ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1561


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๑

    สนทนาธรรม ที่ รัฐสภา

    วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ การที่ศึกษาธรรมก็มีทั้งการศึกษาเรื่องของจิต ซึ่งรู้ได้ปรากฏให้เข้าใจได้กับจิตซึ่งแม้มีก็ไม่ได้ปรากฏ แต่ก็ให้รู้ว่าต้องมีจิตเหล่านั้นก่อน หรือแม้แต่ในขณะนี้เองที่เห็น ปัญจทวาราวัชชนะจิตดับไปก่อนแล้ว จักขุวิญญาณจึงเห็น จักขุวิญญาณเห็นดับแล้วรูปยังไม่ดับ สัมปฏิจฉันนสัจเกิดมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ต่อ ดับไปแล้วสันตีรณะก็ยังมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้นจึงมีเจตสิกเพิ่มจาก ๑๐ เพราะว่าต้องมี วิตกเจตสิก วิจารเจตสิก อธิโมกขเจตสิกเกิด จึงเป็นจิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง ที่กล่าวถึง ๑๐ แล้วก็เพิ่มสันตีรณะอีกที่ต้องมีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่าขณะใดที่โสมนัสสเวทนาเกิด ต้องมีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วยในกามมาวจรจิต คือในประเภทของจิตซึ่งเป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน เพราะว่าชีวิตประจำวันไม่ว่าจะวันไหนก็ตาม จิตของเรายังไม่ข้ามพ้นไปถึงอีกภูมิหนึ่ง ซึ่งเป็นภูมิที่อบรมเจริญกุศลจนกระทั่งสงบ ถึงระดับขั้นของอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายแล้วชีวิตประจำวัน ในขณะนี้ก็เป็นกามาวจรจิตทุกวัน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีจิตประเภทนี้ หมายความว่ามีทั้งปัญจทวารวัชชนจิต มีทั้งทวิปัญจทวารวิญญาณ มีสติสัมปฏิจฉันนะ มีสันตีรณะด้วยไม่ต่างกันเลย แล้วเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะในภพไหนภูมิไหนทั้งสิ้น อาจจะเป็นชื่อที่ใหม่ อาจจะค่อนข้างยาก และอาจจะคิดว่าไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่ว่าความจริงการที่จะได้เข้าใจพระไตรปิฏกเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เรารู้ความละเอียด และก็สามารถที่จะเห็นได้ว่า เป็นสิ่งซึ่งอบรมเจริญความรู้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจยิ่งขึ้น เพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ถ้าในขณะนี้ที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว คือไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมคือ จิต เจตสิก รูป ได้ยินแค่นี้ละกิเลสหรือยัง ละความเป็นตัวตนหรือยัง ยังไม่สามารถที่จะละได้จนกว่าความเข้าใจของเราจะเพิ่มขึ้น ทั้งในเรื่องของระดับของปริยัติคือการศึกษา เพื่อที่จะให้ถึงการปฏิปัตติ คือสติสามารถที่จะเกิดระลึกและศึกษาโดยการที่ว่าไม่มีคำ แต่มีสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ต้องมีความรู้ขั้นปริยัติก่อน

