ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1509


    ตอนที่ ๑๕๐๙

    สนทนาธรรม ที่ อ.สนม จ.สุรินทร์

    วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมทั้งหมดมี ๔ คือ ๑ จิต ๒ เจตสิก ๓ รูป ๔ นิพพาน นับอย่างภาษาไทยจะนับตามจำนวนอย่างนี้เพื่อให้จำได้ แต่จริงๆ แล้วก็คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ขณะนี้มีไหมจิต มี เจตสิกมีไหม มี รูปมีไหม มี นิพพานมีไหม คือว่าคิดเองก็เป็นคำตอบของเราเอง แล้วก็เป็นการที่เราได้พิจารณาไตร่ตรองว่าความเข้าใจของเราในขั้นนี้ เราเข้าใจถึงระดับไหน

    เราเพิ่งจะเริ่มเข้าใจระดับว่าทุกอย่างเป็นธรรม และทุกอย่างที่มีจริงที่เป็นธรรม มีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือนามธรรมกับรูปธรรม เพราะรูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่ที่กำลังเห็น ตาไม่เห็น แต่ว่าจิตเห็นเพราะอาศัยตา ถ้าไม่มีตา จิตเห็นก็จะไม่สามารถจะเห็นว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้เอง ไม่ต้องเรียกชื่อ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็เป็นอย่างนี้ ใครจะเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

    นี่คือการที่จะรู้ว่าลักษณะของนามธรรมเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย แต่ว่าสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง ทางหู เสียงในป่าเกิดขึ้นเพราะการกระทบกันของของแข็ง เวลาที่ของแข็งๆ กระทบกันจะทำให้เกิดเสียง เสียงที่ถนน เสียงที่วัดอื่น เสียงที่บ้านเรือนข้างนอกก็มี แต่เสียงใดก็ตามซึ่งจิตไม่ได้ยิน เสียงนั้นไม่ใช่อารมณ์ของจิตนั้น เพราะคำว่าอารมณ์หมายความถึงสิ่งที่จิตกำลังรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จิตกำลังรู้ และสิ่งที่จิตกำลังรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ หรืออาลัมพนะ แต่ภาษาไทยเราใช้คำว่าอารมณ์ แล้วก็ไปเข้าใจว่าวันนี้อารมณ์ดี

    เพราะเหตุว่าเห็นก็ดี ได้ยินก็ดี ได้กลิ่นก็หอม ได้รสก็อร่อย คิดนึกทางใจก็ล้วนแต่เป็นเรื่องดีๆ วันนั้นก็บอกว่าอารมณ์ดี แต่ถ้าจะให้เข้าใจลึกซึ้ง ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏดีๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เราจะใช้คำว่าอารมณ์ดีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมอย่าใจร้อน ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามลำดับขึ้น และพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง คือจะไม่เปลี่ยนเลย ถ้าเข้าใจคำว่าธรรม เข้าใจคำว่านามธรรม เข้าใจคำว่ารูปธรรม ตรงกันหมดทั้ง ๓ ปิฎก

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งเราจะรู้ได้ว่า เราใช้คำในภาษาบาลีต่างกับความหมายจริงๆ ของคำบาลีที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก และเราก็จะได้เข้าใจสิ่งที่เราได้ยินให้ถูกต้องตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า เวลาที่เราบอกว่าอารมณ์ดีหมายความถึงอะไร หมายความถึงสิ่งที่จิตกำลังเห็น เสียงที่จิตกำลังได้ยิน กลิ่นที่จิตกำลังรู้กลิ่น รสที่จิตกำลังลิ้มรส อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหวที่กายกำลังกระทบสัมผัส พวกนี้เป็นสิ่งที่เป็นอารมณ์ของจิต

    ดังนั้นไม่ว่าจิตเกิดขึ้นเมื่อไหร่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งที่จิตรู้เรียกว่า อารมณ์ หรืออารัมมณะในภาษาบาลี

