ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1564
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๔
สนทนาธรรมที่ รัฐสภา
วันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ ลักษณะของอวิชาคือไม่รู้ ลักษณะของโมหะก็คือความหลง ความมืดหรือการปกปิด ต้องทราบว่าในขณะไหนบ้าง มีหรือเปล่าแล้วก็เมื่อไหร่ เพราะว่าแม้ว่าโดยชื่อเราจะทราบว่า ขณะที่โมหเจตสิกเกิด หรือลักษณะของโมหะ ไม่ใช่สภาพที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จึงหลงเพราะเหตุว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับอยู่ในที่มืด คนซึ่งสิ่งมีชีวิตในวันหนึ่งๆ แล้วก็มีตาเห็น มีหูได้ยิน มีใจคิดนึก เรื่องราวต่างๆ ในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน ขณะใดที่ไม่รู้ความจริง ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ขณะนั้นไม่ชื่อว่าสว่าง เพราะเหตุว่ามืดจริงๆ แม้ว่าสภาพธรรมเป็นธรรม ได้ยินว่าสภาพธรรมเป็นธรรม แต่ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็แสดงว่า กว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ ก็ต้องอาศัยการได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงโดยละเอียด ถึงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ ในความหมายของคำว่ามืด มืดที่นี่คือไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เมื่อมืดแล้วจะหลงไหม ในที่มืดจะไปไม่ถูก
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ของเรา เราไปไหนบ้าง ชีวิตของเราซึ่งไปทางการดำรงชีวิตอยู่ ในเรื่องของโลก ในเรื่องของรูป ในเรื่องของเสียง ในเรื่องของความต้องการต่างๆ ก็ล้วนแต่เป็นด้วยความมืด คือความหลงไม่รู้ความจริง จึงมีความติดข้องมีความต้องการ ในสิ่งซึ่งผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ได้ทรงแสดงว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับทันที ถ้าใครสามารถที่จะรู้ความจริงนี้ คนนั้นไม่มืด เพราะเหตุว่าสามารถที่จะรู้ว่าความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็คือต้องเกิดจึงปรากฏ และการที่จะเกิดได้ก็ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งก็เกิดไม่ได้ และเกิดแล้วก็ดับ เป็นสิ่งซึ่งเราจะได้ยินได้ฟังบ่อยๆ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นไตรลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเกิดไม่มีสภาพธรรมใด ที่เกิดแล้วจะไม่ดับ เพราะเหตุว่าทุกอย่างที่เกิดอนิจจังไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ ไม่ใช่สิ่งซึ่งคงทนที่น่าเพลิดเพลินเลย เพราะเหตุว่าเพียงเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าบังคับบัญชาไม่ได้ เพียงได้ฟังอย่างนี้ เริ่มจะสว่างบ้างหรือยัง หรือว่าก็ยัง เพราะว่าเป็นเพียงเล็กน้อยที่ได้ยินได้ฟัง เรื่องของสิ่งซึ่ง หลายท่านก็คงจะบอกว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนในชีวิต ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดง ไม่มีโอกาสจะรู้ว่าแท้ที่จริง ขณะนี้เป็นธรรม เริ่มจากเป็นธรรม แล้วก็ปรากฏและก็เกิดดับ แต่เป็นความจริง
