ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1567


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

    วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘


    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วขณะนี้เป็นธรรม แต่ถ้าผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรม ก็จะไม่มีใครรู้ความจริง ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าความจริง แม้ว่าจะเป็นจริงอย่างนั้น แต่ก็ยากที่จะรู้ได้ ความจริงก็คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง หมดสิ้นไป เพราะฉะนั้นการที่เกิดมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดและสิ่งนั้นหมดสิ้นไป จะกล่าวว่าเป็นสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเกิด และมีการหมดสิ้นไปเป็นทุกข์แล้วก็เป็นอนัตตา คือไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แต่ว่าวันหนึ่งๆ เราไม่เคยรู้ความจริงนี้เลย และก็ไม่เคยคิดถึงด้วย เวลาที่มีคนกล่าวว่า อนิจจังไม่เที่ยงทุกขังเป็นทุกข์ และอนัตตาคือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เราก็ฟังและก็ได้ยินบ่อยๆ แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าถึงอรรถ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอย่างละเอียด เพราะว่าโดยมากเราก็คิดว่าคนเรา เกิดมาแล้วก็เปลี่ยนแปลง แก่แล้วก็เจ็บแล้วก็ตายเท่านั้นเองเท่าที่จะรู้ได้ แต่ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลึกซึ้งกว่านั้น ทำให้พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ ที่กล่าวว่าไม่สามารถที่จะรู้ได้ คือไม่รู้ว่าขณะนี้เอง สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วจึงได้ปรากฏ และเมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับไปใครจะรู้ได้ ในขณะนี้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเกิดดับ

    เพราะฉะนั้นการที่ได้ศึกษาพระธรรม ก็ทำให้ผู้ที่ได้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง ที่จะรู้สัจธรรมคือความจริง เพราะว่าแม้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ก็ถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะมีผู้ที่ได้บำเพ็ญพระบารมี สามารถที่จะตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม และทรงแสดงสภาพธรรม ซึ่งผู้ฟังเมื่อได้ศึกษาได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็จะมีความเข้าใจตัวเองขึ้น ว่าแท้ที่จริงแล้วยิ่งเข้าใจพระธรรมยิ่งรู้ว่า ความห่างของผู้ที่ได้สะสมปัญญา ถึงระดับขั้นที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยะบุคคลทั้งหลายในครั้งอดีต ไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบันบุคคล พระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล และพระอรหันต์ กับปัญญาของผู้ที่เริ่มได้ยินได้ฟังพระธรรม ก็จะทำให้เราเห็นความต่าง และห่างไกลกันมาก ระดับของผู้ที่ได้รู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมกับผู้ที่เริ่มฟัง เพราะฉะนั้นก็จะเป็นผู้ที่นอบน้อมเคารพในพระธรรมอย่างยิ่งขึ้น ตามกำลังความรู้ความเข้าใจ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ ใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ ผู้ที่ได้สะสมความศรัทธาในอดีตมาแล้ว ก็ใคร่ที่จะได้ฟังความจริง ได้เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงนั้น โดยต้องเป็นผู้ที่อดทน เพราะว่าไม่มีใครสามารถ ที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงได้ทั้งๆ ที่กำลังฟัง สภาพธรรมก็เป็นอย่างนี้ ก็ยิ่งเห็นความห่างไกลว่าปัญญา ต้องค่อยๆ สะสมค่อยๆ อบรมด้วยความอดทน แต่ไม่ใช่ด้วยโลภะหรือด้วยความเป็นตัวตน ที่ต้องการจะรู้ ต้องการจะดับกิเลสไม่มีกิเลส เพราะว่าจริงๆ แล้วผู้ที่บอกว่าต้องการจะดับกิเลส ยังไม่ได้รู้จักกิเลสเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางเลยที่จะไปดับสิ่งที่ไม่มีความรู้ ว่ากิเลสคืออะไรและเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ก็เป็นการสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก ในสัจจะความจริงด้วยตนเอง ซึ่งต้องเป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรม ตรงต่อความเข้าใจว่ามีมากแค่ไหน และก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้เลย แต่ว่าอยากจะไปประจักษ์ การเกิดดับของสภาพธรรม อยากเป็นพระอริยบุคคล อยากรู้แจ้งทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจและมรรคสัจ นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย การศึกษาทั้งหมดต้องมีการเริ่มต้น จากขั้นต้นซึ่งเป็นพื้นฐาน และพื้นฐานคือความเข้าใจขั้นต้น จะเพิ่มขึ้นเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ความจริงของธรรม ที่ได้ศึกษาได้เข้าใจแล้วว่าตรงกัน สำหรับวันนี้ก็ขอเชิญผู้ที่ได้อ่านได้พระสูตรร่วมกัน แล้วก็ได้ฟังธรรมถ้ามีข้อสงสัยก็ขอเชิญ

