ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1502


    ตอนที่ ๑๕๐๒

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณสำราญ

    วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็แสดงอยู่แล้วว่า จิตขณะหนึ่งต้องหมดไปก่อน แล้วขณะต่อไปจึงจะเกิดได้ ซึ่งแต่ละคนมีจิตขณะแรกคือขณะเกิด แล้วจิตขณะแรกก็ต้องดับ แต่ว่าดับไปแล้วจิตขณะต่อไปก็เกิดเป็นธรรม ธรรมดา เป็นธรรมชาติของจิต ซึ่งจิตจะต้องเป็นอย่างนี้ เว้นจิตของพระอรหันต์ ซึ่งเราใช้คำว่าปรินิพพาน อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรินิพพานหมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ตาย

    ท่านอาจารย์ การตายของผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ไม่เหมือนคนอื่นอย่างไร

    ผู้ฟัง จบ

    ท่านอาจารย์ จบ คือคนอื่นตายไม่จบ ตายแล้วก็เกิดอีก แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เกิดอีกเลย ใช้คำว่า ปริ หมายความว่า รอบ นิพพานแปลว่าดับ ดับโดยรอบ สนิท ไม่มีการเกิดอีก แต่คนที่ยังมีกิเลส ตายแล้วเกิดทุกคน แล้วก็เป็นคนใหม่ ลืมชาติก่อนโดยสิ้นเชิง เหมือนกับประตูที่ปิดสนิท เราหันกลับไปมองก็ไม่เห็นอะไรในห้องนั้น เหมือนกับชาติหนึ่งๆ ซึ่งผ่านไป ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่รู้ว่าทุกคนเกิดแล้ว แล้วก็ต้องตาย มีใครที่เกิดแล้วไม่ตายบ้าง

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ต้องตายทุกคน แต่ว่าตายแล้วจะเกิดเป็นอะไร จะเกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าเกิดบนสวรรค์ แต่ถ้าเป็นผลของกรรมไม่ดีก็เกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานซึ่งเรามองเห็นว่ามีจริงๆ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของการที่เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ชั่วพักหนึ่ง แล้วเราก็จากโลกนี้ไปเป็นอีกคนหนึ่ง อีกบุคคลหนึ่งแล้วแต่กรรม ดังนั้นช่วงชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ประเสริฐ เพราะว่าสามารถที่จะเป็นกุศลได้มากกว่าการเกิดเป็นจิ้งจก นก หนู ตุ๊กแก พวกนี้ก็ทำกุศลได้ไม่มากเท่ามนุษย์ ถ้ามีจิ้งจกอยู่ตรงนี้ ฟังเรื่องนี้ก็ไม่รู้เรื่อง แต่เป็นมนุษย์ฟัง สามารถที่จะพิจารณาเข้าใจได้

    ผู้ฟัง ผมขอถามเรื่องอัตตา อนัตตา ย่อๆ คือ นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา

    ท่านอาจารย์ ได้ยินชื่อนิพพาน แต่ต้องเข้าใจความหมายของนิพพาน ก่อนที่จะตอบว่าเป็นอัตตา หรืออนัตตา เวลานี้มีสองอย่าง อัตตาคือ มีความเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา หรือเป็นตัวเรา อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ไม่มีเจ้าของ บังคับบัญชาไม่ได้ มีสองอย่าง และหัวใจของพระพุทธศาสนาจากการตรัสรู้ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งปวง หรือธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง เป็นของจริง เกิดขึ้นเพราะได้ทรงอบรมพระบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ที่จะตรัสรู้ความจริงของธรรม ทั้งหมดเป็นอนัตตา แต่ว่าเราบัญญัติเรียกว่า เป็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สภาพธรรมนั้นเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดจากการอบรมแล้วก็ดับไป

    ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่ว่ามีคำอยู่ ๓ บรรทัดวรรคตอน คือ สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ประโยคนี้ก็ควรที่จะเข้าใจให้มากขึ้น สังขารหมายความถึงสิ่งใดก็ตามที่เกิด ทั้งหมดต้องมีการปรุงแต่ง หรือว่ามีเหตุมีปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย แต่ว่าการที่จะรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งนั้น ต้องรู้จักสิ่งนั้นก่อนอย่างดี แล้วถึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร

