ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1562
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๒
สนทนาธรรม ที่ รัฐสภา
วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ วันนี้ก็จะเป็นการทบทวนและสรุปเรื่องของจิต ตามที่เราได้ฟังมาแล้วซึ่งปรากฏในชีวิตประจำวัน แต่ก็จะละเอียดขึ้น โดยการที่ว่าจะทบทวนพร้อมกับเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ก็เป็นเรื่องของจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ คือไม่ใช่กุศลและอกุศลเป็นวิบากจิต ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ๑๕ ดวง ถ้าจะนับดูแล้วก็เป็นกิริยาจิต ๒ ดวง เพราะว่าการศึกษาเรื่องของจิต ต้องทราบด้วยว่าจิตนั้นเป็นชาติอะไร เพราะว่าจิตที่เป็นกุศลจะเป็นชาติวิบากไม่ได้ จะเป็นอกุศลไม่ได้ จะเป็นกิริยาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตแต่ละดวง ต้องรู้ว่าจิตนั้นเป็นชาติอะไร และก็มีเวทนาอะไรเกิดร่วมด้วย เพราะว่าจิตทุกดวง ต้องมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย และจิตนั้นเป็นจิตที่มีเหตุ ๖ เกิดร่วมด้วย หรือว่าไม่มีเจตสิกที่เป็นเหตุเกิดร่วมด้วย แต่ที่เรากล่าวมาแล้ว ก็เป็นจิตประเภทวิบาก ซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยที่ไม่มีเหตุเจตสิกเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นชีวิตประจำวัน ก่อนที่อกุศลจิตจะเกิดและกุศลจิตจะเกิด ไม่ทราบมีข้อสงสัยในเรื่องของเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตต่างๆ เหล่านี้บ้างไหม
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพ ฟังท่านอาจารย์กล่าวว่าสัตว์เดรัจฉาน ภวังคจิต เขาจะมีเจตสิกประกอบแค่ ๑๐ ดวงใช่ไหม ถ้าเป็นคนก็มีมากกว่า นอกในชีวิตประจำวันทั่วไป สัตว์กับคนจะมีเจตสิกที่ประกอบเหมือนกันทุกอย่างเลยหรือ
ท่านอาจารย์ ถ้าเอารูปออก ก็จะรู้ได้ว่าเรากล่าวถึงจิต หรือกล่าวถึงเจตสิก หรือกล่าวถึงรูป เมื่อเอารูปออกก็คือกล่าวถึงจิตและเจตสิก ไม่มีคนไม่มีสัตว์เลย เป็นสภาพปรมัตธรรม แต่สมมติเรียกตามประเภทของจิตนั้นๆ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม กรรมใดที่ทำแล้วต้องให้ผล ให้วิบากจิตเกิดขึ้น ผลของกรรมก็คือ จิตประเภทวิบาก ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วให้ผลทำให้เกิด ก็จะทำให้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๑๐ ดวง เพราะว่าอกุศลกรรมไม่ว่าจะเป็นกรรมที่ร้ายแรงสักเท่าไหร่ก็ตาม หนักมากสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่เวลาที่ให้ผลก็ทำให้อกุศลวิบากจิต ๗ ประเภทเกิด จะไม่มากกว่านั้นเลย ๗ ประเภทนี้ก็คือ ๕ ประเภท จักขุวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ โสตวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ ฆานวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ ชิวหาวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ กายวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ ๕ ดวงดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนจิตเกิดสืบต่อเป็นวิบาก คือกรรมก็ทำให้วิบากจิตเกิดต่อจากจิตเห็น จิตได้ยิน ซึ่งก็ต้องมีเจตสิกเกิดเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำกิจเห็น กิจได้ยิน เจตสิกที่เพิ่มขึ้นก็คือวิตักกเจตสิก วิจารเจตสิก ๒ เจตสิกนี้ต้องเกิดคู่กันไป ส่วนใหญ่นอกจากในภูมิที่สูงกว่านี้ แต่ธรรมดาแล้วก็วิตักก วิจารเจตสิกเกิดร่วมกัน และก็มีอธิโมกขเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพราะเหตุว่าเมื่อไม่ได้ทำกิจเหล่านี้ คือกิจเห็น กิจได้ยิน จำเป็นต้องมีวิตักกเจตสิกวิจารเจตสิก และอธิโมขเจตสิกเกิดร่วมด้วย นี่คือสัมปฏิจฉันนะ เมื่อดับไปแล้ว สันตีรนะซึ่งเป็นอกุศลวิบากอีก ๑ ดวง เกิดสืบต่อจากสัมปฏิจฉันนะ ตามปกติธรรมดา หลังเห็น หลังได้ยินจิต นี้จะทำกิจพิจารณาอารมณ์ที่ปรากฏ ก่อนที่จิตอื่นต่อไปจะเกิดและก็เป็นกุศลอกุศล