    ผู้ฟัง ขออนุญาต จากคำกล่าวของอาจารย์ ที่กล่าวอีกสักครู่นี้ว่า ทุกอย่างมีการเกิดดับ ที่นี้โดยสามัญสำนึกของปุถุชน คืออย่างเราธรรมดา ย่อมมองไม่เห็นการเกิดดับของสภาพธรรม คำถามคือจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ธรรมมีการเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ต้องค่อยๆ พิจารณา ขณะนี้หรือยังรู้ว่าอะไรเป็นธรรม ถ้ารู้ว่าขณะที่กำลังเห็นเป็นธรรม เห็นเกิดจึงเห็น แล้วเห็นก็ดับ เพราะว่าในขณะที่กำลังได้ยินไม่ใช่เห็นแล้ว แล้วในขณะที่กำลังคิดนึกก็ไม่ใช่เห็นแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ตรงต่อพระธรรม ก็คือว่าไม่คลาดเคลื่อน พระผู้มีพระภาคทรงชี้ธรรม ให้เห็นขณะนี้เองเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเราจะไปรู้อื่นก็ไม่ถูกต้อง หรือจะฟังอย่างอื่น ก็จะไม่เข้าใจความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่มีทั้งหมด ในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่าผู้ที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ ไม่ใช่สัตว์บุคคล แต่ต้องเป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ถ้ามีความเห็นว่าเป็นเรา กำลังเข้าใจธรรม แต่จริงๆ แล้วกำลังเข้าใจเรื่องของธรรม แต่ว่าไม่รู้จักสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังแล้วฟังอีก แล้วก็ค่อยๆ สะสมความเห็นถูกไปเรื่อยเรื่อย แล้วก็จะเห็นได้ว่าถ้ามีความต้องการเป็นเครื่องกั้นทันที เพราะเหตุว่ามีความเป็นเรา จึงมีความต้องการอยู่ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดให้ทราบว่า ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพระวินัยปิฏก พระสุตตตันปิฏกหรือพระอภิธรรมปิฏก ทั้งหมดเป็นไปเพื่อละความไม่รู้ ละการติดข้อง ถ้าไม่ลืมก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจตรงหนทางของธรรม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ จากการที่ฟังพระธรรม ก็จะทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนกับความต้องการของเราลดลง แต่โดยสภาพความเป็นจริงแล้ว คือยังไม่เข้าใจ ว่ามันเป็นเป็นอะไร ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า แม้ว่าเราจะได้ฟังธรรม และเราก็มีความเข้าใจ แต่ว่าความรู้ความเข้าใจธรรมน้อยแค่ไหน ยังไม่พอที่จะทำให้รู้ความจริงว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก และก็สืบต่อกันจนกระทั่งไม่ปรากฏว่า สภาพธรรมใดเกิดสภาพนั้นก็ดับ ถูกต้องไหมขณะนี้มีสภาพธรรมปรากฏจริงเหมือนเห็น ก็ปรากฏอยู่ตลอดเวลา แต่ผู้ที่รู้ความจริงก็ประจักษ์ว่า เห็นนี่แหละเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ปกติเป็นอกุศล แล้วพอได้รู้เรื่องของกุศล ก็เป็นเรื่องราว แต่ว่าขณะที่กุศลจิตเกิดก็เล็กน้อย แล้วก็อกุศลจิตก็เกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้นจึงไม่ปรากฏว่า มีการที่เรามีกุศลมาก เพราะเหตุว่าอกุศลที่เกิดสืบต่อ มีจำนวนที่มากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้ที่ฟังแล้ว ก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าสามารถจะรู้จักลักษณะ สภาพที่ต่างกันของกุศลและอกุศล เมื่อนั้นก็จะเห็นได้ว่าสภาพธรรมนั้น เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง

    ผู้ฟัง อย่างนั้นลักษณะสภาพธรรมที่เกิดในชีวิตประจำวัน ถ้าแค่ความรู้สึกของความต้องการลดลง ก็ยังไม่ใช่ลักษณะของสภาพธรรมที่แท้จริงใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สภาพความต้องการลดลง แต่ว่ามีสภาพเห็นเกิด แล้วก็มีสภาพของอกุศลเกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้นจะเห็นสภาพของความต้องการ ลดลงน้อยมากใช่ไหม และก็เป็นเรื่องราวด้วย เช่นในขณะนี้ทุกคนเห็น เกือบจะไม่รู้เลยว่าต้องการเห็นใช่ไหม แต่ว่าความจริงถ้าเกิดไม่เห็น ก็จะรู้ถึงความทุกข์ ความเดือดร้อน ว่าจริงๆ แล้วมีความต้องการที่จะเห็น เพราะฉะนั้นแม้แต่กำลังเห็น ก็ไม่รู้ว่ามีความต้องการเห็น เพราะฉะนั้นก็เป็นความไม่รู้อยู่นั่นเอง จนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้นความต้องการลดน้อยลง ลดน้อยในเรื่องอะไร ในเรื่องเห็นไม่ได้ลดน้อยใช่ไหม ในเรื่องได้ยินก็ไม่ได้ลดน้อย ในเรื่องได้กลิ่นไม่ลดน้อย ในเรื่องรสต่างๆ ก็อาจจะเกิดความรู้สึกที่ รู้จักประมาณในการบริโภคอาหารและก็ไม่ติดในรส แต่ว่าไม่ใช่ตลอดไป เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นเพียงครั้งคราวไม่มาก แต่ส่วนมากก็ยังคงเป็นความติด ในสิ่งที่ปรากฏทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอย่างมากมายนั่นเอง

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติว่าเรามีความคิดว่า จากเมื่อผ่านมากับปัจจุบันนี้ พฤติกรรมส่วนตัว หรือว่าความต้องการลดลง มันก็เป็นความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งใช่ไหม ว่าเรามีความเข้าใจธรรมเพิ่มมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ ส่วนที่ลดก็ลด จะไปให้ส่วนที่ลดไม่ลดไม่ได้ แต่ส่วนที่ไม่ลดก็มากมาย ใช่ไหม อย่างไม่ลดความต้องการทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ยังต้องการเห็น ยังต้องการได้ยิน ต้องการได้กลิ่น ต้องการลิ้มรส ต้องการกระทบสัมผัส ต้องการคิดนึกเรื่องต่างๆ นี่ไม่ได้ลดเลย แต่ก็จะมีการลดลงบ้างในบางส่วน เล็กๆ น้อยๆ น้อยมากเมื่อเทียบกับวันหนึ่งๆ ทั้งเห็นทั้งได้ยิน

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติว่าอารมณ์มากระทบทางทวารทั้ง ๖ ก็หมายความว่ามีความต้องการแอบแฝงอยู่ด้วยแล้ว ใช่ไหมท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถ้ากุศลจิตไม่เกิดขณะนั้นเป็นอกุศล และอกุศลส่วนใหญ่ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสะ ก็ต้องเป็นโลภะหรือโมหะ

    ผู้ฟัง ถ้ามันไม่มีเหตุและปัจจัยให้ กิเลสตัวใดตัวหนึ่งเกิดเราก็ไม่รู้ เราก็คิดว่าตัวเราดีขึ้น แต่มาวันหนึ่งมีเหตุที่ทำให้โทสะ เราก็แปลกใจมากว่าทำไมมันพุ่งได้ขนาดนั้น ก็เลยมีความรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ แค่เราคิดว่าตัวเราฟังธรรมแล้วมันดีขึ้น