    เพราะฉะนั้น พระธรรมแต่ละข้อ หรือแต่ละลักษณะที่ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรม แสดงโดยลักษณะ และแสดงโดยเหตุที่จะทำให้สภาพธรรมนั้นเกิดด้วย ดังนั้นสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แต่ว่าก่อนฟังพระธรรม สังขารคืออะไร

    ผู้ฟัง เขาบอกว่าร่างกายตัวเอง

    ท่านอาจารย์ คือความหมายของเราเอาเฉพาะรูป ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เข้าใจว่าเป็นสังขาร เพราะใช้คำว่าสังขารไม่เที่ยง และรูปนี้ก็เห็นได้จริงๆ ว่าไม่เที่ยง เกิดแล้วก็เปลี่ยนแปลง เจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็แก่แล้วก็ตาย ไม่เที่ยงเห็นชัดๆ ของรูป ก็เข้าใจว่ารูปนั้นเป็นสังขาร แต่ความหมายที่กว้างกว่านั้น รวมทุกอย่างที่เกิดเป็นสังขารทั้งหมด เพราะว่าทุกอย่างที่เกิดนั้นดับ ไม่เที่ยง เช่น เสียง เกิดขึ้นปรากฏ เเล้วหมดไปไหม

    ผู้ฟัง หมด

    ท่านอาจารย์ เสียงก็เป็นสังขารด้วย เพราะฉะนั้นครอบคลุมทุกอย่าง ธรรมที่ทรงตรัสรู้ไม่เปลี่ยนเลย เป็นจริงอย่างไรใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ใครจะให้เสียงไม่ดับได้ไหม ใครจะเอาอะไรไปห่อหุ้มเสียงไว้ได้ไหม เก็บไว้ก็ไม่ได้เลย ทุกอย่างที่เกิดและดับอย่างเร็วด้วย

    สังขารหมายความถึงทุกอย่างที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็ดับ นั่นคือ สัพเพ สังขารา สัพเพ เเปลว่าทั้งหมด ทีนี้เราก็มาพิจารณาอีก นอกจากเสียงแล้วอะไรอีก กลิ่นเที่ยงไหม ความรู้สึกเที่ยงไหม ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วต้องดับ เพียงแต่ว่ายังไม่ประจักษ์การดับ ก็พูดตามที่ได้ยินได้ฟังว่าสัพเพ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สัพเพ สังขารา ทุกขา ข้อความที่สองก่อนที่จะถึง สัพเพ ธัมมา อนัตตา

    สัพเพ สังขารา ทุกขา อะไรที่เป็นทุกข์ การเกิดและดับไปอย่างรวดเร็ว จะเป็นสุขได้อย่างไร เพียงเกิดขึ้นมาเดี๋ยวเดียว แล้วก็ดับเเล้ว หมดแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย ขณะเมื่อสักครู่นี้ ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทุกเสี้ยววินาทีจะมีสภาพธรรมคือ จิต เกิดแล้วก็ดับ ความรู้สึกเกิดและก็ดับ ทุกอย่างที่เกิดและดับไปหมดเลย ซึ่งสิ่งที่เกิดดับไม่สามารถที่จะให้ยั่งยืนอย่างที่ทุกคนปรารถนา

    ทุกคนอยากจะให้เรามีชีวิตอยู่ตลอดไปหรือเปล่า ตั้งแต่เด็กมาเลย เด็กทุกคนเกิดมาไม่อยากตาย เมื่อเห็นความตาย ได้ยินเรื่องตายเด็กก็กลัวแล้ว ทุกคนก็บอกว่าอยากจะวิ่งหนีไปให้สุดโลกในวันที่จะต้องตาย เพราะว่าทุกคนรักสิ่งที่เกิด ไม่อยากที่จะให้พลัดพรากไปเลย แต่สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วคงอยู่ไม่ได้ จะต้องหมดสิ้นไป สิ่งนั้นคือความหมายของคำว่า ทุกข์ที่นี่เป็นทุกข์ยิ่งกว่าอื่น เพราะว่าทุกข์อื่นเยียวยาได้ แก้ไขได้ เป็นไข้ก็กินยาแล้วก็หายไข้ ทุกเรื่องทุกประการก็พอที่จะขวนขวายรักษาพยาบาลไป แต่ใครจะไปยับยั้งการเกิดดับได้ ซึ่งถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็จะสามารถอบรมเจริญปัญญา เพราะสิ่งใดที่เป็นความจริง สามารถพิสูจน์ได้ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ แล้วตัวปัญญาก็จะรู้ความจริงของสภาพที่เกิดและดับได้ แต่ต้องใช้เวลานาน อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ ๔ อสงไขยแสนกัปป์