ขณะนี้ยังไม่เป็นกุศลอกุศลใดๆ เลย เป็นสภาพของจิตที่เสมอกันหมด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในที่ไหนก็ตาม จิตเห็นก็คือเห็น มีเจตสิกประกอบเท่าเดิม จิตได้ยินก็คือจิตได้ยินไม่ว่าจะเป็นสัตว์มนุษย์ได้ยินที่ไหนก็ตาม เจตสิกก็จะประกอบกันเท่าเดิม เพราะฉะนั้นสำหรับจิตพวกนี้ ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลง เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย สำหรับสันตีรณะเป็นจิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง เมื่อเป็นอุเบกขา ไม่ว่าจะต้องมีเวทนากำกับด้วย สำหรับจักขุวิญญาณ เวทนาที่เกิดร่วมด้วยคืออุเบกขาเวทนา เพียงเห็นไม่สุขไม่ทุกข์ขณะที่ได้ยินเวทนาที่เกิดร่วมด้วย ก็เป็นอุเบกขาเวทนา ชั่วขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่นบางคนก็อาจจะบอกว่ากลิ่นหอม และกลิ่นไม่หอม แต่ขณะที่เพียงกลิ่นปรากฏกับจิตที่ได้กลิ่น จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวง เวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็เป็นอุเบกขา ขณะที่ลิ้มรสก็เช่นเดียวกัน ที่เราลิ้มรสทุกวันทุกวัน ก็มีรสหลากหลาย เราชอบรสนั้นบ้างรสนี้บ้าง แต่ขณะนี้เป็นก่อนที่จะชอบหรือไม่ชอบ เป็นเพียงวิบากจิตในชีวิตประจำวันที่เสมอกันหมด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์บุคคลใดก็ตาม เวลาที่ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้นลิ้มรส ขณะนั้นเวทนาที่เกิดร่วมด้วย เป็นอุเบกขาเวทนา แต่ทางกายจะไม่เป็นอุเบกขา ทางกายที่ทุกคนรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ในวันหนึ่งๆ ขณะสุขไม่ใช่อุเบกขาไม่ใช่อาทุกขมสุข ขณะทุกข์ก็ไม่ใช่อทุกขมสุข แต่เป็นขณะที่กระทบสัมผัส เย็นหรือร้อนอ่อนหรือแข็งตึงหรือไหว ซึ่งขณะนั้นกายวิญญาณจะต้องเกิดร่วมด้วย สุขเวทนาหรือทุกขเวทนา จะเป็นอุเบกขาเวทนาไม่ได้
เพราะฉะนั้นเหมือนกันหมดอีกเหมือนกัน ไม่ว่าสัตว์กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง มนุษย์กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง เวทนาจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ขณะนั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับขณะนั้นเป็นผลของกุศลกรรม หรือเป็นผลของอกุศลกรรม ถ้าขณะใดเป็นผลของกุศลกรรม จิตเหล่านี้ก็มีอารมณ์คือสิ่งที่ปรากฏให้รู้ เป็นสิ่งที่น่าพอใจ ถ้าขณะใดเป็นผลของอกุศลกรรม เราก็เลือกไม่ได้เลย ทุกคนอยากจะมีแต่อารมณ์ที่ดีที่น่าพอใจ แต่เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล จิตต่างๆ เหล่านี้ก็จะต้องมีอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ทางกายก็เป็นทุกขเวทนา แต่สำหรับสัมปฏิจฉันนะ ที่เป็นอกุศลวิบากเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา กับเจตสิกอีก ๓ ดวงเพิ่มขึ้น เพราะว่าไม่ได้ทำกิจของพวกทวิปัญจวิญญาณเหล่านั้น และเมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว เมื่อกรรมทำให้อกุศลวิบากสันตีรนะเกิด จะเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา เพราะฉะนั้นก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง ทุกคนทุกวันเป็นอย่างนี้ ก่อนที่กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด จิตต่างๆ เหล่านี้ ก็จะเป็นจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ
