ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1563


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๓

    สนทนาธรรมที่ รัฐสภา

    วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ สุตมยปัญญา ต้องมีการฟังไม่ใช่เพียงการได้ยิน เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วรู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ ก็ฟังต่อไปพิจารณาต่อไป ความเข้าใจต่างหาก ที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ที่เป็นฝ่ายดีเจริญขึ้น ถ้าไม่มีปัญญาหรือว่าไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจถูก ฟังเรื่องอื่น คิดเรื่องอื่นเป็นเรื่องที่ผิดๆ หรือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้น และทำให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นต่อไปได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของการที่ว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต้องมีเหตุ และให้ทราบจริงๆ ว่าการที่จิตแต่ละ ๑ ขณะจะเกิดเห็นความเป็นอนัตตาจริงๆ ว่าเราเปลี่ยนแปลงหรือว่าเราจะสร้างไม่ได้ มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นก็เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ในขณะที่มโนทวาราวัชชนจิต ทำหน้าที่โวฏฐัพพนะ จะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็ไม่ใช่เพราะการที่เราสั่งสม

    ท่านอาจารย์ ต้องมีการสั่งสม ถ้าคนที่สะสมอกุศลมามาก จะให้มโนทวาราวัชชนจิตทำโวฏฐัพพนกิจ ทำให้กุศลจิตเกิดเป็นไปไม่ได้ คนที่สะสมความโกรธไว้มาก ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง บอกให้ไม่โกรธก็ไม่เชื่อ แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ทรงแสดงไว้โดยละเอียดก็ยังโกรธได้ เมื่อมีเหตุที่จะให้เกิดโกรธ

    ผู้ฟัง ตรงนี้ท่านอาจารย์ดิฉันฟังคำของที่ท่านอาจารย์ แสดงมาก็นาน ดิฉันก็อยากจะดีแต่ทราบเลยว่ามันดีไม่ได้ แล้วก็โมโหตัวเองทุกครั้งที่เลว

    ท่านอาจารย์ ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่ดีเลย ฟังธรรมแล้วเข้าใจขึ้นหรือเปล่าเป็นเรื่องซึ่งเราไม่ได้หวังว่า เมื่อฟังปุ๊บดีปั๊บ หรือว่าฟังแล้วก็จะดีวันหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่ต้องรู้ว่าอะไรที่ยังไม่ดี นั่นคือเห็นถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไม่ดีแล้วก็คิดว่าดี ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แล้วรู้ตามความจริงว่าขณะนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นกุศลหรืออกุศล ขณะนั้นก็เป็นความเห็นถูก คนที่เข้าใจว่าดีแล้ว จะขัดเกลากิเลสไหมถ้าคิดว่าดีแล้ว คนที่เข้าใจว่ารู้แล้ว จะมีการฟังต่อไปไหมถ้าคิดว่ารู้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ว่าถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูกก็ค่อยๆ อบรมได้ เรื่องของหสิตุปาท หรือว่าเรื่องของจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ เพราะว่าเท่าที่ผ่านมาแล้ว เป็นจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมด ๑๘ ดวง ซึ่งเป็นวิบากจิต ๑๕ ดวง และก็เป็นกิริยาจิต ๓ ดวง สำหรับวิบากจิต ๑๕ ดวงก็ทราบแล้วว่าเป็นอกุศลวิบาก ๗ และก็เป็นกุศลวิบาก ๘ สำหรับกิริยาจิต ๓ ดวงก็คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ซึ่งทุกคนมีทุกสัตว์ทุกชีวิตที่เกิดขึ้น ก็จะมีปัญจทวาราวัชชนจิต และก็มีมโนทวาราวัชชนจิต ส่วนกิริยาจิตที่เป็นอเหตุกะ ไม่ประกอบด้วยเหตุ ดวง ๑ คือหสิตุปทา เป็นจิตที่แย้มยิ้มของพระอรหันต์ ไม่ใช่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะเหตุว่าเป็นกิริยาจิต

