็เกิดได้ยิน ฟลุคหรือเปล่า หรือแม้แต่ได้ยินที่เกิดขณะนั้นคือต้องมีโสตปสาท ซึ่งใครก็ทำไม่ได้เลยนอกจากกรรมเท่านั้น และถึงแม้กรรมทำให้โสตปสาทเกิดดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีเสียงมากระทบโสตปสาท จิตได้ยินก็เกิดไม่ได้ แล้วใครจะบังคับเสียงนั้นว่าให้เป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือเป็นเสียงที่ไม่น่าพอใจกระทบกับโสตปสาท และถึงแม้ว่าเสียงที่ไม่น่าพอใจ หรือเสียงที่น่าพอใจกระทบก็ตาม เเต่ถ้าจิตไม่เกิด ไม่มีทางที่เสียงนั้นจะปรากฏเลย

    เพราะฉะนั้น อะไรทำให้จิตได้ยินเกิด ไม่ฟลุค เพราะว่าสิ่งที่เป็นเสียงที่สามารถได้ยินได้มี ๒ อย่าง คือ เสียงที่น่าพอใจ กับเสียงที่ไม่น่าพอใจ ขณะใดที่ได้ยินเสียงที่น่าพอใจต้องเป็นผลของกุศลกรรม ไม่อย่างนั้นกรรมที่ทำแล้วจะให้ผลเมื่อไหร่ และจะให้ผลเป็นอะไร ไม่มีทางที่จะให้ผลเลยถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ว่ากรรมก็ทำให้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดขึ้น เป็นทางที่จิตจะเกิดขึ้น เป็นผลของกรรม มาจากเหตุคือตัวกรรมซึ่งเป็นนามธรรม จงใจ ตั้งใจที่จะให้ผลอย่างนั้นเกิดขึ้น ซึ่งผลก็คือจิตที่เป็นผลของกรรมนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อถึงกาลที่กรรมนั้นให้ผล

    พระคุณเจ้า เราอยู่ในสังคมทุกวันนี้ ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ก็เผชิญกับปัญหาการเมือง คนที่ปฏิบัติธรรมก็เหนื่อยหน่าย เหมือนกับว่าทั้งพระสงฆ์ ...

    ท่านอาจารย์ ก็ลืมอีกว่า เหนื่อยหน่ายก็เป็นธรรม คือเป็นเราไปหมด ธรรมหายไปหมดเลย

    พระคุณเจ้า เหมือนกับว่าพระพุทธศาสนาก็เยียวยาไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ พระพุทธศาสนาเยียวยาได้ ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้

    พระคุณเจ้า แล้วทำไมคนตั้งมากมายมหาศาลไม่หันกลับมาระลึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ทำไมเหมือนกับยิ่งเดินต่อไป ยิ่งจะรกรุงรัง ยุ่งยากขึ้นไปแต่ละวันๆ ครอบครัวก็ยังคิดเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าสัมมาทิฏฐิต่างกันอีก หรืออาจจะมิจฉาทิฏฐิทั้งครอบครัวก็ได้

    ท่านอาจารย์ อะไรจะเกิดง่ายกว่ากัน ความชั่วกับความดี

    พระคุณเจ้า ความชั่ว

    ท่านอาจารย์ และก็เกิดซ้ำๆ กันทุกวันๆ ไม่ต้องโทษใคร ไม่ใช่เพราะเขานำมา แต่มีอยู่แล้วในใจพร้อมที่จะเกิด เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่าพระธรรมคำสอนเพื่อละอกุศล อย่างอื่นละไม่ได้เลย ขณะที่มีความเข้าใจขึ้น กุศลก็เจริญขึ้น หนทางเดียวคือเผยแพร่พระธรรมให้คนได้เข้าใจเพิ่มขึ้น

    พระคุณเจ้า บางคนบอกว่าตัวเองปฏิบัติธรรม

    ท่านอาจารย์ ปฏิบัติธรรมคืออะไร

    พระคุณเจ้า ก็ยังสงสัยอยู่

    ท่านอาจารย์ เข้าใจว่าตัวเองปฏิบัติธรรม แต่ความจริงแล้วเป็นโลภะ โทสะ ปฏิบัติหน้าที่ของโลภะ โทสะ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ถ้าเห็นประโยชน์ และมีความมั่นคง เข้มแข็ง อาจหาญร่าเริงที่จะแก้ไข แต่แก้ที่ตัวเองก่อน เพราะว่าไม่สามารถที่จะแก้คนอื่นได้เลย

