ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1565


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๕

    สนทนาธรรมที่ รัฐสภา

    วันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ ถ้าขณะที่ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศลต่างๆ เหล่านี้ จิตทั้งหมดนั้นเป็นอกุศล ถ้าไม่กล่าวถึงวิบากกับกิริยา เพราะฉะนั้นก็รู้ได้ด้วยตัวเองใช่ไหม ถ้าเป็นกุศลเป็นกุศลประเภทใด ถ้าไม่ใช่กุศลเหล่านั้น ก็ต้องเป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด

    ผู้ฟัง สรุปได้ว่าก็คือเป็นกุศล แต่ว่าจะประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา นี้เราย่อมรู้เองใช่ไหม คือแยกอย่างหยาบๆ เป็นกุศลจิตกับเป็นอกุศลจิตใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าฟังขณะนี้ แล้วถามว่าเข้าใจไหม ถ้าตอบว่าเข้าใจ เป็นเราหรือว่าเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา

    ผู้ฟัง เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาระดับต้นๆ

    ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์ กรรมเดียวนี้ให้ผล ทั้งปฏิสนธิกาลและประวัติกาล กรรมเดียวกันหรือ ให้ผลได้ทั้งสองอย่างหรือ

    ท่านอาจารย์ ถ้ากรรมให้ผลโดยเพียงทำให้เกิด ขณะหนึ่งดับไปแล้ว ไม่มีอะไรต่อไป อันนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ตัวเลยในขณะที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ตาม จะเกิดเป็นมนุษย์ เกิดบนสวรรค์ ในนรก หรือว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ขณะนั้นเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ซึ่งไม่ได้ทำกิจเห็น กิจได้ยิน กิจได้กลิ่น กิจลิ้มรส กิจรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กิจคิดนึก เพราะฉะนั้นโลกใดๆ ไม่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นในสวรรค์ หรือพรหมโลก หรือแม้ในมนุษย์โลก ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ๑ ขณะ โลกนี้ไม่ปรากฏ ไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไร เพราะว่าไม่มีการเห็น การได้ยินจะรู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นกรรมจะให้ผล เพียงทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ๑ ขณะไม่พอ กรรมนั้นก็ยังทำให้บุคคลนั้น ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น จนกว่าจะสิ้นกรรม คือจุติจิตเกิด ทำให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งชีวิตก็เป็นอย่างนี้ นานมาแล้วก็เป็นอย่างนี้ คือเกิดแล้วก็ตาย แล้วก็เกิดแล้วตาย เกิดแล้วก็ต้องตาย แล้วเกิดอีกแล้วก็ต้องตายอีก ก็เป็นเรื่องที่ว่าเป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะถึงจุติคือขณะสุดท้าย กรรมก็ยังทำให้วิปากจิตคือผลของกรรม เกิดขึ้นตามควรว่าอยู่ในภพภูมิไหน คือมีการเห็นเป็นผลของกรรม ถ้าเป็นผลของกรรมดี เราจะเห็นได้ว่าคนที่เกิดมา ก็แวดล้อมด้วยสิ่งที่ดีทั้งนั้นเลย ทางตาก็น่าเพลิดเพลิน มีทั้งสวนดอกไม้ มีน้ำพุ มีสระน้ำมีอะไรก็แล้วแต่ที่จะคิด ก็เป็นเรื่องของการที่ผลของกรรมดีให้ผล เมื่อทำให้เกิดเป็นมนุษย์ กำลังของกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิต่างกัน ประณีตต่างกัน เหมือนกับคนที่มีนา มากบ้างน้อยบ้าง ถ้าคนมีนากว้างขวางเยอะแยะ ก็เหมือนกับมีวิบากจิตที่ดีแล้วก็มีมากด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชีวิตของเขาตั้งแต่เกิดก็เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดี เป็นผลของกรรมเดียวกัน ที่ทำให้เขาเกิดอย่างนั้น หรือว่าจะมีวงศาคณาญาติ มีเพื่อนฝูงมิตรสหายที่ดี มีลาภมียศ มีสรรเสริญก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าใคร สามารถที่จะไปทำอะไรได้กับใคร ไม่ต้องริษยา ไม่ต้องอิจฉาใคร เพราะว่าเป็นกรรม ที่ทำให้แต่ละคนต่างกันไป และคนที่เกิดมาดี พร้อมทุกอย่าง ก็ยังมีโอกาสที่อาจกุศลกรรมจะให้ผล ต้องมีกาล ที่เห็นสิ่งที่ไม่ดีบ้างได้ยินเสียงที่ไม่ดีบ้าง ได้กลิ่นไม่ดีบ้าง ลิ้มรสไม่ดีบ้าง เกิดป่วยไข้ได้เจ็บบ้าง อันนี้ไม่ใช่เป็นผลของกุศลกรรม ที่ทำให้กุศลวิบากปฏิสนธิ แต่ว่าเป็นกรรมอื่นที่กล่าวถึงแล้ว คือกรรมที่ไม่ครบองค์ ก็มีโอกาสที่จะให้ผลหลังปฏิสนธิ ซึ่งเป็นประวัติกาล ความเป็นไปหลังปฏิสนธิ กรรมอื่นๆ ก็มีโอกาสที่จะให้ผล เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรม ก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า จิตทุกขณะเกิดเลือกไม่ได้ จะให้วิบากจิตชนิดนี้ไม่เกิดก็ไม่ได้ แต่เวลาที่เห็นผลของกรรม ที่ร้ายแรงที่เกิดกับคนอื่น ก็เป็นข้อเตือนใจกับเขายังเกิดได้ กับเราจะเกิดไม่ได้หรือ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ถ้าศึกษาแล้ว เราก็จะทำกรรมดีเพิ่มขึ้น แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าขณะไหนเห็นดี เพราะกรรมดีที่ได้ทำแล้ว ขณะไหนป่วยไข้ได้เจ็บ ก็เพราะอกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว ไม่มีใครทำให้เลย ไม่ต้องโกรธใคร ไม่ว่าจะถูกทุบตีฆ่าฟันอย่างไร ตามพระสูตรที่ทรงแสดงไว้ว่า แม้ว่าโจรใช้เลื่อยเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ถ้าใครโกรธไม่พอใจในโจรนั้น ผู้นั้นไม่ใช่สาวก ไม่ใช่ผู้ฟังพระธรรม ไม่ใช่ผู้เข้าใจพระธรรม ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม โกรธเขาได้อย่างไร ในเมื่อถ้าเราไม่มีกรรมที่ได้ทำแล้ว สิ่งนั้นก็จะเกิดไม่ได้ ถึงเขาไม่ทำให้ เราทำเองได้ไหม วันก่อนก็มีคนที่เอานิ้วเข้าไปในพัดลม เขาก็ไม่มีใครทำให้เลยใช่ไหม แต่ก็เมื่อมีกายปสาทมีร่างกาย และก็เป็นโอกาสของอกุศลกรรม ที่จะให้ผลก็วิจิตรมาก ไม่ใช่แค่นิ้วในพัดลมยังมีอกุศลวิบากที่เราได้ยินได้ฟัง แทบจะกล่าวได้ว่าเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นไปตามกำลังของกรรม

    เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะวิจิตร เท่ากับจิตที่ได้กระทำกับต่างๆ เพราะฉะนั้นผลของกรรมก็ต่างๆ รู้สึกว่ายังไม่ได้ตอบเรื่องกายที่ไม่ดี วาจาที่ไม่ดี อย่างละเอียดใช่ไหม ถ้าเป็นคนตรงต่อธรรม ก็ต้องรู้ว่ากายวาจาทั้งหมด ต้องมาจากใจหรือจิต ต้องยอมรับตามความเป็นจริง ไปตลาด ไปซื้อของห้างสรรพสินค้า ดูนั่นหยิบนี่มองแล้วมองอีกกายเคลื่อนไหวไป ตาเคลื่อนไหวไปขณะนั้น เป็นกายที่ดีหรือว่าไม่ดี เพราะว่าจิตขณะนั้นเป็นอะไร ไม่ใช่การกระทำกุศล เพราะฉะนั้นกายทั้งหมดในวันหนึ่งๆ เคลื่อนไหวไปด้วยกำลังของอกุศลจิต ก็ต้องยอมรับว่าขณะนั้น ก็คือเป็นกายทวารของอกุศลจิต แต่ว่าไม่ถึงกับทุจริต เพราะเหตุว่าไม่ได้มุ่งที่จะเบียดเบียนทำร้ายใคร ถ้าเป็นของเราเอง เราก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเป็นของคนอื่น แม้แต่ผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำของคนอื่น กายของเราทุจริตหรือเปล่า

    ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดที่จะรู้ได้จริงๆ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องของสภาพธรรม แล้วก็จะเป็นผู้ที่ละเอียดขึ้น เพราะเหตุว่ากิเลสละเอียดมาก ถ้าใจของเราไม่ได้ละเอียดตาม ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ แม้ว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ขณะนั้นเป็นอกุศล ประมาทได้อย่างไรเวลาที่อกุศลจิตเกิดครั้งหนึ่งๆ วาระหนึ่งๆ หลังเห็นแล้วอกุศลจิตเกิด เกิดซ้ำกันถึง ๗ ขณะ ซึ่งในขณะนี้จักขุวิญญาณเกิด ๑ ขณะ สัมปฏิจฉันนะ เกิด ๑ ขณะ สันตีรณะเกิด ๑ ขณะ โวฏฐัพพนะ เกิด ๑ ขณะ ถ้าเป็นอกุศล ๗ ขณะ มากกว่าเห็น ๗ เท่า ที่การเห็นเหมือนกับว่าไม่ได้ดับ เพราะฉะนั้นเรื่องของอกุศลประมาทไม่ได้ แต่ขณะนี้ที่เป็นกุศล ก็ ๗ เท่าเหมือนกัน แต่ว่า ๗ เท่าของกุศลในห้องนี้ ทันทีที่พ้นจากห้องนี้ไปก็ไม่ทราบว่า ๗ ขณะ ต่อๆ ไปนั่นแหละจะเป็นอะไร ก็เป็นเรื่องตรงๆ แล้วก็ธรรมก็ทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจเราเอง แล้วก็เข้าใจทุกคน แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่าชาตินี้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ประโยชน์สูงสุดคืออะไร คงไม่ใช่ทรัพย์สมบัติเงินทอง เพราะเหตุว่าไม่มีใครเอาติดตามไปได้ แต่ต้องเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสภาพธรรม ซึ่งวันหนึ่งก็สามารถที่จะทำให้เราหยั่งถึง ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่เกิดดับได้

    ผู้ฟัง ก็จะพูดเรื่องโมหะ อย่างนี้วันหนึ่งๆ ท่านอาจารย์ วันหนึ่งตื่นขึ้นมาก็คิดแล้ว คิดเป็นอกุศลก็มาก แล้วก็วันๆ หนึ่งก็พูดด้วยอกุศลก็มาก เป็นโมหะด้วย ทีนี้จะถามว่าจะให้ผลเป็นวิบากได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เริ่มเห็นตัวเองตามความเป็นจริงใช่ไหม เป็นคนดีมาก

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่ดีพอ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าไม่ดีมากกว่าดีใช่ไหม แต่ไม่ได้ทำอกุศลกรรมหรือทำอกุศลกรรมด้วย

