ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1570
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๗๐
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ท่านอาจารย์ และก็ถ้าเข้าใจโดยละเอียดแม้แต่คำเดียว คือคำว่าธรรมถูกต้อง ก็จะทำให้ค่อยๆ เห็นพระปัญญาคุณของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น
ผู้ฟัง เวลาฟังเทปวิทยุจากท่านอาจารย์ จะเจอประโยคหนึ่งบ่อยครั้งมากเลย ประโยคนั้นก็จะบอกว่า การที่เราสนใจธรรมค่อยๆ รู้ ก็จะมาเรียนถามอาจารย์คำว่าค่อยๆ รู้
ท่านอาจารย์ ประโยชน์ที่จะได้จากคำถาม ของท่านผู้ฟังที่ถามว่าค่อยๆ รู้ มี แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นค่อยๆ รู้อะไร ข้ามได้ไหม ถ้าบอกว่าทำไมถึงต้องค่อยๆ รู้ แล้วค่อยๆ รู้อะไร ไม่ใช่พอค่อยๆ รู้ ก็คิดตามไปว่าค่อยๆ รู้แต่ว่ารู้อะไร เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังฟัง ก็ได้ยินคำว่าค่อยๆ รู้ เป็นความจริง แต่ว่าค่อยๆ รู้อะไร ต้องคิดใช่ไหม ไม่ใช่ฟังเฉยๆ ขณะนี้จะค่อยๆ รู้อะไร
ผู้ฟัง ค่อยๆ รู้ธรรม
ท่านอาจารย์ ค่อยๆ รู้ธรรม ธรรมอะไร
ผู้ฟัง ธรรมของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ธรรมของพระพุทธเจ้า ทรงแสดงเรื่องอะไร
ผู้ฟัง แทบทุกเรื่อง
ท่านอาจารย์ แทบทุกเรื่อง ขณะนี้เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมหรือเปล่า ในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งอยู่ที่นี่ มีธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้รู้หรือเปล่า
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ขณะนี้นั่งที่นี่ ค่อยๆ รู้อะไร อย่าลืมนี่จะเป็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการฟังในวันนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ให้ผู้ฟังไตร่ตรองพิจารณา แล้วก็เกิดปัญญาของตนเอง ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และปัญญาของพระอริยบุคคลทั้งหลายเป็นปัญญาของท่าน แต่ผู้ที่กำลังฟังแล้วได้ยินคำว่า ค่อยๆ รู้ รู้อะไรเดี๋ยวนี้ มีอะไรที่จะค่อยๆ รู้ หรือว่าฟังจบก็เลย ไม่ค่อยไม่ทราบว่า จะค่อยๆ รู้อะไร
ผู้ฟัง ค่อยๆ รู้ธรรม
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรมบ้างไหม เดี๋ยวนี้ ตอบกว้างมาก ทุกคนเข้าใจคำว่าธรรม แต่ถ้ารู้ว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง พระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงสิ่งที่ไม่จริง พระพุทธวจนะทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตรัสรู้ จากสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมด ถ้าขณะนี้อะไรจริง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้ อะไรจริง สิ่งที่จริง เป็นธรรม เพราะฉะนั้นขณะนี้อะไรจริง ที่จะค่อยๆ รู้จริงๆ รู้เร็วไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้ขณะนี้
ผู้ฟัง ทุกอย่างเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง ก็เลยยังไม่ได้สักอย่างหนึ่ง ขณะนี้ที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ มีธรรมทุกอย่างเป็นธรรม เพราะว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แต่ค่อยๆ รู้อะไร
ผู้ฟัง ที่กำลังได้ยิน
ท่านอาจารย์ ได้ยินมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ มีจริง เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ แล้วจะค่อยๆ รู้สัจจะ คือความจริงของได้ยิน ยากหรือไม่ยาก
ผู้ฟัง ยาก
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรถึงยาก
ผู้ฟัง เราเอามาคิด
ท่านอาจารย์ เพราะว่าได้ยินเกิดแล้วดับ เร็วมาก แล้วจะรู้สัจจะความจริงของได้ยินได้ไหม ได้เมื่อไหร่ ต้องค่อยๆ รู้ หรือว่าเพียงแค่ฟังก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า สัจจะความจริงของได้ยินนั้นคืออะไร ถ้ารู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมที่มีจริง สัจจะของได้ยิน ได้ยินมี ทุกคนกำลังได้ยิน ได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริง ได้ยินเป็นธรรม แล้วก็การที่จะรู้ว่าเป็นธรรมนี่ต้องค่อยๆ รู้ เพียงได้ยินว่าเป็นธรรม ไม่ได้หมายความว่ารู้แล้ว เพราะเหตุว่าได้ยินเกิดขึ้นปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นสัจจะของได้ยิน ความจริงแท้ๆ ของได้ยิน คืออะไร