    เพราะฉะนั้น สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นเองเป็นทุกข์ ต้องเข้าใจความหมายด้วย ทุกข์ที่สุด ก็คือความไม่เที่ยง เป็นอริยสัจจะ อริยสัจจมี ๔ ใช่ไหม คนที่ไปโรงเรียน และรู้เรื่องพระพุทธศาสนา มีคำสอนก็รู้ว่า อริยสัจจ ๔ คือ ๑ ทุกข์ ๒ สมุทัย ๓ นิโรธ ๔ มรรค เราก็จะเริ่มเข้าใจความหมายจริงๆ ว่าทุกข์ที่นี่ และหมายความถึงสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง ถ้าเอาสิ่งใดที่ไม่เที่ยงมาให้เรา เราคิดว่าเราได้สิ่งนั้น แต่ความจริงสิ่งนั้นหมด แล้วก็มีสิ่งอื่นเกิดและดับ และก็เกิดแล้วก็ดับไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่สามารถที่จะยับยั้งสิ่งนั้นไม่ไห้ดับ แต่ก็หลงคิดติดว่าสิ่งนั้นยังเที่ยงอยู่ เพราะฉะนั้น ลักษณะที่ไม่เที่ยงต้องรู้ด้วยปัญญา ดังนั้นสังขารทั้งหลาย นอกจากไม่เที่ยงเเล้ว สังขารทั้งหลายที่ไม่เที่ยงนั่นเองเป็นทุกข์

    เเต่ข้อความต่อไป สัพเพ ธัมมา อนัตตา รวมนิพพานด้วย เพราะฉะนั้นก็จะมาถึงความหมายว่านิพพานต้องต่างกับสังขาร เพราะว่าสังขารเป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ แต่นิพพาน สัพเพ ธัมมา อนัตตา นิพพานเป็นอนัตตา แต่นิพพานไม่เกิด ดังนั้นจึงไม่ดับ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งใดไม่เกิดไม่ดับ จะกล่าวว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ได้ไหม ในเมื่อไม่เกิด

    เพราะฉะนั้นนิพพานก็เป็น วิสังขาร คือตรงกันข้ามกับสังขาร แต่เป็นอนัตตา เพราะในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะโดยนัยของพระวินัย โดยนัยของพระสูตร โดยนัยของพระอภิธรรม ตรงไหนก็ตาม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จะเป็นเรา จะเป็นของเราไม่ได้เลย เพราะว่าเราเพียงแต่มีความเห็นว่าเป็นของเรา โดยที่สิ่งนั้นเพียงเกิด แต่ด้วยความไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา นี่ก็คงจะตอบคำถามเรื่องนิพพาน

    ผู้ฟัง ศาสนาพุทธสอนเราว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คำว่าสัตว์โลกนี้จะเป็นอัตตาไหม

    ท่านอาจารย์ คือการศึกษาธรรมละเอียด และข้ามขั้นไม่ได้ จึงจะเป็นความเข้าใจจริงๆ เรามาถึงคำว่าสัตว์ สัตว์โลก หมายความถึงสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งนั้นต้องเกิดจากกรรมด้วยถึงจะเป็นสัตว์ ต้นไม้บางชนิดที่ไม่ตาย เขาก็บอกว่ามีชีวิตแต่ไม่ได้เกิดจากกรรม เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาตรง จะกล่าวว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ถ้าไม่ได้เกิดจากกรรมแล้วจะกล่าวว่ามีชีวิตไม่ได้ แต่ว่าถ้าเกิดจากกรรมแล้วจึงจะเป็นสัตว์ ถ้ากล่าวว่าเป็นสัตว์ก็จะต้องมีชีวิต