เพราะฉะนั้นถ้าฟังต่อๆ ไป ก็จะเห็นความเป็นอนัตตา การที่สภาพธรรมแต่ละอย่าง เกิดขึ้นต่างกัน ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีสักขณะเดียว ซึ่งดับไปแล้วจะกลับมาอีกได้ เหมือนกับแสงไฟ เกิดขึ้นปรากฏ พอดับแสงนั้นจะกลับมาอีกได้ไหม ถ้าจุดธูปสักดอกหนึ่ง ก็จะเห็นได้เลยว่า แสงของธูปที่ดับไป ก็จะไม่กลับมาอีก ฉันใดชีวิตของแต่ละคนแต่ละขณะ ในสังสารวัฎฏ์ที่ยาวนาน ก็เกิดขึ้นชั่วหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป แต่ว่าเป็นอนันตรปัจจัย ทำให้ขณะต่อไปเกิดสืบต่อ โดยเป็นสมนันตรปัจจัย ตามลำดับด้วยดี ก้าวก่ายกันไม่ได้เลย นี่เป็นลักษณะของอนัตตา ซึ่งเราผ่านมาแล้วนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ จนถึงขณะนี้มืดมาเท่าไหร่ กำลังจะค่อยๆ สว่างขึ้นหรือยัง นี่คือประโยชน์ของการที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม เห็นคุณค่าว่าถ้าไม่มีพระธรรม ก็ยังคงเป็นความมืดต่อไป แต่ว่าการที่เราจะค่อยๆ สว่างขึ้น ก็ต้องตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นปริยัติ ขั้นฟังเรื่องของสภาพธรรม แล้วก็พิจารณา จนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกต้องขึ้น เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด ระลึกลักษณะของสภาพธรรม โดยขั้นของปฏิปัติ คือการอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะถึงปฏิเวธ คือการแทงตลอด หยั่งถึงลักษณะของสภาพธรรม แต่ละลักษณะในขณะนี้ซึ่งกำลังเกิดดับ ซึ่งเพียงในขั้นต้น เราก็จะเห็นได้คร่าวคร่าว
เห็นขณะนี้เป็นจิตชนิดหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจเห็น เมื่อมีจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาทจิตเห็นเกิดไม่ได้เลย ขณะนี้จิตได้ยินเกิดขึ้น เพราะมีโสตปสาท ถ้าไม่มีโสตปสาทจิตได้ยินก็เกิดไม่ได้ แค่นี้ก็เห็นแล้วใช่ไหม การเกิดขึ้นของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ต้องตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ในขณะแล้วขณะที่จิตเห็นยังไม่ดับ จิตได้ยินก็เกิดไม่ได้ หรือว่าจิตได้ยินยังไม่ดับ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ จิตเห็นยังไม่ดับ จิตคิดนึกก็เกิดไม่ได้ นี้โดยคร่าวๆ คร่าวๆ แต่ก็พอจะมองเห็นว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ทรงแสดงไว้โดยละเอียดถึง ๑ ขณะจิตว่า มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย และจิตนั้นทำกิจอะไร และเจตสิกที่เกิดร่วมกันแต่ละเจตสิกทำกิจอะไร โดยความเป็นปัจจัยอะไร ชั่วขณะเดียวแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดดับสืบต่อ นี่คือสังสารวัฏฏ์ซึ่งยาวนาน แล้วก็จะยาวนานต่อไปอีก ถ้าไม่มีการเข้าใจธรรม ที่ได้ยินได้ฟังโดยละเอียดโดยรอบคอบ โดยค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะรู้แจ้งประจักษ์ได้ง่ายหรือยาก การที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม แต่ละอย่างแล้วก็ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปจริงๆ ของสภาพธรรม ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย แต่เป็นสิ่งที่อบรมได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็นสาวกในอดีตมีมาก และก็ผู้ที่ห่างไกลพระศาสนา มาจนกระทั่งถึง ๒๕๐๐ กว่าปี ก็ยังมีผู้ที่สะสมในอดีตที่มีโอกาสได้ฟัง สิ่งซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังแล้วก็ คือโมหะ มืดตลอดไปอีกนานแสนนาน เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมนี้ ประโยชน์สูงสุดคือเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แม้แต่เจตสิกซึ่งเป็นอกุศลเจตสิกที่สำคัญมาก เพราะว่าเป็นมูลจริงๆ ของอกุศลจิตทุกประเภท คือโมหะหรืออวิชชา ได้แก่โมหเจตสิก เป็นสภาพที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อมีสภาพหรือธรรมชนิดนี้เกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมที่เป็นอกุศลอื่นๆ เกิดร่วมด้วย