ผู้ฟัง สภาพที่รู้เสียง
ท่านอาจารย์ สภาพที่รู้เสียง สัจจะของได้ยิน คือเป็นธรรมชนิดหนึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นได้ยินไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้นจึงใช้คำว่าธรรมหรือว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้าจะแสวงหาธรรม ไม่ใช่ไปแสวงหาที่อื่นเลย ธรรมมีอยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม จนกว่าจะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อนั้นก็จะรู้ได้ว่าธรรม เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ของการที่เราจะได้คิดว่าอะไร เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม และสัจจะความจริงของธรรมนั้นคืออะไร แล้วจะรู้ได้เร็วหรือช้า
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่มีการฟังเลย มีใครบ้างไหม ที่จะรู้สัจจะคือความจริงของได้ยิน ถ้าไม่มีการฟังเลย ทุกคนก็ได้ยินอยู่เสมอ แต่ไม่เคยรู้สัจจะความจริงของได้ยิน แต่ว่าเมื่อได้ฟังธรรม ก็จะค่อยๆ เข้าใจว่าได้ยิน สัจจะความจริงของได้ยินนั้นคืออะไร เมื่อเป็นธรรมก็ไม่ใช่ของใคร เป็นธาตุอย่างหนึ่ง ถ้าใช้คำว่าธาตุ ทุกคนก็รู้ว่าต้องมีลักษณะเฉพาะของแต่ละธาตุ เพราะฉะนั้นได้ยินก็เป็นธรรมที่มีจริง เมื่อไหร่เมื่อเกิดขึ้นและได้ยิน ถ้ายังไม่มีการได้ยินเกิดขึ้น จะกล่าวว่าได้ยินจริงในขณะนั้นก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าได้ยินไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นตามใจชอบ และเมื่อได้ยินเกิดขึ้นแล้วได้ยินก็ดับไปใครจะไปบังคับให้ได้ยินไม่ดับก็ไม่ได้ นี่คือสัจจะหรือความจริงของธรรม ชนิดหนึ่งคือได้ยิน ยังมีธรรมอื่นอีกไหม นอกจากได้ยิน
ผู้ฟัง เห็น
ท่านอาจารย์ เห็น เพราะฉะนั้นเห็น ขณะนี้กำลังเห็น ก็ไม่มีใครรู้สัจจะความจริงของธรรมคือเห็น จนกว่าจะได้ฟัง เมื่อได้ฟังแล้วก็จะเริ่มเข้าใจว่า ต้องค่อยๆ รู้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด คือไม่ใช่เราไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ความโกรธเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ของใครหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็นของใคร
ท่านอาจารย์ ไม่เป็นของใคร เมื่อมีปัจจัยความโกรธก็เกิดขึ้น และความโกรธนั้นก็ดับไป จะรู้สัจจะความจริงของโกรธว่าไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธรรม ก็ต้องค่อยๆ รู้ เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่ได้จากคำถามนี้ ก็คือเข้าใจว่าคำว่าค่อยๆ รู้หมายความถึงรู้อะไร แล้วก็จะรู้ได้อย่างไร และก็เร็วหรือช้า
ผู้ฟัง ขณะใดที่สติเกิด เราก็ทราบว่าเป็นสภาพที่รู้กับสภาพที่ไม่รู้ แล้วปัจจัยอะไรบ้าง ที่จะทำให้ถึงจุดที่เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ไม่ใช่ว่าจะสามารถ มีปัญญาที่รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เรา เพียงแต่ว่าเริ่มฟัง แม้แต่ฟังก็ยากที่จะทวนกระแส ของการที่เคยยึดถือสภาพธรรมทั้งหมด ว่าเป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังนั่ง แล้วก็มีเห็น แล้วก็บอกว่าเห็นเป็นธาตุหรือเป็นธรรมชนิดหนึ่ง เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้นและก็ดับไป จึงไม่ใช่เรา นี่คือขั้นฟัง แต่ว่าอย่าเข้าใจว่า สามารถจะประจักษ์แจ้ง ในธาตุที่ไม่ใช่เราโดยเร็ว แต่ต้องเพิ่มความเข้าใจขึ้นอีก ในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลาย และก็จะมีความมั่นคง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา เป็นธรรมที่ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ที่จะให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิด สภาพธรรมนั้นเกิดไม่ได้ แม้ว่าทุกคนยังมีกิเลส คือโลภะโทสะโมหะ แล้วก็ยังมีการสะสมอัธยาศัยที่ต่างๆ กันคือมีทั้งทานุปนิสัย อัธยาศัยในการให้ทาน ศีลุปนิสัย อัธยาศัยในการที่กายวาจาเป็นไปในทางกุศล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย อย่างเวลาที่นอนหลับสนิท ทุกคนหลับสนิท ตื่นขึ้นจะรู้ไหม