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ตอนแรกท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเอารูปออกแล้ว จิตนั้นทุกภพทุกภูมิเสมอกัน อาจารย์ช่วยอธิบายอีกครั้ง

    ท่านอาจารย์ เวลาที่เราพูดถึงสัตว์ประเภทต่างๆ ใช่ไหม สิงโต ช้าง นก แมว ความจริงปฏิสนธิจิตก็เป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิต ถูกต้องใช่ไหม เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะฉะนั้นเวลาที่มีสัตว์เลี้ยง จะเห็นสัตว์ที่ไหน ก็รู้ได้เลยว่าจิตที่ปฏิสนธิเป็นอะไร ต่างกับมนุษย์อย่างไร เพราะเหตุว่าเราคิดว่าต่างกันที่รูปร่าง แต่ความจริงเป็นจิตที่ต่างกัน แม้ในขณะที่ปฏิสนธิ แต่พอถึงจิตเห็นจิตได้ยินเหล่านี้ ถ้าเอารูปร่างออกหมด เป็นจิตประเภทเดียวกัน มีเจตสิกเกิดเท่ากัน เพราะว่าขณะนั้นเป็นผลของกรรม ซึ่งเป็นเพียงจิตที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง ยังไม่ใช่กุศลจิตและอกุศลจิต แต่หลังจากนั้นแล้ว จะมีความต่างกันมาก เพราะเหตุว่าแม้ว่าเห็นสิ่งเดียวกัน ความคิดของแต่ละคนต่างกัน จะเกิดโลภะหรือจะเกิดโทสะก็ต่างๆ กันไป แต่ว่าถ้ามีรูปร่างใช่ไหม เราก็บอกว่าคนเห็น นกเห็น ช้างเห็น แต่ถ้ารูปร่างออกหมด เห็นก็คือเห็น เสมอกันหมด แม้ในขณะนี้ ไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ หรือไม่มีอะไร เป็นเครื่องบ่งบอก แต่ว่าเป็นลักษณะของธรรม ซึ่งเห็นก็คือเห็นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เห็น คนเห็น เทวดาเห็น เทพเห็น เห็นก็คือเห็น นี่คือความเป็นธรรม ต่อไปก็เป็นกุศลก็เป็นกุศลอีกนั่นแหละ เอารูปร่างออก กุศลจิตก็เป็นกุศลจิต ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิตของใคร หรือว่าอกุศลจิตก็คงเป็นอกุศลจิตนั่นเอง เอารูปร่างออกทั้งหมด ไม่เป็นหญิงเป็นชาย ถ้าพูดถึงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ก็คือกุศลจิตและอกุศลจิต ก็เป็นการกล่าวถึงจิตประเภทต่างๆ และก็แยกรูปไปต่างหาก

    ผู้ฟัง สงสัยเวทนาเจตสิกนี้ ที่มีเวทนาเป็นทุกข์ ทำไมเกิดในนรกนี้ก็ว่ามันเผ็ดร้อนเหลือเกิน ทุกขกายวิญญาณนี้ เวทนาทุกข์มันทุกข์มากจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นผลของอกุศลกรรมเลือกไม่ได้ ถ้าใครเคยเจ็บปวดในโลกมนุษย์ ก็จะรู้ได้เลย ลักษณะความเจ็บความปวด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราอาจจะเรียกชื่อของโรคภัยต่างๆ ว่าโรคนี้เป็นโรคที่ร้ายแรงมาก หรือว่าเป็นบาดแผลที่ร้ายแรงมาก นั่นโดยคำโดยชื่อ แต่ว่าลักษณะของจิตที่เป็นกายวิญญาณ ขณะนั้นก็มีทุกขเวทนาเกิดร่วมด้วย เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าอารมณ์ที่ปรากฏนั้น เป็นอารมณ์ที่ทำให้ทุกขกายวิญญาณเกิด ความรู้สึกทางกายที่เป็นทุกข์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เมื่อถึงกาลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าอกุศลกรรม ทำให้อกุศลวิบากจิต ๗ ดวงเกิด แต่ว่าร้ายแรงมาก คือเกิดซ้ำซ้ำบ่อยๆ อย่างในนรก ก็จะเป็นทุกขกายวิญญาณ มากมายมหาศาล

