ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1506


    ตอนที่ ๑๕๐๖

    สนทนาธรรม ที่ บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด

    วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ ไม่มีสักอย่างเดียวซึ่งไม่ดับ แต่ว่าถ้าไม่ศึกษาธรรม จะไม่เห็นการเกิดกับอย่างรวดเร็วของสภาพธรรมแต่ละอย่างในขณะนี้เลย เราก็จะคิดว่า เมื่อเกิดมาแล้วก็ถึงวันหนึ่งซึ่งเราต้องจากโลกนี้ไป สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้คือตาย ก็คิดว่าไม่เที่ยง คือเกิดแล้วก็ต้องตาย แต่ว่าระหว่างที่ยังไม่ตายก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่ซ้ำกันเลยทุกวัน เราอาจจะคิดว่าซ้ำ เช่น เราเห็นสิ่งที่เราเห็นเมื่อวานนี้ แต่เห็นเมื่อวานนี้ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ คนละขณะ ตาของเราอาจจะเสื่อมไปบ้าง แสงสว่างที่จะให้รูปนั้นปรากฏก็ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างมีเหตุปัจจัยเฉพาะอย่างๆ ที่ทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ในขณะนี้เท่านั้น ความจริงก็คือเกิดแล้วก็ดับไป

    ถ้าเข้าใจคำว่าธรรมก็คงจะเห็นประโยชน์ว่า ทำไมต้องรู้เรื่องธรรม ถ้าไม่รู้เรื่องธรรม เรามีการยึดถือธรรมว่าเป็นเรา แล้วธรรมก็ไม่เป็นอย่างใจเรา เราอยากจะให้มีแต่ความสุข แต่บางวันก็สุข บางวันก็ทุกข์ เวลาทุกข์เราก็เดือดร้อนแล้วแต่ว่าจะเดือดร้อนมากหรือน้อย เพราะเราไม่รู้จักว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

    มีใครเลือกชีวิตของตัวเองได้บ้างไหม คิดว่าเลือกได้ อาจจะคิดอย่างนั้น แต่ถึงเวลาจริงๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดเลยก็ได้ เช่นเราคิดว่าเราจะไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ตั้งใจเตรียมพร้อม ถึงเวลาจริงๆ ถ้าจะไปก็เพราะมีเหตุปัจจัยที่ไปได้ ถ้าเกิดไปไม่ได้ขึ้นมาก็เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะไปไม่ได้ เคยเป็นอย่างนี้ไหม เพราะฉะนั้นก็เห็นได้จริงๆ ว่าถ้าเข้าใจสภาพธรรมขึ้นว่าเป็นธรรมอย่างที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงแสดง ความทุกข์ของเราก็จะน้อยลง เพราะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเกิดแล้วก็หมดไป นี่คือคำย่อๆ ของความหมายของคำว่าธรรมคืออะไร และทำไมต้องรู้เรื่องธรรม

    ผู้ฟัง มีผู้ถามว่า เวลานั่งสมาธิ เมื่อจิตนิ่ง หัวเข่าทั้งสองข้างสั่นมาก ห้ามให้หยุดไม่ได้ จะแก้ไขอย่างไร

    ท่านอาจารย์ สมาธิคืออะไร คือทุกอย่างที่เราจะทำ ถ้าเราไม่มีความเข้าใจจริงๆ เราก็จะทำไม่ถูกแน่นอน เพราะฉะนั้นก่อนที่จะทำอะไรทั้งหมด ถ้ามีความเข้าใจของตัวเองในสิ่งนั้น เราก็สามารถที่จะปฏิบัติได้ถูกต้อง สมาธิคือ ขณะที่จิตตั้งมั่นคงในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งตามพระธรรมมีสมาธิ ๒ อย่างคือ มิจฉาสมาธิ กับสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ชื่อว่าสมาธิแล้วก็เป็นสิ่งที่ควรทำ บางคนก็คิดว่าวันหนึ่งๆ ไม่ค่อยจะสงบ วุ่นวาย อยากจะให้จิตสงบ ก็คงไปนั่งเฉยๆ ไม่คิดอะไร หรือแล้วแต่ว่าจะไปคิดอะไรอย่างเดียว ไม่คิดหลายๆ อย่าง ก็เข้าใจว่าขณะนั้นเป็นสมาธิ

