ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1504
ตอนที่ ๑๕๐๔
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณสุปราณี
วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ แต่สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งเรามองไม่เห็น แต่เป็นจิตซึ่งมีลักษณะต่างๆ กัน จิตแข็งไหม จิตไม่แข็ง จิตหวานไหม ถ้าหวานไม่ใช่จิตแน่ หวานต้องเป็นรูป คือเป็นรส รูปชนิดหนึ่งเป็นรส สิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถรู้อะไร มีลักษณะที่จะปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น และทางหู คือเสียงก็มีลักษณะที่ปรากฏทางหู กลิ่นปรากฏทางจมูก ไม่รู้อะไรเหมือนกัน รสปรากฏทางลิ้นก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน เย็นหรือร้อนอ่อนหรือแข็งที่กระทบสัมผัส เมื่อสัมผัสอะไรเราบอกร้อน นั่นคือรูปชนิดหนึ่ง เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่สภาพรู้
ลักษณะของธรรมซึ่งเป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เป็นรูปธรรม ในทางธรรมใช้คำว่ารูปธรรม มีหลายอย่าง แต่ปรากฏซ้ำกันทุกวัน เมื่อลืมตาขึ้นมา ไม่เห็นได้ไหม ไม่มีทางเลย ต้องเห็น แสดงว่ามีธรรมชนิดหนึ่งปรากฏซึ่งไม่เหมือนอย่างอื่น เมื่อได้ยินเสียง ธรรมอีกชนิดหนึ่งปรากฏแล้ว เพราะฉะนั้นก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ๕ อย่าง ๕ ทาง ทุกวัน ไม่ขาดเลยสักวันเดียว นี่คือเกิดมาทำไม เกิดมาเมื่อถึงเวลาก็ต้องเห็น เห็นแล้วก็ชอบหรือชัง เกิดมาก็ต้องได้ยิน ต้องเลย แล้วก็ชอบหรือชัง เกิดมาได้กลิ่น ชอบหรือชัง เกิดมาลิ้มรส อร่อยหรือไม่อร่อย ก็ขวนขวายแสวงหาอีก ทางกายก็แล้วแต่ จะชอบหรือชังสภาพอะไรก็ตามแต่ แค่นี้ทั้งวัน แล้วกลางคืนก็หมดอีกแล้ว ก็เป็นอย่างนี้ทุกวัน ไม่มีอะไรซึ่งยั่งยืนที่เราจะเอาไปด้วยได้ หลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว
สีสันวัณณะต่างๆ ปรากฏ แต่ว่าไม่ใช่เพียงปรากฏเฉยๆ ความติดข้องความต้องการ กิเลสทั้งหลาย มาหลังจากที่เห็นแล้ว เห็นแล้วก็ต้องสวยใช่ไหม ทุกอย่างต้องสวยเป็นของธรรมดา เพราะฉะนั้นแค่เห็นไม่พอเลย แต่ให้รู้ว่าหลังเห็นแล้วกิเลสเกิด ความรักความชังเกิด
เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ เราสะสมความชอบความชังจากสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้กลิ่น สิ่งที่ลิ้มรส สิ่งที่กระทบกาย เราสะสมความรักความชังจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้หนาแน่นมาก ในเมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้อยู่กับเรา แล้วก็ไม่ใช่ของเราเลยสักอย่างเดียว มีอะไรเป็นของใครบ้าง เวลานี้ตอบว่าไม่มี เเต่กลับไปถึงบ้านที่มีมากใช่ไหม เพราะเหตุว่าเราจำไว้เท่านั้นเอง เราจำไว้ว่ามี แต่จริงๆ สภาพธรรมมากมายหลากหลายที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ สิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรก็เป็นรูปธรรมชนิดต่างๆ ส่วนสิ่งที่สามารถเกิดแล้วรู้คือ จิตกับเจตสิก นี่ก็เป็นคำใหม่ เจตสิกก็หมายความถึงรักชังต่างๆ ซึ่งเกิดกับจิต เพราะเวลาที่จิตโกรธไม่ใช่ขณะเดียวกับจิตสนุกสนาน
เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตสนุกสนานเพราะเจตสิก สภาพธรรมที่ติดข้องเพลิดเพลินเกิดกับจิตนั้น ขณะนั้นจิตจึงรู้สึกเพลิดเพลิน เวลาที่เราเป็นทุกข์จะบังคับให้เพลิดเพลินได้ไหม เพราะว่าสภาพที่เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตสภาพนั้นไม่ได้เกิดกับจิต