    ผู้ฟัง ตรงนี้ปัญหาที่ท่านอาจารย์กล่าว บอกว่ากรรมมันปกปิด จะเกี่ยวกับตรงนี้คือเราไม่ทราบเลยว่าเมื่อไหร่ มันจะมาให้ผลยังไงต่อกัน

    ท่านอาจารย์ ข้อพิสูจน์ก็คือขณะนี้ ใครจำชาติก่อนได้บ้าง เพียงแค่ชาติเดียวก็ยังจำไม่ได้ หรือว่าแม้แต่การกระทำของเราที่ได้ทำแล้ว เราจำได้ครบถ้วนหรือเปล่า บางกรรมเราอาจจะลืมไป แต่กรรมไม่ลืมใช่ไหมสะสมสืบต่ออยู่ในจิต พร้อมที่ว่าถึงกาลที่จะให้ผล มีปัจจัยทุกอย่าง สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่ากรรมได้ทำตั้งแต่กาลไหน และทำในลักษณะไหน และผลของกรรมนั้นเป็นอย่างไร แต่จากที่ทรงแสดงก็จะไม่พ้นจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ว่าจะเกิดชาติไหนก็ตาม ผลของกรรมก็คือตาหูจมูกลิ้นกาย ซึ่งกรรมทำให้รูปต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อเป็นทางรับผลของกรรม โดยจิตเจตสิกที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น เป็นวิบากทั้งจิตทั้งเจตสิกที่เกิดเป็นวิบากคือเป็นผลของกรรม อย่างอื่นทำไม่ได้เลยนอกจากกรรม เพราะฉะนั้นทุกคนจะเห็นความแรงของกรรมได้ ว่าแล้วแต่กรรมนั้นจะให้ผลในลักษณะใด ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมอย่างที่เป็น ไม่ใช่ขั้นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สามารถที่จะเกิดในพรหมโลกได้ ถ้าเป็นผลของฌานจิตหรือว่าผลของกุศล ก็อาจจะทำให้เกิดบนสวรรค์ขั้นต่างๆ ได้ชั้นต่างๆ ก็แล้วแต่แต่ที่ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ กรรมเป็นสภาพธรรมที่ปกปิด เวลาที่กรรมให้ผลเป็นวิบาก ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นผลของกรรมอะไร ทุกคนเกิดมาต่างกัน ก็เห็นความวิจิตรของกรรม ที่ได้กระทำแล้วที่ต่างกัน และก็แม้ว่าเกิดมาแล้ว การกระทำก็ยังวิจิตรต่างกันไปแต่ละวัน เพราะฉะนั้นข้างหน้าก็จะต่างกันไปอีกเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตามไม่พ้นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งจิตเหล่านี้ยังไม่ใช่กุศลจิตและอกุศลจิต เป็นแต่เพียงวิบากจิต ๑๕ ดวง แล้วก็กิริยาจิต ๓ ดวง แต่ว่าสำหรับพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะมีอเหตุกจิตเพียง ๑๗ เว้นหสิตุปทาจิตซึ่งเป็นจิตที่แย้มยิ้มของพระอรหันต์ ที่ทำให้เกิดการแย้มยิ้ม

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ว่าการสะสมจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง เพราะบางคนก็สะสมมาเป็นบุคคลที่มีจิตใจเมตตา บางคนก็มีจิตใจที่ประกอบด้วยโทสะ ไม่ทราบสะสมยังไงถึงจะให้เกิดปัญญา

    ท่านอาจารย์ ถ้าเกิดปัญญาก็มีทางเดียว คือฟังพระธรรม การสะสมทั้งหมดไม่พ้นจากเจตสิก ๕๒ ประเภท ซึ่งก็จำแนกออกไปที่เป็นขันธ์ต่างๆ แล้วก็เป็นสังขารขันธ์ ๕๐

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ที่ว่า หลังเห็นแล้วจะเป็นกุศลอกุศล อันนี้หมายถึงที่ทวารวิถีไหน