    ผู้ฟัง จิตกับวิญญาณเหมือนกันไหม

    ท่านอาจารย์ เหมือนกัน สตรีกับนารีเหมือนกันไหม เป็นคำที่ต่างกันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นภาษาบาลีก็มีหลายๆ คำ ทุกภาษาจะมีการใช้คำที่แทนกันได้โดยความหมายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคำว่าจิต ที่เราคุ้นหู ในภาษาบาลีจะใช้หลายคำ ใช้คำว่ามโน มนัส หทัย ปัณฑระก็ได้ หมายความถึงสภาพรู้ คือไม่ว่าจะใช้คำไหนก็ตาม แต่ว่าลักษณะจริงๆ เป็นสภาพรู้ และในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาบาลี ถ้าไปบอกเขาว่าจิต มโน วิญญาณ เขาก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่ถ้าใช้คำที่ทำให้เขาสามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่มีจริงสามารถจะรู้ จะเห็น จะคิด จะนึก นั่นคือลักษณะของจิต ส่วนเจตสิกก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต รัก โลภ โกรธ หลง ปัญญา สติ วิริยะ พวกนี้เป็นชื่อของเจตสิกทั้งนั้น

    ในวันหนึ่งๆ เราพูดถึงสภาพธรรม แต่ไม่เข้าใจธรรม เข้าใจว่าเป็นคน เช่น เราบอกว่าคนนี้ขยัน ถ้าไม่มีลักษณะของเจตสิกที่ขยัน เราก็จะบอกว่าคนนี้ขยันไม่ได้ แต่เราไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรม เรายึดถือสภาพธรรมว่าเป็นคนหนึ่งคนใด หรือแม้แต่เป็นเรา แล้วเมื่อมีเราก็มีคนอื่น แต่แท้ที่จริงแล้วก็เป็นธรรมที่เราแสวงหาแล้วก็อบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะรู้ความจริงของธรรม แต่ว่าถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจเป็นพื้นฐานตั้งแต่ขั้นต้น สิ่งที่เราแสวงหาเราได้อะไร ในเมื่อเราไม่ได้รู้ตั้งแต่ต้นเลยว่าคืออะไร

    เพราะฉะนั้นถึงจะทำไปอย่างไร อบรมไปอย่างไร เจริญไปอย่างไร จากความไม่รู้ก็ต้องเป็นความไม่รู้ ไม่เหมือนกับการฟังพระธรรมอย่างคนในยุคก่อน ได้ไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมใดที่ทรงแสดงกับบุคคลในครั้งอดีตเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี บุคคลในครั้งนี้ยังมีโอกาสได้ฟัง นี่คือบุญเก่าที่ได้สะสมมาที่อาจจะไม่รู้ว่า ได้สะสมความสนใจในธรรมมาพอที่จะได้ฟัง สิ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงด้วยพระโอษฐ์เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี ข้อความเดียวกัน เรื่องเดียวกัน สภาพธรรมที่ทรงแสดงในครั้งนั้นเป็นอย่างไร ในครั้งนี้เมื่อเกิดปรากฏก็ต้องเป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง ในธรรมที่มีความละเอียด มีธรรมที่เหมาะสำหรับแต่ละกลุ่ม อย่างเยาวชนที่มาศึกษาดูเรื่องของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จะเหมาะไหมสำหรับตรงนั้น

    ท่านอาจารย์ ที่มาฟังนี้มีใครมีอายุต่ำกว่า ๗ ขวบบ้างไหม ผู้ที่ได้อบรมความรู้ความเห็นถูก ๗ ขวบเป็นพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า แต่ละท่านที่อยู่ที่นี่ได้สะสมความสนใจ ความรู้ความเข้าใจ ความเห็นถูก ความเห็นผิด มากน้อยประการใด แต่ว่าสิ่งที่ทุกคนจะได้ฟังพร้อมๆ กันก็เป็นสิ่งซึ่งทุกคนสามารถที่จะไตร่ตรองได้ แต่ความเข้าใจจะถึงระดับที่วันนี้จะเป็นพระอริยบุคคล เป็นไปไม่ได้แน่นอน เพียงแต่ว่าที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน แล้วก็มีความคิดเรื่องของธรรมแตกต่างกันไป ความเห็นที่ถูกต้อง ความจริงของธรรมเป็นอย่างไร