    ผู้ฟัง กราบอนุญาตท่านอาจารย์ จากหนังสือปรมัตธรรม เกี่ยวกับเรื่องเอกัคคตาเจตสิก มีใจความว่า เอกัคคตาเจตสิกก็ตั้งมั่นในอารมณ์นั้น แต่เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิต ไม่มีกำลังตั้งมั่นคงในอารมณ์ เท่ากับเอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับกุศลจิต ทำไมเป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ต่อไปจะทราบว่านอกจากอัญญสมนาเจตสิก ซึ่งสำหรับอัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ยังไม่เป็นกุศลจิตและยังไม่เป็นอกุศลจิตเลย จิตที่มีแต่อัญญสมนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่านั้น ยังไม่เป็นกุศลจิตและยังไม่เป็นอกุศลจิต ที่จะเป็นอกุศลจิตก็คือต้องมีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยอีก และที่จะเป็นกุศลจิตก็ต้องมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยอีก เพราะฉะนั้นจิตจึงต่างเป็นกุศลจิตและอกุศลจิตได้ แต่ขณะนี้เรากำลังพูดถึงจิตซึ่งไม่ใช่กุศลจิต และไม่ใช่อกุศลจิต แต่เกิดขึ้นทำกิจการงานในวันหนึ่งๆ ซึ่งต่อไปจะทราบว่าจิตที่เรากล่าวถึงทั้งหมด รวบรวมแล้วเป็นอเหตุกจิตคือจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ เพราะว่าเหตุในธรรมมี ๖ เหตุ ได้แก่ เจตสิก ๖ คือโลภเจตสิก ๑ โทสเจตสิก ๑ โมหเจตสิก ๑ เป็นอกุศลเหตุ ๓ ถ้าเจตสิกนี้เกิดขึ้นจิตต้องเป็นอกุศลจะเป็นอื่นไปไม่ได้ จะเป็นวิบากได้ไหม ไม่ได้ จะเป็นกุศลได้ไหม ไม่ได้ จะเป็นกิริยาจิตได้ไหม ไม่ได้ เราก็ต้องไม่ลืมเรื่องของจิต ว่าจิตมี ๔ ชาติ จิตใดที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลจิตนั้นก็เป็นอกุศล จะเป็นกุศลเป็นวิบากเป็นกิริยาไม่ได้ เพราะว่าเป็นเหตุที่ไม่ดี จิตใจที่เป็นอกุศลวิบาก คือเป็นผลของอกุศลจิตนั้นก็เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลหรือเป็นกิริยาไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นวิบาก การเกิดขึ้นของจิต ๑ ขณะ ชาติ ความเป็นของจิต นั้นก็คือว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ซึ่งเป็นเหตุ หรือเป็นวิบากที่เป็นผล หรือเป็นกิริยาซึ่งไม่ใช่ทั้งเหตุและผล

    เรากำลังพูดถึงเรื่องของปกิณกเจตสิก ๖ แล้วก็สัพพจิตตสาธารณะ ๗ รวมเป็นอัญญสมนาเจตสิก ๑๓ ก็ยังไม่ครบจิตทั้งหมด ที่เราได้กล่าวถึงแล้วใช่ไหม เพราะว่าเรากล่าวถึงก่อนเห็น มีปัญญจทวาราวัชชนจิตเกิด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง ปัญญจทวาราวัชชนไม่มีเจตสิกที่เป็นอัญญสมานากี่ดวง คือย้อนไปย้อนมาได้หลายอย่าง เพื่อให้จำแล้วก็เพื่อให้เข้าใจ เพราะว่าอัญญสมนาทั้งหมดมี ๑๓ สำหรับสัพพจิตตสาธารณะ ๗ ต้องมีแน่ๆ ใช่ไหม ปกิณกะ ๖ คือวิตักกะ วิจาระ อธิโมกขะ วิริยะ ปิติ ฉันทะ ปัญญจทวาราวัชชนจิตไม่มีปกิณกเจตสิกกี่ดวง ๓ ดวง คือไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่มีฉันทเจตสิกเกิดร่วมด้วย เหตุผลคือปัญญจทวาราวัชชนจิต เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา เพราะฉะนั้นจะมีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้ แล้วก็แล้วแต่ปัญญทวารวัชชนจิต แล้วแต่อารมณ์กระทบเป็นผลของกรรมใด เราเลือกไม่ได้ที่จะเห็น เลือกไม่ได้ที่จะได้ยิน เวลาที่กรรมให้ผล ทางของกรรมที่จะให้ผลก็มี ๕ ทาง คือให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นตาหรือว่าจักขุทวารวิถีจิต ก็เป็นทาง ๑ ซึ่งเป็นวิบากจิตที่จะเกิดขึ้น รับผลของกรรม แต่ว่าก่อนเห็น ก่อนได้ยิน ต้องมีกิริยาจิตคือจากภวังคจิต ที่กำลังสืบต่อดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น แล้วจะให้เกิดวิบากอื่นไม่ได้ ก็จะต้องมีกิริยาจิตเกิดคั่น ซึ่งหน้าที่ของกิริยานี้ก็คือว่าไม่ใช่วิบาก ไม่ใช่ภวังคจิตจิตต่อไป แต่ว่าเป็นจิตที่ทำหน้าที่รำพึงหรือว่ารู้สึกตัว รู้ว่าขณะนั้นอารมณ์อะไรกระทบซึ่งเลือกไม่ได้ ปัญญจทวาราวัชชนจิตในขณะนั้น แล้วแต่ว่าจะเป็นสี หรือจะเป็นเสียง หรือจะเป็นกลิ่น หรือจะเป็นรสหรือจะเป็นโผฏฐัพพะ คือธาตุดินไฟลม ที่สามารถกระทบได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีฉันทเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะว่าไม่ต้องเพียรอะไร จิตเหล่านี้ไม่ต้องมีวิริยเจตสิกเลย เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ว่าเมื่อมีอารมณ์กระทบทวารจำเป็นที่ต้องเกิด ไม่ต้องอาศัยวิริยะเลย เพราะฉะนั้นปัญญจทวาราวัชชนจิต ก็มีสัพพจิตตสาธารณะเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ดวง แล้วก็มีปกิณกเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๓ ดวงคือวิตักกเจตสิก วิจารเจตสิก อธิโมกขเจตสิก แต่ไม่มีปีติเจตสิก ไม่มีวิริยเจตสิก ไม่มีฉันทเจตสิก อันนี้ก็คงจะพอไม่ลืมได้ถ้าจะคิดถึงเหตุผล

    พอถึงทวิปัญญจวิญญาณกี่ดวง ทวิปัญญจวิญญาณมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยกี่ดวง ๗ ดวงเท่านั้น ในบรรดาจิตทั้งหมด จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยน้อยที่สุดก็คือจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ถ้ามีการระลึกถึงธรรมที่ได้เรียน ขณะเห็นเจตสิก ๗ ดวง และก็เกิดที่จักขุปสาทด้วย ถ้าจิตได้ยินก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ดวง และก็เกิดที่โสตปสาท ตามที่เกิดนั้นๆ แต่ปัญจทวารวัชชนะไม่เห็น เพราะฉะนั้นไม่ได้เกิดที่จักขุปสาท ไม่ได้เกิดที่โสตปสาท ไม่ได้เกิดที่ฆานปสาท ไม่ได้เกิดที่ชิวหาปสาท ไม่ได้เกิดที่กายปสาท เพราะปกติจิตจะเกิดที่หทยวัตถุ บางคนก็อาจจะคิดว่าจิตคงต้องเดินทาง จากหทยวัตถุที่ปกติเมื่อเติบโตแล้วก็อยู่ที่กลางหัวใจ แล้วก็มาเกิดเห็นขึ้นที่จักขุประสาท แต่ไม่มีระยะทาง ไม่มีอะไรเลย เพราะเหตุว่าต้องมีปัจจัยจิตจึงจะเกิดได้ เพราะฉะนั้นเมื่อจักขุปสาทอยู่ตรงไหน มีการกระทบจริง โดยปัญญทวาราวัชชนจิตรู้ แต่เวลาที่จิตเห็นจะเกิด ต้องเกิดที่จักขุปสาทแล้วก็ดับ หลังจากนั้นจิตอื่นก็เกิดที่หทยวัตถุ เพราะว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียด และก็ไม่ต้องอาศัยการเดินทาง แต่อาศัยปัจจัย