    ท่านอาจารย์ ทุกทวาร ทางตาที่เห็น เพียงแค่เห็นจะไม่ทราบเลยว่าจิตเกิดดับเร็วมาก ตั้งแต่กำลังเป็นภวังค์อยู่ แล้วก็สิ้นสุดกระแสภวังค์ เป็นจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต แต่หลังจากที่ภวังค์ดวงสุดท้ายขณะสุดท้ายดับ วิถีจิตจะเกิดเริ่มด้วย ถ้าเป็นทางตาก็เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นจิตที่รำพึงถึงอารมณ์ ที่กระทบทางหนึ่งทางใด ใน ๕ ทางดับไปแล้ว จักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณก็เกิดดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะจิตสืบต่อ เหล่านี้เป็นจิตที่ยังไม่ใช่กุศลและอกุศล เวลาที่สันตีรณจิตดับไปแล้วนี่เป็นอเหตุกะทั้งหมด ถ้าไม่นับปฏิสนธิ โวฏฐัพพนจิตเกิด ๑ ขณะเป็นกิริยาจิต ต่อจากนั้นก็เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตอย่างรวดเร็ว โดยที่รูปที่ปรากฏที่กระทบทางทวารนั้นๆ ยังไม่ดับ เพราะฉะนั้นทางตามีรูปที่ยังไม่ดับเป็นอารมณ์ ทางหูมีเสียงที่ยังไม่ดับเป็นอารมณ์ ทางจมูกก็มีกลิ่นที่ยังไม่ดับไปเป็นอารมณ์ ทางลิ้นก็มีรสที่ยังไม่ดับไปเป็นอารมณ์ ทางกายก็มีสิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสที่ยังไม่ดับไปเป็นอารมณ์ ทางทวารทั้ง ๕ จะมีรูปที่เกิดกระทบกับปสาทรูปนั้นๆ แล้วยังไม่ดับเป็นอารมณ์ตลอด จนกว่าจะหมดวาระของทวารนั้นๆ หรือวิถีจิตนั้นๆ แต่กุศลจิตและอกุศลจิตก็เกิดแล้วโดยไม่รู้ตัวเลย

    ผู้ฟัง ด้วยเหตุผลอธิบายได้ เพราะผมยกตัวอย่าง ถ้าสมมติอย่างเช่นภาษาญี่ปุ่น เราไม่เคยเรียนเราไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง คิดว่าถ้าเกิดเขาตำหนิเรา เราก็คงไม่โกรธ

    ท่านอาจารย์ ขณะไม่รู้เรื่อง เป็นจิตอะไรที่ไม่รู้

    ผู้ฟัง โมหะ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลแล้ว

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ แต่ถ้าเรารู้เรื่อง เราจะโกรธให้เห็นเลย

    ท่านอาจารย์ เหมือนกัน คือต้องเข้าใจว่ารูปมีอายุ ๑๗ ขณะจิต เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นจะต้องมีจิตเกิดดับสืบต่อรู้รูปที่ยังไม่ดับ เรียกว่าวาระหนึ่งวาระหนึ่ง ทางหนึ่งก็จะต้องมีจิตเกิดดับหลายประเภท เมื่อรูปดับแล้วจิตเป็นภวังค์ ทางใจถึงจะคิดนึกหรือว่ารู้เรื่องของสิ่งที่ปรากฏ ก็เป็นการเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็วมาก แต่ให้ทราบว่าหลังจากเห็นแล้วภวังคจิตคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิตจะต้องเกิดขึ้น รับรู้สิ่งที่ปรากฏทางทวาร นั้นๆ ต่อ

    ผู้ฟัง สมมติถ้าที่ปัญจทวารวิถีเป็นอกุศล และจิตที่เป็นโมหะ ไปถึงมโนทวารวิถี เรารู้ความหมายแล้วกลายเป็นโทสะก็ได้