    ท่านอาจารย์ ส่วนดีไม่ใช่ว่าไม่มีเลย อย่างน้อยคุณสุกัญญาก็ได้เข้าใจว่าอะไรเป็นธรรม แต่ที่จะหวังว่าเมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว ทำไมยังโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าเพียงเริ่มศึกษา แต่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกระทั่งได้เป็นพระอริยบุคคล แม้เป็นพระอริยบุคคลแล้ว ต้องถึงระดับขั้นของพระอนาคามีบุคคล จึงจะไม่มีความโกรธ หรือว่าไม่มีความขุ่นใจ เพราะฉะนั้นทุกอย่างยังมีเต็ม ทั้งๆ ที่ได้ศึกษา เพราะเหตุว่าพระอริยเจ้าเท่านั้นที่ดับอนุสัยกิเลส ซึ่งจะทำให้กิเลสตามระดับขั้นนั้นๆ ไม่เกิด เช่นผู้ที่เป็นพระโสดาบัน ไม่มีความเห็นผิด ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะว่าค่อยๆ อบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ รู้ลักษณะนั้น จนประจักษ์แจ้ง ถึงขั้นที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมทั้ง ๔ เมื่อนั้นก็จะหมดความสงสัยในธรรม ทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตระ ไม่ว่าเท่าถึงการรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนิพพาน ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เลย ยังคงมีกิเลสที่มากบ้างน้อยบ้าง ละเอียดบ้างหยาบบ้าง นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เพียงขั้นการฟังไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เมื่อไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ มีปัจจัยให้กิเลสเกิด กิเลสก็ต้องเกิด แต่เมื่อรู้ว่าเป็นธรรมตอนนี้ ก็จะทำให้ผลของการศึกษาที่ได้ฟังมานาน ไม่ว่าแต่เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว หรือว่าในชาติก่อนๆ ก็ตาม ก็จะทำให้สามารถคลายความเป็นตัวตน สามารถที่จะละการติดข้อง ที่ยึดถือลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นเรา มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่ใช่ว่าเพียงฟังธรรมแล้วจะดีขึ้นอย่างมากมาย ที่ดีก็มี คือว่าได้มีความรู้ความเข้าใจขึ้น แต่ว่าความรู้ความเข้าใจเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถที่จะไปดับกิเลสได้

    ผู้ฟัง ผมสงสัยว่าบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ กับมรรคมีองค์ ๘ นั้นต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่าการที่ได้กล่าวถึง บุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ เพื่ออะไร และบุญญกิริยาวัตถุคืออะไร เพราะเหตุว่าบางคน ก็ยังไม่สามารถที่จะทราบได้ว่า อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล เพราะเหตุว่ามักจะได้ยินคำถามบ่อยๆ ว่าทำอย่างนี้เป็นกุศลหรือเปล่า แล้วก็ทำอย่างนี้เป็นบุญหรือเปล่า ได้บุญมากไหม นี่ก็แสดงว่าบุคคลนั้น ไม่รู้จักบุญ แล้วก็ไม่รู้จักอีกคำหนึ่งคือกุศล ก็ความหมายอย่างเดียวกัน เพราะว่ากุศลและบุญ ก็เป็นสภาพธรรมของจิตที่ดีงาม เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ได้ว่า ขณะไหนเป็นจิตที่ดีงาม และขณะไหนเป็นจิตที่ไม่ดีงาม ซึ่งยากใช่ไหม นั่งอย่างนี้จะรู้ได้ไหมว่า ขณะนี้เป็นกุศลหรือไม่ใช่กุศล จึงต้องมีการที่แสดงเรื่องของบุญญกิริยาวัตถุ เพื่อให้ทราบว่านอกจากนี้แล้วไม่ใช่กิริยาวัตถุของบุญ ไม่ใช่เป็นที่ตั้งของบุญ เพราะฉะนั้นต้องทราบด้วยตัวเอง เมื่อได้ฟังธรรมว่า ขณะใดก็ตามที่เป็นไปในทาน ในศีล ในภาวนา ขณะนั้นเป็นบุญ แต่ว่าถ้าไม่เป็นไปในทานในศีลในภาวนา ขณะนั้นไม่ใช่บุญ แต่ว่าทานไม่ใช่ศีลและไม่ใช่ภาวนา ไม่ใช่ว่าทั้งหมดเป็นภาวนามิฉะนั้นก็จะไม่จำแนกเป็น ๑๐ ประเภท

    เพราะเหตุว่าสำหรับบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ ถ้าทราบความละเอียดก็คือว่า ทานไม่ใช่มีแต่เฉพาะการให้ วัตถุที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นเท่านั้น แม้แต่การที่เมื่อให้แล้ว อุทิศส่วนกุศลให้บุคคลอื่นอนุโมทนา ขณะนั้นก็เป็นกุศลด้วย เพราะว่ามีเมตตาจิตที่จะให้บุคคลอื่นเกิดกุศล เมื่อทราบว่าบุคคลอื่นทำกุศลแล้วก็อนุโมทนาได้ แม้ขณะที่กำลังอนุโมทนาก็เป็นกุศลไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่ไม่ทราบว่า อะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล จะรู้ได้เมื่อได้ศึกษาและเข้าใจเรื่องของบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของบุญญกิริยาวัตถุ ก็ยังคงต้องถามคนอื่นว่า ขณะนั้นเป็นบุญหรือไม่ใช่บุญ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างเป็นภาวนา แต่ว่าทานคือการให้วัตถุ เพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น แม้ไม่มีความเข้าใจถูกเลย ในเรื่องของสภาพธรรมก็มีการให้ได้ ถ้ามีการสะสมมาที่จะมีจิตเมตตา แต่ว่าสำหรับภาวนาแล้ว ถ้าไม่มีปัญญาไม่สามารถที่จะอบรมเจริญได้ แม้ว่าจะเป็นสมถภาวนาก็ตาม สำหรับวิปัสสนาภาวนานั้นแน่นอน ต้องเป็นปัญญา เพราะเหตุว่าสามารถที่จะรู้ความจริง ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ตามความเป็นจริงได้