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าธรรม เป็นสิ่งที่เกิดดับอย่างเร็ว ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ไม่ได้มีเหลือ แต่ว่ามีปัจจัยที่จักขุปสาทจะเกิดตรงไหน เป็นปัจจัยให้มีการกระทบตรงไหน จักขุวิญญาณก็เกิดขึ้นเห็นตรงนั้น แล้วก็จิตอื่นก็ไม่ได้ทำกิจนี้ เพราะฉะนั้นก็เกิดที่หทยวัตถุ โดยมากเราก็จะคิดถึงกุศลจิตและอกุศลจิต ซึ่งตอนนี้ยังไม่เป็นกุศลจิตไม่เป็นอกุศลจิตเลย แต่เป็นจิตที่เกิดก่อน เพราะว่าทันทีที่มีอารมณ์กระทบ แล้วก็จะเป็นกุศลจิตและอกุศลจิตทันทีไม่ได้ เพราะว่าปกติจิตจะเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติ ไม่มีการเห็น การได้ยิน การคิดนึกใดๆ เลยทั้งสิ้น จนกว่าจะมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น รู้อารมณ์ทางไหน ปัญญทวาราวัชชนจิต เหตุผลทราบแล้วใช่ไหม ไม่มีปกิณกเจตสิก ๓ ดวงคือ ไม่มีวิริยเจตสิก ไม่มีปีติเจตสิก ไม่มีฉันทเจตสิก เป็นอเหตุกจิต คือไม่มีโลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก อโมหเจตสิกเกิดด้วย เป็นอเหตุกจิตไม่ประกอบด้วยเหตุ จิตเองเป็นนเหตุ แต่จิตบางประเภทมีเจตสิกที่เป็นเหตุเกิดร่วมด้วย เป็นสาเหตุกะ จิตที่ไม่มีเจตสิกที่เป็นเหตุเกิดร่วมด้วย เป็นอเหตุกะก็เป็นชื่อธรรมดาธรรมดา

    ตอนนี้ก็รู้จักอเหตุกะ ๑ ดวงแล้วใช่ไหมคือปัญญทวาราวัชชนจิต ๑ ดวงเท่านั้น ไม่ว่าจะภพไหนภูมิไหน จะไม่มี ๒ ดวง แต่ว่าเรียกชื่อตามทวารได้ เพราะว่าจิตนี้สามารถที่จะรู้อารมณ์ได้ ทั้งทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ ทางจมูกก็ได้ ทางลิ้นก็ได้ ทางกายก็ได้ รู้ได้เฉพาะ ๕ อารมณ์ แต่ว่าทีละอารมณ์ แต่ว่าทำอาวัชชนกิจคือเกิดก่อนทวิปัญญวิญญาณ รู้สึกจะยังเหลือจุดที่ไม่ได้กล่าวถึงซึ่งเป็นอเหตุกะ เพราะว่าถ้านับแล้วเราจะได้ อเหตุกะเกือบครบ ๑๘ เช่นอาวัชชนะจิตเป็นกิริยาจิตที่เป็นเหตุกะ ๑ แล้ว เพราะว่าสำหรับจิตที่เป็นอเหตุกะ จะเป็นวิบาก ๑๕ และก็เป็นกริยา ๓ สำหรับกิริยาจิต ๑ ที่ได้กล่าวถึงก็คือปัญญทวารวัชชนจิต ต่อจากนั้นก็จะเป็นทวิปัญญวิญญาณ ๑๐ สัมปฏิฉันนะอีก ๒ สันตีรณะอีก ๓ ครบแล้วใช่ไหมที่เป็นวิบาก ๑๕ ก็ยังเหลือจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยอีก ๒ ดวง คือมโนทวาราวัชชนจิตกับหสิตุปาทจิต ก็คงจะจำได้หรือกลับไปบ้านคิดเอง เพราะว่าทราบว่ามีสัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ และก็มีปกิณกเจตสิก ๖ แล้วก็มีจิตที่เรากล่าวถึงแล้ว เช่นเวลาที่จะเห็นแต่ละครั้งจะต้องมีกิริยาจิต ซึ่งเป็นปัญญทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน แล้วจิตดวงนี้ จึงมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ก็คิดเองได้ เพราะว่ารู้ได้จากเวทนา เพราะเวทนาใดที่เกิดกับจิตเป็นอุเบกขา ขณะนั้นก็ไม่มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย และสำหรับพวกจิตเห็นจิตได้ยินพวกนี้ที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ก็จะไม่มีฉันทเจตสิกเกิดร่วมด้วย แม้มโนทวาราวัชชนจิตซึ่งเป็นจิตที่เกิดวิถีแรกทางใจ เวลาที่เป็นภวังค์อยู่ ไม่รู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดเลย ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ยังมีการคิดนึกได้ใช่ไหม แม้ไม่เห็นไม่ได้ยิน จิตที่จะคิดเป็นวิถีจิตแรกคือมโนทวาราวัชชนะ ยังไม่เป็นกุศลหรืออกุศล เพราะว่าเราคงจะไม่ทราบว่าทุกครั้งที่เราคิด จิตที่คิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม จะคิดด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต ตัวจิตที่เป็นกุศลคิดเรื่องนั้น หรือตัวจิตที่เป็นอกุศลคิดเรื่องนั้น แต่ก่อนที่กุศลจิตและอกุศลจิตจะเกิดได้ เมื่อจิตกำลังเป็นภวังค์อยู่จะเกิดกุศลจิตทันที หรือว่าเป็นอกุศลจิตทันทีไม่ได้ แม้คิดด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิตก็ตาม ต้องมีมโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีแรก ๑ ขณะเกิดก่อน

