ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1566
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๕๖๖
สนทนาธรรม ที่ รัฐสภา
วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ ข้อพิสูจน์ที่ว่าคนที่ไม่ใช่พระอริยะบุคคล ยังมีกิเลสอย่างละเอียด ก็คือทันทีที่ตื่น และก็เห็นก็มีความพอใจไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ วันหนึ่งก็มาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการที่จะละกิเลส ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก คือต้องเป็นผู้ที่มีปัญญารู้ว่ามีอกุศลมากมายก่อน จึงสามารถที่จะรู้ว่า หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ที่จะละอกุศลต้องเป็นหนทางที่ละเอียดลึกซึ้ง แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏได้จริงๆ เพราะฉะนั้นสำหรับวันนี้ ก็ขอกล่าวทบทวนเรื่องของอกุศลเจตสิก ซึ่งมีอกุศลสาธารณเจตสิก ๔ ประเภทหรือ ๔ ชนิด ซึ่งต้องเกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท อกุศลสาธารณะก็คือโมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ ซึ่งชื่อที่คุ้นก็คงจะเป็นโมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อาจจะไม่คุ้นกับคำว่าอุทธัจจะ และในคราวก่อนก็ได้กล่าวถึงเรื่องของโมหะ ซึ่งมีหลายชื่อเช่นอวิชชาบ้าง ทุกคนก็คงจะเคยได้ยินแล้ว อวิชชาหรือชื่ออื่นๆ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นลักษณะของโมหเจตสิก ถ้าไม่เรียกว่าโมหะหรือว่า ไม่เรียกว่าอวิชชาได้ไหม เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ต้องใช้ชื่ออะไรเลยก็ได้ เพราะว่าอกุศลมูล ที่เป็นฝ่ายไม่ดีจะมี ๓ เจตสิก คือโลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ โลภะก็เป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง แต่ไม่ใช่อกุศลสาธารณะ เพราะเหตุว่าไม่ได้เกิดกับอกุศลทุกประเภท จะเกิดกับเฉพาะจิต ๘ ชนิด ซึ่งมีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า สำหรับอวิชชาหรือโมหะ ต้องเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใดก็ตาม โลภะเกิดก็ต้องเกิดกับอวิชชาความไม่รู้ เพราะไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงมีความติดข้องต้องการ ในสิ่งที่ผู้ทรงตรัสรู้แล้วแสดงว่า เป็นสภาพธรรมที่เพียงเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง อย่างนี้ ที่จะไม่ให้ติดข้อง ไม่ให้ต้องการ เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้บางขณะก็มีแต่โมหเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิตนั้น โดยที่ไม่มีโลภเจตสิก หรือว่าไม่มีอกุศลเจตสิกที่เป็นเหตุ เช่นโทสะเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็เป็นโมหมูลจิต เป็นจิตซึ่งมีโมหะที่เป็นเหตุเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีโลภะเหตุ หรือโลภเจตสิกและโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย ในวันหนึ่งวันหนึ่งก็ต้องมีจิตอย่างนี้ แต่ว่าเมื่อไม่เคยศึกษาก็ไม่ทราบเลย อย่างมากที่จะเข้าใจ ก็คิดว่าเรามีเพียงโลภะกับโทสะ แต่ว่าความจริงขณะใดที่มีโลภะ ขณะนั้นก็ต้องมีโมหะเกิดร่วมด้วย ขณะใดที่มีโทสะก็ต้องมีโมหะเกิดร่วมด้วย และนอกจากนั้นแม้ไม่มีโลภะและโทสะ โมหะก็เกิดได้ มีใครรู้ลักษณะของจิตซึ่งเป็นอกุศล มีโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วย โดยที่ไม่มีโลภะกับโทสะเกิดร่วมด้วยไหม เพราะเหตุว่าแม้ขณะที่มีโลภะเกิดร่วมด้วย ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นโลภะ แต่เวลาที่มีโทสะเกิดร่วมด้วยทุกคนรู้ เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นสภาพที่ขุ่นใจ ไม่พอใจความรู้สึกไม่เป็นสุขเลย ขณะที่โทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ทั้งหมดก็ต้องมาจากโมหะคืออวิชชา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่กว่าจะรู้ตัว ว่าเรามีอวิชชามากมายแค่ไหน ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและก็เป็นผู้ที่ตรงจริงๆ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ที่เคารพ อวิชชานี่เป็นอนุสัย ทีนี้ถ้าเผื่อขณะที่เราเป็นกุศล อวิชชามันจะมีหรือตัวโมหะมันจะมีอยู่ด้วยหรือเปล่า ในขณะที่จิตเป็นกุศล
ท่านอาจารย์ ปัญหานี้ก็น่าสนใจ เพราะเหตุว่าทุกคนทราบว่า ขณะใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ยังต้องมีอวิชชา แต่อวิชชาที่เกิดกับเจตสิกอื่นๆ ก็มีตามลำดับ เพราะเหตุว่าสำหรับพระโสดาบันบุคคลซึ่งไม่ใช่พระอรหันต์ สามารถที่จะดับความเห็นผิด ซึ่งก็ต้อง มีอวิชชาเจตสิกเกิดร่วมกับความเห็นผิดนั้น เพราะฉะนั้นอวิชชานี้ก็มีมากมาย และก็ละเอียดด้วย และก็จะดับไปตามลำดับขั้นของปัญญา แต่ว่าถ้าจะดับให้หมดจริงๆ ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ปัญหาก็มีอยู่ว่าทุกคนมีอวิชชา ซึ่งยังไม่ได้ดับ แต่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดนี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เพราะเหตุว่าแม้ว่ามีอวิชชาที่ยังไม่ได้ดับ เช่นในขณะที่นอนหลับสนิท พระอรหันต์หลับกับปุถุชนหลับ กับพระอริยะบุคคลแต่ละขั้นหลับก็จะต่างกัน ตามประเภทของกิเลสอย่างละเอียดซึ่งติดอยู่กับจิต หรือว่าใช้คำว่านอนเนื่องอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพระอรหันต์หลับ จะไม่มีพืชเชื้อของอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น แต่การที่จะดูภายนอกเหมือนกัน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรทม ท่านพระอานนท์เถระ ท่านพระสารีบุตร และก็พระภิกษุที่อยู่ในพระวิหารเชตวัน หรือใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นในอดีตปัจจุบันหรืออนาคตต่อไป ดูอาการภายนอกเหมือนกัน เพราะว่าไม่มีการที่สามารถจะรู้ได้ จากรูปร่างว่าผู้นั้นน่ะหมดกิเลสหรือเปล่า แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นก็จะมีความต่าง ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เมื่อตื่นแล้ว เห็นอย่างคนอื่นเห็น ได้ยินอย่างคนอื่นได้ยิน แต่ไม่มีกิเลสใดๆ เลย
แม้กิเลสที่ละเอียดหรือบางเบาอย่างอาสวะ ซึ่งมีอยู่ทันทีที่เห็น ขณะที่รูปนั้นยังไม่ดับไป ก็จะเกิดอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด คือโลภมูลจิตหรือโทสมูลจิตหรือโมหมูลจิตแล้วแต่ว่าขณะนั้นมีอกุศลเจตสิกประเภทใดเกิด นี่คือความต่างของอนุสัยกิเลสซึ่งติดแล้วก็นอนเนื่องอยู่ในจิตทุกขณะ ไม่หมดไปได้เลย จนกว่ามรรคจิตจะเกิดขึ้นดับกิเลสนั้นๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่นอนหลับ อกุศลเจตสิกไม่ได้เกิด นี่เป็นความต่างกัน แม้ว่ามีอกุศลจริง แต่ว่าอกุศลเจตสิกไม่ได้เกิดทำกิจการงาน หรือแม้แต่ในขณะที่เป็นกุศล อย่างเวลาที่ให้ทาน ขณะนั้นต้องมีโสภณเจตสิกอย่างน้อยที่สุด ๑๙ ประเภท ที่จะทำให้จิตขณะนั้นเป็นโสภณที่ดีงาม จะต้องมีศรัทธา จะต้องมีหิริ มีโอตตัปปะ มีอโลภะมีอโทสะ แล้วก็ต้องมีเจตสิกอื่นๆ ที่เป็นโสภณเกิด ขณะนั้นเจตสิกเหล่านั้น