    ทุกครั้งที่ได้ไปสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ ไม่เคยหวังผลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละคนที่ฟัง อาจจะมีคนที่เบื่อ ไม่สนใจ เพราะว่าไม่ตรงกับเรื่องที่อยากจะรู้ ยิ่งต่างวัยอย่างเด็กๆ อย่างนี้ก็จะสนใจเรื่องนิทาน หรือเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นชาดกมากกว่า เพราะทำให้สนุกไปด้วย แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าเป็นธรรมแล้วมีประโยชน์ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ที่ฟังเท่านั้นว่าจะเป็นภาชนะที่เหมาะ ที่จะรับสิ่งที่มีประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นเราจะไม่มุ่งหวังถึงผลเลิศ คือหวังจะให้ทุกคนเข้าใจธรรมที่ได้ฟังเหมือนกันหมดเลย เท่ากันหมดเลย เพียงแต่ว่าถ้าใครได้ฟังแล้ว แล้วก็บุคคลนั้นได้รับประโยชน์ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดในชาติหนึ่งๆ เพราะว่าถ้าเกิดมาตั้งแต่เด็กจนโต จนเป็นผู้ใหญ่ จนมีอายุมาก จนจากโลกนี้ไป ก็จะมีเพียงสุขบ้างทุกข์บ้างในวันหนึ่งๆ มีเห็น มีได้ยิน มีลาภ มีเสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนทั้งสิ้น แล้วก็หมดไป คือไม่สามารถที่จะติดตามไปถึงโลกหน้า หรือว่าชาติหน้าได้

    แต่ว่าความรู้ความเข้าใจสิ่งซึ่งทำให้เห็นถูกต้องยิ่งขึ้นเป็นสิ่งที่ยาก แม้แต่ในวันนี้ก็คงจะมีคนที่บังเอิญมาใช่ไหม ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมาฟังแต่อาจจะบังเอิญมา แต่จริงๆ แล้วไม่มีบังเอิญ เพราะว่าจิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุมีปัจจัย แต่ว่าการได้ยิน ไม่มีใครเลือกได้ยินได้ ว่าจะได้ยินแต่คำสรรเสริญ คำยกย่อง ดนตรีที่ไพเราะ เพราะเหตุว่าบางคนได้ยินเสียงซึ่งไม่น่าฟัง ซึ่งผู้พูดไม่ได้ตั้งใจจะให้คนนั้นได้ยินตั้งใจให้คนอื่นได้ยิน แล้วคนอื่นนั้นไม่ได้ยิน แต่เขากลับได้ยิน

    เพราะฉะนั้นก็เห็นความเป็นอนัตตา คืออย่างน้อยที่สุดถ้าเป็นเด็กก็จะให้เขารู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่มีปัญญา เรียนไม่เก่ง แต่ถ้าเขามีความขยัน เขาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่สามารถจะเรียนดีขึ้นก็ได้ คืออย่างน้อยที่สุดได้หลักของชีวิตว่า เราจะหวังพึ่งอะไรไม่ได้เลยนอกจากคุณความดี แต่ว่าต้องเป็นไปตามขั้น การที่จะกล่าวธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ทั้งตอนเช้า ก่อนที่จะเสด็จบิณฑบาต หรือหลังจากที่ฉันเสวยพระกระยาหารบิณฑบาตแล้ว หรือว่าตอนบ่ายที่มีผู้คนไปเฝ้า ตอนเย็นพระภิกษุไปทูลถาม ตอนดึกเทวดาไปกราบทูลถามปัญหา วันหนึ่งมากมายกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น ถึง ๔๕ พรรษา แล้วจะให้คนที่ได้ฟังในวันนี้มีความเข้าใจตลอดหมด อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้