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ใช่ปัญจทวาราวัชชนจิต แต่เป็นมโนทวาราวัชชนจิต เพราะฉะนั้นอาวัชชนจิตมี ๒ คือสำหรับทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ๑ ชื่อว่าปัญญจทวาราวัชชนจิต และทางใจวิถีจิตแรก คือมโนทวาราวัชชนจิต ก่อนที่กุศลจิตอกุศลจิตจะเกิด ต้องมีมโนทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน ไม่ว่าเป็นจิตของใครที่ไหน เพราะฉะนั้นมโนทวราวัชชนจิต ไม่มีฉันทะเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย และก็ไม่มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่าเป็นอุเบกขา เลือกคิดได้ไหม เห็นได้ชัดเจนเลย เพราะไม่มีใครสามารถที่จะเลือกคิดได้เลย ไม่มีใครรู้ว่าจะคิดอะไร แต่ว่ามโนทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตแรกที่รู้อารมณ์ แล้วหลังจากกุศลจิตและอกุศลจิตก็เป็นไปในอารมณ์ที่มโนทวาราวัชชนจิตคิด เพราะฉะนั้นมโนทวาราวัชชนจิต ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถที่จะรู้ได้ ปัญญจทวาราวัชชนจิต สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต และสำหรับทางตาหูจมูกลิ้นกาย เมื่อมีปัญญจทวาราวัชชนจิตเกิดแล้วดับไป จักขุวิญญาณหรือโสตวิญญาณ ก็เกิดขึ้นเห็นหรือได้ยิน แล้วแต่ว่าเป็นอารมณ์ทางไหนดับไปแล้ว สัมปฏิฉันนะซึ่งเป็นวิบากเช่นเดียวกับจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณซึ่งเป็นวิบาก เพราะว่ากรรมทำให้สัมปฏิฉันนะเกิดขึ้น รับรู้อารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญานดับไป สันตีรณ ฉันนจิตก็เป็นวิบาก กรรมทำให้สันตีรณะเกิด แต่มโนทวาราวัชชนจิต ขณะนั้นไม่ได้ทำอาวัชชนกิจ แต่เกิดทางปัญจทวาร เป็นเจตสิกประเภทเดียวกัน มีเจตสิกประกอบเท่ากัน แต่ทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร ก่อนที่กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด เราก็เลือกไม่ได้ใช่ไหม ขณะที่กำลังเห็นแล้วก็จะให้จิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เราเลือกไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเห็นแล้ว สัมปฏิจฉันนะดับไปแล้ว สันตีรณะดับไปแล้ว มโนทวาราวัชชนจิตทำโวฏฐัพนกิจ ที่ใช้ชื่อนี้ก็เป็นเพราะเหตุว่าเกิดได้ทุกภพภูมิ ไม่ว่าจะในรูปพรหม อรูปพรหม เมื่อมีจิตก็จะมีมโนทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตแรก

    เพราะเหตุว่าถ้ากรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดดับไปแล้ว กรรมทำให้ภวังคจิตคือวิบากจิตประเภทเดียวกัน ซึ่งเป็นผลของกรรมเดียวกัน เกิดสืบต่อคือเกิดดับดำรงภพชาติ ถ้ามีเพียงเท่านั้น ก็ไม่มีประโยชน์อะไรใช่ไหม เพราะเหตุว่าขณะที่เป็นภวังคจิต จะไม่มีโลกใดๆ ปรากฏเลย จะไม่มีการรู้สึกตัว จะไม่มีการนึก แม้นึกคิดก็ไม่ใช่กิจของภวังค์ เพราะฉะนั้นถ้ามีปฏิสนธิกับภวังค์เท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลย ก็จะต้องมีการสะสมซึ่งได้สะสมมาในแต่ละภพแต่ละชาติ ในแสนโกฏิกัปป์ เป็นปัจจัยให้มีการคิดนึกหรือมโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น และกุศลจิตหรืออกุศลจิตจึงเกิดต่อ นี้ทางมโนทวาร แต่ถ้าเป็นทางปัญจทวาร จิตนี่แหละทำโวฏพนกิจ และหลังจากนั้นกุศลจิตหรืออกุศลจิตก็เกิด ในสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นต่อไปเวลาที่เราพูดถึงเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิตจะไม่ยากเลย เพราะว่าทุกคนเข้าใจได้ แต่ว่าสำหรับจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ เป็นอเหตุกะก็เป็นสิ่งซึ่งให้ทราบว่า มีในชีวิตประจำวัน และเมื่อยังไม่ได้ประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรืออโลภะ อโทสะ ก็ไม่ใช่กุศลจิตหรืออกุศลจิต

    อ.ธีรพันธุ์ เรียนถามท่านอาจารย์ เมื่อกี้ผมได้ยินว่ามโนทวาราวัชชนจิตทำกิจทางปัญจทวารได้ ก็ไม่ทราบเหมือนกัน อยู่ดีๆ อยู่มโนทวาร แล้วทำไมมาทางปัญจทวาร

    ท่านอาจารย์ ชื่อมโนทวารวัชชนจิตก็ได้ โวฏฐัพพนจิตก็ได้ แล้วแต่คิด จะเรียกชื่อไหนดี คนที่มีสองชื่อมีไหม มีชื่อจริงๆ ชื่อเล่นๆ ชื่อในหน้าที่ราชการ ชื่อที่บ้านตามกิจการงาน อยู่ที่บ้านก็ชื่อหนึ่ง พอมาเป็นหน้าที่ราชการก็ต้องอีกชื่อหนึ่ง เพราะฉะนั้นสำหรับจิตนี้สามารถที่จะทำกิจได้ ๖ ทวาร แต่ว่าต่างกัน คือถ้าทำอาวัชชนกิจ คือจิตที่รำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบทางใจ ก็เป็นมโนทวาราวัชชนจิต เรียกชื่อตามอาวัชชนกิจ แต่เมื่อเป็นทางใจก็เป็นมโนทวาราวัชชนจิต ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบขึ้น นึกถึงอะไรก็ได้ที่เราคิดอยู่ทุกวัน ไม่ใช่ภวังคจิต ถ้าเป็นภวังคจิตไม่คิดเพราะว่าเป็นภวังค์ แต่ทันทีที่คิดนี่ ต้องมโนทวาราวัชชนจิตเกิดก่อนคิด แล้วแต่จะคิดอะไรก็ตาม แล้วกุศลจิตหรืออกุศลจิตก็เป็นไปตามที่คิด บางคนคิดถึงเรื่องที่เป็นกุศล บางคนคิดถึงเรื่องที่เป็นอกุศล บางคนในขณะที่คิด จิตเป็นกุศลคิดด้วยเมตตา คิดได้กรุณา แต่บางคนขณะที่คิด คิดด้วยความโกรธ ความผูกโกรธ เพราะฉะนั้นลักษณะของจิตที่โกรธ ไม่ใช่มโนทวาราวัชชนจิต แต่เป็นอกุศลจิตแล้ว เพราะฉะนั้นมโนทวาราวัชชนจิตที่เกิดทางมโนทวารทำอาวัชชนกิจ แต่ที่เกิดทางปัญจทวารไม่ได้ทำอาวัชชนกิจ แต่เพราะอารมณ์นั้น ซึ่งเป็นรูปที่ยังไม่ดับ เสียงที่ยังไม่ดับ เพราะว่ารูปจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