เพราะว่าถ้าประกอบด้วยเหตุเมื่อไหร่ ก็จะเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หรือเป็นผลของกุศลซึ่งถ้าเป็นผลของกุศลนี้ จะมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยมากกว่า เพราะเหตุว่ากว่าจิตจะเป็นกุศลเกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยจิตที่เป็นโสภณธรรมปรุงแต่งให้เกิด เพราะฉะนั้นเวลาที่กุศลกรรมให้ผล จะมีวิบากคือผลของกุศล ๒ ประเภท คือผลของกุศลที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ที่ได้กล่าวถึงในขณะนี้ กับผลของกุศลที่ประกอบด้วยเหตุ กุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุก็มี แต่ว่าอกุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุไม่มีเลย นี่ก็เป็นเรื่องของกรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นที่น่าสนใจ ที่เราจะได้ทราบว่าเรื่องของเหตุ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะรู้ว่าจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมดมี ๑๘ ฟังดูก็รู้สึกว่าบางท่านอาจจะลืมแล้ว บางท่านก็อาจจะคิดว่าทำไมเป็นเรื่องที่ละเอียด ที่เราจะต้องพูดถึงเรื่องจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างๆ กัน ก็แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตา ความหลากหลายของจิต ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย แล้วก็เป็นชีวิตประจำวัน จริงๆ แล้วชื่อทั้งหมด ที่ยากที่สุดก็อยู่ตรงนี้ เพราะเหตุว่าเราไม่คุ้นเคยกับชื่อต่างๆ เหล่านี้ แต่ต่อจากนี้ไปพอพูดถึงเรื่องกุศลจิตอกุศลจิต จะไม่ยากเลยเพราะเหตุว่าทุกคนชิน
แต่ว่าจิตก่อนที่กุศลจิตและอกุศลจิตจะเกิด เราไม่เคยชิน แต่ถ้าจะศึกษาเรื่องจิต เราก็จะศึกษาได้หลายนัย คือศึกษาโดยจิตที่ประกอบด้วยเหตุ และจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ เพราะเหตุว่าแสดงโดยนัยนี้ก็ได้ ในบรรดาจิตทั้งหมด ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ประเภทก็ตาม สามารถที่จะจำแนกได้ว่า จิตใดเกิดร่วมกับเหตุคือเจตสิกที่เป็นเหตุ ๖ แล้วก็จิตใดไม่เกิดร่วมกับเจตสิกที่เป็นเหตุ และเหตุผลก็มีคือว่าจิตที่ไม่เกิดร่วมด้วยกับเจตสิกที่เป็นเหตุ จะไม่ใช่กุศลและอกุศล
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ดิฉันแปลกใจว่าที่ หสิตุปทาจิตเป็นจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย มันน่าจะมีเหตุที่เป็นโสมนัสหรืออะไร
ท่านอาจารย์ หสิตุปทาจิตเป็นจิตที่แย้มหรือยิ้มของพระอรหันต์ ซึ่งไม่ใช่หัวเราะ และก็อย่างปุถุชนมีลักษณะของโสมนัสหลายอย่าง ตั้งแต่ยิ้มพอนัยตาบาน ถือว่าไม่ปรากฏอาการที่จะแสดงลักษณะ อาการของยิ้มแต่ตาก็เบิกบาน แสดงให้เห็นถึงความปิติและความดีใจได้ ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของยิ้มประเภท ๑ แล้วก็มียิ้มซึ่งไม่เห็นฟัน ก็ได้ใช่ไหม คือธรรมเป็นเรื่องที่จริง ความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น และก็ยิ้มที่เห็นฟันเล็กน้อยก็มี จนกระทั่งถึงหัวเราะเสียงดัง หรือว่าล้มกลิ้งไปได้ก็มี ก็เป็นจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ซึ่งต้องประกอบด้วยปีติเจตสิกนี้แน่นอน แต่สำหรับพระอรหันต์ท่านมีการยิ้มด้วย เพราะเหตุว่าท่านก็มีโสมนัสสเวทนาด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่มีโสมนัสสเวทนาอีกต่อไป แต่ว่าลักษณะการยิ้มของพระอรหันต์ ก็จะต่างกับการยิ้มของบุคคลอื่น ปุถุชนยิ้มด้วยโลภะก็ได้ ยิ้มด้วยกุศลจิตก็ได้ อกุศลจิตก็ได้ แต่สำหรับพระอรหันต์ จิตที่เป็นกุศลอกุศลไม่มีอีกเลย เหลือแต่จิตซึ่งเป็นวิบาก ซึ่งเป็นผลของอดีตกรรม ที่ได้กระทำแล้วกับกิริยาจิต เพราะฉะนั้นกุศลสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์เลย ก็เป็นจิตที่ดีงาม แต่ว่าเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดวิบาก แต่สำหรับพระอรหันต์เพราะว่าดับกิเลสหมดแล้ว ถึงแม้ว่าการกระทำของท่าน ก็จะเป็นไปด้วยจิตที่ดีงาม แต่จิตที่กระทำสิ่งนั้นนั้น ก็เป็นเพียงกิริยาจิต เพราะเหตุว่าไม่เป็นเหตุให้เกิดผล เพราะฉะนั้นแม้พระอรหันต์จะยิ้ม อาการภายนอกก็เหมือนกับคนอื่นที่ยิ้ม เพราะเหตุว่าไม่เห็นฟันก็ได้ใช่ไหม หรือว่าจะเห็นเพียงไรฟันก็ได้ แต่ว่าจิตที่ทำให้เกิดการยิ้มนั้นต่างกัน เพราะฉะนั้นปุถุชนจะมีหสิตุปาทะ ซึ่งเป็นกิริยาจิตไม่ได้ แต่ยิ้มได้