    แต่อย่างน้อยที่สุด ที่ได้ยินได้ฟังอะไรเพิ่มขึ้นจากที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็จะได้ทำให้มีความสนใจที่จะศึกษาเเละฟังต่อไป เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่บุคคล เหมือนแสงแดดกระทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กเป็นเล็กเป็นกฎุมพี เป็นเศรษฐี อยู่ที่ไหน บ้านเรือนไหน ที่แสงแดดจะส่องไปถึง แสงแดดก็ไปถึงได้ ฉันใด พระธรรมก็ไปถึงโสตวิญญาณ คือจิตได้ยินของแต่ละคน ซึ่งไม่ใช่เหตุบังเอิญ เพียงแต่ว่าเป็นผลของกรรมในอดีตที่ได้เคยสะสมมา ที่จะทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง แต่แม้กระนั้นสะสมศรัทธามาพอหรือเปล่าที่จะฟังต่อไป นั่นก็เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคล ซึ่งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหวังผลอะไรจากการที่จะสนทนาธรรมแต่ละครั้งเลย

    ผู้ฟัง อยากจะให้มีวาระที่จะให้จิต หรือการรับรู้ อย่าเพิ่งปฏิบัติเลย เพราะว่าเราเอาภาคทฤษฎีก่อน

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าพักเรื่องการปฏิบัติไว้ก่อนใช่ไหม แล้วเมื่อสักครู่ได้ยินคำตอบแว่วๆ ว่าอยากจะเข้าใจ ก็เป็นประโยชน์ที่ถูกต้องจริงๆ เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจ และจะปฏิบัติอะไร ลองคิดดู แล้วใครเข้าใจ อย่าลืมว่าธรรมที่เป็นปัญญาต่างหาก ขณะใดที่มีความเห็นที่ถูกต้อง ต่างกับขณะที่ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น ขณะของเจตสิกแต่ละขณะที่เกิดขึ้นก็จะต่างกันเป็นกุศล หรือว่าอกุศล ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องขณะนั้นเป็นอกุศลไม่ได้ ขณะนั้นเป็นบุญแล้ว

    ถ้าจะถามว่าบุญอยู่ที่ไหน ขณะที่มีความเห็นถูก ไม่เห็นผิด นั่นก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง และขณะที่จะเข้าใจธรรมขึ้นก็เป็นความถูกต้อง เพราะจะได้เริ่มเห็นว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม เมื่อได้เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็ขอให้มีความเข้าใจในทุกอย่างซึ่งเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น จึงจะเป็นการถูกต้อง แต่ถ้าฟังแล้วเกิดอยากจะปฏิบัติ แล้วความเข้าใจอยู่ที่ไหน ยังไม่มีความเข้าใจพอเลย ยังไม่เข้าใจแม้แต่เพียงว่าปฏิบัติคืออะไร และปฏิบัติอะไร แล้วปฏิบัตินั้นจะทำให้เกิดปัญญารู้อะไร ถ้าไม่สามารถจะเข้าใจอย่างนี้แล้วอยากจะปฏิบัติ ขณะนั้นไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น พักเรื่องปฏิบัติไว้ก่อน จนกว่าจะมีความเข้าใจขึ้น ถ้ามีความเข้าใจขึ้นแล้วเป็นเราหรือเปล่าที่ปฏิบัติ หรือว่าเป็นจิต เจตสิก เป็นรูป ทั้งหมด ทุกๆ อย่างค่อยๆ เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป นี่คือปัญญาที่อบรม ซึ่งเจตสิกก็ปฎิบัติหน้าที่ของเจตสิก ปัญญาก็ปฎิบัติหน้าที่ของปัญญา สติก็ปฎิบัติหน้าที่ของสติตามลำดับขั้น เช่น ในขั้นที่ยังไม่มีความเข้าใจเพียงพอ สติขั้นทานเกิดได้ สติขั้นศีลเกิดได้ แต่สติขั้นที่จะทำให้จิตสงบจากอกุศล เป็นไปไม่ได้ที่จะมั่นคงขึ้น ที่จะอบรมให้มั่นคง หรือว่าปัญญาที่จะอบรม จนกระทั่งสามารถที่จะรู้การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ ซึ่งเป็นอริยสัจจธรรมก็มีไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สภาพธรรมปฏิบัติหน้าที่ของสภาพธรรมแต่ละอย่างเอง ไม่ใช่เป็นเราหรือเป็นตัวตนที่จะทำ เพราะว่าถ้าเป็นเราหรือเป็นตัวตน ผิดตั้งแต่ต้น ก็ไม่สามารถที่จะเห็นถูกต้องได้ เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นเรื่องละเอียด และเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น