ทำกิจการงาน จึงไม่สามารถที่อกุศลเจตสิกจะเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ต้องทราบ ขณะที่นอนหลับสนิท เป็นวิบากจิต ทั้งกุศลเจตสิกและอกุศลเจตสิกเกิดไม่ได้เลย ถ้าเป็นโสภณเกิดได้ แต่ถ้าเป็นกุศลหรืออกุศลเกิดไม่ได้เลย แต่ว่าเวลาที่ตื่นขึ้น จะมีเจตสิกที่เกิดพร้อมจิต แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นกุศลและอกุศล ความต่างคือแม้มีพืชเชื้อของอกุศลอย่างละเอียด แต่ไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงานของอกุศล แต่ขณะใดก็ตามที่ตื่น อกุศลเจตสิกเกิดร่วมกับจิตใดจิตนั้นเป็นอกุศล
ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ เรื่องหลับนี่ดิฉันสนใจมาก คำถามก็คือว่าถ้าเผื่อเราฝันร้ายในขณะนั้นจิตเป็นอกุศลหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ หลับสนิทไม่ฝัน
ผู้ฟัง ต้องหลับสนิทใช่ไหม
ท่านอาจารย์ หลับสนิทที่หมายความว่า ไม่รู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ขณะหลับไม่เห็น ขณะที่คนตื่นเห็น
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นในขณะซึ่งอันนี้พูดถึงปุถุชนก่อน พระอรหันต์ท่านไม่มีฝันไม่มีอะไรแล้ว เพราะว่าท่านหมดซึ่งกิเลสทั้งหมดแล้ว ก็จะพูดถึงปุถุชนก่อนว่า ถ้าหลับสนิทแล้วจะไม่ฝันในขณะนั้น ก็จะไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรืออะไรก็แล้วแต่เลย คือเป็นเป็นวิบากจิต แต่ถ้าพอฝันเมื่อไหร่ หมายความว่าไม่หลับสนิทใช่ไหมอาจารย์
ท่านอาจารย์ เราใช้คำว่าหลับ แล้วก็มีคำว่าหลับสนิท หลับไม่สนิท แต่ต้องพิจารณาถึงสภาพธรรม ว่าจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ และก็เวลาที่ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ได้คิดนึกในขณะนั้น จิตรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวาร๑ ทวารใดเลย ไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราใช้คำว่าหลับ แต่ความจริงก็คือภวังคจิต คือจิตซึ่งต้องเกิดขึ้นสืบต่อดำรงภพชาติ ความเป็นบุคคลนั้นจนกว่าจะจุติ คือขณะสุดท้ายที่จะจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นเราสมมติเรียกภวังคจิตว่าหลับ เวลาที่ภวังคจิตเกิดดับสืบต่อนาน เราก็บอกว่าหลับ แล้วเวลาที่ภวังคจิตไม่เกิด แต่มีมโนทวารวิถีจิตคือจิตที่คิดนึก ทั้งๆ ที่ไม่เห็น คิดนึกได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่เป็นภวังคจิตอยู่นาน แล้วก็เกิดคิดในเรื่องนึกอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็เป็นภวังคจิตต่อ ขณะนั้นเราก็ใช้คำว่าฝัน หมายความว่า เพราะเหตุว่ามีภวังคจิตเกิดมาก และก็มีการคิดนึกเกิดสลับ แล้วก็เป็นภวังคจิตต่อไป เราก็ใช้คำว่าขณะนั้นฝัน แต่พอตื่นการที่จะเห็นบ้างได้ยินบ้างพวกนี้ก็ปรากฏ ซึ่งในขณะที่กำลังหลับไม่ปรากฏ และขณะที่กำลังฝันก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน เพียงแต่คิดนึก เรื่องต่างๆ ที่สะสมมาแล้ว บังคับฝันได้ไหม
ผู้ฟัง บังคับไม่ได้ ท่านอาจารย์ แต่ที่คิดนึกหมายความว่าขณะนั้นเขาไม่ได้หลับสนิทเลย คำถามก็เลยจะต่อไปว่า ถ้าพระอรหันต์หลับแล้วไม่ฝัน แปลว่าท่านไม่คิดนึกหรือ