มี ๒ อย่าง นามธรรมคือจิตเป็นสภาพรู้ แล้วก็มีเจตสิกก็เป็นสภาพรู้ซึ่งต้องเกิดกับจิต ในภาษาไทยเราใช้คำว่าจิตกับใจคู่กัน เพราะว่าเราไม่ได้ใช้คำภาษาบาลี เราบอกว่าคนนี้จิตใจดี เขามีจิตแต่ใจดี เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่ดี ซึ่งไม่ใช่จิต แต่สภาพธรรมนั้นมีถึง ๕๒ ชนิด เป็นเจตสิก ๕๒ อย่าง เกิดกับจิต มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี
วันนี้ก็ไม่ทราบว่าจะยาวไปยากไปหรือเปล่า แต่ก็คือเกิดมาทำไม ก็คืออย่างนี้ เกิดมาให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ธรรมไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย มีอยู่ทุกขณะ ถ้าไม่รู้จักธรรมก็เดินทางไปแสวงหาว่าธรรมอยู่ที่ไหน ขึ้นเขาลงห้วยสารพัด แต่เมื่อศึกษาธรรมแล้ว อยู่ที่นี่ ทุกขณะ เร็วมาก เกิดแล้วหมดไปทันที สภาพธรรมใดที่เกิดแล้วดับไป จะเป็นของใครได้ไหม เสียงเป็นของเราหรือเปล่า หมดไปแล้วหาอีกไม่ได้เลย ทุกอย่างที่หมดไปแล้วหาอีกไม่ได้เลย แล้วเรายังจะบอกว่าของเรา ได้ไหม
ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูปร่างกายทั้งหมด ขณะนี้ต้องไม่ลืมว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป สภาพที่เกิดแล้วหมดไป ใครชอบบ้าง แล้วแสนเร็วด้วย ยังไม่ทันจะอะไรเลยหมดแล้ว จิต เมื่อเห็นก็ดับเเเล้ว เมื่อได้ยินก็ดับแล้ว เมื่อคิดนึกก็ดับแล้ว ก็แสดงว่าเป็นสภาพธรรมที่มีเกิดดับ มีอยู่ชั่วขณะที่ปรากฏ ทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนี้มีอยู่ชั่วในขณะที่ปรากฏ และผู้ที่มีปัญญาจริงๆ รู้ด้วยว่าปรากฏแล้วดับ นี่คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกที่อบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ตาม ประจักษ์แจ้งความจริงนี้ได้
เพราะฉะนั้นเราเพิ่งเริ่มฟังว่า ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ทั้งที่ตัว และนอกตัวด้วย ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด ที่มีจริงคือปรากฏ สิ่งที่ไม่ปรากฏเราบอกว่ามีจริงได้ไหม ยังไม่ปรากฏ แม้แต่เสียงมีเมื่อไหร่ จริงเมื่อไหร่ เมื่อเสียงกำลังปรากฏกับจิตได้ยิน และเสียงก็สั้นมากดับแล้ว ปรากฏให้แค่ได้ยินนิดเดียว อย่างอื่นก็เหมือนกับเสียง ปรากฏเพียงแค่ให้รู้แล้วก็ดับไปหมด แต่เมื่อรู้แล้วกิเลสตามมา ถ้าใครที่สะสมทางฝ่ายกุศลมามากๆ เวลาเห็นแล้วเขาจะคิด หรือเห็นตรงกันข้ามกับคนที่สะสมอกุศลมา ถ้าคนที่สะสมอกุศลมามีแต่ความไม่ชอบใจ ความขุ่นใจ เวลาที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แต่คนที่สะสมกุศลมามีความเมตตา มีความกรุณา มีความเห็นใจ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด แต่ใจทุกคนต่างกันตามการสะสม เราก็จะทราบได้ว่าการที่แต่ละคนต่างกันก็เพราะเหตุว่า จิตใจของเขาสะสมมาต่างกัน และจิตใจนั้นก็เป็นสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่ของใคร โลภะของใคร โทสะของใคร ความโกรธหมดไปบ้างไหม หรือไม่เคยหมด ไม่ค่อยหมดใช่ไหม คือเราฟังแล้วต้องคิด แล้วก็ต้องเข้าใจจริงๆ คำใดที่พระพุทธเจ้าตรัสมาจากการตรัสรู้ คำนั้นไม่เปลี่ยน เราอาจจะคิดว่าเราโกรธ ทำไมไม่หายสักที แต่ความจริงขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่โกรธ
ความรวดเร็วของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกัน ทำให้ปรากฏเหมือนกับว่ามีตัวเรา คือสภาพธรรมที่เกิดและดับอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงทั้งหมดถ้าเข้าใจถูกต้องจะไม่มีเราเลย เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป เช่น เห็นเมื่อเช้านี้หายไปไหน ยังมีอยู่หรือเปล่า กับเห็นขณะนี้ แล้วเห็นเย็นนี้ก็ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้แล้ว ถ้าสั้นยิ่งกว่านั้นอีก แต่ละขณะก็คือใหม่ เหมือนกับแสงเทียน ถ้าไม่มีไส้เทียนจะมีแสงเทียนไหม แล้วก็แสงเทียนที่จะสว่างแล้วแต่ว่าจะไส้ยาวหรือไส้สั้น ถ้ามีไส้นิดเดียวความสว่างจะมากหรือจะน้อย ก็ต้องน้อยใช่ไหม ก็เช่นเดียวกัน
