ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1569


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๙

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

    วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘


    ท่านอาจารย์ แต่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นมีความเห็นถูก ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏจนกว่าจะละความเป็นเรา ใช้คำว่าค่อยๆ เข้าใจดีไหม

    ผู้ฟัง ขณะที่รับประทานอาหารผ่านไปแล้ว ขณะที่รับประทานอยู่นั้น ก็รู้รสทางลิ้น ก็เกิดอาการที่จะคิดว่ามันมีเค็ม มีเปรี้ยว อันนั้นก็เป็นความจำได้ในลักษณะของรสแต่ละอย่างๆ แต่ที่รู้จริงๆ ขณะนั้นก็คือแค่กระทบแล้วก็รู้ ที่คิดอย่างนี้ไม่ทราบว่า ผมคิดถูกหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ คำถามของคุณจรัลรู้สึกว่าจะไม่แน่ใจใช่ไหม ว่าขณะที่กำลังรู้ลักษณะของรส แล้วหลังจากนั้นแล้วไม่รู้ลักษณะของรส จะเป็นการที่อบรมถูกต้องหรือเปล่าใช่ไหม จริงๆ แล้วก็คือว่า ต้องมีความเข้าใจขณะที่ต่างกัน ของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติเกิด ข้อความนี้มีในพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่าแม้ว่าสภาพธรรมจะมี แต่เราไม่มีใครที่จะเป็นตัวตน เป็นเราที่จะไปบังคับให้สติเกิดได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นแล้วแต่ว่าสติเกิดเมื่อไหร่ ก็คือกำลังรู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ แม้จะเล็กน้อยมาก เพราะว่าจิตขณะนี้ก็เกิดดับอย่างรวดเร็วที่สุด นับประมาณไม่ได้

    เพราะฉะนั้นชั่วขณะที่สติเกิด จะเล็กน้อยสักแค่ไหน แต่เกิดแล้ว เพราะอะไร เพราะกำลังมีลักษณะที่กำลังปรากฏอยู่ คือขณะนั้นสติกำลังรู้ตรงนั้น แล้วกว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจถูกในลักษณะนั้น จนกระทั่งชินว่า เป็นลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม โดยไม่ต้องเรียกชื่อเลย อย่างเวลาที่กำลังมีเสียงปรากฏ ปกติก็หลงลืมสติ หรือว่าตั้งแต่เช้ามา เราก็กระทบสิ่งที่แข็งหลายครั้งเลย แต่ไม่เคยรู้ตรงลักษณะที่แข็ง เพราะว่าแม้แข็งจะปรากฏ ก็ปรากฏชั่วเล็กน้อย แล้วก็คิดเรื่องแข็ง เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ หรือทางตาก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงเล็กน้อย แต่ว่าความทรงจำในรูปร่างสัณฐาน ในเรื่องราวมากมาย ที่ทรงจำมาไว้ตั้งแต่ชาติก่อนๆ จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า แม้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่หลงลืมสติ คือไม่ใส่ใจได้ใส่ใจที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏได้ทางตาเท่านั้น กลับเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ เพราะฉะนั้นต้องรู้ความต่าง ของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติเกิด คำว่าสติเกิดที่นี้หมายความถึง สติขั้นสติสัมปชัญญะที่เป็นสติปัฎฐาน ที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ ที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจในความต่าง ของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติเกิด ก็จะสงสัยไปเรื่อยๆ แต่ถ้ารู้ว่าขณะใดที่หลงลืมสติส่วนใหญ่ แล้วสติเกิดรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นจะเป็นหนทางเป็นมรรค ที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่สติกำลังระลึกได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ตรงว่า วันหนึ่งๆ สติสัมปชัญญะหรือสติปัฐานเกิดน้อยหรือมาก เพราะว่าขณะนั้นก็แสดงให้เห็นว่ารู้ความต่าง ขณะที่รู้รส รสกำลังปรากฏ แล้วรู้ลักษณะด้วย จึงจะเป็นสติที่กำลังรู้ลักษณะนั้น หลังจากนั้นก็หลงลืมสติ คือเป็นเรื่องเป็นราวต่อไป