    ผู้ฟัง การศึกษาพระอภิธรรมจะเกื้อกูลต่อการปฏิบัติจิตภาวนาเป็นประการใด จะดีหรือไม่ดีอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะได้ยินคำว่าศึกษาธรรม ศึกษาพระอภิธรรม หรือว่าปฏิบัติธรรม อบรมเจริญปัญญา อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดจะอยู่ที่คำตอบเพื่ออะไร ถ้ายังหาคำตอบไม่ได้ก็หมายความว่า ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย แต่ถ้าสามารถจะมีคำตอบได้ว่าเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าการศึกษาไม่ได้หมายความว่า เราหยิบตำราขึ้นมาท่องบ่น แล้วก็จำว่าข้อความนั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร มีจำนวนเท่าไร ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    การศึกษาในครั้งพุทธกาลที่ใช้คำว่า สิกขา เป็นภาษาบาลี ศึกษามีตั้งแต่ระดับขั้นของการฟัง เพราะเหตุว่าถ้าต่างคนต่างจะปฏิบัติธรรม เช่น ดูตัวเอง ใครบอกให้ทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างนี้ หรือว่าเราคิดกันเอง เราทำกันเอง เราบอกกันเองว่าให้ดูตัวเอง ดูตัวเองไม่ยากเลยใช่ไหม

    แต่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ สำหรับพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา ถ้ายิ่งด้วยศรัทธาก็ต้องถึง ๘ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้ายิ่งด้วยวิริยะก็ถึง ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อรู้อะไร เพื่อรู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้โดยถ่องแท้ว่า เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดและดับอย่างรวดเร็ว ทุกขณะสืบต่อกัน โดยไม่ปรากฏช่องว่างหรือรอยต่อให้เห็นการเกิดดับ เพราะเหตุว่าต้องเป็นปัญญาที่ได้อบรมด้วยความเห็นถูกต้องยิ่งขึ้น จึงสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม โดยหยั่งถึงด้วยปัญญาพร้อมสติสัมปชัญญะ ซึ่งใช้คำว่าสติปัฏฐาน

    เพราะฉะนั้น แม้แต่สติปัฏฐานก็ต้องมีความเห็นถูกว่าหมายความถึงอะไร ระดับไหน สติสัมปชัญญะก็ต้องมีความเห็นถูกว่าระดับไหน หรือว่าสติขั้นทาน ขั้นศีลก็ต้องต่างกับสติสัมปชัญญะ และสติปัฏฐานซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดเองไม่ได้ ไม่มีทางที่ใครคนหนึ่งคนใดจะสามารถคิดหนทางข้อประพฤติปฏิบัติ โดยที่ไม่อาศัยคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้นั้นไม่ได้มีความเลื่อมใสในพระปัญญาคุณ ในการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคิดว่าตัวเอง หรือว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็สามารถจะคิด จะทำเองได้

    จึงต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท โดยการที่เห็นคุณของพระธรรม ของการตรัสรู้ ของการทรงแสดงว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ไม่สามารถที่จะละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคลได้ ในขณะนี้เอง ต้องค่อยๆ ก้าวไปด้วยความเข้าใจ และขณะที่กำลังฟังคือภาวนา คือการอบรมให้เกิดปัญญาระดับต่างๆ แล้วแต่ว่าจะเป็นปัญญาระดับใด แต่ถ้าไม่มีการเข้าใจ ไม่มีการฟังเลยจะก้าวไปสู่ระดับของการปฏิบัติที่จะหยั่งถึงลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ก็เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะฟังอะไร คำไหน ใครกล่าวก็ตาม ทั้งหมดเพื่อเข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้ถูกต้อง จึงจะเป็นภาวนา