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำเป็นว่ายิ้มไม่เห็นไรฟัน ก็คงจะไม่ใช่มีลักษณะนั้นก็แสร้งทำเท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แสร้ง เวลานี้ก็คงจะมีคนยิ้มที่ไม่เห็นฟันหลายคน ไม่ได้แสร้งแต่ว่าขณะนั้นไม่ใช่กิริยาจิต ยังมีกิเลสอยู่ขณะที่ยิ้ม ด้วยกุศลจิตหรือด้วยอกุศลจิตไม่ใช่ด้วยกิริยาจิต
ผู้ฟัง คือผมกำลังสงสัยว่าโสมนัสสหคตัง สันตีรณจิตตัง เป็นจิตที่ทำให้ยิ้มได้หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ โสมมนัสแล้งไม่ยิ้มก็ได้ใช่ไหม หรือว่าต้องยิ้มทุกครั้ง เพียงแต่เบิกบานความรู้สึกสำคัญมาก ขณะใดที่มีความรู้สึกสบายใจเป็นสุขใจขณะนั้น ตาก็อาจจะแจ่มใส ก็คงจะมีท่านที่ไปประเทศอินเดีย และก็เห็นชาวอินเดีย มีชีวิตที่ยากลำบากมาก แต่ถ้าเพียงเราให้เงินเขาสักรูปี ๑ หรือ ๒ รูปี หน้าเขาเปลี่ยนเห็นได้เลย มีความสุขเกิดขึ้นแม้เขาจะไม่ยิ้มด้วยปาก หรือว่าหัวเราะเสียงดัง แต่ว่าตาของเขาหน้าตาของเขาแจ่มใส ขณะนั้นก็พอจะทราบได้ว่า เวทนาเป็นโสมนัสเวทนา ดีใจเป็นสุข แม้ว่าไม่มีอาการที่จะต้องเห็นไรฟัน หรือว่าแย้มหรือยิ้ม แต่หน้าตาก็เบิกบานได้
ผู้ฟัง กราบอาจารย์สุจินต์ ทราบว่า กุศลวิบากจิตรู้ได้เฉพาะอารมณ์ที่น่าพอใจ แล้วก็อกุศลวิบากจิตรู้ได้ เฉพาะอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ผมสงสัยว่า หสิตุปาทจิตควรหรือที่จะรู้อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ
ท่านอาจารย์ เรื่องของการที่จะรู้อารมณ์ เป็นเรื่องของวิบากจิต แต่หลังจากที่วิบากจิตดับไปแล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิต หรือกิริยาจิตเกิดได้ เปลี่ยนแปลงได้ ไม่ได้หมายความว่า คนที่เห็นอารมณ์ที่น่าพอใจแล้ว ก็จะต้องเป็นอกุศล โลภะ เป็นกุศลก็ได้ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่า อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ จิตที่เป็นวิบากก็ต้องตรง ถ้าขณะใดที่เป็นผลของอกุศลกรรม จิตเห็นจะเกิดขึ้นและก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ด้วยกำลังของกรรมที่จะทำให้ มีการกระทบกันของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตาหรือทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย แล้วก็วิบากก็ต้องตรง อย่างเสียงที่ไม่น่าพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่วันไหน เลือกไม่ได้เลย เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรม จะทำให้อกุศลวิบากเกิดขึ้นได้ยินเสียงนั้น ไม่มีใครจัดแจงเลย ก็เป็นเหตุที่จะทำให้ประจวบกันที่รูปนั้นจะกระทบกับปสาทนั้น และจิตที่เป็นผลของกรรม วิบากจิตก็จะเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น นี่เป็นเรื่องของวิบากซึ่งต้องตรง แต่สำหรับเรื่องของกุศลจิตอกุศลจิตกิริยาจิต นั่นแล้วแต่การสะสม ผลของอกุศลกรรม ที่ทำให้เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องเป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก
ผู้ฟัง อาจารย์การที่เรียกว่าเป็นบุคคลพิการมาแต่กำเนิด นี้หมายเอาตรงตั้งแต่ปฏิสนธิเลย หรือว่าจะหมายเอาตรงที่อยู่ในครรภ์ของแม่ แล้วก็แม่รับประทานยา หรือว่าได้รับอุบัติเหตุแล้วพิการ