ตามที่เราได้กล่าวถึงเรื่องของเหตุ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท และสำหรับเเจตสิกที่เป็นเหตุมี ๖ อกุศลเหตุ ๓ ก็คือโมหเจตสิก ๑ โลภเจตสิก ๑ โทสจตสิก ๑ เห็นได้จริงๆ ว่าเมื่อมีโมหะก็จะเป็นปัจจัย ทำให้เกิดโลภะ ความติดข้องให้สิ่งที่ปรากฏ ที่เป็นอารมณ์ของจิต เป็นสิ่งที่น่าพอใจ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ โมหะความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ก็เป็นปัจจัยให้โทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นอกุศลทุกชนิดจะปราศจากโมหเจตสิกไม่ได้เลย ต้องมีโมหเจตสิกเกิดขึ้น อกุศลเจตสิกอื่นๆ จึงจะเกิดได้
ผู้ฟัง ขอเรียนถามคุณอรรณพ มันมีประโยชน์ที่บอกว่า สัตว์ทั้งหลายถูกนิวรณ์ครอบงำช่วยขยายคำนี้ด้วย
อ.อรรณพ นิวรณ์คืออกุศลธรรมที่กลุ้มรุม หรือว่าเมื่อเกิดแล้ว กางกั้นไม่ให้อกุศลธรรมเกิดคือนิวรณ์ ซึ่งท่านแสดงไว้โดยนัยที่เป็นนิวรณ์ ๕ และนิวรณ์ ๖ นิวรณ์ก็มีกามฉันทนิวรณ์ ก็คือโลภะ โลภะเป็นสภาพที่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะที่มีความติดข้องในขณะนี้ ยินดีในสิ่งที่ปรากฏทางตาที่สวยงาม ขณะนั้นโลภะที่เกิดขึ้นกับจิตนั้น ขณะนั้นก็เป็นกามฉันทนิวรณ์ ซึ่งขณะนั้นก็เกิดพร้อมกับฉันทะด้วย เพราะฉะนั้นพระองค์ท่านทรงแสดง นิวรณ์ในลักษณะที่เป็นอกุศลที่มีกำลังถึงขั้นที่จะกลุ้มรุมจิตใจ เพราะว่าอกุศลแม้จะทรงแสดงไว้ ๓ ระดับ คืออนุสัยกิเลส คือกิเลสที่ตามนอนอยู่ในจิต ไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงาน กิเลสที่เป็นขั้นปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน ส่วนวีติกกัมมกิเลส ก็คือกิเลสที่มีกำลังถึงขั้นล่วงอกุศลกรรมบทสำเร็จ เป็นกรรมที่จะให้ผลเป็นวิบากต่อไปได้ สำหรับปริยุฏฐานกิเลส ก็ยังมีความเบาความหนักแตกต่างกันด้วย ถ้าเป็นอกุศลประเภทที่เป็นอาสวะก็บางเบา แม้สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร วิถีจิตทางตาเพียงแต่มีสีนั้นเป็นอารมณ์ ความติดข้องความยินดีก็เกิดขึ้นแล้ว อันนั้นก็เป็นอาสวะที่บางเบา ถ้าเป็นในลักษณะที่มีกำลังขึ้นถึงขั้นกลุ้มรุมหรือว่ากางกั้น ก็เป็นลักษณะของนิวรณ์ ซึ่งก็มีโลภะเป็นกามฉันทนิวรณ์ โทสะเป็นพยาปาทนิวรณ์ ความลังเลสงสัยคือวิจิกิจฉา ก็เป็นวิจิกิจฉานิวรณ์ ความโงกง่วงคือถีนมิทธะก็เป็นนิวรณ์ด้วย และสำหรับอวิชชาพระองค์ท่านก็แสดงว่าอวิชชาเป็นนิวรณ์ นิวรณ์มีทั้งนัยะที่เป็นนิวรณ์ ๕ และนิวรณ์ ๖ โดยสภาพแล้วก็เป็นสภาพที่ครอบงำ กลุ้มรุม ซึ่งในที่นี้ท่านแสดงว่า มีลักษณะของการหุ้มห่อโดยเฉพาะอวิชชา เพราะเป็นพระสูตรที่ทรงแสดงให้เห็น ถึงโทษของอวิชชา ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นนิวรณ์ คือเป็นสภาพที่หุ้มห่อกลุ้มรุม กางกั้นไม่ให้กุศลจิตเกิด หรือไม่ให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เริ่มที่จะรู้ลักษณะของอกุศลเจตสิก และก็นิวรณ์ไม่ใช่ชื่อของเจตสิก ๑ เจตสิกใด แต่เป็นประเภทของเจตสิกประเภท ๑ ซึ่งเราสามารถที่จะรู้ได้ อย่างวันนี้ ถ้าไม่บอกก็คงจะไม่มีใครรู้ว่า มีนิวรณ์อะไรบ้าง เพราะเหตุว่านิวรณ์เป็นอกุศลธรรมที่กั้นกุศลธรรม จะมาที่นี่ลำบากไหม บางท่านอาจจะถึงเวลาน้ำชา หรือว่ารับประทานอาหาร แล้วก็อาจจะคิดว่าจะมาดีหรือไม่มาดี ถ้ามาได้นิวรณ์คืออกุศลนั้นก็ไม่เป็นเครื่องกั้น แต่ว่าถ้าเวลาที่เราอยากจะทำดีบางอย่าง แล้วก็จะทำหรือไม่ทำ สมมติว่ากำลังดูโทรทัศน์ รายการที่สนุกมาก กำลังเพลิดเพลิน แล้วก็มีรายการธรรมตรงกันในเวลานั้น ตอนนี้เห็นลักษณะของนิวรณ์ไหม จะดูต่อไปหรือว่าจะไปฟังพระธรรม นี่คือในชีวิตประจำวันจริงๆ เพราะว่าอกุศลเราจะค่อยๆ เห็นตามลำดับ เราไม่สามารถที่จะเห็นกิเลสอย่างละเอียดได้ทันที การดับกิเลสต้องดับถึงกิเลสอย่างละเอียด คือดับเชื้อของกิเลสเลย แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ มีกิเลสอะไรบ้าง ก็ไม่สามารถที่จะไปรู้ถึงกิเลสละเอียดที่จะดับได้ เพราะฉะนั้นกิเลสที่เป็นนิวรณ์ ก็เป็นกิเลสที่เกิดกลุ้มรุม ทำให้ขณะนั้นไม่สามารถที่จะเป็นกุศลได้