    ผู้ฟัง ขอทราบแนวทางปริยัติที่บอกว่าทางดำเนินเพื่อการถึงขั้นพระโสดาบันมีอย่างไรบ้าง แล้วก็อยากให้อธิบายถึงสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสให้ละเอียด

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็น จะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไรใช่ไหม ขณะนี้กำลังได้ยิน จะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าไม่มีขณะไหนที่จะต้องรู้แล้วก็ไปเป็นพระโสดาบัน แต่พระโสดาบันสามารถที่จะเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ด้วยเพียงการฟังหรือการคิด ขณะที่กำลังฟังแล้วก็เข้าใจธรรมในขณะนี้ เรากล่าวว่าเป็นธรรม เป็นธรรมอะไร เป็นรูปธรรม หรือเป็นนามธรรม ต้องเป็นนามธรรม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก ก็ต้องเป็นเจตสิกและจิตซึ่งเกิดพร้อมกัน ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นเป็นเจตสิกหนึ่ง เป็นโสภณเจตสิก เป็นปัญญาเจตสิก ซึ่งปัญญาเจตสิกซึ่งกำลังเข้าใจ จะค่อยๆ อบรมเพิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงการที่สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้ จากการรู้ถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะประจักษ์อริยสัจจธรรม คือทุกขลักษณะ ทุกขอริยสัจจะ สภาพธรรมที่เกิดดับ และเหตุให้เกิดทุกข์คือสมุทัย และพระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ดับกิเลส และหนทางที่จะดำเนินถึงการที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามลำดับด้วย ที่จะรู้ความต่างของขณะที่สติ ขณะนี้ที่กำลังฟัง ไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีสติกับปัญญา ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

    ขณะที่กำลังเข้าใจ มีสติระดับฟัง แม้ว่าจะไม่รู้ลักษณะของสติ แต่ด้วยเหตุผลก็คือว่า ถ้าขณะนี้สติไม่เกิดขึ้น กระเจิดกระเจิงไปไหนได้ใช่ไหม คิดเรื่องอะไรก็ได้ กำลังมีเสียงกระทบหูก็คิดเรื่องอื่น ไม่ใช่สติ แต่ถ้าขณะใดที่ฟังเข้าใจ ขณะนั้นเพราะสติระลึก ใส่ใจพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังพร้อมปัญญาที่เริ่มเข้าใจ นี่เป็นการเริ่ม แล้วก็ต่อจากนั้นไปก็จะมีการรู้ลักษณะของสติขั้นต่างๆ เพิ่มขึ้น จนถึงสติปัฏฐาน

    ดังนั้นพระอริยบุคคลทุกบุคคลต้องรู้ลักษณะของสติปัฏฐาน และมีปัญญาที่เกิดพร้อมกับสติปัฏฐานในขณะนั้น และปัญญานั้นต้องค่อยๆ เจริญอบรมขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันด้วยสติปัฏฐาน ฉันใด เป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็ด้วยสติปัฎฐาน เพราะเหตุว่าแม้ว่าเราจะพูดเรื่องจิตขณะนี้ เรื่องเจตสิก และขณะนี้จิต เจตสิกก็กำลังเกิดดับ เราก็ฟังไปแต่ว่าไม่รู้ลักษณะของจิตและเจตสิก ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ไม่ใช่สติปัฏฐาน ขณะนี้พูดเรื่องเห็นว่า เห็นมีจริงๆ ไม่ใช่รูป เพราะตามองอะไรไม่ได้ ไม่เห็น ตาเป็นแต่เพียงรูปที่สามารถกระทบสีสันวัณณะที่กระทบจักขุปสาท และจิตจึงเกิดขึ้นเห็น

