ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1568
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๘
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ท่านอาจารย์ ทุกคนกำลังเห็น ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ จึงเป็นเราเห็นแล้วก็ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วการที่สภาพเห็น จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัย เช่นถ้าไม่มีจักขุปสาท อย่างคนตาบอดเห็นไม่ได้เลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งๆ ที่ความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วก็เข้าใจเผินๆ ว่าถ้าไม่มีตา คือไม่มีจักขุปสาทก็ไม่เห็น ก็ดูเป็นธรรมดา แต่เป็นเราที่ไม่เห็น แต่ถ้ารู้ว่าเห็นเป็นธรรม ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นต้องเห็น จะไปได้ยินก็ไม่ได้ จะไปคิดนึกก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำกิจเห็น แล้วก็ดับไปจะไม่ทำหน้าที่อื่นเลย นี่คือการที่จะเข้าใจชีวิตซึ่งคิดว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย ก็คือลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลยด้วย มีขณะไหนในชีวิตของแต่ละคนซึ่งกลับมาบ้าง เคยไปเที่ยวสนุกที่ไหน กลับมาได้ไหม ความสนุกนั้นก็กลับมาไม่ได้เลย เคยรับประทานอาหารอร่อย รสอร่อยอย่างนั้น จะกลับมาเป็นรสเดิมอันเก่าที่กลับมาอีกก็ไม่ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วทุกขณะ ทุกอย่างก็หมดสิ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งถึงขณะสุดท้าย คือจากโลกนี้ไปแล้ว ก็มีการเกิดอีกเป็นอย่างนี้เรื่อยไป ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม
ผู้ฟัง สภาพธรรมที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมายถึงว่าจะไม่กลับมาเกิดอีกเลย แต่สภาพธรรมตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวัน อย่างลักษณะแข็ง ถึงขณะนี้เราไม่ได้รู้สึกสภาพแข็ง อีกสักพักเรารู้สึกขณะสภาพแข็ง มันก็เหมือนกับเป็นลักษณะสภาพแข็งเหมือนกันใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ลักษณะแข็งไม่เปลี่ยน แต่ไม่ใช่แข็งเดิม ซึ่งเกิดแล้วดับตามเหตุตามปัจจัย สภาพแข็งไม่ได้เปลี่ยนเลย เมื่อไหร่มีปัจจัยเกิดขึ้น ธาตุแข็งก็เกิดแล้วก็ดับ ไม่ใช่ไม่ดับเลย แต่ทีนี้ความไม่รู้ ก็คิดว่าแข็งไม่ดับเลย มีอยู่ตลอดเวลา เหมือนแข็งก็แข็งเดิม พอรู้อีกครั้งก็เป็นแข็งเก่า แต่ความจริงผู้ที่ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม เมื่อทราบว่าแม้ในขณะที่แข็งเกิดปรากฏ แข็งนั้นดับ เป็นการเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม กับท่านอัญญาโกณธัญญะ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญจวคีย์ และท่านอัญญาโกณฑธัญญได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ความปิติของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมากสักแค่ไหน ที่ได้เห็นว่าบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรม มีผู้ที่ได้อบรมปัญญาบารมี ที่จะรู้สภาพธรรมนั้นด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะพระองค์เดียว