จิตแต่ละขณะนี้ก็เปรียบเหมือนกับแสงเทียน ซึ่งอาศัยเชื้อที่จะทำให้เกิดเปลวไฟเล็กที่สุด และก็เกิดดับสืบต่อกัน จนปรากฏเหมือนกับว่าเป็นแสงสว่างซึ่งไม่ดับไปเลย แต่ความจริงเพราะเกิดจากสิ่งที่จะทำให้เกิด ไส้เทียนเล็กมากก็ทำให้เกิดแสงนิดหนึ่ง ดับไปก็สืบต่อ ไส้เทียนต่อไปก็ทำให้เกิดแสง ซึ่งสืบต่อไปเรื่อยๆ เหมือนไม่ดับ ฉันใด จิตใจของเราตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดจนถึงขณะนี้ก็ไม่ใช่จิตเดียวกันเลย เป็นจิตต่างประเภท จะเป็นจิตเดียวกันไม่ได้ แต่เราไม่เคยฟัง เราไม่เคยรู้ เราก็เลยคิดว่าเป็นจิตที่ไม่ดับเลยจนกว่าจะถึงตาย แต่ความจริงก่อนจะตายก็เกิดดับนับไม่ถ้วนเลย แต่ละอย่างๆ
ไม่ทราบใครมีความเห็นอย่างไร เรื่องเกิดมาทำไม แค่นี้พอไหมสำหรับเกิดมาทำไม เกิดมาแล้วก็หลับแล้วก็ตื่น แล้วก็เห็น แล้วก็ได้ยิน
ผู้ฟัง จิตดวงไหนที่ไปเวียนว่ายตายเกิดเป็นหมื่นชาติแสนชาติ
ท่านอาจารย์ จิตใหม่ทุกขณะ ไม่มีเก่าเลย
ผู้ฟัง แล้วที่บอกว่านิสัยเดิมก็จะติดตามเรามา และติดตามจิตดวงไหน
ท่านอาจารย์ ความจริงลักษณะของจิตเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเลย ตำราอื่นทั้งหมดจะไม่เทียบเท่ากับการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดถึงสภาพที่มองไม่เห็น แต่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้น เช่น จิตคืออะไร ก็คือเป็นสิ่งซึ่งมีจริง สามารถที่จะรู้ จะเห็น จะคิด จะนึก นี่คือจิต
เพราะฉะนั้นขณะที่เห็น ลักษณะที่เห็นเป็นจิตชนิดหนึ่ง ลักษณะที่คิดเป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง จิตเห็นไม่ได้คิด จิตคิดก็ไม่ได้เห็น เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทำหน้าที่ทีละอย่าง และที่ถามว่าจิตที่เกิดดับ นิสัยอะไร แล้วผลกรรมอะไรจะเกิดสืบต่ออย่างไร ลักษณะของจิต เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ธาตุ หรือ ธา-ตุ คำว่าธาตุก็แสดงอยู่แล้วว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ อย่างธาตุดินก็แข็ง ธาตุไฟก็ร้อน ธาตุลมก็ไหวพวกนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นลักษณะแต่ละอย่างฉันใด จิต ก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่จะไม่เป็นอย่างอื่น จะไม่เป็นรูป แล้วก็จะไม่เป็นเจตสิก แต่เป็นจิตคือ เป็นใหญ่เป็นประธาน สามารถเห็น สามารถรู้ได้ก็จริง แต่เพราะเหตุว่าจิตเกิดแล้วดับ แต่การดับของจิต เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด
คือจิตแต่ละขณะเขามีลักษณะเฉพาะของเขา ซึ่งเรียกว่าปัจจัย คำว่าปัจจัยก็หมายความว่า สิ่งที่สามารถที่จะทำให้สิ่งอื่นเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นจิตหนึ่งขณะ ตัวจิต มีปัจจัยชนิดหนึ่ง ชื่อว่าอนันตระ หมายความว่าไม่มีระหว่างคั่นเลย ทันทีที่จิตขณะหนึ่งดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ โดยไม่มีระหว่างคั่น