    ผู้ฟัง ก็ทั้งสองอย่าง

    ท่านอาจารย์ มีอกุศลกรรมอะไรวันนี้ หรือว่ามีอกุศลจิต

    ผู้ฟัง อกุศลจิตมาก อกุศลกรรมยังไม่ได้ทำตัวนี้

    ท่านอาจารย์ วันหนึ่งๆ ก็มีอกุศลจิตสะสมสืบต่อเป็นอุปนิสัยต่อไป แล้วแต่ว่าจะเป็นอกุศลจิตประเภทใด ถ้าเป็นผู้ที่มากด้วยโลภะ เราจะเห็นอัธยาศัยของคน เขาชอบง่ายมาก อยากได้ทุกอย่าง แล้วก็ไม่จบ แล้วก็ไม่พอ ไม่มีวันจะพอเลย ที่ใช้คำว่าถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มคือโลภะ ในพระสูตรมีข้อความว่า ถึงแม้ว่าจะได้ภูเขาทองจริงๆ ลูกหนึ่งก็ยังไม่พอ อยากได้อีกต่อไปอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่เห็นโทษจริงๆ ว่าโมหะเป็นมูล การไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ซึ่งรู้แสนยาก และถ้าไม่มีผู้ทรงแสดง ไม่มีผู้ทรงตรัสรู้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทรงแสดงสัตว์โลกไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้เอง ที่จะคิดว่าขณะนี้ ไม่ใช่เราเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล ไม่สามารถที่จะคิดเองได้เลย เพราะฉะนั้นการสั่งสมก็คือว่า ถ้าสั่งสมโลภะมาก อุปนิสัยก็จะเป็นผู้ที่มีโลภะ แล้วก็ถ้าสะสมโทสะมาก ก็หงุดหงิดโกรธง่ายไปเรื่อยเลย ก็ถ้าสะสมโมหะฟังยังไงทำยังไงก็อาจจะไม่เข้าใจก็ได้ ก็เป็นผู้ที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมได้ แต่ทั้งฝ่ายกุศลก็จะสะสมด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่ละครั้ง ที่กุศลจิตเกิดหรืออกุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็สั่งสมสันตานะ สันตานะคือการเกิดดับสืบต่อของจิต ซึ่งจะทำให้แต่ละบุคคล มีอัธยาศัยต่างกัน แล้วก็ถ้าอกุศลนั้นมีกำลัง ก็จะกระทำอกุศลกรรม ซึ่งเมื่ออกุศลกรรมนั้นๆ ได้กระทำสำเร็จลงแล้ว แม้ว่าจิตขณะนั้นดับไปแล้วก็จริง แต่สืบต่อความเป็นกรรมปัจจัย ไว้พร้อมที่จะให้ผลเป็นวิบากจิตเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง เคยคุยกับสหายธรรมเมื่อบ่ายนี้ จิตเรานี่มันเหมือนกับน้ำนะอาจารย์ แต่ว่าโทสะมันกระเพื่อมเร็วที่สุดอาจารย์ โดยที่เราก็ไม่อยากจะสะสม แต่มันก็สะสมแล้วอยากจะเรียนถามว่าทำอย่างไร มันถึงจะไม่สะสมได้ ทำไม่ได้อาจารย์ก็ตอบอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบไปแล้วใช่ไหมว่าเป็นอนัตตา ต้องเข้าถึงความหมายอันนี้ มิฉะนั้นก็จะมีเราอยู่ตลอดกาล คิดว่าเราทำได้ เราจะทำอย่างนั้น เราจะทำอย่างนี้ นั่นคือไม่เข้าใจธรรม ถ้าเข้าใจธรรมต้องเข้าใจตั้งแต่คำตน้ตลอดไป ไม่เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมเปลี่ยนไม่ได้ สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มีลักษณะของสภาพธรรม เฉพาะอย่างเฉพาะอย่าง ถ้าเป็นสภาพธรรมที่เกิด ก็ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อเกิดแล้วก็ดับ จึงเป็นสัพเพสังขาราอนิจจา สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย

    ผู้ฟัง บางครั้งเขามีกำลัง จนกระทั่งถึงออกทางวาจา เราถึงจะรู้ตัวว่าอันนั้นมันไม่ถูกแล้ว พอเรามาเรียนเรารู้ตัวเสร็จ มันก็รู้ว่าเอ๊ะทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แล้วบางครั้งก็เป็นมากกว่านั้นด้วย อันนี้ก็เป็นสั่งสมหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ชวนะเป็นกิจของจิต เพราะว่าจิตทุกดวง หรือทุกประเภทที่เกิดขึ้น ต้องทำกิจ ๑ จะไม่ทำกิจอะไรเลยไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงกุศล อกุศลทำชวนกิจ หมายความว่าจิตเห็นขณะนี้ที่กำลังเห็นนี้ ไม่ใช่กุศลอกุศล ไม่ได้ทำชวนกิจ แต่ทำทัสนกิจ คือต้องเห็นจะไม่เห็นไม่ได้เลย เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เห็นสิ่งที่กระทบจักขุประสาท ถ้าเป็นจิตได้ยินก็จะทำกิจอื่นไม่ได้ ต้องทำสวนกิจคือทำกิจได้ยิน จนกระทั่งถึงสัมปฏิจฉันนะก็จะทำกิจอื่นไม่ได้ รับรู้สิ่งที่ทางตาหูจมูกลิ้นกาย รับรู้แล้วดับไปสันตีรนะก็ทำกิจของสัมปฏิจฉันนะ หรือทำกิจอื่นไม่ได้เลยทำสันตีรนกิจ พอถึงโวฏฐัพพนะก็เป็นกิริยาจิต ต่อจากนั้นคือกุศลจิตและอกุศลจิต

    เพราะฉะนั้นถ้าเราจะจำง่ายๆ ถ้าจะจำ ตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตแรก แล้วก็จักขุวิญญาณพวกนี้ ดับไปแล้วก็ถึงสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ชวนะถ้าจะจำก็ดี แล้วก็ไม่ยาก แต่เมื่อจิตเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏ เช่นในขณะนี้ที่กำลังเห็น ก่อนเห็นเป็นปัญจทวาราวัชชนจิตก็ไม่ได้ปรากฏ ก่อนปัญจทวาราวัชชนจิตภวังคจิตก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นเฉพาะจิตที่ปรากฏ ที่เราจะรู้ได้จริงๆ คือเห็น แล้วก็เกิดยินดียินร้ายหรือกุศล เพราะฉะนั้นก็หลังจากที่เห็นแล้ว ในพระสูตรก็จะแสดงย่อย่อ คือเรื่องของกุศลและอกุศล จะไม่กล่าวถึงจิตซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ เช่นปัญจทวาราวัชชนจิต สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต แต่ให้ทราบว่าชวนกิจ ก็คือกุศลจิตและอกุศลจิตและกิริยาจิตของพระอรหันต์ ซึ่งต่อไปก็จะทราบว่ามีจิตอื่นอีกด้วย แต่ว่าตอนนี้ก็คร่าวๆ เพียงแต่ว่า ถ้าเรารู้จักกุศลอกุศลก็คือว่า จิตประเภทนี้ไม่ได้ทำทัสสนกิจ ไม่ได้ทำสวนกิจ ไม่ได้ทำสัมปฏิฉันนกิจ สันตีรณกิจ โวฏฐัพพนกิจ แต่ทำชวนกิจเพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงชวนจิต ก็ไม่ต้องงง คือกุศลจิตและอกุศลจิตนั่นเอง แทนที่จะพูดคำว่าชวนะ ก็พูดว่ากุศลจิตและอกุศลจิต เพราะว่ากุศลจิตและอกุศลจิตทำชวนกิจ คือเกิดดับซ้ำกัน ๗ ขณะ เป็นจิตประเภทเดียวกัน