    เราจะรู้ได้ว่านั่นคือผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรม แล้วเราจะตามกระแสคือไม่ศึกษาธรรมกับเขา หรือจะเห็นว่ายิ่งควรที่จะศึกษาธรรมเพราะว่าจะเหลือน้อยลงแล้ว และถ้าไม่ใช่ธรรมจริงๆ จะช่วยโลกไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อกุศลไปช่วยอกุศล เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเป็นส่วนน้อย เเต่เป็นประโยชน์ตนแล้วยังเป็นประโยชน์คนอื่นต่อไป คือไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ไปทำร้าย คิดร้ายคนอื่นด้วย

    พระคุณเจ้า คำสอนพระพุทธเจ้าที่ว่า ตราบใดที่มีคนปฏิบัติตามมรรค๘ อยู่ โลกนี้ก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์ ยังยืนยันถึงปัจจุบัน ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องรู้ว่ามรรค๘ คืออะไร ไม่ใช่พูดเเต่ชื่อ

    พระคุณเจ้า เช่น ถ้าเรารู้แล้วก็แสดงว่ากลุ่มนั้นต้องแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นแต่เพียงถ้า ... แต่ถ้าถามว่าขณะนี้มีใครศึกษาธรรมบ้าง จำนวนจะน้อยมาก และในบรรดาผู้ที่ศึกษาใครเข้าใจเท่าไหร่ และในบรรดาผู้ที่เข้าใจบ้างแล้วมีการประพฤติปฏิบัติตามแค่ไหน เพราะฉะนั้นก็หมดปัญหาไปเลย

    พระคุณเจ้า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราถึงอะไร อย่างไร หรือว่าถึงสภาพเหล่านัั้น

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องละ ถ้าสามารถละคลายความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นคือถูกต้อง ถ้ายังไม่รู้ๆ อยู่ ทั้งๆ ที่ฟังก็ไม่รู้ ก็ยังต้องฟังต่อไปจนจะค่อยๆ รู้ขึ้น สำคัญที่สุดคือปัญญา


    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ผู้ฟัง คำว่า คาถา ที่คนส่วนมากสวดกัน แล้วเข้าใจว่าช่วยให้เราพ้นทุกข์ หรือโชคดี หรือว่าได้บุญ ขอให้อาจารย์ช่วยขยายความคำว่า คาถา ว่ามีความหมายว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ การสนทนาก็คงจะต้องมีการถามตอบบ้าง อยากทราบว่า คาถา เป็นภาษาอะไร

    ผู้ฟัง เป็นภาษาบาลี

    ท่านอาจารย์ แต่ละคนก็คงจะมีคาถาเฉพาะตัวสั้นบ้าง ยาวบ้าง ที่ใช้คำว่า คาถา หมายความว่าไม่ใช่ภาษาไทย เวลาที่พูดภาษาไทย คนไทยทุกคนก็เข้าใจได้ แต่ถ้าพูดภาษาอื่นก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น คาถาซึ่งเป็นภาษาบาลี เข้าใจความหมายหรือเปล่าเวลาที่ท่อง หรือเพียงจำคำแล้วก็ออกเสียงแล้วก็ท่อง และคิดว่าเป็นภาษาที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม

    เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งแล้วเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ถ้าขณะนั้นไม่เข้าใจความหมายของคาถาจะไม่เห็นความลึกซึ้ง และไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าคำที่ท่องหมายความถึงอะไร ดังนั้นการศึกษาธรรม หรือการที่จะได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นแต่เพียงชื่อให้เรากราบไหว้ โดยที่ไม่เข้าใจความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ก่อนอื่นต้องเป็นผู้ที่ตรง การที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ใครท่องคาถา แต่เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้น และทรงแสดงอุปการะให้ผู้ที่ไม่เคยได้ฟังพระธรรม ซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้

    ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นภาษาบาลี ซึ่งแสดงถึงสิ่งที่มีจริงๆ ตลอด ๔๕ พรรษา เป็นพระไตรปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ถ้าเราไม่รู้คำแปลของคาถา ไม่ทราบว่ามาจากไหน ใครแต่งและมีความหมายว่าอย่างไร แต่ทุกคนก็มีความรักตัว แสวงหาที่พึ่งต่างๆ และอาจจะคิดว่า ถ้าได้ท่องคาถาแล้วก็เป็นที่พึ่งที่จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุและผล ถ้าเหตุดี ผลก็ดี ถ้าเหตุไม่ดี จะให้ผลดีไม่ได้

    ดังนั้นที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ไม่ใช่เพื่อให้ท่องแต่เพื่อให้เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ คาถาที่ได้ยินได้ฟัง ถ้ามีความสนใจว่าหมายความถึงอะไร ก็จะทำให้ค่อยๆ รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงคือสิ่งที่มีในขณะนี้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีในขณะนี้แล้วจะพูดทำไมถึงสิ่งที่ไม่มี และใครจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ได้

    ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามหาทางที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มี แต่ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะบุคคลนั้นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นก็คิดเรื่องต่างๆ ที่จะไม่โกรธ ที่จะทำความดี ละความชั่วต่างๆ ด้วยความคิดของตนเอง ซึ่งไม่ตรงตามพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะเหตุว่าเป็นเพียงความคิดที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรม

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่เพียงเพื่อฟังแล้วเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ต้องเป็นการที่มีศรัทธาที่จะศึกษา พิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง ที่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะให้เชื่อทันที แต่เริ่มรู้จักว่าพระธรรมที่ทรงแสดงคืออะไร และเป็นความจริงที่สามารถที่จะรู้ได้ในขณะนี้ด้วย

    ผู้ฟัง การท่องคาถาแล้วเชื่อว่าจะมีเทวดามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะมาช่วย ไม่ทราบว่าเป็นความเห็นผิด หรือเป็นความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ ทุกคนเกิดมาต่างกัน มีใครช่วยให้ใครเป็นอย่างไรในขณะเกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ช่วยในที่นี้หมายถึงว่า ...

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า เราเกิดมามีชีวิตต่างๆ กันไป แม้แต่ขณะแรกที่เกิดเป็นผลของการกระทำของเรา ที่ใช้คำว่า กรรมของเราที่ได้ทำแล้ว ถ้าเป็นกุศลกรรมก็ทำให้เกิดดี ถ้าเป็นอกุศลกรรมก็ทำให้เกิดไม่ดี

    ใครจะอยากเกิดเป็นนกบ้าง ใครจะอยากเกิดเป็นหนู ใครจะอยากเกิดเป็นแมว ใครจะอยากเกิดเป็นช้าง ก็เกิดแล้ว ใครไปช่วยทำให้คนนั้นเกิดเป็นช้างหรือเปล่า หรือใครไปช่วยทำให้คนนั้นเกิดเป็นมดหรือเปล่า หรือว่าใครช่วยให้เราเกิดมาเป็นแต่ละคนในขณะนี้ ก็ต้องแล้วแต่กรรมที่แต่ละคนทำมาต่างๆ กัน

    ดังนั้นจะอาศัยใคร ต่างคนก็ต่างมีกรรมเป็นของตนเอง แลกกันได้ไหม เราไปทำชั่วไว้มากๆ ยกให้คนอื่นไปได้ไหม หรือว่าคนอื่นเค้าทำดีก็ขอให้มาเป็นความดีของเรา เราจะได้ผลของกรรมดีนั้น ได้ไหม ก็ไม่ได้ ดังนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง แสดงว่าความโชคดีหรือผลที่ดี เป็นเรื่องที่เราได้ทำเหตุที่ดี หมายถึงว่ากุศลเหตุ แล้วความเข้าใจที่เชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะมาช่วยเรา แสดงว่าเป็นความเห็นผิด ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นคิดเองใช่ไหม สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ยังไม่รู้ว่าอะไร

    ผู้ฟัง หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    ท่านอาจารย์ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นคืออะไร เป็นไม้ เป็นก้อนหิน เป็นทองคำ หรือเป็นรูปปั้น หรือเป็นอะไร ที่เข้าใจว่าศักดิ์สิทธิ์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 196
    28 พ.ย. 2568