เพราะเหตุว่าถ้าเป็นการรู้แจ้งสภาพธรรมเฉพาะตัว ก็จะไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อเป็นพระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาที่จะให้สัตว์โลกอื่นๆ ได้รับฟังพระธรรม แล้วก็ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมด้วย เพราะเหตุว่าธรรมเป็นสิ่งที่รู้ยาก ไม่ใช่ว่าใครก็จะรู้ได้โดยง่ายเลย เห็นความลึกซึ้งของอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรม โดยละเอียดทุกประการ เพื่อที่จะให้แต่ละบุคคลอบรมเจริญปัญญา ที่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม จึงจะออกจากสังสารวัฎฏ์ได้ มิฉะนั้นก็จะมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกทุกชาติ โดยที่ไม่รู้ความจริงเลยว่า แม้แต่แข็งที่เหมือนกำลังปรากฏในขณะนี้ ความจริงแข็งนั้นเกิดแล้วก็ดับ
ผู้ฟัง อย่างนั้นลักษณะสภาพธรรมหนึ่ง สภาพธรรมใดที่ปรากฏ เป็นสภาพธรรมนั้นอย่างเดียวไม่ใช่อย่างอื่น อย่างเช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าเสียงที่ปรากฏทางหู
ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฏทางหูไม่ได้ ลักษณะนี้ไม่ปรากฏทางหูเลย และสิ่งที่ปรากฏทางหูคือเสียง ก็ไม่ใช่จะปรากฏทางตาได้ ทุกคนทราบว่าไฟที่จุด เกิดขึ้นและเมื่อหมดเชื้อไฟก็ดับไป แล้วเวลาที่มีเชื้อไฟใหม่ ก็มีการจุดไฟให้เกิดขึ้น ไฟใหม่ที่เกิดจากเชื้อใหม่ ไม่ใช่ไฟเดียวกับไฟเก่า ที่เกิดจากเชื้อเก่าฉันใด แต่ละขณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีสภาพธรรมใหม่เกิดขึ้น เพราะปัจจัยใหม่ก็เป็นสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สภาพธรรมเก่า เพราะว่าไม่ได้เกิดจากปัจจัยเก่า แต่ละขณะนี้ใหม่จริงๆ ทุกขณะ
ผู้ฟัง แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานี่ก็คือ สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น
ท่านอาจารย์ แล้วก็ดับ แล้วก็เกิดอีกแล้วก็ดับอีก แล้วก็เกิดอีกแล้วก็ดับอีก ไม่เปลี่ยนไปปรากฏทางหู เป็นสภาพของธาตุชนิดหนึ่ง ผู้ที่ศึกษาเรื่องธาตุ ก็คงจะเข้าใจความหมายของธาตุ ว่าถ้าใช้คำว่าธาตุ ธาตุก็หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริง มีลักษณะซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย ลักษณะเฉพาะอย่างของธาตุนั้นๆ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง ถ้าสติระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ในแต่ละครั้ง สิ่งที่ปรากฏทางตานั่นก็คือ ชนิดเดียวกันหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ เสียง มีหลายเสียงไหม
ผู้ฟัง มีหลายเสียง
ท่านอาจารย์ เป็นเสียงเดียวกันหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ฉันใดทางตาก็เหมือนกัน สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏในขณะก่อน หรือแม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏนี่ก็ดับแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อมาก็เป็นสิ่งใหม่ รูปที่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ แต่ไม่ใช่รูปเก่าที่ดับไป
ผู้ฟัง แต่ว่าโดยสภาพปรมัตถธรรมมันน่าจะเป็นสิ่งเดียวกันใช่ไหม