บางอย่างตั้งแต่เด็ก บางคนก็ซนและก็สนุก ผู้ใหญ่ขอให้ช่วยทำอะไรนิดหน่อยทำได้ไหม ไม่ได้ ทั้งๆ ที่บอกว่า ถ้าช่วยก็จะเป็นกุศลประเภทหนึ่งเด็กบางคนก็ยอมทำ เพราะว่าขณะนั้นหรือว่าเป็นกุศล แต่บางคนก็ขอเล่นวิ่งไปเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่านิวรณ์คืออกุศลซึ่งกลุ้มรุม ทำให้ขณะนั้น ไม่สามารถที่จะกระทำสิ่งที่ดีได้ ก็เป็นเรื่องที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แล้วเราก็ค่อยๆ จะรู้จักว่านิวรณ์มีอะไรบ้าง แต่ความจริงอกุศลจิตทุกประเภทเป็นนิวรณ์ เพราะว่ากัน้ความดีทั้งหมด ประโยชน์ก็คือขณะนี้รู้เรื่องนิวรณ์แล้วใช่ไหม ว่าได้แก่อกุศลจิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ขัดขวาง กุศลไม่ให้กุศลจิตเกิด ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นอกุศลจิตเกิดไม่ได้ ถ้ากุศลจิตเกิดแล้วไม่รู้ ก็จะมีอกุศลจิตวันหนึ่งมากเลย และการที่เราได้รับฟังพระธรรม ประโยชน์ก็คือว่า สามารถที่จะเห็นโทษของอกุศล และก็เห็นประโยชน์ของกุศล เพราะแม้แต่เพียงนิวรณ์ ถ้าเราเกิดจะไม่ทำอะไรเพื่อใคร แม้สักนิดสักหน่อย เพราะว่ากุศลก็มีหลายอย่าง กุศลที่เป็นทานการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขกับคนอื่นก็มี หรือกุศลที่เป็นการวิรัติทุจริต หรือการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นเรื่องของศีล ถ้าเราไม่สามารถที่จะกระทำได้ขณะนั้น พอที่จะระลึกได้ไหมว่ามีนิวรณ์ ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตเกิดแล้ว ถ้าเราไม่เห็นนิวรณ์นั้น เราก็จะไม่ทำกุศล แต่บางคนพอรู้ว่าขณะนั้น เราไม่ทำกุศลเพราะอะไร เพราะเหตุว่ามีนิวรณ์นี้เอง กำลังเกิดกั้นไม่ให้เราสามารถที่จะกระทำได้ อย่างน้อยที่สุดถึงแม้ว่าเราไม่สามารถจะทำได้ ก็ยังมีความรู้ว่าขณะนั้นมีอกุศลจิตเกิดขึ้น แล้วก็มีอกุศลธรรมซึ่งเมื่อเกิดแล้ว ก็จะสะสมสืบต่อเป็นอุปนิสัย ทำให้แต่ละคนคนมีอุปนิสัยต่างกัน บางคนก็ช่วยเหลือคนอื่นง่ายมาก พร้อมที่จะช่วยทุกโอกาส แต่บางคนก็ทำไมต้องช่วย เขาทำเองก็ได้ใช่ไหม อันนี้ก็เป็นอัธยาศัย ซึ่งถ้ายังไม่เห็นว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน แล้วถ้าเราสามารถที่จะสะสมทางฝ่ายกุศลได้ไหม ถ้าทำก็อยู่ในหนังสือ แต่ตัวจริงๆ มีอยู่ในชีวิตประจำวันทุกขณะ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่า ถ้าเข้าใจพระธรรมจริงๆ ก็สามารถที่จะเกื้อกูลชีวิตให้เป็นไปในทางกุศลยิ่งขึ้น แล้วอย่าคิดว่าเล็กน้อย น้ำทีละหยด โอ่งไหนจะเต็มโอ่งของอกุศล หรือว่าโอ่งของกุศล นี่ก็เป็นเรื่องที่ที่ได้ฟัง แล้วก็ต้องคิด แล้วก็ต้องพิจารณา เพราะเหตุว่าปัญญาที่เกิดจากการฟัง ก็จะเกื้อกูลทำให้ปัญญาที่เกิดกับกุศลอื่นๆ เจริญขึ้นด้วย