    ผู้ฟัง พอดีที่สติปัฏฐานเกิด รู้ลักษณะของธรรมที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม นั้นก็เป็นเพียงลักษณะ ของรูปธรรมและนามธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้เรียกชื่อแต่ให้เข้าถึงปฏิปัติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัติแปลว่าถึง สติเข้าถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง ทีละลักษณะ พร้อมกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าเป็นปัญญาพร้อมสติ ที่จะเข้าถึงความจริงของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏทางตา ก็คือว่ารู้ว่าขณะนี้เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ นี่คือคำอธิบาย แต่หมายความว่าเราไม่คุ้นเคย กับสภาพนี้มาก่อนเลย แม้ว่าเราจะเห็นมาตลอด แต่ไม่เคยรู้ความจริงของเห็น เพราะว่าถ้าถามก็บอกว่าเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็น เก้าอี้ เลยลักษณะที่ปรากฏทางตา ไปยึดสิ่งที่รวมกัน แล้วก็มีรูปร่างสัณฐาน ที่ทำให้ทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคน หรือเป็นสัตว์ หรือเป็นวัตถุ แม้ว่าบางครั้งเราจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรมีไหม ไม่รู้ว่าชื่ออะไรเรียกอะไร สิ่งนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย บางอย่างที่ประดิษฐ์ขึ้นมา เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เรียกชื่อไม่ถูก เพราะเหตุว่าไม่เคยรู้ว่าเรียกอะไร ถ้าคนที่ไม่เคยเห็นโทรทัศน์เลย อาจจะอยู่ในป่าลึกลึกที่ไหน เกาะไหนก็ตามแต่ ถ้าเห็นจะรู้ไหมว่า นี่อะไร เรียกอะไร แต่เขาสามารถที่จะเห็นรูปร่างสัณฐานได้ หลังจากที่เห็นแล้ว ก็ทรงจำรูปร่างสัณฐาน แต่ไม่มีชื่อไม่รู้ว่าจะเรียกอะไร หรือว่าถ้าเราเข้าไปในป่า ก็มีต้นไม้เยอะแยะเลย ก็ต้องถามกันว่านี่ต้นอะไร เพราะว่าไม่รู้ แต่ว่าสามารถที่จะจำได้ว่านี่เป็นต้นไม้ และลักษณะของต้นไม้กับดอกไม้ก็ต่างกัน

    เพราะฉะนั้นก็จะรู้ว่า ลักษณะใดเป็นดอกไม้ ลักษณะใดเป็นต้นไม้ แต่ก็ยังคงไม่รู้ชื่ออยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็น ว่าขณะใดที่มีชื่อ ขณะนั้นก็คือว่ากำลังคิดถึง คำคำหนึ่งคำใดก็ได้ แต่ความจริงสภาพธรรม เกิดดับเร็วกว่านั้นอีก แม้เพียงเห็นแล้วก็จำได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรก็คิดแล้ว เพราะว่าถ้าเพียงเห็นจริงๆ ยังไม่ได้คิดเลย เป็นเพียงมีสิ่งที่กระทบปรากฏทางตา แล้วจริงๆ ก็คือว่า เมื่อปรากฏกระทบแล้วก็ดับไป แต่เพราะการเกิดดับเร็วมาก และก็ไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็มีการทรงจำรูปร่างสัณฐาน แล้วก็มีการที่จะเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แม้ไม่รู้จักชื่อ อย่างเด็กเล็กๆ เกิดมา ยังไม่ถึงขวบ ยังคงพูดไม่ได้ใช่ไหม เขาสามารถที่จะจำอะไรก็ได้ แต่เขาไม่รู้ว่าชื่ออะไร แล้วก็ยังพูดไม่ได้ด้วย นี้ก็แสดงให้เห็นว่ามีความคิดหลายระดับ ความคิดหลังจากเห็น คือการทรงจำสิ่งที่ปรากฏได้ แต่ว่ายังไม่รู้ชื่อ ถ้าไม่มีความเข้าใจเพียงพอ สติสัมปชัญญะจะเกิดระลึกไม่ได้เลย ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงเพียงพอ แล้วจะรู้ได้ว่าถึงแม้ว่าจะมีความเข้าใจแล้ว ก็ไปบังคับสติไม่ได้ เหมือนกับเครื่องทดลอง สิ่งที่ทดลองตลอดมา ก็คือว่ามีความมั่นคงแค่ไหน ที่รู้ว่าสภาพธรรมเป็นอนัตตา หรือว่ายังถูกครอบงำด้วยโลภะที่อยากจะรู้ อยากจะประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ไปพยายามขวนขวายทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่การรู้ถูก หรือความเข้าใจถูก ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่เป็นความละเอียดของธรรม