ท่านอาจารย์ หมายความว่าอย่างไร สิ่งเดียวกัน
ผู้ฟัง อย่างปรมัตถธรรมที่ปรากฏทางกายอย่างนี้ เช่นรูป รูปแข็งอย่างนี้ก็เป็นลักษณะของธาตุดิน เป็นลักษณะที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ เป็นธาตุดิน จะไม่เป็นธาตุอื่น ธาตุชนิดไหนก็เป็นธาตุชนิดนั้น ไม่แปรเปลี่ยนเป็นธาตุอื่น แต่ว่าไม่ใช่ธาตุเดิมธาตุเดียวกับที่ได้เคยกระทบมาแล้ว
ผู้ฟัง ขอบพระคุณ
อ.อรรณพ ก็มีคำถามว่าอุปาทินกรูปกับอนุปาทินกรูปคืออะไร ถ้ากล่าวถึงสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ใดๆ เลย อย่างที่เราเข้าใจกันว่า เป็นภูเขา เป็นต้นไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ที่จริงๆ แล้วภูเขา ต้นไม้ โต๊ะ เก้าอี้นั้นไม่มี เป็นการประมวลคิดนึกเอา แต่สภาพธรรมมีจึงมีการประมวลเป็นภูเขาเป็นต้น ไม้ เป็นเก้าอี้ ก็คือรูป แต่รูปที่ประกอบกัน แล้วเราประมวลไปเป็นภูเขาเป็นต้นไม้เป็นเก้าอี้นั้น รูปเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากกรรม แต่รูปบางอย่างเกิดจากกรรม อย่างเช่นจักขุปสาท ตา เกิดจากกรรม ผู้ที่มีกรรมที่จะมีจักขุปสาท ก็จะมีจักขุปสาทเกิดดับเกิดดับ ในทุกๆ ขณะย่อยของจิต เพราะฉะนั้นจักขุปสาทแม้เป็นรูป แต่จักขุปสาทก็ต่างจากรูปภายนอกอื่นๆ ที่เป็นภูเขาเป็นต้นไม้เป็นเก้าอี้ เพราะฉะนั้นรูป คือรูปจักขุปสาทเป็นต้นเป็นรูปที่เกิดจากกรรม เป็นอุปาทินกรูป เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะเป็นสภาพที่ไม่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าการเกิดนั้นก็ต่างกัน รูปที่อาศัยกรรมเกิดขึ้นเป็นรูปที่เกิดจากกรรมก็มี ก็คือว่า อุปาทินกรูป ส่วนรูปที่ไม่ได้เกิดจากกรรม ก็คืออนุปาทินกรูปนั่นเอง
ผู้ฟัง คือที่ผมฟังเทปท่านอาจารย์ตอนเช้าๆ เกี่ยวกับเรื่องรูป ที่มีคนถามรูปนั่งรูปนอนรูปยืนรูปเดินตรงนี้ ตรงนี้คือรูปเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ทีนี้เขาไปบัญญัติว่ารูปนั่ง รูปนอน รูปยืน รูปเดิน ตรงนี้คืออยากให้ช่วยขยายนิดหนึ่งว่ามันเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมด้วยการต้องละเอียด และต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ทุกคำที่ได้ยินอย่าผ่าน แล้วก็อย่าเผิน จนกว่าจะเป็นการไตร่ตรองและก็เข้าใจ ขอย้อนไปถึงเรื่องของรูปที่เกิดจากอุปาทาน กับรูปที่ไม่ได้เกิดจากอุปาทาน เพราะฉะนั้นก็ต้องทราบก่อนว่าอุปาทานนี่คืออะไร เพราะเหตุว่าถ้าเราไม่ละเอียด เราก็คิดว่าเราฟังแล้วเราก็เข้าใจ แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจเลย เพียงแต่ว่าได้ยินชื่ออุปาทินกะกับอนุปาทินกะ ซึ่งก็เป็นภาษาบาลี ถ้าได้ยินคำว่าอุปาทินนากะ ก็หมายความว่าต้องเป็นรูปที่เกิดจากอุปปาทาน หมายความว่าคนนั้นก็ยังมีกิเลส ยังไม่ได้หมดอุปทานเลย ความจริงอุปทานคือการยึดมั่น ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็อย่างหนึ่ง ในภพในชาติในการเกิดการต้องการจะมีชีวิตอยู่ก็อีกอย่างหนึ่ง และอุปทานที่เป็นการยึดถือสิ่งที่มีว่าเป็นเรา เป็นความยึดมั่น ซึ่งทุกคนก็พิสูจน์ได้ใช่ไหม ขณะนี้กำลังนั่งนี่เป็นเราทั้งนั้นเลย จะยืนจะนอนจะเดินก็เป็นเราทั้งหมด เพราะว่ายึดถือรูปนั้นว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า