เราคิดว่าเราเกิดมามีอายุจะ ๕๐ ๖๐ ๗๐ ก็ตามแต่ ตลอดเวลาขณะที่จิตขณะที่หนึ่งเกิด ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะที่สองเกิดสืบต่อ เรื่อยมาไม่มีวันหยุด เฉพาะชาตินี้ ๕๐ ๖๐ ๗๐ ชาติก่อนเหมือนกันเลย คือเมื่อจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนดับทำให้จิตขณะแรกของชาตินี้เกิด เมื่อจิตขณะแรกของชาตินี้ดับ ก็ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดเเล้วดับสืบต่อ จนถึงขณะสุดท้ายที่เราเรียกว่าตาย คือจิตดับ แล้วก็พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดในชาติต่อไป แล้วแต่กรรมไหนจะเป็นปัจจัยทำให้จิตชนิดไหนเกิดขึ้น
ถ้าพูดถึงจิต จะมี ๔ ชาติ ชาติ หรือ ชา-ติ หมายความว่าเกิด เราอยู่ในโลก เราเกิดมาหรือเปล่า เราเกิด แล้วเราก็มีสัญชาติจีน สัญชาติไทย สัญชาติฝรั่ง สัญชาติอะไรก็แล้วแต่ แต่จิตไม่มีฝรั่ง ไม่มีไทย ไม่มีจีน ไม่มีอังกฤษ แต่จิตมีชาติของจิตเอง ๔ ชาติ คือ จิตเกิดเป็นกุศลประเภทหนึ่ง คือเป็นจิตที่ดี จิตที่ดีไม่ให้โทษเลย ดีก็คือมีเมตตา หรือว่าให้ทาน กรุณาอะไรก็แล้วแต่ เป็นจิตที่ดีชาติหนึ่ง และก็เป็นจิตที่ไม่ดีอีกชาติหนึ่ง ความโกรธ ความริษยา พวกนี้เป็นเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต ทำให้จิตประเภทนั้นเป็นจิตที่ไม่ดี
จิตเท่าที่เรารู้จักมี ๒ ชาติแล้ว กุศลเป็นจิตที่ดีงามให้ผลเป็นสุข และอกุศลเป็นจิตที่ไม่ดีงามให้ผลเป็นทุกข์ หรือแม้แต่ลักษณะของอกุศลนั่นเองก็เป็นทุกข์ ไม่เป็นสุขเลยเวลาที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นจิต ๒ ชาติเป็นเหตุทำให้เกิดจิตอีกชาติหนึ่งซึ่งเป็นผล ภาษาธรรมใช้คำว่าวิบากจิต
เวลาที่พูดถึงวิบากไม่ใช่ลำบาก แต่หมายความว่าเป็นชาติของจิต คือ จิตที่เกิด เกิดเพราะเหตุที่ได้ทำแล้ว ซึ่งเป็นกุศลและอกุศลนั่นเอง ทำให้จิตที่เป็นผลเกิดขึ้น ที่สงสัยว่ากรรมที่ทำแล้วจะให้ผลเมื่อไหร่ เพราะเหตุว่ากรรมที่ทุกคนทำต้องประกอบด้วยเจตสิกชนิดหนึ่งชื่อว่า เจตนา ความจงใจ ความตั้งใจ เราจงใจตั้งใจที่จะให้ทาน เราจงใจตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนอื่น เราจงใจตั้งใจที่จะทำร้ายคนอื่น ความจงใจตั้งใจ เจตนา มีทั้งที่เป็นกุศล และอกุศลเป็นเหตุ ถ้าเหตุมี ผลจะมีไหม ต้องมีแน่ใช่ไหม แต่ว่าเมื่อไหร่เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ และใครจะได้รับผล โต๊ะเก้าอี้รับไม่ได้ผลแน่ เพราะไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้ได้เลย
เพราะฉะนั้น จิตอีกประเภทหนึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรมหรือ เจตนา ความจงใจตั้งใจ เป็นเหตุให้จิตที่เป็นวิบากเกิด ยกตัวอย่าง ถ้ามีคนที่จงใจจะให้คนอื่นตาบอด ถึงเวลาที่ให้ผล กรรมนั้นทำให้บุคคลนั้นเองไม่ใช่คนอื่น เพราะกรรมของใครก็ทำให้เกิดผล คือจิตนั้นเองที่จะต้องได้รับผลของกรรม บุคคลนั้นก็ไม่มีจักขุปสาทที่จะเป็นปัจจัยทำให้มีการเห็น คือไม่มีจักขุที่เป็นตา ที่สามารถกระทบกับแสงสว่าง
เพราะฉะนั้นทุกคนต้องรับกรรมเอง ใครทำใครรับ ถ้าเวลาที่ลูกเจ็บปวด ไม่มีทางเลยที่แม่ขอเจ็บแทนได้ เพราะว่าแม่ไม่ได้ทำกรรมนั้น เวลาที่ลูกเจ็บ เเม่ขอเจ็บแทนไม่ได้ เวลาแม่เจ็บ ลูกก็ขอเจ็บแทนไม่ได้เลย ทุกคนจะซาบซึ้งกับคำว่ามีกรรมเป็นของของตน ของเราเอง เราทำมาอย่างไร ผลก็จะไม่ไปให้กับคนอื่นเลย เราตั้งใจทำให้เขาตาบอด เจตนานี้ทำให้ตั้งใจที่จะให้สภาพนั้นเกิด สภาพนั้นต้องเกิดคือ ไม่มีตาของตัวเองวันหนึ่ง ไม่ใช่ของคนอื่น แต่สำหรับใครก็ตามที่ถูกประทุษร้ายก็คือว่า เขาเคยทำอย่างนั้นมา เขาก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น แต่ให้ทราบว่าจิตมี ๔ ชาติ กุศล อกุศลเป็นเหตุ และวิบากเป็นผล