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ ขณะนี้ก็มีสิ่งที่รู้ได้ทางกายคือเย็น เป็นรูปที่มีลักษณะอย่างนั้น การสังเกตคือสังเกตในขณะนั้น แต่ที่ออกมาพูดนี่มันก็เลยไปแล้ว แต่มันก็มีอยู่ ถ้าคิดอย่างนี้ ช่วยอธิบายว่ามีหนทางที่จะทำให้ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าคุณจรัญคิดยังไง เพราะเหตุว่าเวลาที่ฟังก็เพื่อที่จะเข้าใจ แต่ว่าบางคนเวลาฟัง อยากจะทำ แล้วก็คิดถึงว่าควรจะทำอย่างไร ขอคำแนะนำด้วยแต่จริงจริงแล้ว ขณะนั้นก็ยังคงเป็นตัวเราอยู่ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ต้องไปคิดถึงว่า แล้วเราจะทำอย่างไร และเราจะคิดอย่างไร และเราจะรู้อย่างไร ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายความว่าขณะนี้กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเท่านั้นเอง และสภาพธรรมก็เป็นอนัตตา เวลาที่เราได้ยินได้ฟังคำว่าขันธ์ ๕ จะมีคำว่ารูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ถ้าเราไม่มีความมั่นคง ที่จะเข้าใจความหมายของขันธ์ว่าเป็นธรรม ซึ่งได้แก่จิต เจตสิก รูป เป็นธรรมที่มีจริง รูปก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ ทั้งหมดไม่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ในอดีตรูปก็เป็นรูปเปลี่ยนไม่ได้ อนาคตรูปที่จะปรากฏเกิดขึ้น ก็เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ไม่ว่ารูปจะหยาบรูปจะละเอียดอย่างไรก็ตาม ลักษณะของรูปก็คือธรรมที่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ นี่เป็นรูปขันธ์ เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่ารูปขันธ์ และมีความเข้าใจจริงๆ ก็มีความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา รูปทั้งหมดไม่ใช่เรา และก็ไม่ใช่ของเราด้วย เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟัง ฟังให้เข้าใจความเป็นธรรมของแต่ละธรรม ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คิดถูกต้องขึ้น ไม่ใช่คิดเหมือนแต่ก่อนซึ่งเป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นแต่ละขณะจิต ให้ทราบว่ามีการปรุงแต่งเป็นสังขารธรรม ที่อาศัยการปรุงแต่งเกิดขึ้น ไม่ใช่ใครจะไปบังคับบัญชาได้ แม้แต่คิดที่จะถามคิดที่จะพูดในขณะนี้ ทุกอย่างเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นถ้าฟังให้เข้าใจจริงๆ เราจะไม่เตรียมล่วงหน้าเลย เพราะว่าเป็นเรื่องของสังขารขันธ์ เป็นเรื่องของสติ เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของศรัทธา ถ้าเป็นไปในฝ่ายกุศล ถ้าเป็นไปในทางฝ่ายอกุศลไหม จะคิดว่าใครจะคิดไม่ชอบใคร จะคิดพยาบาท ถ้าเป็นทางฝ่ายอกุศล ก็ปรุงแต่งให้เกิดขึ้นคิดอย่างนั้น ให้เข้าใจตามความเป็นจริง ว่าทุกขณะไม่มีเราแล้วก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปเตรียมล่วงหน้า ว่าจะทำอย่างไร แต่ว่าเมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ขอบคุณมาก

    กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพ พูดถึงพอได้ฟังธรรมท่านอาจารย์ ก็พอที่จะ เข้าใจถึงลักษณะของโลภะ ท่านอาจารย์ว่ามันละเอียด อยากที่จะให้สติเกิดทั้งๆ ที่มันก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าเผื่อเรายังฟังยังไม่ได้เข้าใจพอ ท่านก็ได้กล่าวบอกว่า ก็ทำไมจะไปอยากรู้ในสิ่งที่มันยังไม่เกิด ซึ่งขณะนี้อะไรปรากฏก็ควรที่จะระลึกได้ ตรงนี้ก็จำคำของท่านอาจารย์ไว้ ก็อยากจะกราบเรียนถามว่า เหมือนกับเคยฟังบอกว่าพระพุทธเจ้า ทรงแสดงสิ่งที่ปกปิดให้เปิดเผยขึ้น สิ่งนั้นคืออะไรท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็สภาพธรรมทั้งหมดในขณะนี้ ถ้าไม่มีความเข้าใจขณะใด ขณะนั้นก็ถูกปกปิดไว้ด้วยอวิชชา แต่ว่าขณะใดก็ตามที่กำลังค่อยๆ เข้าใจแม้ในขั้นการฟัง ขณะนั้นอวิชชาก็ปกปิดไม่ได้

    ผู้ฟัง ฟังเหมือนอย่างกับว่า ขณะนี้ก็พูดกันอยู่ว่า มีร้อน มีเย็นกระทบ เสียงได้ยินปรากฏตรงนี้หรือที่มันปกปิดอยู่ เราไม่รู้ทั้งๆ ที่มีปรากฏอยู่

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดไม่รู้เลยเพราะว่าเกิดดับสืบต่อเร็ว สิ่งที่ทุกคนคิดว่ามีอยู่ในขณะนี้ ความจริงก็กำลังเกิดดับ สิ่งใดที่ดับแล้วสิ่งนั้นไม่กลับมาอีกเลย ใช้คำว่าดับคือดับจริงๆ แล้วทุกอย่างที่กำลังปรากฏ แม้สิ่งที่ดับไปแล้วดับไปแล้ว แต่ก็มีสิ่งใหม่เกิดสืบต่อปรากฏตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งใครก็บังคับบัญชาหรือสร้างขึ้นมาไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันคิดว่ามันปกปิดอยู่ แล้วก็อย่างสมมติว่า เราบอกเราฟังธรรมแล้ว เราก็เหมือนกับว่าจะดีขึ้นอะไรต่างๆ พอลักษณะของโกรธเกิดขึ้นแล้วก็อันนี้เราไม่ได้ดีขึ้น ตรงนี้หรือเปล่าท่านอาจารย์ ที่มันยังเป็นการที่เราจะเข้าใจผิดอยู่เราจึงต้องมาศึกษา เนื่องจากว่าเราไม่ใช่ว่าจะเรียนธรรมเพื่อให้ดีขึ้น เราเรียนเพื่อจะให้รู้ลักษณะของรูปธรรมกับนามธรรม ตรงนี้ท่านอาจารย์ ดิฉันก็ยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่ว่ามันจะเป็นอะไรกันแน่

    ท่านอาจารย์ จะให้ดีแค่ไหน ดีเท่าพระอรหันต์คือไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะเลย หรือว่าจะให้ดีแค่ไหน ต้องตามความเป็นจริง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ ก็คือว่ายังต้องมีกิเลสอยู่ ถ้ายังไม่ใช่พระโสดาบันบุคคล ก็ยังไม่รู้แจ้งประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ เพราะฉะนั้นโดยมาก หวังจะดีด้วยความเป็นเรา ศึกษาธรรมก็เพื่อตัวเราจะเป็นคนดี ถ้าอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็คือว่าไม่เข้าใจเลย ว่าจริงๆ แล้วเป็นธรรมไม่ใช่เรา ทุกอย่างเมื่อไหร่ที่เราฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เช่นเห็นในขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา คือการฟังต้องฟังละเอียด เพื่อที่จะได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ถ้ากล่าวว่าเป็นสภาพธรรม ก็หมายความว่าไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่ตัวตน จึงใช้คำว่าธรรม แต่ไม่ใช่หมายความว่าเรียนแล้ว ทำไมเรายังไม่ดีเท่าพระอรหันต์ หรือว่ายังมีโลภะ โทสะโมหะอยู่

    ผู้ฟัง ตรงนี้จะเป็นการที่หลงผิดอยู่ตลอด เนื่องจากมีลักษณะของความมีตัวตนอยู่ เป็นประจำ ช่วยกรุณากล่าวบอกว่า เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาขยายความตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ทุกคนกำลังเห็นถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 195
    19 พ.ย. 2568