    เพราะฉะนั้นตาเอง รูปเอง ไม่สามารถที่จะเห็น ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ พระโสดาบันไม่มีความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม ที่พระคุณเจ้ากล่าวถึงเรื่องวิจิกิจฉาก็คือความสงสัยในสภาพธรรม ซึ่งจะหมดไปได้ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แต่ว่าปัญญานั้นจะค่อยๆ เจริญขึ้น อดทนพอไหม เพราะว่าคนเราถ้าไม่อดทนแล้วจะสำเร็จอะไรได้ แม้แต่จะเรียนหนังสือ ตอนเป็นเด็กกว่าจะจบแต่ละชั้นๆ อดทนสักแค่ไหน ยังจะมีความรู้ต่อไปอีกก็ยังต้องอดทน ชีวิตต้องเต็มไปด้วยความอดทน ถ้าหุงข้าว หิว ไม่รอให้ข้าวสุก ไม่มีความอดทน ก็เป็นไปไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้จึงต้องอดทน แต่ว่าอดทนที่จะได้ข้าวปลาอาหาร อดทนที่จะได้ลาภยศสักการะต่างๆ เราคุ้นเคยกับความที่สามารถอดทนได้ แต่ที่จะให้อดทนฟังพระธรรมและค่อยๆ เข้าใจขึ้น เราเริ่มอดทนหรือยัง และการที่จะเข้าใจธรรมกับการที่ไม่ต้องเข้าใจธรรม อย่างไหนจะยากกว่ากัน ถ้าสิ่งที่ยากกว่าก็ต้องอาศัยความอดทนมากกว่า เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่อดทนจะไม่ได้สาระจากพระธรรม แต่จะมีความเห็นผิดเพราะว่าคิดว่าไม่ต้องอดทน ไม่ต้องศึกษา ไม่ต้องมีปัญญา ก็สามารถที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ แต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง อย่างทางสายกรรมฐาน ก็ได้ทราบมาว่า บางท่านไม่รู้หนังสือ บาลีก็ไม่เข้าใจ ท่านเหล่านั้นปฏิบัติธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องมีปัญญาที่ฟังธรรมเข้าใจก่อนปฏิบัติ เพราะเหตุว่าสติปฏิบัติกิจของสติ ปัญญาปฏิบัติกิจของปัญญา โลภะจะไปทำหน้าที่ของโทสะไม่ได้ โทสะจะมาทำหน้าที่ของวิริยะความเพียรก็ไม่ได้ เจตสิกแต่ละอย่างมีลักษณะมีกิจหน้าที่เฉพาะอย่างๆ ในขณะนี้ไม่ใช่เราเลย ถ้าศึกษาเรื่องจิต เจตสิก รูป ก็จะรู้ว่าไม่มีสักขณะที่มีเรา นอกจากสภาพธรรมที่เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป ขณะนี้ไม่มีหนังสือสักตัวใช่ไหม ฟังเข้าใจได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ได้ ไม่มีปัญหาเลย ใช้ภาษาที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าใช้คำว่าศึกษาธรรม ไม่ได้มุ่งหมายไปที่หนังสือหรือตำหรับตำรา แต่คนที่ศึกษาและเข้าใจถูกว่า ขณะนี้เป็นธรรมที่ต้องศึกษาโดยการฟังให้เข้าใจ ในขณะที่ฟังให้เข้าใจ คือเริ่มศึกษาด้วยการฟัง สุตมยปัญญา ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง เพราะขณะนี้ไม่มีหนังสือ แต่ฟังได้ เข้าใจได้

    ผู้ฟัง พระคุณเจ้าท่านเขียนว่าดังนี้ จากการที่ได้ฟังเทปธรรมการบรรยายของอาจารย์สุจินต์ ทำให้สงสัยว่า เพราะอะไรในพ.ศ.ปัจจุบันถึงไม่มีพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังอย่างนี้แล้วก็เป็นปัญญาของผู้ที่ฟังอีกนั่นเอง ถ้ามีใครสักคนหนึ่งมาบอกว่าเขาเป็นพระอรหันต์ จะเชื่อไหม นี่ก็แสดงแล้วใช่ไหม ไม่ใช่เชื่อเพราะคนอื่นบอก แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจว่าการเป็นพระอรหันต์เป็นได้อย่างไร และพระอรหันต์คือใคร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 192
    14 ก.ค. 2568