    ท่านอาจารย์ วาระแรกจะเหมือนกัน เพราะว่าทางมโนทวารนี้จะเกิดหลายวาระกว่า

    ผู้ฟัง หลังๆ ก็เปลี่ยนไปได้

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะนี้ไม่ได้ปรากฏ มโนทวารวิถีจิตเลยใช่ไหมทั้งวัน เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าในระหว่างวันหนึ่งวันหนึ่ง ที่มีเห็น มีได้ยิน จิตที่คั่นอยู่ระหว่างจิตเห็นจิตได้ยินเป็นกุศลและอกุศลมากมาย ในระหว่างนั้น เวลาที่อกุศลจิตเกิดจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากกว่า ๑๒ ดวง สำหรับอเหุตกะจิตที่มีเจตสิกเกิดมากที่สุดได้แก่หสิตุปทาจิต ซึ่งเป็นจิตที่สามารถทำให้เกิดการยิ้ม ในขณะที่กำลังเห็นเฉพาะจิตเห็นจะทำให้ยิ้มไม่ได้เลย ขณะที่กำลังได้ยิน หรือขณะที่เป็นสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหว หรือการยิ้มแย้มไม่ได้เลย สำหรับหสิตุปาทจิต เป็นจิตที่เป็นชวนจิตไม่ใช่วิบากจิต เป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์ ซึ่งทำให้เกิดการแย้มยิ้ม ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องของอกุศลเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ทำให้จิตเศร้าหมองเป็นอกุศล ก็ควรที่จะได้ทราบว่า อกุศลเจตสิกจะไม่เกิดกับจิตอะไรบ้างในวันหนึ่งๆ คือในขณะที่กำลังหลับสนิทขณะนั้นเป็นวิบากจิต อกุศลเจตสิกจะเกิดร่วมกับวิบากจิตไม่ได้ เพราะเหตุว่าขณะใดที่อกุศลเจตสิก ๑๔ ประเภทนี้เกิดขึ้น จะต้องทำให้จิตในขณะนั้นเป็นอกุศลเป็นจิตที่ไม่ดีงาม เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังนอนหลับสนิท ขณะนั้นไม่ใช่จิตที่โลภไม่ใช่จิตที่โกรธ หรือว่าไม่ใช่จิตที่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลย เป็นวิบากจิตซึ่งเกิดขึ้นทำภวังกิจดำรงภพชาติ เพราะเหตุว่าเมื่อกรรมทำให้ปฏิสนธิจิต เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด ถ้าตราบใดที่กรรมยังทำให้เป็นบุคคลนั้นอยู่ ก็จะไม่มีการที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้นได้ เพราะเหตุว่ากรรมทำให้จิตประเภทเดียว กับวิบากเกิดสืบต่อ นอกจากนั้นแล้ว เวลาที่ตื่นขึ้นถ้าขณะนั้นเป็นกิริยาจิตคือวิถีจิตแรก เพราะเหตุว่าเวลาที่เราใช้คำว่าวิถี ก็หมายความว่าขณะนั้นไม่ใช่จิตซึ่งเป็นภวังค์ เพราะขณะที่เป็นภวังค์ อารมณ์ใดๆ ไม่ปรากฏ โลกนี้ไม่ปรากฏถึงแม้ว่าจะมีตา กรรมทำให้จักขุปสาทเกิดดับสืบต่อแล้วก็มีโสตปสาท ชิวหาประสาท กายปสาท ถึงแม้ว่ามีแต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกระทบกับรูปใดๆ ทั้งสิ้น ในขณะที่เป็นภวังคจิต