ว่าจะรักอะไรจะชังอะไร จะโกรธหรือว่าจะทำอะไรในวันนั้น ไม่สามารถจะรู้ได้เลย จนกว่าจะมีปัจจัย ที่ทำให้สภาพธรรมนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการฟัง และก็มีความเข้าใจที่มั่นคง ในความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรมทั้งหลายว่าเป็นธรรม จึงไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แม้ปัญญาหรือความเข้าใจ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะมีได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าอกุศลทั้งหลาย มีตั้งแต่อย่างหยาบ ปรากฏให้รู้ได้ ทางกายทางวาจา หรือว่าแม้ว่าจะไม่ปรากฏทางกายทางวาจา ก็เป็นอกุศลก็ประเภทหนึ่ง แล้วก็แม้แต่นอนหลับสนิท ผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเลย ก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้อกุศลเกิดได้เมื่อตื่นขึ้น มีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึกในชีวิตประจำวัน ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความมั่นคงโดยตลอด ตั้งแต่ความหมายหรือความเข้าใจว่าเป็นธรรมและเป็นอนัตตา มิฉะนั้นจะทำให้เข้าใจผิด มีความเป็นเราที่ต้องการผล แล้วก็หลงผิดไป ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ และก็ปัญญาจะเกิด หรือว่าจะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ก็คือว่าให้เป็นผู้ที่มั่นคงในความเข้าใจว่า ค่อยๆ รู้คือค่อยๆ รู้อะไร ค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แล้วก็รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏนี้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ และก็มีความมั่นคงที่ว่า ปัญญาจะรู้อื่นไม่ได้ นอกจากรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่ดับไปแล้ว ใครจะรู้ได้สิ่งที่ยังไม่มาถึง ยังไม่ได้เกิดเลยใครจะรู้ได้ แต่สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
ผู้ฟัง ก็ทราบว่าประโยชน์อีกอย่าง ก็คือปรมัตถ์ประโยชน์ และเราจะเข้าใจถึงตัวปรมัตถ์ได้อย่างไร และปรมัตถ์คืออะไร
ท่านอาจารย์ ประโยชน์อย่างยิ่ง คือการรู้ความจริง ความเห็นถูกความเข้าใจถูก มิฉะนั้นจะไม่มี พระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ถ้าไม่มีปัญญาที่เห็นถูกต้องความจริงของธรรม ทุกคนนี้เวลาเห็น ก็มีอย่างหนึ่งอย่างใด ชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่เห็น ก่อนการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ ยังมีกิเลสเต็ม ยังไม่ได้ดับกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น ทั้งโลภะโทสะทั้งโมหะ อิสสา มัจฉริยะกิเลสทั้งหมดก็ยังมี แต่ว่าความคิดของพระโพธิสัตว์ ผู้ที่จะตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง กับความรู้ของคนที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ต่างกัน วันนี้ทุกคนเห็น ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ตั้งแต่เช้าแต่พระโพธิสัตว์คิด ความจริงของสิ่งที่ในชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์ กำลังพอใจสิ่งนั้นความจริงแท้ของสิ่งนั้นคืออะไร นี่ต่างกันแล้วใช่ไหม ถ้าเรากำลังรับประทานอาหารอร่อย เราก็เพลิดเพลินไป แต่พระโพธิสัตว์ความจริงของสิ่งที่อร่อยที่กำลังพอใจนั้น ความจริงแท้ของสิ่งนั้นคืออะไร ถ้าไม่มีการไตร่ตรองอย่างนี้ จะไม่ถึงวันที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังเห็น ความจริงของสภาพที่เห็น คืออะไร กับสิ่งที่กำลังพอใจในเมื่อเห็นแล้วชอบ สิ่งที่กำลังปรากฏให้ชอบนั้นความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร นี่คือความต่างกันของผู้ที่แสวงหาปัญญา กับผู้ที่ไม่รู้ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ พระมหากรุณาคุณ จากพระบริสุทธิคุณ จากพระปัญญาคุณ ที่ทรงแสดงพระธรรมให้บุคคลอื่นได้ฟัง ได้ค่อยๆ เข้าใจความจริงจนกระทั่งสามารถที่จะรู้สัจธรรมความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสหมดอย่างพระองค์ได้ นี่ก็เป็นพระมหากรุณา ซึ่งคนในยุคหลังๆ ที่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังด้วยความรอบคอบ และด้วยการที่ไตร่ตรอง สิ่งที่กำลังปรากฏ ให้มีความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริง ค่อยๆ รู้จริงในสิ่งที่กำลังปรากฏนั้นได้