ตราบใดที่ยังมีอุปาทานเป็นเหตุ ให้มีการเกิดในภพภูมิที่มีรูป รูปนั้นก็เกิดจากอุปทานซึ่งเป็นการยึดมั่น เป็นเหตุให้มีการกระทำกรรมต่างๆ ถ้าเราหมดการยึดถือ หมดการยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายเป็นพระอรหันต์ กรรมที่จะเป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมจะไม่มีเลย แม้ว่าจะมีการพูดการแสดงธรรม การสนทนาธรรมทั้งหมด ไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดอีก ไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบาก ไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดภพชาติ
เพราะฉะนั้นก็จะมีความต่างกัน ของขณะที่ยังมีอุปทาน ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็คือยังมีกิเลสอยู่ มีความยึดมั่นอยู่ ก็จะมีการเกิด เราคงจะไม่เกิดในอรูปพรหมภูมิ ซึ่งเป็นผลของอรูปฌานกุศล เป็นกุศลขั้นสูงที่สุด ที่เกิดจากความสงบของจิต ที่เป็นการอบรมเจริญสมถภาวนา ถึงขั้นปัญมฌาน ซึ่งไม่มีรูปเป็นอารมณ์ เพียงแค่จะจากกามมาวจรภูมิ ภูมิที่เต็มไปด้วยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นภูมิของมนุษย์ ภูมิของสวรรค์ ภูมิ ของสัตว์เดรัจฉาน ภูมิของนรก ภูมิของเปรตอสูรกายพวกนี้ก็ยังไม่พ้น เพราะเหตุว่ายังไม่มีความสงบจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ พอที่จะไม่เกิดในภูมิเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุนี้ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็จะมีกรรมซึ่งเนื่องกับรูป ที่ทำให้เมื่อเกิดอีกก็มีรูป รูปซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานก็มี นั่นคืออุปาทินนกรูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรม เพราะเหตุว่ายังมีการยึดถืออยู่ เพราะฉะนั้นในขณะนี้ ถ้าเราไม่เผิน เราจะรู้ว่าที่ตัวของเราที่ร่างกายของเรา มีทั้งรูปที่เกิดจากกรรม มีทั้งรูปที่เกิดจากจิต มีทั้งรูปที่เกิดจากอุตุ คือความเย็นความร้อน มีทั้งรูปที่เกิดจากอาหารที่รับประทาน ซึ่งเราจำเป็นอย่างยิ่งในภูมิมนุษย์ที่จะต้องบริโภคอาหาร เพราะเหตุว่าอาหารที่รับประทานเข้าไป ก็จะทำให้ชีวิตและดำรงอยู่ต่อไปได้ เพราะว่าถ้ามีแต่เพียงรูปที่เกิดจากกรรมเท่านั้น มีรูปที่เกิดจากจิตเท่านั้นก็ไม่พอ ที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้
ด้วยเหตุนี้ถ้าทราบความละเอียด แม้แต่ว่ารูปที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา แท้ที่จริงแล้วมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดมาก สามารถที่จะแตกย่อยออกไปละเอียดยิบ ซึ่งถ้าจะกล่าวถึงว่ารูปที่เล็กที่สุดก็จะมีรูป ๘ รูปรวมกัน คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชา แยกละเอียดแล้วก็ยังมีรูปถึง ๘ รูปรวมกันอยู่ ว่าแต่ละกลุ่มก็เกิดดับตามเหตุตามปัจจัย ขณะที่เกิดครั้งแรกพร้อมกับปฏิสนธิจิต ก็จะมีรูปที่เกิดจากกรรมเกิดพร้อมกัน นี้ก็แสดงให้เห็นว่า ที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเรา เราไม่มีความรู้ความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องของรูปทั้งในเรื่องของนามธรรม คือจิตและเจตสิก แล้วก็เลยเข้าใจว่า