ท่านอาจารย์ เราบังคับความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ ปุถุชนจะคิดด้วยจิตประเภทใด พระอรหันต์จะคิดด้วยจิตประเภทใด เพราะฉะนั้นเวลาที่ปุถุชนคิดถึงเรื่องอะไรก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไม่พ้นจากเรื่องงาน เรื่องวงศาคณาญาติ เรื่องธุรกิจ เรื่องต่างๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่จะฝัน อย่างที่ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า บังคับฝันไม่ได้ เช่นเดียวกับบังคับความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราอยากจะฝันดีๆ ให้เป็นกุศลจิตที่ฝันก็เลือกไม่ได้อีก ก็มีการฝันร้าย ก็แล้วแต่ว่าจะมีเหตุปัจจัยให้ฝันอะไร แต่ขณะที่ฝันจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึง การสะสมของแต่ละคนว่า จิตของแต่ละคนแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย คนที่มีอกุศลจิตเกิดบ่อยๆ กับคนที่มีอกุศลจิตเกิดบ่อยๆ แลกเปลี่ยนให้คนที่มีอกุศลจิตเกิดบ่อยๆ ให้กุศลจิตเขาเกิดมากๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ฉันใดในแต่ละวาระของจิตตั้งแต่เกิดมา หรือว่าจะถึงชาติก่อนๆ ก็ได้ จิตก็สะสมสืบต่อทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่เราไม่สามารถจะรู้ได้เลย แต่ก็ปรากฏเป็นความฝัน มีผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านก็เป็นผู้ที่มีสวย แล้วก็ร้องเพลงก็เพราะ แล้วก็เก่งทำการงาน ก็มีหน้าที่การงานที่เก่ง ท่านฝันว่าท่านเป็นนักรบบ่อยมากเลย จะฝันว่าท่านไปเข้าสู่สงคราม แล้วก็ต้องไปรบกับใครใคร และก็มีความกลัวหรือว่าความตกใจในฝัน ซึ่งท่านก็ไม่คิดเลย ว่าทำไมท่านถึงได้ฝันอย่างนั้น แต่ว่าการสะสมของแต่ละคน เลือกไม่ได้ แม้แต่ว่าความคิดขณะนี้เลือกไม่ได้ฉันใด ฝันก็เลือกไม่ได้ฉันนั้น แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ จะไม่มีความคิดด้วยอกุศลจิต และกุศลจิต ในขณะที่ท่านเห็นท่านได้ยินพวกนี้ ไม่มีเยื่อใยต่อสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่เป็นภวังคจิต ที่ใช้คำว่าหลับ แล้วก็ตื่นโดยที่ไม่ฝัน
ผู้ฟัง ตอนนี้ดิฉันจะถามเรื่องสัตว์นรก ภวังค์เขาเกือบจะต้องไม่มีเลย เพราะว่าเขาจะต้องได้รับกรรม คือการทรมาน คือรู้มาว่าพระพุทธเจ้าท่านก็มีภวังค์ที่สั้น เหตุผลมันต่างกันอย่างไร คือเวลานี้ดิฉันรู้แล้วว่าสัตว์นรกเขาสั้น เพราะว่าต้องทรมานนาน เพราะตราบใดที่เขาหลับคือเค้าไม่ทรมาน แต่เขาทำกรรมไว้เยอะ เพราะฉะนั้นเขาต้องทรมานนาน มันจึงสั้น แต่พระพุทธองค์ มีแสดงไว้ว่าภวังค์ท่านสั้นเหมือนกัน อันนี้ต้องขอประทานโทษที่ดิฉันออกนอกเรื่องไปนิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญก็คือว่าต้องพิจารณาว่า ที่มีภวังค์สั้นนี่เป็นประโยชน์หรือเปล่า อันนี้สำคัญมาก เพราะว่าทุกอย่างควรที่จะคำนึงถึงประโยชน์ สำหรับสัตว์นรกภวังค์สั้น แต่ว่าเมื่อไม่ใช่ภวังค์ก็เป็นการทรมาน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าอยู่ในนรกความเจ็บปวด ทรมานทางกายมีมาก สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูกลิ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เพราะว่าบางนรกก็จะต้องมีกลิ่น ที่ไม่น่าพอใจเลยเป็นต้น แต่สำหรับพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ภวังค์สั้นเพื่อประโยชน์ หรือว่าเพื่ออย่างอื่นไม่เหมือนกันใช่ไหม อย่างบางคนนอนไม่หลับ แล้วก็หลับไปนิดเดียว แล้วก็ตื่นมาอีกแล้วก็กังวลสารพัดเรื่อง อย่างนั้นการหลับก็ดูจะดีกว่า เพราะเหตุว่าถ้าตื่นมาก็กังวล แต่สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ขณะที่ทรงแสดงพระธรรม ทรงเข้าพลสมาบัติสลับ ลองคิดถึงความรวดเร็วของวิถีจิต ว่าจะเหนือบุคคลใดๆ มากสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเพื่อประโยชน์ทั้งสิ้น ที่มีภวังค์น้อยก็เพื่อที่จะแสดงพระธรรม และในขณะนั้นก็ทรงเข้าฌานสมาบัติด้วย อันนี้ก็เป็นการที่แสดงให้เห็นว่า เรื่องของการสั้นการยาวของภวังค์ ก็ต้องทราบว่าขณะใดจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ หรือว่าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ด้วย