    อริยสัจ ๔ มีข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงว่าลึกซึ้งทั้ง ๔ อริยสัจจะ บางคนก็จะคิดถึงว่านิพพานเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เพราะว่าไม่ปรากฏ แต่ว่าแม้แต่ทุกข์คือสภาพธรรมที่เกิดดับ ของสิ่งที่กำลังปรากฏก็ลึกซึ้ง จึงไม่สามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้ แม้แต่หนทางที่จะรู้ความจริง ของสภาพธรรมก็ลึกซึ้งด้วย เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญปัญญา ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพื่อให้ดับอนุสัยกิเลส ทุกคนจะเห็นกิเลสที่เกิดแล้ว โลภะเกิดอยากได้ สนุกสนานต้องการ เรียกชื่อถูกรู้ว่าขณะนั้นเป็นความติดข้อง เป็นความเพลิดเพลิน โทสะเกิดเป็นความขุ่นเคืองไม่พอใจก็รู้ได้ ว่าขณะนั้นเป็นลักษณะของโทสะ แต่ไม่เห็นเหตุที่จะทำให้เกิดโลภะและโทสะ ยังไม่เห็นพืชเชื้อของกิเลส ซึ่งมีอยู่ในจิตตั้งแต่เกิด แม้ยามหลับสนิท ก็ยังมีกิเลสประเภทนั้นที่ยังไม่ได้ดับ เป็นปัจจัยให้ทันทีที่ตื่นลืมตาขึ้น ก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ หรือว่าถ้าเสียงปรากฏก็ติดข้องในเสียง กลิ่นปรากฏก็ติดข้องในกลิ่น รสปรากฏก็ติดข้องในรส ติดข้องหมดทุกทาง ทั้งทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นสำหรับกิเลสอย่างหยาบๆ พอจะเห็นได้ แต่ว่ากิเลสอย่างละเอียด ซึ่งเป็นเชื้อที่จะทำให้กิเลสทั้งหลายเกิด ไม่รู้ไม่เห็น ถ้าผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง บางท่านก็อาจจะคิดว่า ท่านไม่มีกิเลสเหล่านั้นเลย เพราะฉะนั้นการดับกิเลสไม่ใช่ดับกิเลสที่เกิดแล้ว แต่ดับพืชเชื้อที่จะทำให้กิเลสนั้นๆ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นต้องอาศัยปัญญาที่ละเอียดมาก และก็เป็นปัญญาที่รู้จริง จากการที่ไม่เคยรู้มาก่อน ขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ถ้าอกุศลเกิด เกิดปรากฏให้เรารู้ได้หรือเปล่า ถ้าเป็นอกุศลที่ไม่แรง ค่อยๆ ซึม ทางตาเห็นไม่รู้ เก็บความไม่รู้ละ ทางหูได้ยินเสียงไม่รู้ความเป็นจริง คิดว่าเป็นเรา เก็บความเป็นเราและความไม่รู้แล้ว ค่อยๆ ซึมไปทุกขณะฉันใด เวลาที่ปัญญาเกิดค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ ซึมเข้าไป จนกว่าที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะดับพืชเชื้อ ที่จะให้กิเลสเกิดได้ นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงพบหนทางที่จะทำให้ดับกิเลส มิฉะนั้นใครจะรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเกิดดับเร็วมาก แล้วก็ถ้าไม่มีการทรงแสดงพระธรรมของพระองค์ ก็ไม่มีการที่จะรู้เลยว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ต้องมีความมั่นคงมากในความเป็นอนัตตา และก็ต้องรู้ด้วยว่า ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชา ที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดได้ และสำหรับความไม่รู้ มีสิ่งเดียวที่จะละได้คือความรู้ ถ้าความรู้ความเข้าใจไม่เกิด ก็ละความไม่รู้ไม่ได้