รูปก็ไม่เกิดดับ เวลากระทบอีกก็เหมือนรูปเดิมหรือรูปเก่า แต่ว่าความจริงไม่ใช่ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้ที่กำลังนั่งเป็นรูปถูกต้อง โดยที่ว่าเพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว รูปที่กำลังทรงอยู่ในขณะที่นั่ง ไม่ได้เที่ยงเลยเกิดดับ ทยอยกันเกิดแล้วก็ทยอยกันดับ แต่ละกลาปหรือว่าแต่ละกลุ่มของรูป เพราะฉะนั้นถ้ารูปเหล่านี้ แยกออกเป็นเฉพาะรูปเดียว จะมีการนั่ง การนอน การยืน การเดินได้ไหม แต่ว่าถ้ามีการรวมกัน ก็จะปรากฏว่ารูปนั้นทรงอยู่ตั้งอยู่ในลักษณะใด ซึ่งถ้ากล่าวว่ากำลังนั่ง คนที่ไม่มีความรู้เรื่องรูปเลยก็จะบอกว่าถูกต้อง เพราะเหตุว่าทุกคนกำลังนั่ง ท่ายืนก็รู้ว่ายืน ไม่มีใครไม่รู้ว่าลักษณะอาการ ที่ทรงอยู่อย่างนี้ คือลักษณะหนึ่งซึ่งต่างกับนั่ง แต่ว่าถ้ามีความรู้ว่าไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แม้แต่รูปที่เหมือนกับว่าไม่ได้ดับเลย ทรงอยู่ตั้งอยู่ ความจริงก็เป็นรูปแต่ละกลาป ซึ่งทยอยกันเกิดแล้วก็ทยอยกันดับ และรูปขณะนี้ที่กำลังปรากฏที่กาย ปรากฏทั้งตัวหรือเปล่า
รูปที่เป็นสภาพที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ไม่ว่าจะกระทบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ลักษณะที่ปรากฏก็จะเป็นลักษณะ ที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ถูกต้องหรือเปล่า เพราะเหตุว่าการฟังธรรมนี้ต้องพิสูจน์ ด้วยการที่เราพิจารณาสิ่งที่ได้ฟังว่าเป็นความจริงหรือเปล่า ลองกระทบสัมผัสดูตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ก็จะมีรูปเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ลักษณะที่เย็นที่ปรากฏ นั่งรึเปล่า นอนหรือเปล่า ยืนหรือเปล่า เดินหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้ว่าเป็นรูป เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับไม่ใช่เรา ก็จะต้องรู้ความจริงที่กำลังปรากฏทางกาย บางท่านก็จะกล่าวว่ามีในพระไตรปิฏก คือในมหาสติปัฏฐานสูตร แต่ไม่ได้อ่านต่อไปที่มีคำอธิบายว่า รูปทุกรูปจะปราศจากมหาภูติรูปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น จะปราศจากมหาภูติรูปธาตุดินน้ำไฟลมไม่ได้ แม้แต่ที่กายทั้งหมดนี้ ถ้ากระทบสัมผัสดู สิ่งที่สามารถจะปรากฏทางกายได้ ก็เฉพาะลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งตึงหรือไหว มีใครสามารถที่จะรู้รูปอื่นทางกายได้ไหม ขณะนี้ที่กระทบกาย มีอะไรจะปรากฏนอกจากเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้รูปที่กาย เป็นกายานุปัสสนาสติปัฎฐาน ก็ต้องรู้ลักษณะที่มีจริงๆ ที่ปรากฏที่เคยยึดถือว่าเป็นกาย แต่ไม่ใช่รูปนั่งไม่มี เพราะธาตุดินไม่ได้นั่ง ธาตุน้ำไม่ได้นั่ง ธาตุไฟไม่ได้นั่ง แต่เมื่อรูปเหล่านี้ประชุมรวมกันแล้วก็ทรงอยู่ในอิริยาบถ ซึ่งก่อนจะเข้าใจก็เข้าใจว่าเป็นเรานั่ง แต่เมื่อมีความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ว่าเป็นแต่เพียงรูปแต่ละรูปซึ่งเกิดดับ
ผู้ฟัง ลืมตาแล้วสิ่งที่ปรากฏทางกาย ความเข้าใจว่าเป็นรูป หรือว่าเข้าใจว่าความรู้สึกเป็น ถ้าเข้าใจว่าเป็นนาม (ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องค่ะ) ???