ถ้าพูดถึงผลของกุศลจะเรียกว่า กุศลวิบาก ถ้าพูดถึงผลของอกุศลก็เรียกว่า อกุศลวิบาก แล้วก็วิบากมาได้อย่างไร ทางไหน กรรมทำให้เกิดใช่ไหม จิตขณะแรกที่เกิดเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม ตราบใดที่ไม่ใช่พระอรหันต์ กรรมที่ทำมาแล้วมีโอกาสที่จะทำให้เกิดได้ ถ้าอ่านในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงประชวร ทรงแสดงว่าเป็นผลของอดีตกรรมที่ได้ทำมาแล้ว ไม่พ้นเลย แล้วแต่ว่าอดีตกรรมทรงแสดงว่าได้กระทำอะไร อย่างถูกพระเทวทัตทำให้หินกลิ้งมากระทบพระบาท ขณะนั้นก็เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วในชาติก่อน
ทรงแสดงแม้กรรมของพระองค์เอง เมื่อกระทำกรรมนั้นมาจะให้คนอื่นไปรับได้อย่างไร ใช่ไหม เจตนาของใครเกิดขึ้น ผลคือทำให้คนนั้นเองได้รับ แต่การได้รับผลของกรรม เริ่มตั้งแต่ขณะเกิดขณะแรกเลยเป็นผลของกรรมหนึ่ง เราทุกคนชาติก่อนเป็นใคร มีใครตอบได้ เป็นเจ้าหญิง เป็นพระราชินี เป็นนก เป็นไก่ เป็นอะไรได้หมดทุกอย่าง มาจากนรกก็ได้ มาจากสวรรค์ก็ได้ ได้หมดเลย เพราะว่าเราอยู่ในโลกนี้เราคิดว่าสั้น แต่โลกก่อนเราก็เคยอยู่มาแล้ว
เพราะฉะนั้นนับไม่ถ้วนเลย ย้อนไปๆ แสนโกฏิกัปป์ก็เกิดขึ้น ชาติก่อนก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สุขทุกข์รักชัง มีกุศลเจตนา มีกุศลกรรม อกุศลกรรม เหมือนอย่างชาตินี้ทุกอย่าง แต่ใกล้ที่จะตายจากชาติก่อน กรรมหนึ่งให้ผลซึ่งเราเลือกไม่ได้ เช่นเดียวกับชาตินี้ เราจะต้องจากโลกนี้ไป เราทำทั้งกรรมดีกรรมชั่ว แต่เราอยากให้กรรมไหนให้ผล
ผู้ฟัง กรรมดี
ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าเราต้องการผลที่ดี แต่เหตุมันมีทั้งดีทั้งไม่ดี แล้วจะทำอย่างไร และกรรมยุติธรรมที่สุดยิ่งกว่าใครหมด อย่างเวลาที่เราเห็นใครทำผิด แล้วเราก็บอกว่าเมื่อไหร่เขาจะได้รับผลของกรรม เรื่องอะไรของเรา อย่างไรๆ เขาต้องได้รับผลแน่นอน และผลนั้นก็สมควรแก่เหตุ คือถ้าเขาทำกรรมไม่ดีมากๆ อย่างไรก็ต้องได้รับผลที่ไม่ดีมาก ที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เราเห็นเหตุการณ์ตั้งหลายเหตุการณ์ อย่างพวกแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรี ทุกคนสงสารมาก แต่ทุกคนคิดถึงอดีตกรรมที่ทำสมควรแก่ผลที่จะเกิดหรือเปล่า เพราะว่าใครก็ไม่สามารถที่จะดลบันดาลได้เลย กรรมละเอียดมาก แล้วก็หยั่งไม่ถึง คาดไม่ถึงว่าจะให้ผลวันไหน เมื่อไหร่ ในลักษณะใด
เพราะฉะนั้น ถ้าใครทำไม่ดี สงสารเลยได้ไหม ไม่ต้องไปคอยว่าเมื่อไหร่เขาจะได้รับผล คิดใหม่ เป็นกุศลดีกว่าเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าอย่างไรๆ เขาต้องได้รับผลกรรม เลิกพูดคำว่า เมื่อไหร่เขาจะได้รับผล เพราะไม่ใช่หน้าที่ของใครเลยสักคนเดียว ไม่มีใครสามารถที่จะจัดแจงให้กรรมใดให้ผลเมื่อไหร่ได้ แม้แต่ใกล้จะตายก็ยังไม่รู้เลยว่า กรรมไหนจะให้ผลทำให้เกิดในชาติต่อไป
แต่เราได้เกิดมาแล้วในชาตินี้เป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรมหนึ่ง ซึ่งกุศลนั้นเป็นกุศลของขั้นทานก็ได้ ขั้นศีลก็ได้ หรือขั้นอบรมเจริญปัญญา ฟังธรรมมีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูกก็ได้ เราไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปรู้อดีต เหมือนประตูที่ปิดสนิท เวลานี้ประตูเปิด แต่เมื่อมีความตายเกิดขึ้น ปิดสนิท ย้อนกลับมาดูว่าเราเคยนั่งตรงนี้ เคยพูดอย่างนี้ เคยฟังธรรมอย่างนี้ไม่ได้เลย ไม่สามารถจะรู้เลย ชาติก่อนเราไม่รู้ ชาตินี้เรารู้ แต่ว่าถ้าเราเกิดอีกชาติหน้า เราก็ไม่รู้ว่าชาตินี้เราทำอะไร