    เพราะฉะนั้นเมื่อกระทบทวาร ขณะนั้นภวังค์ที่กำลังเป็นในขณะนั้นไม่ใช่วิถีจิต ต้องถึงขณะสุดท้ายของภวังค์ คือภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว วิถีจิตแรกจึงเกิดเป็นปัญจทวารวิถี รูปที่กระทบนั้นก็ยังไม่ดับ จนกระทั่งถึงจิตที่จะเห็น หรือได้ยิน ได้กลิ่นก็แล้วแต่รูปนั้นยังไม่ดับ ขณะที่เป็นสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะก็ยังไม่ดับ ต่อไปก็หมดหน้าที่ของวิบากแล้วใช่ไหม วิบากทำให้เห็น ทำให้ได้ยิน แล้วก็มีสัมปฏิจฉันนจิตเกิด มีสันตีรนะจิตเกิด หมดหน้าที่ของวิบากจิต เพราะฉะนั้นหน้าที่ต่อไปของจิตก็คือโวฏฐัพพนกิจที่จะเป็นบาทเฉพาะให้กุศลจิตหรืออกุศลจิต เกิดต่อไปได้ในรูป หรือว่าแล้วแต่จะเป็นทวารไหนก็ตามที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ โวฏฐัพพนกิจนั่นเอง ก็คือมโนทวาราวัชชนจิต คือจิตประเภทเดียวกัน จะเรียกว่าโวฏฐพนจิตก็ได้ จะเรียกว่ามโนทวาราวัชชนจิตก็ได้ แต่ต้องตามทวาร ถ้ามโนทวาราวัชชนจิตต้องทางมโนทวาร แต่เวลาที่ทำกิจนี้ทางปัญจวารซึ่งเกิดก่อนกุศลจิตหรืออกุศลจิต เพราะทำโวฏฐพนกิจ ขณะนั้นจะเรียกว่ามโนทวาราวัชชนะจิต หรือทำกิจอาวัชชนะไม่ได้ เพราะเหตุว่าทำโวฏฐพนกิจ

    เพราะฉะนั้นเมื่อจิตประเภทนี้ มี ๒ หน้าที่ และหน้าที่ไหนจะเป็นหน้าที่ที่จะต้องกระทำ ไม่ว่าไหนภพไหน ก็คือมโนทวาราวัชชนจิต แม้ในอรูปพรหมภูมิ จิตนี้ก็เกิดได้ แต่ว่าโวฏฐัพพนกิจเกิดไม่ได้ในอรูปพรหม เพราะว่าเป็นพรหมที่ไม่มีรูปเลย เพราะฉะนั้นจะทำโวฏฐัพพนกิจไม่ได้ แต่ทำอาวัชชนกิจได้ เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อประจำว่ามโนทวาราวัชชนจิต แต่ทำโวฏฐัพนกิจทางปัญทวาร

    อ.ธีระพันธุ์ คือขณะนั้นไม่ได้รำพึงถึงอารมณ์ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่นึกถึงอารมณ์ทางใจ แต่ว่าหลังจากที่สันตีรนจิตดับไปแล้ว ก่อนที่กุศลจิตอกุศลจิตจะเกิด จิตนี้ทำกิจกระทำทาง หรือว่าเป็นบาทเฉพาะ ให้กุศลและอกุศลจิตเกิดได้ ถ้าจิตนี้ไม่เกิด กุศลจิตและอกุศลจิตก็เกิดไม่ได้ หรือถ้าอารมณ์นั้นดับไปก่อน กุศลจิตหรืออกุศลจิตในอารมณ์นั้นก็เกิดไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 195
    13 ต.ค. 2568