    แต่ถ้าศึกษาละเอียดต่อไป สัตว์ที่ไม่มีจิต ที่เป็นผลของฌานจิตขั้นสูง ที่มีแต่รูปปฏิสนธิ ไม่มีนามเลย ไม่มีจิตใจเลย ก็มีชั่วระยะหนึ่ง แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าปัญญายังไม่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ถึงจะไปเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีนามธรรมเลยช่วงหนึ่ง แต่ก็ยังดับกิเลสไม่ได้จนกว่าจะรู้ความจริงของนามธรรม และรูปธรรม นี่ก็มีการเพิ่มขึ้นมาโดยที่ว่ายังไม่ได้กล่าวถึง คือว่าเรากล่าวถึงเพียงแค่ธรรม ธรรมดาสิ่งที่มีจริง แล้วก็สังขารธรรม แล้วก็นิพพานซึ่งก็เป็นวิสังขารธรรม ตรงกันข้ามกับสังขารธรรม เพราะไม่เกิดดับ ทีนี้มาถึงคำว่าสัตว์โลก สิ่งที่มีชีวิตเกิดขึ้นเพราะกรรม คือเราที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่

    เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นเรา ตามความเป็นจริงแล้ว ตรงไหนเป็นเรา ใช่ไหม แต่เป็นธรรมแน่นอน เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้ากระทบสัมผัสส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย กระทบตรงไหนก็ได้ที่ตัว อะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง มีอุ่นๆ

    ท่านอาจารย์ อุ่นๆ ต้องเกิดหรือเปล่า อุ่นเป็นสังขารหรือเปล่า เป็นทุกข์หรือเปล่า เป็นอนัตตาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า เมื่อครู่นี้ตอบมาหมดเลยเป็นธรรม เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นอุ่นไม่ใช่เรา ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าไม่ใช่เราเลย เป็นสภาพอ่อนหรือแข็ง ซึ่งข้างนอกก็มี ข้างนอกก็มีอุ่น มีแข็ง มีเย็น มีร้อน เพราะฉะนั้น ใครเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ถ้าเข้าใจธรรม และสิ่งนั้นเป็นธรรม เพียงแต่ว่าจะอยู่ที่ภายในหรือภายนอก ถ้าอยู่ที่ภายในก็ยึดถือว่าเราทั้งหมดเลย อุ่นก็เป็นเรา แข็งก็เป็นเรา เย็นก็เป็นเรา กลายเป็นเรา กลายเป็นของเรา ลืมแล้วว่าเป็นธรรม

    เวลาศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ที่ตรง แล้วก็เปลี่ยนคำไม่ได้ เพราะว่าถ้าบอกว่าเป็นธรรม ก็ต้องเป็นธรรมโดยตลอดไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน แต่ธรรมที่ว่าเป็นสัตว์บุคคล ไม่ใช่เป็นแต่เพียงรูป รูปอย่างนี้ไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นบุคคล มีลักษณะที่อ่อนหรือแข็งเท่านั้น แต่ที่จะเป็นสัตว์บุคคลได้ต้องเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพที่รู้ คิด จำ เห็น ได้ยิน โต๊ะเห็นไหม

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นธรรมที่มีจริง เป็นรูปธรรม ซึ่งธรรมที่มีจริงๆ โดยประเภทใหญ่ๆ จะมีสองอย่าง ไม่ว่าใครจะไปเสาะแสวงหาในโลกนี้ นอกโลกนี้ ทั่วจักรวาลกี่แห่งก็ตามแต่ เพราะจักรวาลที่กว้างใหญ่มาก ก็จะมีสภาพธรรมที่มีลักษณะต่างกันเป็นสองอย่าง คือสภาพหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เพียงแข็ง เพียงอ่อน เพียงเผ็ด เพียงหวาน เท่านั้นเอง เป็นเสียง เป็นกลิ่นพวกนั้น แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ นั่นคือรูปธรรม เป็นธรรม แต่เป็นรูปธรรม เพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพที่สามารถรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น