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจว่าเป็นรูป ก็คือเข้าใจว่าเป็นธรรม ถ้าเข้าใจว่าเป็นนามก็คือเข้าใจว่าเป็นธรรม ความเข้าใจที่นี่ไม่ใช่จำชื่อ ที่ใครถามก็บอกได้ว่าเห็นเป็นสภาพรู้หรือเป็นนามธรรม ส่วนสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ตอบได้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ เพราะฉะนั้นเป็นรูปธรรม แค่นี้ไม่ใช่ความรู้จริงๆ เพียงแต่ว่าจำเพราะเข้าใจแล้ว ว่าสภาพธรรมทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่อื่น เพราะว่าขณะนี้เป็นธรรม แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม เข้าใจว่าเป็นเรา ก็ต้องฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคง ว่าที่ไม่ใช่เราเพราะเหตุว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่าง แล้วก็มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ขณะที่ฟังอย่างนี้ ก็ต้องทราบปัญญาของตัวเอง เป็นผู้ที่ตรงว่าเรารู้แค่ไหน เรารู้ขณะที่กำลังเกิดดับหรือเปล่า ไม่ใช่แน่นอน เพราะเหตุว่ากว่าจะรู้อย่างนั้น ต้องเป็นปัญญาที่อบรม ไม่ใช่เพียงขั้นการฟัง แต่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ที่จะทำให้รู้ว่าถ้าจะรู้ธรรมแล้วไม่ใช่รู้อย่างอื่น และไม่ใช้รู้ที่อื่นด้วย ต้องกำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนก็ตาม ที่ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้วันนี้พรุ่งนี้ อีกล้านปีข้างหน้าธรรมแต่ละอย่าง ก็เป็นลักษณะของธรรมแต่ละอย่างนั้นเอง
เพราะฉะนั้นการที่จะต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคง จะทำให้รู้ว่าการรู้ลักษณะของสภาพธรรมจะมีได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจในขั้นการฟัง บ่อยๆ เนืองๆ มั่นคง และก็ไม่ไปทำอะไรเลย เพราะเหตุว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม ก็คือรู้ว่าขณะนี้ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ธรรมเกิดได้ นอกจากเหตุปัจจัยของธรรมนั้นๆ กำลังเห็นใครทำให้เห็น เห็นแล้วใช่ไหม ใครทำเห็นได้ไม่มีทางเลย เพราะเห็นแล้ว ถ้าบางคนก็บอกว่าเขาหลับตาเขาก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้นเขาจะทำเห็นโดยลืมตา ก็อาจจะคิดว่ามีตัวตนที่สามารถที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ แต่ว่าตามความเป็นจริง ขณะหลับตาไม่เห็น จริง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมในขณะนั้นมีไหม ขณะที่ไม่เห็นก็มีสภาพธรรมอื่น ทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดหรือเปล่า หรือแม้แต่ว่าขณะที่ไม่เห็น ก็มีสภาพธรรมอื่นเกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นก็ฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าไม่มีเราเลย แต่ว่ามีธรรมทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ และกว่าจะประจักษ์ได้ ก็คือว่าไม่เปลี่ยนความคิด ว่าเราทำหรือว่าเราทำได้ เพราะเหตุว่าเราทำไม่ได้ แต่ว่าอบรมความรู้ถูกความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งขณะนั้นจะรู้ว่าไม่ใช่เราที่เข้าใจถูก แต่ก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดี
เพราะว่าจริงๆ แล้ว สภาพธรรมมี ๖ ทาง ขณะที่เห็นก็ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก วันหนึ่งๆ ก็มีแค่ ๖ ทาง จะไม่มากกว่านั้นเลย เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสขณะนั้นเป็นคิดนึก เพราะฉะนั้นเมื่อกำลังรู้ลักษณะที่แข็ง สติที่ระลึกลักษณะที่แข็งก็ดับ หลังจากนั้นก็คิดบังคับไม่ได้ คิดแล้วแต่สามารถที่จะรู้ได้ไหม ว่าขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง หรือว่าคิดด้วยความเป็นเรา ที่ยังคงมีเราอยู่ เพราะเหตุว่า ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยทั่ว เพราะฉะนั้นสภาพธรรมใดที่สติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึก ขณะนั้นก็ยังคงเป็นเราอยู่ ก็เป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าการอบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกว่าทั่วเมื่อไหร่ก็ละเมื่อนั้น แต่ถ้ายังไม่ทั่วก็ยังมีความติดข้อง ในขันธ์หนึ่งขันธ์ใด เพราะเหตุว่าขันธ์มี ๕ ถ้าไม่ติดข้องในรูปขันธ์ ก็ติดข้องในสัญญาขันธ์ หรือว่าในเวทนาขันธ์ ในสังขารขันธ์ ในวิญญาณขันธ์
ผู้ฟัง ที่ว่าการสังเกต จะมีแนวทางอย่างไร