ผู้ฟัง คือดิฉันฟังแล้วเหมือนกับว่า ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงการรู้รส หรือว่ามีลักษณะของชอบติดใจลักษณะอย่างนี้ คือเราไม่คิดเลยว่านี่คือสิ่งสำคัญ ที่จะต้องศึกษา มันเป็นเรื่องเล็ก
ท่านอาจารย์ ถ้าจะรู้ความจริง จะไปหาความจริงจากที่ไหนได้ มีตาเห็นถ้าไม่รู้ความจริง แล้วจะไปหาความจริงอะไร มีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ กับสิ่งที่กระทบสัมผัส มีใจที่คิดนึก ความจริงก็คือว่าทั้งหมดที่มีที่จะต้องรู้ไม่ใช่ไปรู้อื่นเลย มีใครที่จะไปรู้ความจริงของสิ่งอื่น นอกจากสิ่งเหล่านี้บ้างไหม
ผู้ฟัง ผมเคยได้รับคำถามเรื่องทะเลชื่อ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏกหรือไม่ ผมก็เอาพระสูตรนี่ตอบเขา พวกที่ศึกษาธรรมไม่ถูก ศึกษาธรรมซึ่งจัดว่าเป็นการศึกษาแบบอลัขกทู ก็ได้ เรียนแต่ชื่อ จำแต่ชื่อ แล้วก็ให้ชื่อเหล่านั้นครอบงำสิ่งทั้งปวง ปิดบังทำให้เราไม่สามารถเห็น สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏได้ ก็เพราะชื่อ แล้วผมก็เคยฟังเทปที่อาจารย์เคยพูด คืนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ คืนนั้นไม่มีชื่อในขณะนั้น พิจารณาแต่สภาพธรรมอย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ การฟังธรรมต้องพิจารณาด้วย ว่าฟังเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มี แล้วถ้าสิ่งนั้นเป็นความจริง มีในพระไตรปิฏกแน่นอน เพียงแต่ว่าผู้นั้นจะอ่านพบหรือไม่พบ หรือว่าอ่านแล้วจะมีความเข้าใจอย่างไร เช่นคำว่าทะเลในภาษาไทย ภาษาบาลีก็จะใช้คำว่าโอฆะ หรือสมุธะ คำนีมีไหมในไตรปิฏก สมุธสูตรก็มีโอฆะ ๔ หมายความถึงสิ่งที่กว้างใหญ่ ในความรู้สึกของเรา ที่ใช้คำว่าทะเลหรือมหาสมุทร เราคิดเพียงแต่น้ำ แต่ว่าน้ำก็คือสิ่งที่สมมติ ตาเห็นสิ่งที่ปรากฏ กระทบสัมผัส เย็นหรือร้อน หรือว่าเหลวคืออ่อน นั่นคือสิ่งที่เราสมมติเรียก แต่ว่าถ้าเราจะเข้าใจสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่กว้างใหญ่ มากสุดสายตา ยากที่จะข้ามไปได้ มีอะไรบ้างในพระพุทธศาสนา ก็มีโอฆะ ๔ คือ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ ก็ได้แก่กาโมฆะมีใครบ้างที่ไม่ติด เกิดมาเห็นอยากเห็นต้องการสิ่งที่เห็น เกิดมาได้ยินก็ต้องการได้ยิน แล้วก็ต้องการเสียงต่างๆ ที่จะได้ยินต่อไป ไม่มีใครอยากจะหูหนวกตาบอด ก็แสดงว่าเป็นผู้ที่ติด และต้องการรูปเสียงกลิ่นรสและสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ซึ่งทำให้ทรงจำและก็เป็นเรื่องราวของสิ่งต่างๆ ถ้าจะบอกว่าใครสักคนหนึ่ง ชอบเพชร เป็นชื่อเลยใช่ไหม จริงๆ ชอบอะไร สิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็มีลักษณะที่ต่างกันด้วย เพชรนิลจินดานี้ก็มีหลายอย่าง สีแดงสีเหลืองสีฟ้าอะไรก็มี ชอบสีอะไรอีก นั่นก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วยังทรงจำว่าลักษณะนั้นเป็นเพชร ลักษณะนั้นเป็นแก้ว
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นที่ต้องการของบุคคลที่เกิดในกามภูมิ กามภูมิคือภูมิที่เต็มไปด้วยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ คือสิ่งที่สามารถกระทบปรากฏที่กายได้ ไม่จบเลยวนเวียนอยู่ทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่พ้นจากเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกแต่ในเรื่องราวของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ด้วย หรือเกิดในสวรรค์ ๖ ชั้นหรือว่าในอบายภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย นี่คือกามภูมิ และผู้ที่เกิดในภูมิต่างๆ นี่ก็เป็นกามบุคคล หมายความว่าเป็นผู้ที่ยังติดข้องในกาม มีใครจะพ้นจากความติดข้องในกามได้ไหม เห็นความกว้างใหญ่ ของความติดข้องในรูปในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะไหม อยู่ในโอฆะของความติดข้อง ไม่ใช่ไปอยู่ในทะเล แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงให้เข้าถึงความหมายและอรรถของความจริง ซึ่งกาโมฆะก็คือเป็นการติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ความติดข้องในภพในความเป็นภโวฆะ เพราะว่าโอฆะมี ๔ กาโมฆะ ๑ ภโวฆะ ๑ ทิฏโฐฆะ๑ อวิชโชฆะ ๑ กาโมฆะก็ได้แก่ความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกายใช้คำว่าโผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์คืออารมณ์ทั้งหมด ซึ่งเนื่องกับกาม และก็ภโวฆะ ก็คือความยินดีในภพ ในความเป็น เกิดมาแล้วมีใครอยากจะตายไหม พ้นจากความเป็นบุคคลนี้ หรือว่าขอให้อยู่ในโลกนี้นานๆ ให้เป็นบุคคลนี้นานๆ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าต้องจากโลกนี้ไป แต่ก็ไม่อยากจากไป และรู้ด้วยว่าต้องจากแน่นอน แต่ก็ยังพยายามทุกทางที่จะให้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ให้นานที่สุดที่จะนานได้
นี่ก็คือความติดในความเป็น และก็ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ก็รู้ว่าภพชาติไม่ได้สิ้นสุด เพียงแค่ตาย เมื่อยังมีกิเลสอยู่ ก็ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้นก็หวังที่จะเกิดในสุคติภูมิ ในสวรรค์ หรือว่าในมนุษย์ ถ้าเกิดมาแล้วก็ขอให้สะดวกสบายต่างๆ นี่ก็ความติดในภพ ทั้งหมดเหล่านี้ ที่ยังไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีเรา แต่ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนทั้งสิ้น โลกไหนทั้งสิ้นก็เป็นธาตุอื่นๆ ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ ทิษโฐฆะ เรามีความยึดมั่นไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ และก็ยึดถือด้วยความเห็นผิด ว่ามีเรามีโลกมีสิ่งต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ เกิดเพราะเมื่อมีปัจจัย เฉพาะที่สมควรกับสิ่งนั้นจะเกิด สิ่งนั้นจึงเกิดได้แล้วก็ดับไป ตราบใดที่ยังไม่รู้อย่างนี้ ก็คือเป็นผู้ที่มีทิฏฐิเป็นโอฆะที่กว้างใหญ่ไม่รู้จบ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่รู้ความจริงเลย เพราะฉะนั้นก็มีความยึดมั่นว่าเราเกิด แล้วก็เราตาย สำหรับโอฆะที่ ๔ ห้วงน้ำซึ่งไม่ใช่ทะเล แต่เป็นห้วงที่ใหญ่มากของความติดข้อง ความไม่รู้คือ อวิชโชฆะการไม่รู้ความจริง ในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เคยสนใจที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏจริงๆ คืออะไร ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนี่คือโอฆะ
เพราะฉะนั้นคำว่าโอฆะหรือสมุทธะ มีในพระไตรปิฏกแล้วก็เป็นความจริงไหม ที่ใช้คำว่าทะเลภาพและทะเลชื่อ เพราะว่าแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่เกิดปรากฏ แต่ไม่ได้รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เลย ถ้ารู้ความจริง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาท ที่กำลังปรากฏในขณะนี้มีอายุสั้นมาก คือเมื่อเกิดแล้วก็จะตั้งอยู่เพียงแค่จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะแล้วก็ดับไป สภาวรูป รูปที่มีภาวะของตน มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ และจิตขณะนี้ไม่มีใครสามารถที่จะประมาณได้ ว่าดับเร็วสักแค่ไหน ขณะที่เสมือนว่าทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย จิตเกิดดับห่างกันไกลกันเกิน ๑๗ ขณะ และรูปรูป ๑ ก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นที่ยังเข้าใจว่ามีรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า รูปใดที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว แต่ไม่เคยรู้ความจริงเลย แม้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ความลึกซึ้งของสิ่งที่ปรากฏ ความจริงคือสัจจะของสิ่งที่ปรากฏ จะเป็นสภาพธรรมที่เพียงปรากฎ เมื่อมีการกระทบกับจักขุประสาท และจิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าจิตเห็นไม่เกิด สีสันวรรณะที่กำลังปรากฏต่างๆ ในขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลย นี่คือสัจธรรม ของสิ่งที่ปรากฏต่างๆ กับจิตเห็น แต่ไม่มีการรู้อย่างนี้ เพราะเมื่อเห็นการทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนี้เป็นภาพทั้งหมด จริงหรือไม่จริง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วดับ หรือว่าเป็นภาพ เป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นจะใช้อีกคำหนึ่ง เพื่อที่จะให้เข้าใจว่าอยู่ในทะเลภาพ เพราะเหตุว่าขณะนี้มีใครบ้างที่ไม่เห็นว่าเป็นภาพต่างๆ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1561
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1562
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1563
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1564
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1565
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1566
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1567
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1568
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1569
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1570
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1571
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1572
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1573
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1574
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1575
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1576
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1577
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1578
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1579
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1580
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1581
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1582
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1583
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1584
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1585
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1586
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1587
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1588
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1589
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1590
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1591
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1592
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1593
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1594
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1595
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1596
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1597
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1598
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1599
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1600
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1601
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1602
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1603
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1604
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1605
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1606
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1607
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1608
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1609
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1610
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1611
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1612
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1613
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1614
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1615
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1616
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1617
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1618
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1619
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1620