    เวลานี้เราก็สามารถจะตอบได้ว่า อะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม แม้ว่ามองไม่เห็นแต่สิ่งนั้นมีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย และต้องเป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่ฝ่ายนามธรรมแม้ไม่มีรูปร่างเลย แต่เป็นธาตุ เป็นสภาพที่มีจริงชนิดหนึ่งซึ่งสามารถรู้ สามารถคิด สามารถจำ สามารถเห็นไม่มีรูปร่าง เเต่เป็นนามธรรม เพราะเหตุว่าเป็นสภาพที่เมื่อเกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ขณะที่กำลังเห็น เราอาจจะไม่รู้ว่าเห็นอะไร แต่ต้องมีสิ่งซึ่งถูกเห็น และมีสิ่งที่เห็น มีสภาพเห็น กับมีสภาพที่ถูกเห็น ใช่ไหม ต้องแยกกันเป็นสองอย่าง เวลาที่มีเสียงปรากฏ ต้องมีสภาพที่ได้ยินเสียง ไม่อย่างนั้นเสียงก็ปรากฏไม่ได้ จะมีแต่เสียงปรากฏโดยไม่มีสภาพที่ไปได้ยินเสียงได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ คือคู่กัน นามธรรมไม่ว่าจะเป็นประเภทใดๆ ทั้งสิ้นก็ไม่มีรูปร่างลักษณะเลย แต่เป็นสภาพรู้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคลไม่ใช่มีแต่รูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า คนตายเป็นอะไร ยังคงเป็นคนหรือเปล่า หรือหมดสภาพความเป็นสัตว์เป็นบุคคลแล้ว เหลือแต่ร่างหรือรูปซึ่งเพียงแต่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน แต่ว่าคิดไม่ได้ เห็นไม่ได้ สุขไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ เพราะไม่มีนามธรรม มีแต่รูปธรรม

    เพราะฉะนั้นต้องแยกนามธรรมกับรูปธรรมก่อน แล้วถึงจะรู้ว่าที่ว่าเป็นสัตว์บุคคลต้องมีนามธรรมกับรูปธรรม เช่น ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ส่วนหนึ่งเป็นรูปธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ส่วนนามธรรมก็มี สามารถที่จะเห็นได้ยิน คิดนึก พวกนี้ เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ คืออย่างนี้ถูก หมายความว่า คำไหนที่ได้ยินได้ฟังแล้วตัดสินใจมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น นามธรรมเป็นอนัตตา รูปธรรมเป็นอนัตตา เพราะว่าทั้งนามธรรมก็เกิด รูปธรรมก็เกิด ทั้งสองอย่างเป็นสังขารธรรมเกิดดับ มีศัพท์หลายศัพท์ที่วันนี้เราฟังมามากใช่ไหม มีสังขาร มีธรรม มีรูปธรรม มีนามธรรม แต่ต้องมีความเข้าใจ แม้ฟังเพียงเล็กน้อยแต่ต้องตรง และก็ไม่เปลี่ยน คือทุกอย่างเป็นธรรม เปลี่ยนไม่ได้เลย ใครจะถามอย่างไร จะยืนยันอย่างไร ก็ต้องทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมที่เกิดขึ้น เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม นามธรรมจะเป็นรูปธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ รูปธรรมจะเป็นนามธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นามธรรมคือนามธรรม รูปธรรมคือรูปธรรม แยกขาดจากกัน แต่เมื่อรวมกันเป็นเรา ใช่ไหม ยึดถือนามธรรมว่าเป็นเรา ยึดถือรูปธรรมว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมคือรู้จักตัวเอง ค่อยๆ รู้จักตัวเองละเอียดขึ้นว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นเรา มี แต่ว่าความจริงไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเราด้วย เป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นสัตว์โลก ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าต้องมีทั้งนามธรรม และรูปธรรม รูปธรรมอย่างเดียวเป็นสัตว์โลกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เพราะว่าไม่ใช่สภาพรู้ ไม่มีสภาพรู้ ต้องมีสภาพรู้ด้วย ที่ว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เมื่อได้ยินคำว่ากรรมก็ต้องหมายความว่า ถ้าไม่มีกรรม เราจะได้ยินคำนี้ไหม มีคำนี้แต่ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่พอจะพูดถึงได้ ในภาษาไทย กรรมคือการกระทำ ทำดีก็คือกรรมดี ทำไม่ดีก็คือกรรมชั่ว เพราะฉะนั้นกรรมมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีอยู่