เพราะฉะนั้นเราคงจะไม่คำนึงถึงสัตว์ในนรก หรือว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สำหรับเรา ก็เริ่มจะคิดได้แล้วใช่ไหมว่า ภวังค์สั้นดีหรือว่าภวังค์ยาวดี ถ้าภวังค์สั้น ตื่นแล้วเป็นประโยชน์ก็ตื่น แต่ถ้าตื่นแล้วเป็นอกุศล แล้วก็เบียดเบียนคนอื่นทั้งวัน ภวังค์ยาวดีกว่าใช่ไหม ก็เป็นเรื่องซึ่งจะพิจารณาเห็นประโยชน์ ว่าการมีชีวิตอยู่ในโลก ที่สามารถที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม ซึ่งเป็นขณะที่หายาก เพราะว่าถึงแม้ว่าจะเป็นขณะที่ชาวโลกที่เกิดมาพร้อมด้วยปัญญา กับบุญที่ได้สั่งสมมาแล้ว มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม มีโอกาสที่จะพิจารณารู้จักสภาพธรรม แต่ในขณะที่สัตว์อื่น เช่นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งก็ร่วมโลกเราก็มองเห็น แต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจ แม้ว่าจะได้ยิน อาจจะมีจิ้งจกหรืออะไรก็ตาม ที่ได้ยินเสียงเหมือนเรา แต่ก็ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ ควรจะคิดถึงประโยชน์ ของการที่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม แล้วก็ทุกคำที่ได้ยิน ก็จะได้พิจารณาสะสม ต่อไปเพื่อที่จะได้สะสมธรรม ที่เป็นฝ่ายกุศล ที่สามารถเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่กังวล ถ้าได้เข้าใจว่าการหลับไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และการตื่นก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ว่าตื่นแล้วก็ควรที่จะทราบว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ มีคำถามจะเรียนถามท่านอาจารย์ อยู่ ๒ ข้อ ข้อแรกก็คือว่าเหตุใดอกุศลจิตจึงมี ๑๒ ดวง แล้วก็อกุศลเจตสิกจึงมี ๑๔ ดวง แล้วก็ทั้ง ๒ อย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็ต้องทราบว่าสภาพธรรม ที่เป็นอกุศลเจตสิกมี ๑๔ ประเภท ถ้าสภาพธรรมนั้นมี ๑๔ เราจะให้ลดเหลือ ๑๓ หรือว่าให้เพิ่มเป็น ๑๕ ก็คงไม่ได้ใช่ไหม แล้วก็สำหรับอกุศลจิต ก็เป็นจิตที่มีอกุศลเจตสิก เกิดร่วมด้วยมากน้อยต่างกัน ตามประเภท จริงๆ แล้ววันหนึ่งๆ เช่นวันนี้เป็นต้น อกุศลของเราต้องมากมายหลากหลาย ไม่มีใครมีอกุศลจิต พร้อมกันอย่างเดียวกันเสมอกัน ไม่ว่าจะเป็นโลภะหรือว่าโทสะหรือโมหะก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เรื่องก็หลากหลายต่างกัน เฉพาะหนึ่งคน แต่ถ้ามนุษย์ในโลกมีเท่าไหร่ก็ลองคิดดู ว่าจิตที่เป็นอกุศลจะต่าง โดยละเอียดนี่เท่าไหร่ และอกุศลก็ไม่ใช่มีแต่ในโลกมนุษย์ ใครที่จะเกิดที่ไหนก็ตาม ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส ก็มีอกุศลทั้งนั้น บนสวรรค์ก็มี นรกก็มี เพราะฉะนั้นความหลากหลายของอกุศลจิตมากมาย แต่ด้วยพระปัญญาคุณ ทรงประมวลความหลากหลายของอกุศล ไม่ว่าจะในอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ว่ามีเพียง ๑๒ ประเภท ซึ่งแยกเป็นโลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ และโมหมูลจิต ๒ ซึ่งก็คงจะไม่มีใครสามารถที่จะกระทำได้ เพราะว่าทรงแสดงว่าโลภมูลจิต ๘ นั้น ต่างกันอย่างไรจึงเป็น ๘ แต่ว่าความหลากหลายนั้นต้องมากกว่านั้นอีก แต่ก็ไม่เกินตามจำนวนที่ได้ทรงแสดงไว้ หลากหลายมาก เพราะว่าความพอใจของคนหนึ่ง เป็นไปในรูป อีกคนเป็นไปในเสียง อีกคนเป็นไปในกลิ่น และก็ระดับของความติดข้องนั้นก็ต่างๆ กันด้วย