เพราะฉะนั้น ชาตินี้เป็นชาติก่อนของชาติหน้า ถูกไหม ชัดเจนว่าขณะนี้เรากำลังฟังคำ ไม่ต้องมีปัญญาระลึกเพราะว่าเราระลึกไม่ได้ ชาติหน้าไม่มีปัญญาระลึก แต่ชาตินี้รู้เลย ครั้งหนึ่งฟังธรรมที่นี่ มีเพื่อนธรรมที่สนใจ และกำลังได้สนทนาธรรมกันครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นกรรมที่จะให้ผลก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิเหมือนที่เราได้เกิดเป็นคนในชาตินี้ และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมด้วย ก็เป็นผลของกรรม ซึ่งครั้งแรกเกิดมาที่จะรู้ว่าเราได้รับผลของกรรม เริ่มต้นจากขณะจิตแรก
ถ้าเราเห็นแมวตัวหนึ่งที่นี่ เรารู้อดีตกรรมไหม อกุศลเป็นเหตุให้ปฏิสนธิ หรือ เกิดเป็นแมว ไม่ใช่คน เห็นปลา เป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำให้เกิดเป็นปลา เราสามารถจะเห็นเฉพาะสัตว์กับคนในโลกนี้ แต่กรรมวิจิตรมาก เกิดในนรกก็ได้ เกิดเป็นเปรตก็ได้ เกิดเป็นอสูรกายก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ นี่เป็นผลของอกุศลกรรม เราอาจจะคิดไม่ออกว่าจะมีที่ไหนที่ทารุณอย่างนรก แต่เราก็ได้ข่าวบ่อยๆ เช่น มีคนที่ถูกขังอยู่ในห้อง และไฟไหม้ออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมง แต่ว่าถ้าเป็นผลของกรรมที่นานกว่านั้น หลายปีหลายเดือน เป็นร้อยๆ พันๆ สมควรแก่กรรมที่ได้กระทำแล้ว
ดังนั้นเราจะหลีกเลี่ยงกรรมไม่ได้เลย กรรมทำให้เกิดมาเป็นบุคคลต่างๆ กันตามกรรม บางกรรมก็ทำให้เกิดมามีความสุขสมบูรณ์มาก เป็นเศรษฐีคฤหบดี เป็นกษัตริย์มหาศาล แต่ว่าทุกคนพ้นทุกข์ไหม ต้องปวด ต้องเจ็บ ต้องหิวไหม เหมือนกันใช่ไหม นี่คือขณะที่กรรมให้ผลทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด พร้อมกับจะทำให้ตาสำหรับเห็นเกิด ทำให้หู จมูก ลิ้น กายเกิด ทั้งตัวของเรา ตั้งแต่คอเลยก็ได้ ตาสองข้างเป็นรูปที่เกิดเพราะกรรม สำหรับให้เห็น
เพราะฉะนั้นการเห็นเป็นผลของกรรม จะรับผลของกรรมคือเห็น ถ้าไม่เห็นไม่ต้องรับผลของกรรมเลยรับผลของกรรมเมื่อได้ยิน มีเสียงที่น่าพอใจ เสียงที่ไม่น่าพอใจ กลิ่นก็มีทั้งกลิ่นหอม และกลิ่นไม่หอม รสก็มีทั้งรสที่อร่อย และไม่อร่อย กายก็มีที่กระทบแล้วเป็นทุกข์ก็มี ถูกหนามตำ เป็นต้น กระทบแล้วเป็นทุกข์ เป็นสุขก็มี เพราะฉะนั้นกรรมก็สร้างรูป หรือเป็นมูลฐาน เป็นสมุฏฐานให้รูปเกิดสำหรับรับผลของกรรม
ในวันนี้เมื่อเกิดมาแล้วเป็นผลของกรรม ทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะวันนี้ เรารับผลของกรรมเมื่อเห็น เมื่อได้ยิน เมื่อได้กลิ่น เมื่อลิ้นรส เมื่อรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นี่คือผลของกรรม เห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่อยากเห็นเลยก็เป็นผลของอกุศลกรรม เเต่เมื่อรู้ว่ารับผลของกรรมแล้ว หลังจากนั้นก็คือกรรมใหม่ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลต่อไป ก็วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ก็ต้องทราบว่าขณะไหนเป็นผลของกรรม และขณะไหนเป็นกรรมที่จะให้ผลต่อไปข้างหน้า เราเกิดมาเพื่ออย่างนี้ เพราะว่าเราต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องมีกิเลส ต้องมีกุศล อกุศล ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ต้องเป็นไปตามการสะสม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1501
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1502
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1503
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1504
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1505
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1506
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1507
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1508
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1509
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1510
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1511
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1512
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1513
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1514
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1515
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1516
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1517
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1518
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1519
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1520
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1521
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1522
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1523
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1524
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1525
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1526
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1527
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1528
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1529
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1530
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1531
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1532
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1533
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1534
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1535
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1536
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1537
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1538
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1539
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1540
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1541
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1542
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1543
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1544
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1545
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1546
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1547
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1548
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1549
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1550
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1551
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1552
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1553
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1554
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1555
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1556
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1557
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1558
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1559
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1560