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ก็จะเห็นได้ว่าถ้ากรรมดีคือ เหตุดีให้ผลดี ถ้ากรรมไม่ดี เหตุไม่ดีก็ให้ผลไม่ดี เมื่อกรรมไม่ใช่เรา ผลของกรรมที่เกิดเพราะกรรมนั้น เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่เป็น ค่อยๆ พิจารณาไปจนกระทั่งกว่าจะเข้าใจลึกกว่านี้ มั่นคงกว่านี้ แต่นี่ก็เป็นแนวที่เราจะรู้ว่า ถ้าเป็นคนตรง เราจะไม่บิดเบือนพระธรรม ความเข้าใจพระธรรมต้องถูก และต้องตรงยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นกรรม มี เป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง กรรมก็เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ไม่สามารถที่จะสัมผัสแตะต้องได้ด้วยร่างกาย

    ท่านอาจารย์ นี่คือการคิดประมาณตามที่ฟัง แล้วก็พยายามที่จะเข้าใจ แต่จริงๆ กรรมคือความจงใจ หรือความตั้งใจ ซึ่งก็เป็นนามธรรม รูปจงใจตั้งใจไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงนามธรรม คือเป็นคำรวมของสภาพธรรมสองอย่างซึ่งต้องเกิดพร้อมกัน อย่างหนึ่งคือจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เช่นกำลังเห็น เป็นจิต เวลาที่เสียงปรากฏ ก็ปรากฏกับจิตที่ได้ยินเสียงนั้น เสียงอย่างนี้ปรากฎกับจิตที่ได้ยินลักษณะของเสียงนี้ เมื่ออีกสิ่งหนึ่งปรากฏ เสียงอีกอย่างหนึ่งที่ปรากฏก็ปรากฏกับจิตอีกขณะหนึ่ง ไม่ใช่ขณะเดียวกัน เพราะลักษณะของรูปก็ต่างกัน ลักษณะของเสียงต่างกัน

    เพราะฉะนั้น จิตได้ยินเสียงซึ่งเกิดดับแต่ละขณะก็ต่างกันไปด้วย จิตขณะหนึ่งที่เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างรูปที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลย สิ่งใดที่เกิดเพราะมีปัจจัย เหมือนอย่างแสงสว่างของเทียนเกิดเพราะไส้ใด เวลาที่เกิดแล้วสว่างแล้วก็ดับไปแล้ว แสงสว่างใหม่ก็เกิดจากไส้ใหม่ ไม่ใช่เก่า ฉันใด ขณะนี้ทุกขณะเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ รวดเร็วตามเหตุตามปัจจัย ถ้าใครสะสมความโกรธไว้มาก เมื่อเห็นอะไรก็โกรธหงุดหงิดไม่พอใจ ตามการสะสม บังคับไม่ได้ แต่จิตนั้นก็ดับ จิตเห็นไม่ใช่จิตโกรธ จิตได้ยินก็ไม่ใช่จิตที่โกรธ เป็นคนละขณะ

    วันหนึ่งๆ จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนเลย เร็วมากจนกระทั่งปรากฏเหมือนไม่ดับ จึงเหมือนนายมายากล คนที่เล่นกลเล่นเก่ง เราไม่เห็นมีอะไรเลย แล้วมีนก ออกมาจากหมวกได้อย่างไร ทำได้อย่างไร แต่จิตเก่งกว่านั้น เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับโดยไม่มีใครรู้เลย แอบดับไป แอบเกิดขึ้น โดยที่ว่าเกิดดับอยู่ตลอดแต่ไม่มีใครรู้เลย จนกว่าปัญญาในการจะเริ่มฟังพระธรรม ค่อยๆ พิจารณาจนค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ก่อนจะประจักษ์อย่างนั้นได้จริงๆ ต้องเข้าใจสิ่งที่มีอยู่มากขึ้นอีกมากทีเดียว แม้แต่ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมในวันหนึ่งๆ นี่คือการรู้จักตัวเอง ถ้าเรามีนามธรรม รูปธรรม คนอื่นเหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง เหมือน