ท่านอาจารย์ ต้องกรรม หมายความว่า ปฏิสนธิจิตเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก เป็นกุศลที่อ่อน เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสของอกุศลกรรม ที่จะเบียดเบียนได้ ทำให้พิการบ้าง หรือว่าบ้า ใบ้ บอด หนวก
ผู้ฟัง หมายความว่า ก็ต้องเป็นมาตั้งแต่ปฏิสนธิจิตใช่ไหม ส่วนการที่จะมาได้รับวิบากใหม่ ในขณะที่เป็นตัวอ่อนอยู่ในครรภ์แล้ว นั่นก็อีกวาระหนึ่ง อีกขณะหนึ่งล่วงมา
ท่านอาจารย์ ต่างกันที่ปฏิสนธิจิต คือกรรมจะทำให้จิตใดปฏิสนธิ ถ้าเรากำลังศึกษาธรรม เป็นกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาให้ผล ก็จะทำให้มหาวิบากหรือกามาวจรวิบากซึ่งเป็นผลของกรรมนี้ เกิดร่วมด้วยกับปัญญาเจตสิก ถ้าขณะนี้มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นความเข้าใจธรรมก็จำแนกออกไป เพราะว่ากรรมที่เราได้ทำที่เป็นกุศล ที่ประกอบด้วยปัญญาก็มี ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มี เพราะฉะนั้นเราจะเลือกว่าเราอยากจะให้กุศล ที่ประกอบด้วยปัญญาให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม้ว่าจะทำกรรมที่เป็นกุศลมาก แต่ก็มีอกุศลกรรมซึ่งสามารถจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ อย่างม้ากัณฑกะ ก็จะเห็นได้ว่าเกิดเป็นม้าในชาตินั้น แต่หลังจากจุติจากชาตินั้นแล้วก็เกิดบนสวรรค์ เป็นเทวดาเป็นเทพบุตร มาเฝ้ากับผู้มีพระภาค ได้ฟังธรรมได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นเราเลือกกรรมที่จะให้ผลไม่ได้ แม้ว่ามีกรรมที่เป็นกุศลกรรม ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยปัญญา แล้วก็มีอกุศลกรรมด้วย ก็แล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผล แต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อน อย่างไรๆ ก็ยังเป็นกุศลวิบากไม่ใช่อกุศลวิบาก
เพราะฉะนั้นก็ทำให้ไม่เกิดในอบายภูมิ เพราะว่ากุศลวิบากผลของกุศลนี้ จะไปเกิดในอบายภูมิ คือจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสูรกายไม่ได้ ต้องเกิดเป็นมนุษย์ แต่เพราะเหตุว่าเป็นผลของกุศลอย่างอ่อน ก็เป็นปัจจัยอกุศลกรรมที่จะเบียดเบียน ทำให้พิการบ้าง ตั้งแต่กำเนิด คือหมายความว่าถึงกาลที่จักขุปสาทจะเกิด จักขุปสาทก็ไม่เกิด สำหรับคนอื่น ถึงกาละที่อยู่ในครรภ์ และจักขุปสาทจะเกิดจักขุปสาทก็เกิด แต่สำหรับผู้ที่ปฏิสนธิด้วยกุศลอย่างอ่อน ด้วยอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ถึงกาลที่จักขุปสาทจะเกิดก็ไม่เกิด ถึงกาลที่โสตปสาทจะเกิดก็ไม่เกิด แต่ถ้าเกิดแล้วเป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งไม่ใช่อย่างอ่อน จิตที่ปฏิสนธิเป็นกุศลวิบาก ที่ใช้คำว่ามหาวิบากบุคคลนั้น ก็จะไม่พิการตั้งแต่กำเนิด แต่หลังจากที่ปฏิสนธิแล้ว ก็อาจมีแม้แต่อยู่ในครรภ์ก็พิการได้ จากการที่มารดาอาจจะรับประทานยาอะไร ที่จะทำให้บุตรในครรภ์พิการได้ ทุกคนไม่ได้ต้องการอกุศลวิบากเลย อยากเห็นแต่สิ่งที่ดี อยากได้ยินเสียงที่ดี อยากได้กลิ่นที่ดี อยากลิ้มรสที่ดี อยากได้กระทบสัมผัสสิ่งที่สบาย แต่แล้วแต่กรรม ไม่มีใครสามารถที่จะเลือกได้เลย แต่ละขณะจิตที่เกิดนี้ มีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะเกิด เพราะฉะนั้นถ้าต้องการผลที่ดี มีเหตุเดียวก็คือว่ากระทำกุศลกรรม ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้วิบากที่ดีเกิดขึ้น สำหรับกุศลวิบากมีมากกว่า ๗ แต่ว่าเราก็ค่อยๆ ศึกษาว่าตั้งแต่อกุศลวิบากมีเพียง ๗ แล้วก็ ๗ นี่ก็จำไว้เลย ชื่อแปลกๆ ก็แค่ ๒ ชื่อคือสัมปฏิจฉันนจิตกับสันตีรณจิต นอกจากนั้นก็คือจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ แล้วก็สำหรับจิตที่จะแยกโดยอีกนัยหนึ่ง ซึ่งต่อไปก็จะได้กล่าวถึงคือให้ทราบว่า สามารถที่จะจำแนกจิตโดยประเภท ที่เป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุชื่อว่าสเหตุกะ คือเกิดร่วมกับโลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิกซึ่งเป็นอกุศลเหตุ และจิตประเภทที่เป็นโสภณจิต เป็นสเหตุกะฝ่ายดีก็คือ จิตที่เกิดร่วมกับอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก อโมหเจตสิก เจตสิก ๕๒ ประเภทไหน เฉพาะเจตสิก ๖ เป็นเหตุ ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าเหตุ
เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตใด เกิดร่วมกับเจตสิก ๖ ดวงนี้ จิตนั้นเป็นสเหตุกจิต แต่จิตใดที่ไม่เกิดร่วมกับเหตุทั้ง ๖ นี้ จิตนั้นเป็นอเหตุกจิต และที่เราได้กล่าวถึงทั้งหมด ๑๘ ดวงเป็นจิตประเภทที่เป็นอเหตุุกจิต คือยังไม่มีอกุศลเจตสิก หรือกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลย เป็นเพียงผลของกรรมที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นวันนี้บางคนอาจจะไม่คิด และก็ไม่ทราบว่า เป็นผลของกรรมมากแค่ไหน เพราะว่ามีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งหมดเป็นผลของกรรมทั้งนั้น ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะทำให้ได้เลย เพราะว่าแต่ละคน เกิดคนเดียว เห็นคนเดียวได้ยินคนเดียว ไม่มีใครมาร่วมเห็น ในขณะที่จักขุวิญญาณของแต่ละคนเกิดขึ้น ขณะที่โสตวิญญาณเกิดขึ้นได้ยินเสียง ขณะนั้นก็เป็นบุคคลนั้นเท่านั้น ที่กำลังได้ยินเสียงนั้น คนอื่นไม่สามารถที่จะร่วมการได้ยินนั้นได้ ต่างคนก็ต่างเกิด ต่างคนก็ต่างเห็น ต่างคนก็ต่างได้ยิน ต่างคนก็ต่างคิดนึก เพราะฉะนั้นก็เป็นสภาพจิตในชีวิตประจำวัน ซึ่งหลังจากอะไรเหตุกจิตแล้ว ก็จะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตซึ่งเป็นเหตุ เพราะว่ามีเจตสิกซึ่งเป็นกุศลเหตุและอกุศลเหตุเกิดร่วมด้วย
ผู้ฟัง อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ตรงนี้ว่า คือจริงจริงแล้ว เราสามารถจะฝึกให้เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็สามารถฝึกตัวเองให้ไม่โกรธ ไม่พอใจให้พอใจได้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ การเกิดดับสืบต่อของจิตเร็วมากทีละหนึ่งขณะ นี่เป็นสิ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง การเกิดดับสืบต่อของจิตทีละหนึ่งขณะ ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ เราสามารถที่จะทำให้จิตขณะไหนเกิดได้บ้าง
ผู้ฟัง ที่เราฟังตามทฤษฎี ที่เราเรียนตามที่เรียนอยู่ขณะนี้ ก็ทราบว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติคือเป็นเรื่องของจิตและเจตสิก แต่ว่าความรู้สึกว่าเราฝึกอยู่เสมอให้ได้ดี แล้วฝึกเสมอให้เป็นคนใจเย็น เป็นคนที่อดทน ก็สามารถที่จะมีอาการที่อดทนนั้นเกิดขึ้นได้ ซึ่งดูแล้ว เราน่าจะทำได้นะ เราน่าจะโยนิโสมมนสิการได้อะไรต่างๆ เป็นต้น
ท่านอาจารย์ ทำอย่างไร คือข้อสำคัญจะทำอย่างไรถ้าทำได้ ต้องมีการฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นเหตุผล สิ่งที่สามารถไตร่ตรองรู้ว่าเป็นความจริง ไม่ใช่ว่าเราทำ โดยไม่รู้อะไรเลย หรือว่าอยากจะทำอะไรก็ทำได้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าเราจะทราบได้ว่าการอบรมมีตั้งแต่ขั้นการฟัง สุตมยปัญญา ต้องมีการฟังไม่ใช่เพียงการได้ยิน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1561
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1562
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1563
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1564
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1565
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1566
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1567
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1568
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1569
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1570
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1571
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1572
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1573
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1574
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1575
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1576
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1577
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1578
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1579
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1580
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1581
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1582
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1583
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1584
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1585
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1586
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1587
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1588
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1589
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1590
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1591
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1592
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1593
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1594
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1595
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1596
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1597
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1598
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1599
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1600
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1601
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1602
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1603
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1604
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1605
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1606
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1607
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1608
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1609
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1610
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1611
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1612
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1613
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1614
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1615
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1616
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1617
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1618
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1619
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1620