ท่านอาจารย์ เลิกคิดเรื่องแนวทางอย่างไร เพราะว่าขณะนั้นเป็นเรา ซึ่งพร้อมที่จะคิดหรือทำตามความคิดว่า เป็นแนวทางอย่างไร แต่ว่าตามความเป็นจริง มีสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกันคืออวิชชา ไม่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ส่วนวิชชาในการตรงกันข้ามเลย สามารถที่จะเริ่มค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นปัญญา และเมื่อปัญญาเจริญขึ้น ก็สามารถที่จะแทงตลอดคือประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริงในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่อบรมความรู้ความเข้าใจโดยความเป็นคนตรง ตรงเรื่องความรู้ ไม่ใช่เรื่องแนวทางหรือไม่ใช่เรื่องจะทำ แต่ว่าเป็นผู้ที่ตรงว่าขณะที่ได้ฟังสิ่งใด ที่เป็นธรรมมีกถา คือกถาหรือคำพูดที่เกี่ยวกับเรื่องของธรรม ก็มีความเข้าใจในสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น นี่ก็จะเป็นหนทางที่จะทำให้สังขารขันธ์ไม่ใช่เรา แต่ว่าทั้งศรัทธา ทั้งสติ ทั้งหิริโอตตัปปะ และโสภณธรรมทั้งหลายปรุงแต่ง จนกว่าจะเป็นความรู้จริง ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น เป็นเรื่องของความรู้โดยตลอด ไม่ใช่เป็นเรื่องให้ทำ หรือว่าเป็นแนวทางที่จะให้ทำ เพราะว่าพระธรรมทั้งหมดทั้ง ๓ ปิฏก ไม่มีพระสูตรไหนเลย หรือว่าไม่มีข้อความใดเลย ทั้งพระวินัยด้วยที่จะไม่ให้ละกิเลส แต่ว่าไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดให้ผู้ฟัง ไม่ใช่ตัวตน แต่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นมีความเห็นถูกในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏจนกว่าจะละความเป็นเรา
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1561
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1562
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1563
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1564
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1565
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1566
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1567
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1568
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1569
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1570
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1571
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1572
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1573
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1574
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1575
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1576
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1577
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1578
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1579
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1580
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1581
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1582
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1583
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1584
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1585
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1586
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1587
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1588
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1589
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1590
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1591
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1592
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1593
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1594
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1595
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1596
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1597
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1598
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1599
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1600
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1601
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1602
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1603
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1604
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1605
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1606
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1607
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1608
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1609
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1610
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1611
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1612
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1613
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1614
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1615
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1616
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1617
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1618
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1619
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1620