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่อารมณ์กระทบ และก็กิริยาจิตซึ่งเป็นวิถีจิตแรกเกิด ขณะนั้นก็ไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นอกุศลเจตสิกจะไม่เกิดกับจิตที่เป็นวิบากจิต กิริยาจิตและกุศลจิต ขณะใดก็ตามที่อกุศลเจตสิกเกิด ขณะนั้นต้องเป็นอกุศลจิต ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้กระทำอกุศลกรรม และเมื่อได้กระทำอกุศลกรรมสำเร็จ ก็สะสมสืบต่อเป็นกรรมปัจจัย เมื่อได้โอกาสที่จะให้ผล ทำให้อกุศลวิบากเกิดเมื่อไหร่ อกุศลวิบากจิตก็เกิดเมื่อนั้น ขณะที่เป็นอกุศลวิบากจิต ขณะนั้นไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย ให้ทราบว่าวิบากจิต กุศลจิต กิริยาจิต ไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นเวลาที่กำลังเห็นขณะนี้ เป็นวิบากจิตเป็นผลของกรรม เราอาจจะไม่เคยรู้เลย ว่าทุกครั้งที่เห็นเป็นผลของกรรม ทำให้จักขุประสาทซึ่งเกิดเพราะกรรม กระทบกับรูปที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท และก็มีจิตเห็นเกิดขึ้นขณะนั้นเป็นผลของกรรม ขณะนี้ก็กำลังเห็นไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย เมื่อจักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อซึ่งเป็นวิบากจิต ขณะนั้นก็ไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับ สันตีรณจิตเกิดต่อ สันตีรณก็คือจิตซึ่งเกิดสืบต่อจากสัมปฏิจฉันน ทำสันตีรณกิจชั่วหนึ่งขณะ ขณะนั้นก็เป็นวิบากจิต ไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็แสดงว่าตั้งแต่ตื่นแล้วก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ที่เป็นวิบากจิต กิริยาจิต ไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย ยังไม่ใช่อกุศลจิต เพราะเหตุว่าไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับสันตีรณจิตเกิดต่อ และเมื่อสันตีรณจิตดับ จิตต่อไปที่เกิดก็คือโวฏฐัพพนจิต กระทำกิจโวฏฐัพพนะขณะนั้นเป็นกิริยาจิต เพราะเหตุว่าจากวิบากจิตที่จะให้เป็นกุศล และอกุศลทันทีเป็นไปไม่ได้ ต้องมีกิริยาจิตที่เกิดขึ้นทำกิจโวฏฐัพพนะ คือเป็นทางที่จะให้กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดได้ ต่อจากวิบากจิตตามการสะสม คือต้องมีกิริยาจิตที่ทำโวฏฐัพพนกิจเกิดก่อน โวฏฐัพพนะซึ่งเป็นกิริยาจิต ก็ไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย หลังจากนั้น จึงจะเป็นจิตที่ไม่ใช่วิบากจิต ไม่ใช่กิริยาจิต แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็จะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ซึ่งเราจะได้ทราบตามความเป็นจริงว่าเราสะสมอะไรมามากหรือน้อย ที่จะทำให้จิตประเภทใดเกิดขึ้นในวันหนึ่งวันหนึ่ง