    ผู้ฟัง ที่ว่าชวนะ คือสั่งสมเช่นกุศลและกุศลใช่ไหม ถ้าคนที่ยกตัวอย่างที่มีกล่าวว่า โทสะมาก สะสมมามาก อันนี้ทุกคนก็อยากจะให้มีน้อยลง ก็คือน้อยเลยไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา แต่หมายความว่าจะน้อยได้ ก็คือฟังธรรม สะสมเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆ อันนี้เหตุผลนี้ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ก็คงไม่ลืมว่าเจตสิก ที่เป็นสังขารขันธ์มีทั้งหมด ๕๐ ประเภท โลภะก็เป็นสังขารขันธ์ โทสะก็เป็นสังขารขันธ์ ศรัทธา สติ ทั้งฝ่ายกุศลอกุศลก็เป็นสังขารขันธ์ ซึ่งจะทำหน้าที่ของเขา ปรุงแต่งและก็สะสมทำให้จิตประเภทนั้นๆ เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ก็แสดงว่าถ้าคนที่โทสะน้อย ก็คือสะสมมามีโทสะน้อย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ การที่จะรู้จักตัวเอง ก็ต่อเมื่อสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นปรากฏ ถ้าสภาพธรรมนั้นยังไม่เกิดขึ้นปรากฏ จะไม่รู้เลยว่าสั่งสมอะไรมามาก เพราะว่าบางคนตอนเป็นเด็ก ก็ดูเป็นผู้ที่เป็นคนดีซื่อสัตย์สุจริต ถ้ามีจำนวนเงินที่ไม่มาก เขาก็ยังคงซื่อสัตย์ต่อไปได้ แต่ถ้ามีลาภยศสักการะสรรเสริญ หรือว่าจำนวนเงินมาก การเป็นผู้ที่สุจริตแต่เดิมก็เป็นผู้ทุจริตได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าการสะสม สะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน จนกว่าเมื่ออะไรเกิดขึ้น เมื่อนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นไปตามการสะสม เพราะว่าบางคน ถึงแม้ว่าจำนวนเงิน จะมากสักเท่าไหร่ ก็ยังคงสุจริตต่อไปได้ นั่นก็ตามการสะสมเหมือนกัน

    ผู้ฟัง ถ้าเราพบคนที่ดูแล้ว กิริยากายวาจาอะไรดีมากเลย แล้วก็ไม่ค่อยโกรธเลย อย่างนี้เราจะเดาได้ว่า เขาน่าจะมีการสะสมหรือว่า ฟังพระธรรมมาในอดีตชาติ

    ท่านอาจารย์ จะเดาทำไม ในเมื่อรู้ว่าถ้ายังไม่ใช่พระอริยะบุคคล ก็ยังมีกิเลสครบจากการที่เราได้ศึกษาธรรม ก็จะทำให้เราได้เข้าใจตัวเองละเอียดขึ้น ตามความเป็นจริง ซึ่งในคราวก่อนก็ได้พูดถึง เรื่องชีวิตประจำวันซึ่งแต่ละคน ก็จะมีการกระทำต่างๆ ในวันนี้ แต่คงจะไม่ทราบว่าทุกขณะนั้น เกิดขึ้นเพราะจิตประเภทใด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจิต ก็คงจะไม่มีการเคลื่อนไหว กระทำกิจการงานใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าถ้าได้ศึกษาธรรมแล้วก็จะทราบได้ว่า ในขณะใดก็ตามที่จิตไม่เป็นกุศล ขณะนั้นต้องเป็นอกุศล ถ้าไม่กล่าวถึงเรื่องวิบากจิตกับกิริยาจิต ในขณะนี้ก็จะต้องมีคนที่กำลังเคลื่อนไหวใช่ไหม อาจจะเคลื่อนไหวกายนิดหน่อย มือ เท้า ตา ทั้งหมดให้ทราบว่าเพราะจิต แต่ว่าจิตขณะนั้นเป็นจิตประเภทใด ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องจิต ก็จะไม่เห็นเลยว่า ตลอดเวลา ในวันหนึ่งวันหนึ่ง ซึ่งจิตไม่ใช่กุศลจิต ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศลจิต เพราะฉะนั้นแม้การเคลื่อนไหว เพียงเล็กน้อย ก็ทราบได้ ว่าเพราะขณะนั้นมีอกุศลจิต ซึ่งเกิดขึ้นจึงเป็นปัจจัยให้รูปนั้นเคลื่อนไหวไปได้ สำหรับอกุศลจิตที่จะเป็นอกุศลได้ ก็เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรม ที่เป็นอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย เจตสิกเป็นสภาพธรรมที่ต้องเกิดกับจิต จะมีแต่จิตซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้อารมณ์ เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีนามธรรมอีกประเภทหนึ่ง คือเจตสิกซึ่งต้องเกิดกับจิต แต่เจตสิกก็มีทั้งเจตสิกฝ่ายดี และก็เจตสิกที่เป็นฝ่ายไม่ดี แล้วก็มีเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตทุกประเภท

    ซึ่งในคราวก่อนก็ได้กล่าวถึง เรื่องของอัญญสมานาเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต แล้วเราก็เริ่มตั้งแต่ขณะที่กำลังหลับสนิท เพื่อที่จะให้เห็นความต่างว่า ขณะที่กำลังหลับสนิท จิตไม่เป็นอกุศล ดีไหมทุกคนก็ชอบหลับ กำลังหลับนี่สบาย แล้วก็ไม่เป็นอกุศลจิตด้วยแต่ก็ไม่ใช่กุศลจิตด้วย เพราะฉะนั้นขณะที่หลับก็เป็นวิบากจิต เป็นจิตประเภทที่เป็นผลของกรรม ที่จะทำให้ขณะนั้นยังไม่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งในวันนี้ทุกคนก็จะต้องหลับ แล้วก็ต้องตื่น แต่ขณะที่หลับกับขณะที่ตื่นต่างกัน คือในขณะที่หลับเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมไม่ใช่อกุศลจิตและไม่ใช่กุศลจิต แต่เมื่อตื่นขึ้นในวันหนึ่งวันหนึ่ง จะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต เพราะว่าขณะที่เป็นกุศลจิตต้องเป็นไปในขณะที่กำลังให้ทาน คือให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น ขณะนั้นเป็นกุศล ขณะที่วิรัติทุจริตทางกายทางวาจา หรือว่าทางกายสุจริต ซึ่งเป็นประโยชน์ เช่นการช่วยเหลือบุคคลอื่น หรือว่าการแสดงความนอบน้อม ต่อบุคคลที่ควรนอบน้อม ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิตที่เป็นไปในเรื่องของศีล แต่ว่านอกจากนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่ขณะเหล่านั้น แล้วก็ขณะที่จิตไม่สงบไม่เป็นกุศล ไม่ประกอบด้วยเมตตาหรือกรุณา หรือว่าขณะนั้นกุศลจิตไม่เกิด ก็ต้องเป็นอกุศล และถ้าขณะที่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เข้าใจธรรมขณะนั้นก็เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นวันนี้ทานเกิดเท่าไหร่ มีบ้างหรือเปล่า แต่ละท่านก็ทราบดี ศีลการที่จะวิรัติทุจริต ทางกายทางวาจามีบ้างไหม แต่ละท่านก็ทราบ และจิตใจสงบเป็นกุศลบ้างหรือเปล่า และก็ขณะที่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ก็จะเห็นอกุศลของตัวเองมาก ไม่ทราบดีไหม ที่จะเห็นอกุศลของตัวเอง เพราะว่าบางคนก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นคนดี แต่เป็นคนดีโดยไม่กระทำทุจริตกรรม แต่ว่าขณะนั้นยังเป็นอกุศลอยู่ เพราะเหตุว่าไม่ได้หมายความว่า ทุกครั้งที่อกุศลจิตเกิด จะเป็นอกุศลกรรมบถ มีระดับของอกุศลหลายประเภท เช่นระดับที่ละเอียด ซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเรามี แต่ละคนที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลก็จะมีเชื้อของอกุศล ที่นอนเนื่องหรือว่าติดอยู่กับจิต ยากที่จะล้างที่จะแซะที่จะขจัดออกได้ เพราะเหตุว่าต้องเป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้น จึงสามารถที่จะดับเชื้อของอกุศลได้ ข้อพิสูจน์ที่ว่าคนที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล ยังมีกิเลสอย่างละเอียด ก็คือทันทีที่ตื่นแล้ว แล้วก็เห็นแล้วก็มีความพอใจ ไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 195
    31 ต.ค. 2568