เริ่มสังเกตเห็นไฟบ้างไหม ที่จริงมีทุกวัน ขณะใดที่ไม่เป็นกุศลจิต ขณะนั้นไฟกองหนึ่งกองใด จะเป็นไฟโมหะ หรือว่าโลภะ หรือว่าโทสะ ก็ทำให้คนที่มีไฟขณะนั้น ไม่เป็นสุข ต้องเร่าร้อน ต้องแสวงหา แต่ว่าอยู่จนชิน เหมือนคนที่แบกของหนักๆ รู้สึกหนักไหม ไม่รู้สึกเลย เพราะแบกจนชิน ที่เขาเล่าบอกว่ามีคนที่แบกโค ตั้งแต่เป็นลูกโค ทุกๆ วันทุกๆ วัน จนกระทั่งโตก็แบกได้ เพราะว่าแบกทุกวัน ก็ไม่รู้สึกในน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นฉันใด เราคุ้นกับโลภะ โทสะ โมหะจนไม่เห็นไฟ คืออันตรายของโลภะ โทสะ โมหะ โดยเฉพาะเรื่องของโทสะ เราพอเห็น เพราะว่าไม่มีใครอยากที่จะให้โทสะเกิด เพราะขณะที่จิตเป็นโทสะ ไม่สบายใจเลย ไม่มีใครที่เป็นสุข เมื่อมีความขุ่นใจ ความพยาบาท หรือว่าความโกรธ หรือแม้แต่เพียงความรำคาญใจ ขณะนั้นก็ไม่มีใครต้องการ แต่ว่าไม่เห็นโทษของโลภะซึ่งเป็นไฟ ถ้าไม่มีโลภะสบายแน่ จะรับประทานอาหารชนิดไหนก็ได้ใช่ไหม แต่ถ้ามีโลภะไม่ได้รับประทานอาหารที่ชอบ ก็เกิดทุกข์ ก็เป็นไฟ แม้แต่อาหารที่รับประทาน รวมไปถึงทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ติดข้องในสิ่งที่ต้องการ แต่ว่าถ้าไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ แต่ว่าไฟที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดโลภะโทสะก็คือโมหะ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีโมหะ อย่าคิดที่จะเป็นสุข โดยไม่มีโลภะ โทสะ จะเป็นไปไม่ได้เลย ถึงจะหวังอย่างไร จะพากเพียร จะแสวงหา จะสอบถาม จะอ่านตำรากี่ร้อยเล่มกี่พันเล่มก็ตาม ไม่สามารถที่จะไม่มีโลภะโทสะได้ ตราบใดที่ยังมีโมหะอยู่ เพราะฉะนั้นพระมหากรุณาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเหมือนกับเราไหม วันนี้ถ้าเราจะเกิดกรุณา เราก็จะกรุณาคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ใช่ไหม บางคนก็เปิดโทรทัศน์ ดูโทรทัศน์ก็เห็นชีวิตที่ลำบาก ทุกวันจะมีแสดงให้เห็นว่าลำบากแค่ไหน เรามีความสงสารหรือว่ามีความเห็นใจ และก็มีความกรุณา เพียงเท่าที่ปัญญาของเรา สามารถที่จะเห็นได้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาของพระองค์เห็นว่าสัตว์โลก ควรที่จะกรุณามากกว่านั้นอีก แม้ว่าใครก็ตามที่ไม่ได้เดือดร้อนอย่างนั้น ไม่ได้เป็นทุกข์อย่างนั้น แต่มีอวิชชาหรือโมหะ เขาก็จะไม่พ้นไปจากโลภะ โทสะ และอกุศลธรรมเลย หรือถึงแม้ว่าจะเป็นกุศล ที่เป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง ในความสงบของจิตบ้าง แต่ว่าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ก็ทรงมีพระมหากรุณาว่า เขาก็จะต้องอยู่ต่อไปในสังสารวัฎฏ์
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1561
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1562
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1563
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1564
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1565
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1566
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1567
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1568
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1569
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1570
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1571
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1572
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1573
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1574
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1575
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1576
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1577
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1578
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1579
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1580
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1581
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1582
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1583
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1584
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1585
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1586
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1587
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1588
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1589
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1590
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1591
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1592
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1593
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1594
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1595
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1596
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1597
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1598
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1599
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1600
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1601
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1602
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1603
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1604
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1605
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1606
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1607
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1608
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1609
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1610
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1611
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1612
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1613
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1614
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1615
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1616
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1617
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1618
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1619
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1620