    ท่านอาจารย์ ก็มีนามธรรม รูปธรรม เรามีโกรธ คนอื่นมีไหม

    ผู้ฟัง มีเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโกรธที่เกิดแล้ว ไม่ให้ดับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ นี่คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนัตตา ลืมไม่ได้เลยว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แค่นี้ก็เริ่มรู้จักตัวเองขึ้นมาก และก็รู้จักคนอื่นด้วย เวลาที่เห็นคนไม่ดีเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ ไม่ชอบ และสงสารไหม

    ผู้ฟัง ถ้าคนไม่ได้ศึกษาธรรมก็จะไม่สงสาร

    ท่านอาจารย์ เเล้วคนที่ศึกษาแล้วคืออย่างไร

    ผู้ฟัง คนที่ได้ศึกษาพอสมควรก็นึกเวทนาว่า เขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแสดงว่าเราบังคับจิตเราไม่ได้เลย บังคับจิตใครก็ไม่ได้ใช่ไหม แล้วแต่ว่าจะสงสาร หรือไม่สงสารก็บังคับไม่ได้ แต่เมื่อสักครู่มีคำๆ หนึ่ง เวทนา (เวด-ทะ-นา) รู้สึกเวทนา นี่คือภาษาไทยที่เราใช้คำในภาษาบาลี โดยที่ไม่ตรงกับความหมายในภาษาบาลี ภาษาบาลีจะออกเสียงว่า เว ทะ นา หมายความว่า ความรู้สึก มีจริงไหม มี ของที่จริง มีจริง เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ธรรมล้วนเลย

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เป็นอนัตตาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตามไม่ทัน

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้เป็นธรรม ใช่ไหม แต่เวลาเกิดจริงๆ เป็นเรา แสดงให้เห็นว่าปัญญามีหลายระดับขั้น ปัญญาขั้นฟังนั้นไม่ใช่ทำให้เราเห็นว่าไม่ใช่เราเลย เพียงแต่ฟังเรื่องราวและรู้ว่า ตามความเป็นจริงคือไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงปัญญาที่ไม่ใช่เราจริงๆ ต้องมี ไม่อย่างนั้นก็ละความเป็นเราจากความรู้สึกนั้นไม่ได้ ถูกไหม แต่ว่ามีหนทางที่ผู้มีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงแสดงสำหรับเรา ซึ่งมีความนอบน้อมเคารพสักการะในพระปัญญา แล้วเวลาที่เรากล่าวคำที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ก็หมายความว่าเราจะประพฤติ ปฏิบัติตามที่ทรงแสดงด้วย ไม่ใช่เพียงแต่รับเฉยๆ ว่ามีพระองค์เป็นสรณะ แต่ไม่รู้ ไม่ปฏิบัติตาม

    โดยการปฏิบัติตามขั้นแรกคือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อน เพราะฉะนั้น เวทนามีจริงๆ เป็นนามธรรม แต่นามธรรมมี ๒ อย่างคือ จิต เป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ก็คือจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตคิดนึก แต่มีสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่เกิดกับจิตอีก ๕๒ ชนิด มากไหม

    ผู้ฟัง มาก

    ท่านอาจารย์ ๕๒ ชนิดวิจิตรมาก ๕๒ ว่ามาก แต่ความละเอียดและต่างระดับของ ๕๒ ชนิด ก็จะมากมายทีเดียว แต่ให้ทราบว่าธรรมชาติใดที่เกิดกับจิต ธรรมชาตินั้นชื่อว่าเจตสิก เจ ตะ สิก กะ เป็นสภาพธรรมที่ต้องเกิดกับจิต แยกกับจิตไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขณะใดที่จิตเกิด ขณะนั้นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เช่น ความรู้สึก เวทนาเป็นเจตสิก ไม่ใช่เป็นจิต จิตเป็นสภาพที่มีลักษณะหนึ่งอย่าง คือรู้แจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 192
    1 ก.ค. 2568