    ผู้ฟัง เรียนถาม จากที่ฟังการสนทนา ก็ทราบว่าไม่ว่ารูปหรือว่าเสียง ความต่างระหว่างรูปกับเสียงตรงนี้ จะปรากฎความต่างกันใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ยังไงยังไง เสียงก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ตรงตามความเป็นจริงพระธรรมที่ทรงแสดง แสดงตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่ทรงประดิษฐ์คิด แล้วก็ให้คนอื่นมาเชื่อฟังหรือทำตาม แต่ว่าสิ่งใดที่มีอยู่แล้วๆ ไม่เข้าใจ ก็ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้น ให้บุคคลทั้งหลาย สามารถที่จะพิจารณาเข้าใจถูก ในสิ่งนั้นๆ โดยไม่คลาดเคลื่อน โดยไม่มีการที่จะไปทำอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าทำไม่ได้ มีปัจจัยให้สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็เกิด แม้แต่ความคิดของแต่ละคน ที่จะกล่าวแต่ละคำ ก็เป็นไปตามการสะสมของเหตุปัจจัย ทำไมคิดอย่างนี้ในขณะนั้นไม่ใช่ขณะอื่น ถ้าเป็นอีกบุคคลหนึ่ง ความคิดก็ต่างกันไปตามการสะสม

    ผู้ฟัง ฟังตรงนี้ก็จะเข้าใจได้ว่า ถ้าเสียงปรากฏก็คือเสียงนั้นเสียงเดียว แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ที่ว่าสีนี่มันเหมือนกับเยอะๆ ไปหมดเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะคิดใช่ไหม เพราะไม่ได้เข้าใจว่า ไม่ว่าจะเป็นสีอะไรก็ตามทั้งสิ้นปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นจะไม่คำนึงว่าเป็นสีอะไร แต่เริ่มเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างกับสภาพธรรมอื่น เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็มีสภาพธรรมหลากหลาย ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูกทางลิ้น ทางกาย ทางใจไม่ซ้ำด้วย แต่ละอย่างที่ปรากฏเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น แต่ว่าปัญญาที่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ก็มีความสับสน และก็มีการไม่รู้ แล้วก็มีการไม่เข้าใจด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่านี่คือหนทาง เพราะอาจจะเป็นเพียงแค่ความคิด โดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ลักษณะของสติสัมปชัญญะ คือปกติที่รู้ตรงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ให้ไปคิดเรื่องอื่นใช่ไหม มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้รู้ให้เข้าใจถูก ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นเวลาที่มีข้อความในพระไตรปิฏกว่า ไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะ นิมิตคือส่วนหยาบของสิ่งที่ปรากฏ เช่นเห็นความต่างของคนกับสัตว์ หรือว่าสัตว์แต่ละชนิด ก็มีความต่าง นั่นคือส่วนใหญ่ แต่อนุพยัญชนะคือส่วนละเอียด ของไม่ว่าจะเป็นรูปร่างของคน ของสัตว์ ขณะนั้นก็คือเป็นส่วนละเอียด แต่การที่จะไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะได้ ก็เริ่มจากการที่มีความค่อยๆ เข้าใจถูก ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ปรากฏกับคนตาบอด สิ่งนี้จะไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังนำมาซึ่งความคิดนึก ในสิ่งที่ปรากฏทางตา โดยประการทั้งปวงทั้งวัน พอเห็นจำได้ว่าเป็นใคร พอเห็นจำได้ว่าเป็นอาหารชนิดไหน ทั้งวันก็มีแต่การจำสีสันวรรณะที่ปรากฏ อย่างคนที่ทำอาหาร ก็จะจำไปหมดเลย กระเทียมหอม ตะไคร้ ข้าวปลาอาหาร แสดงว่าวันหนึ่งๆ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสิ่งต่างๆ ตามที่จำไว้ โดยที่ไม่เคยคิด ไม่เคยเข้าใจถูกเลยว่า เป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏทางตา โดยที่ว่ารูปร่างสัณฐานใดๆ เพราะคิด เพราะจำ เรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดก็มาจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ทางตาไม่ใช่คิด ก็ต้องมีการรู้จริงด้วยว่า ขณะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ส่วนคิดนั้นก็คือหลังจากที่เห็นแล้ว ไม่ได้หมายความว่า ขณะนี้ที่ทุกคนกำลังนั่งไม่เห็น ไม่ใช่ให้เห็นว่าเป็นอะไร ไม่ใช่บังคับอย่างนั้น แต่มีความเข้าใจถูกต้องว่า สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก จะยับยั้งไม่ให้เห็นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้เลย แต่เริ่มเข้าใจถูกต้อง อันนี้คือเริ่ม มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ให้เข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

    สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า วันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด การฟังธรรมแต่ละครั้ง ประโยชน์จริงๆ ก็คือความเข้าใจของแต่ละท่าน ยิ่งฟังก็ยิ่งพิจารณา เกิดความเข้าใจมากเท่าไหร่นั่นคือประโยชน์ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าคิด เวลาที่พูดถึงประโยชน์ว่า ตั้งแต่เกิดมาทุกคนก็เกิดมา แล้วอะไรเป็นประโยชน์ ของการเกิดมาในโลกนี้ ตั้งแต่เด็กจนกระทั่ง ณ บัดนี้อะไรเป็นประโยชน์จริงๆ ถ้าจะพูดถึงทรัพย์สมบัติ แต่ละคนก็ต้องการทรัพย์สมบัติมากๆ แต่ว่าทรัพย์สมบัติของแต่ละคน จะได้มามากน้อยนั้นก็ต้องแล้วแต่เหตุ ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้โดยไม่มีเหตุ แต่ว่าทุกคนก็ได้ฟังคำว่ากรรม การกระทำซึ่งเป็นเหตุ ที่จะทำให้เกิดผลคือวิบากผลที่ดี ถ้าเป็นกุศลกรรม ก็ทำให้ชีวิตเป็นสุขทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจ ซึ่งก็เลือกไม่ได้เลย ว่าวันไหนจะสุขหรือว่าวันไหนจะทุกข์ แต่ละคนก็มีชีวิตมาแล้ว เป็นประโยชน์หรือเปล่า กับการที่แต่ละวันก็มีสุขบ้างทุกข์บ้าง จากสิ่งที่เห็นทางตาสวยๆ งามๆ หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจที่คิดนึก ก็เป็นอย่างนี้ทุกวันตั้งแต่เกิดมา เป็นประโยชน์ขณะไหน หรือว่าประโยชน์จริงๆ อยู่ที่ไหน อยู่ที่เกิดมาเห็น เป็นประโยชน์หรือเปล่า อยู่ที่เกิดมาได้ยิน เป็นประโยชน์หรือเปล่า เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเกิดมาแล้ว ต้องอยู่ไปจนกว่าจะตาย ไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ว่าประโยชน์ของการเกิดมาแล้วในชาติหนึ่งอยู่ตรงไหน เวลาที่พูดถึงธรรมทุกคนก็ได้ฟังเผินๆ เช่นกุศลธรรม อกุศลธรรม กุศลธรรมต้องเป็นประโยชน์ แต่ว่ากุศลคืออะไร จริงๆ แล้วก็คือว่าโดยมากจะไปคิดถึงเรื่องทานเรื่องศีล แต่นั่นก็เป็นกุศลประเภทหนึ่ง แต่ว่าเราก็ยังไม่เข้าไปลึกถึงกับ ความหมายของคำว่ากุศล ซึ่งหมายความถึงสภาพธรรมที่ดีงาม