สำหรับเรื่องของโมหเจตสิก มีข้อสงสัยอะไรไหม เจตสิกที่เป็นมูลของอกุศลทั้งหลาย ก็คือความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ยังคิดว่าเป็นตัวเรา ทั้งๆ ที่ก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา แม้ว่าไม่เห็นก็ยังคิดว่ามีคนนั้นถูกหรือผิด ไม่เห็นเลยยังจำไว้จำไว้ทุกอย่าง ก็เป็นอกุศลสัญญา เป็นอัตตสัญญา ไม่ใช่เป็นอนัตตสัญญา เพราะเหตุว่าถ้าทางโลกใช้คำว่าคนนั้นฉลาด คนนั้นมีปัญญา สามารถที่จะสร้างสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ได้ นั่นไม่ใช่ปัญญา ก็ยังคงเป็นอวิชชาอยู่ เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้คือเห็นแล้วก็คิด แล้วก็ได้ยินแล้วก็คิด ทั้งทั้งที่กำลังเห็น กำลังได้ยินความคิดมากมาย อยู่ในระหว่างนั้นทั้งกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าจะกล่าวว่ามีสติปัญญา ถ้าบางคนก็ใช้คำว่าในทางโลก แต่ความจริงไม่ใช่โลกียปัญญาด้วย ในทางธรรมก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความต่าง ของปัญญาเจตสิกกับโมหเจตสิก ไม่ใช่หมายความว่า ทางผู้ที่มีความรู้ด้านนั้นด้านนี้ มีความสามารถในการแพทย์ ในวิทยาศาสตร์ ในการก่อสร้าง จะเป็นผู้ที่รู้ความจริงของสภาพธรรม ที่อาศัยปัจจัยเกิดแล้วดับในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้นขณะนั้น ก็เป็นอวิชชาเป็นโมหะไม่ใช่เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นภาษาของโลกที่ใช้กันทุกวันนี้ โดยใช้คำในภาษาบาลี เวลาที่ศึกษาธรรมแล้วก็ต้องเข้าใจ ความหมายนั้นให้ถูกต้องด้วยว่า ทางธรรมหมายความถึงสภาพธรรมจริงๆ ทุกคำที่ใช้ บัญญัติให้รู้ว่า หมายความถึงสภาวธรรมใด มีลักษณะอย่างใด
ผู้ฟัง คนที่มีรักษาทางโลก ถึงปริญญาเอก จะเรียกว่าเขามีปัญญาได้หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ปัญญาเจตสิกเป็นสภาพที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ถูกต้องตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง แต่สิ่งที่เขาได้มา เขาก็เป็นจริง ของจริง
ท่านอาจารย์ เขาไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเขาจะว่าอะไรก็เขาว่า
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ โมหเจตสิกเมื่อเกิดขึ้น จะปกปิดใช่ไหม ปิดบังสภาพธรรมไม่ให้ทราบ ทีนี้ถ้าเป็นในขณะที่เราเกิดกุศลจิต ก็แสดงว่าเราไม่มีโมหเจตสิกเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริง เราก็ไม่รู้สภาพธรรม ถ้าเราไม่ได้ยินได้ฟังธรรม นี่จะอธิบายอย่างไร
ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณอรรณพ
อ.อรรณพ แม้ว่าในขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น แต่เป็นกุศลจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาใช่ไหม ขณะนั้นไม่มีโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะโมหเจตสิกเป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเหตุ อกุศลมูล ที่จะเกิดเฉพาะกับอกุศลจิตเท่านั้น แต่ระดับขั้นของกุศลก็มีใช่ไหมกุศลที่เป็นเพียงขั้นญาณวิปยุต คือไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มี เพราะฉะนั้นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา หรือกุศลที่แม้จะประกอบด้วยปัญญา แต่เป็นปัญญาในขั้นอื่น ขั้นทาน ขั้นศีล หรือขั้นความสงบของจิตเท่านั้น ไม่ได้เป็นไปถึงขั้นที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ปัญญานั้นก็ไม่สามารถรู้ตรงสภาพธรรม ที่จะละคลายโมหะได้ เพียงแต่ในขณะนั้นโมหะไม่ได้เกิดร่วมกับกุศลขั้นนั้นๆ แต่กุศลขั้นที่จะถ่ายถอนคลายสิ่งที่หุ้มห่ออยู่นานแสนนาน คือโมหะก็จะต้องเป็นปัญญา ที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ถ้าไม่มีการอบรม มีแต่อกุศลจิตเกิด มีแต่โมหะ โมหะก็หุ้มห่ออยู่อย่างนั้น ไม่ให้มีการที่จะได้ยินได้ฟังธรรม ที่เป็นเครื่องที่จะนำออก แล้วก็ไม่มีการอบรมเจริญปัญญา ในขั้นนั้น