    แต่ถ้าไม่ศึกษา เราก็อาจจะหลงคิดว่าเราไม่มีอกุศล เรามีแต่กุศล หรือว่าเราอาจจะไม่มีทั้งกุศลและอกุศล คือเราไม่ได้ทำอะไรเราอยู่เฉยๆ แต่จิตไม่เฉย เมื่อจิตเกิดต้องทำกิจการงานอย่างหนึ่งอย่างใด ตามประเภทของจิตนั้นๆ เพราะฉะนั้นเมื่อโวฏฐัพพนจิตดับกุศลจิตเกิด ขณะนั้นไม่ประกอบด้วยอกุศลเจตสิก หรือว่ากิริยาจิตของพระอรหันต์ก็ไม่ประกอบด้วยอกุศลเจตสิก แต่เมื่อใดที่จิตนั้นเกิดร่วมกับอกุศลเจตสิก ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต ซึ่งก็คงจะได้กล่าวถึงตามลำดับ ว่าอกุศลจิตทั้งหมดมี ๑๒ ประเภท แล้วก็เกิดร่วมกับอกุศลเจตสิก ๑๔ ประเภท เพราะฉะนั้นก็ควรจะได้ทราบ ลักษณะของอกุศลจิตเจตสิก ๑๔ ประเภท ว่ามีอะไรบ้าง ฟังชื่อไปก่อน แล้วก็จะได้ทราบว่ามีชื่ออะไรที่คุ้นหูบ้าง คงไม่มีใครชื่อโลภะใช่ไหม แล้วก็คงจะไม่มีใครชื่อโทสะ ไม่มีใครชื่ออิสสา อิสสาเป็นภาษาบาลี ภาษาไทยก็คือริษยา มัจฉริยะ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมบ่อยๆ อาจจะไม่ทราบว่าหมายความถึงความตระหนี่ ชื่อต่างๆ เหล่านี้ โดยมากเราใช้ชื่อคนไทยในภาษาบาลี แต่คงจะไม่เอาชื่อของอกุศลเจตสิกมาเป็นชื่อ นอกจากชื่อหนึ่ง ซึ่งทุกคนก็อาจจะได้ยินบ่อยๆ คือมานะ อันนี้เป็นอกุศลเจตสิก แต่เราก็คงจะไม่กล่าวถึงอกุศลเจตสิกทั้ง ๑๔ ทั้งหมดทันที แต่ว่าให้ทราบว่าทุกคนมีครบทั้ง ๑๔ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลยังไม่ได้ดับเชื้อของอกุศล ก็จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้อกุศลจิตเกิด เป็นประเภทต่างๆ ตามประเภทอย่างที่กล่าวไว้ ก็จัดไว้เป็นพวกพวก พวกนี้ก็จะไปเกิดกับพวกนั้นไม่ได้ ก็เป็นพวกเหมือนกัน ถ้าเป็นพวกของโลภะ เขาก็เกิดกับโลภมูลจิต ถ้าเป็นประเภทของโทสเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกัน ก็จะเกิดกับโทสเจตสิกได้ อันนี้ก็จะค่อยๆ พิจารณาซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน และก็ทุกคนก็มีครบแล้ว คงจะเห็นโทษของอกุศลแต่ละชนิด ซึ่งขอเชิญคุณอรรณพกล่าวถึงเจตสิกที่เป็นอกุศลเจตสิกแรก

    อ.อรรณพ อกุศลเจตสิกดวงแรก ที่ท่านแสดงไว้คือโมหเจตสิก ซึ่งในขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ในโมหสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงแสดงถึงโทษของโมหะ ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เราต้องตกอยู่ในสังสารวัฎฏ์ เพราะโมหะมีลักษณะของการ หุ้มห่อเอาไว้ไม่ให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงไม่สามารถที่จะออกจากสังสารวัฎฏ์ได้ ก็มีข้อความตอนหนึ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึง เรื่องโมหะไว้ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นแม้นิวรณ์อันหนึ่งอย่างอื่น ซึ่งเป็นเหตุให้หมู่สัตว์ ถูกนิวรณ์หุ้มห่อแล้ว แล่นไปท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน เหมือนนิวรณ์คืออวิชชานี้เลย อวิชชาก็คือโมหะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้ถูกนิวรณ์ คืออวิชชาหุ้มห่อแล้ว ย่อมแล่นไปท่องเที่ยวไป สิ้นกาลนาน ธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้ หมู่สัตว์ถูกธรรมนั้นหุ้มห่อแล้ว ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน เหมือนหมู่สัตว์ผู้ถูกโมหะ หุ้มห่อแล้วไม่มีเลย คือไม่มีอะไร อกุศลธรรมอะไรที่จะหุ้มห่อปิดบัง การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเหมือนกับโมหะนี้เลย ส่วนพระอริยสาวกเหล่าใดละโมหะแล้ว ทำลายกองแห่งความมืดได้แล้ว พระอริยสาวกเหล่านั้นย่อมไม่เที่ยวไปอีก เพราะอวิชชาอันเป็นต้นเหตุแห่งสังสารวัฎฏ์ ย่อมไม่มีแก่พระอริยะเหล่านั้น ท่านอาจารย์จะขยายข้อความในพระสูตรนี้ก่อนไหม

    ท่านอาจารย์ ลักษณะของอวิชชาคือไม่รู้ ลักษณะของโมหะก็คือความหลง ความมืดหรือการปกปิด ต้องทราบว่าในขณะไหนบ้าง มีหรือเปล่า แล้วก็เมื่อไหร่

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 195
    15 ต.ค. 2568