    เพราะฉะนั้นกุศลก็คือจิตที่ดีงาม ซึ่งวันหนึ่งๆ ลองพิจารณาดูว่า จิตที่ดีงามมีในขณะไหนบ้าง ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม จะตอบไม่ได้เลย นอกจากฟังคร่าวคร่าวว่า ขณะไหนที่ไม่เห็นแก่ตัว สามารถที่จะสละวัตถุ เพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น สามารถที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ ขณะนั้นก็เป็นจิตใจที่ดีงาม ให้ความสุขทั้งกับตนเองและคนอื่น นั่นก็เป็นประโยชน์ แต่ว่าวันหนึ่งๆ มากหรือน้อย ตั้งแต่เกิดมา วันนี้มีมากหรือเปล่า เมื่อวานนี้ถอยไป ก็จะเห็นได้ว่าบางท่าน ก็อาจจะมีความสนุกสนาน เพลิดเพลินในชีวิตตลอด แล้วก็มีการช่วยเหลือบุคคลอื่นบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ว่าจิตใจเป็นสภาพที่สะสม สิ่งที่ไม่รู้ว่าวันไหน จิตใจประเภทไหนจะเกิดขึ้น บางวันจิตใจก็ดี แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คงจะไม่ทราบว่าเป็นจิตที่ไม่ดี เพราะเหตุว่ามีความติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ มีการยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นของเรา มีการยึดถือว่ามีเราหรือว่ามีตัวตน ทั้งๆ ที่ความจริงก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดในชีวิตประจำวัน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกว่าจะสิ้นสุดชีวิต คือจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ที่ทรงแสดงก็คือ เมื่อได้เกิดในประเทศที่สมควร คือประเทศที่มีพระธรรมคำสอนที่จะทำให้ ตั้งแต่เกิดจนตายไม่ได้อะไรเลย นอกจากเกิดมาวันหนึ่ง ก็มีความสุขไปวันๆ หนึ่ง หรือว่ามีความทุกข์บ้างเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าอาจจะมีความทุกข์มากก็ได้ แต่ก็ทนอยู่ไป ยังจากโลกนี้ไปไม่ได้เลย แต่ว่าถ้าประเทศนั้นไม่มีคำสอน ที่จะทำให้เรามีความเข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น ประโยชน์ของชาตินั้นก็น้อยมาก เพราะเหตุว่าเพียงแต่เกิดมาเป็นสุขเป็นทุกข์ และก็ตายไป แต่สำหรับผู้ที่เกิดในประเทศที่สมควร ก็มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม การฟังพระธรรมคือการคบสัตบุรุษ สัตบุรุษคือผู้มีธรรมของผู้สงบจากอกุศล ซึ่งถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะไม่มีใครสามารถที่จะค่อยๆ สงบจากอกุศลได้ เพราะเหตุว่าไม่รู้เลย ว่าวันหนึ่งๆ นี้ ที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่สงบหรือไม่สงบ นี่ก็เป็นสิ่งที่ธรรมทำให้ เราสามารถเข้าใจชีวิตประจำวัน ละเอียดขึ้น เมื่อมีความเข้าใจละเอียดขึ้น ความเข้าใจต้องเป็นกุศลแน่นอน เพราะว่าเป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เมื่อมีความเห็นถูกว่าสิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล กุศลย่อมเพิ่มขึ้นนี่ก็เป็นประโยชน์ ทั้งในชาตินี้และก็ในชาติต่อๆ ไปด้วย

    เพราะฉะนั้นถ้าได้ฟังพระธรรมมาก แล้วก็มีการพิจารณาเข้าใจพระธรรม ก็จะรู้ว่าผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรากราบไหว้นับถือ ทรงตรัสรู้ความจริงแน่นอน และความจริงก็คือว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งทุกคนกำลังเห็น กำลังได้ยิน แต่ว่าไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของเห็น รู้ความจริงของได้ยิน รู้ความจริงของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงพระธรรม ใครจะคิดได้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรม แม้แต่การที่จะได้เข้าใจเพียงเล็กน้อย ในชาติหนึ่งชาติหนึ่งก็เป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะมีกุศลขั้นทานขั้นศีลที่ทั่วไปๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะพ้นจากความทุกข์ได้ เพราะเหตุว่าคนที่มีเงินทอง มีทรัพย์สมบัติมากก็มีทุกข์ ทุกคนจะต้องประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจมากบ้างน้อยบ้าง ตามเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับการฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ก็คงจะได้เข้าใจความละเอียดของสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินเหมือนเดิม เข้าใจเหมือนเดิม กรรมดีกรรมชั่วให้ผลเป็นวิบากคือผลของกรรมที่ดี ที่ชั่วเกิดมาแล้วก็ตายไป แต่ก็ควรที่จะได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับเรื่องของประโยชน์ ก็ควรที่จะได้คิดว่าประโยชน์ มีทั้งการที่จะมีชีวิตในโลกนี้ ด้วยบุญไม่ใช่ว่าด้วยบาป หรือว่าด้วยอกุศล เพราะเหตุว่าถ้าเป็นบาปอกุศลก็ย่อมให้ผลที่เป็นทุกข์ แต่ว่าถ้าเป็นจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่ดีงามนั้น ก็จะทำให้เกิดสภาพธรรมที่ดีเป็นสุขต่อไป นี่ก็เผินๆ แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ๓ ปิฏก ยังมีความละเอียดมากกว่านั้นอีก และก็ถ้าเข้าใจโดยละเอียด แม้แต่คำเดียวคือคำว่าธรรมถูกต้อง ก็จะทำให้ค่อยๆ เห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 195
    26 พ.ย. 2568