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมว่าจิตกับเจตสิก เกิดขึ้นทำกิจการงาน เพื่อที่จะเข้าใจว่าขณะที่เป็นกุศล ทั้งๆ ที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็ไม่ใช่อกุศลจิต ขณะที่กำลังเห็นขณะนี้เป็นจิตซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพียงทำกิจเห็น จะมีอวิชชาเกิดร่วมด้วยไหม เพราะฉะนั้นแม้จิตเห็น ก็ยังไม่มีอวิชชาเกิดร่วมด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลย แต่ว่ากุศลจิตต้องมีเจตสิกฝ่ายดี คือโสภณเจตสิกเกิดขึ้น ร่วมกันอย่างน้อยที่สุด ๑๙ ประเภท ทำกิจการงาน ขณะนั้นไม่มีอวิชชา หรือว่าโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลย นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจ ลักษณะของจิตแต่ละประเภท ซึ่งต่างกันเป็นกุศลจิต กุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต ตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย
ผู้ฟัง อาจารย์ อย่างเช่นในขณะที่หนูมีความสงสัย ที่ว่าสงสัยว่าอย่างนี้เป็นปัญญาเจตสิกหรือไม่ เพราะว่าในขณะที่ฟังตัวสภาพธรรมจริงๆ มันไม่ปรากฏเด่นชัดออกมา แต่ว่าถามว่าเข้าใจไหม ก็เข้าใจในระดับฟังอันนี้ยัง เรียกว่ายังมีโมหะอยู่หรือไม่
ท่านอาจารย์ จิตเกิดดับสลับกันเร็วมากเลย เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จิตแต่ละขณะ ขณะใดที่เป็นกุศลเกิดเป็นกุศลแล้วก็ดับ ขณะนั้นจะไม่เป็นอกุศลจะไม่เป็นวิบาก เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าขณะนั้น จิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าจิตเป็นกุศลก็คือจิตนั้นเป็นไปในทานการให้ เป็นไปในศีล เป็นไปในภาวนา การอบรมจิตใจให้สงบ หรือว่าอบรมเจริญปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน ที่จะรู้แจ้งสภาพธรรม นอกจากนี้แล้วก็ต้องเป็นวิบากจิต หรือกิริยาจิต หรืออกุศลจิต ถ้าเราตัดวิบากจิต กิริยาจิตออก และเราก็พูดแต่เฉพาะกุศลจิตกับอกุศลจิต เพราะว่าบางคนก็อาจจะสงสัยว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลแต่ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าขณะที่เป็นกุศลก็เป็นไปในทาน ซึ่งทานก็มีมาก ถ้าศึกษาต่อไปมีทั้งการให้วัตถุ เพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น มีธรรมทาน มีอภัยทาน มีปฏิทานการอุทิศส่วนกุศลที่ได้กระทำแล้ว ให้คนอื่นอนุโมทนา และการอนุโมทนาในกุศลของบุคคลอื่น พวกนี้ก็เป็นไปในเรื่องของทาน ขณะนั้นไม่ใช่ทาน ไม่ใช่ศีล หรือว่าการเป็นไปทางกายทางวาจา ซึ่งเนื่องด้วยศีล ไม่เป็นไปในการอบรมจิตให้สงบ ปราศจากอกุศล ไม่เป็นสติปัฎฐาน ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมเป็นอกุศล ถ้าขณะที่ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศลต่างๆ เหล่านี้ จิตทั้งหมดนั้นเป็นอกุศล ถ้าไม่กล่าวถึงวิบากกับกิริยา
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1561
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1562
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1563
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1564
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1565
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1566
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1567
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1568
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1569
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1570
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1571
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1572
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1573
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1574
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1575
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1576
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1577
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1578
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1579
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1580
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1581
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1582
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1583
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1584
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1585
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1586
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1587
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1588
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1589
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1590
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1591
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1592
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1593
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1594
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1595
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1596
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1597
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1598
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1599
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1600
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1601
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1602
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1603
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1604
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1605
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1606
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1607
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1608
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1609
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1610
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1611
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1612
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1613
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1614
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1615
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1616
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1617
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1618
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1619
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1620