    แต่ความจริงสมาธิไม่ได้มีอยู่แต่เฉพาะในประเทศไทย ทั่วโลกมีสมาธิ แล้วแต่ว่าจะปฏิบัติสมาธิแบบไหน เพราะเหตุว่าสมาธิคือ ลักษณะของสภาพธรรมที่ตั้งมั่นคงในอารมณ์หนึ่ง ซึ่งถ้าศึกษาต่อไปจะทราบว่าขณะนี้ก็มีสมาธิ ทุกครั้งที่จิตเกิดต้องมีสภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเป็นลักษณะของสมาธิ เมื่อมีการตั้งมั่นคงที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด จะเป็นอารมณ์ที่ทำให้เกิดกุศลและอกุศลก็แล้วแต่ แต่ขณะนั้นลักษณะของสมาธิปรากฏ เพราะฉะนั้นสมาธิจึงมีทั้งมิจฉาสมาธิ และสัมมาสมาธิ

    ถ้ายังไม่เข้าใจเรื่องของสมาธิจริงๆ ว่ามิจฉาสมาธิเป็นอย่างไร สัมมาสมาธิเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีความเข้าใจขณะใด ขณะนั้นต้องเป็นมิจฉาสมาธิ เพราะว่าถ้าเป็นสัมมาสมาธิที่ถูกต้อง ต้องเกิดพร้อมกับปัญญา ต้องมีความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในหนทางที่จะทำให้จิตสงบได้

    มีคำถามเรื่องของฌานกับญาณ ซึ่งก็ต้องรู้ความต่างกัน เพราะเหตุว่าฌานไม่ใช่อย่างที่เราคิดง่ายๆ เมื่อนั่งหลับตาสักครู่หนึ่งก็เป็นฌานแล้ว ใช่ไหมที่คิด แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    ฌานเป็นกุศลจิตที่ดีงาม ไม่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ และผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญาถึงระดับของณานได้ ต้องเป็นการอบรมเจริญกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าไม่ใช่กุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา เพียงแต่การนั่งขัดสมาธิ และสักครู่หนึ่งก็บอกว่าถึงฌาน หรือได้ฌาน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องรู้จริงๆ ว่าขณะนี้จิตสงบ หรือไม่สงบ โดยขณะจิต เพราะขณะที่เห็นเป็นจิตชนิดหนึ่ง แต่ขณะที่โกรธเป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง เห็นกับโกรธจะเป็นจิตชนิดเดียวกันไม่ได้เลย ฉันใด ขณะที่เห็นแล้วไม่สงบ หรือว่าคิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยความต้องการ จะนั่งนิ่งๆ อยู่กลางป่า ชายทะเลหรือที่ไหน ในห้องมืดๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่ความสงบที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่มีการที่จะถึงฌานจิตเลย เพราะว่าฌาณจิตต้องเป็นผู้ที่เกิดพร้อมด้วยปัญญาเจตสิก

    การเกิดของเราที่เป็นมนุษย์ เกิดพร้อมกับปัญญาก็ได้ ไม่เกิดพร้อมกับปัญญาก็ได้ แล้วแต่ว่าเป็นผลของกรรมใด ถ้าเป็นผลของกรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นผลของกุศลขั้นทานขั้นศีล จะให้ทานมากมายมหาศาลสักเท่าไหร่ จะรักษาศีลสักเท่าไหร่ก็ตาม ขณะนั้นไม่ได้ประกอบด้วยปัญญาเลยก็ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลของกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ทำให้ปฏิสนธิจิตคือ จิตขณะแรกซึ่งเป็นผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วเกิดขึ้น ใช้คำว่าปฏิสนธิจิตเพราะทำปฏิสนธิกิจ คือสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนดับ จะเป็นปัจจัยทำให้จิตขณะแรกของชาติต่อไปเกิดขึ้น โดยกรรมเดียว ซึ่งเรามีกรรมมากมาย แต่กรรมหนึ่งจะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติ ซึ่งแสดงว่าทันทีที่ตายก็เกิด ไม่มีระหว่างคั่นเลย จิตเกิดดับสืบต่อกันในขณะนี้ไม่มีอะไรคั่นได้ เพราะว่าลักษณะของจิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยชนิดหนึ่ง ชื่อว่า อนันตรปัจจัย หมายความว่าทันทีที่จิตขณะนี้ดับ จะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย ไม่ว่าจะเป็นจิตของใครที่ไหน ภพภูมิใด บนสวรรค์ หรือว่าในรูปพรหม หรือว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าในอบายก็ตาม

    เมื่อศึกษาธรรมก็เป็นธรรม แต่เนื่องจากธรรมมีมากมาย ก็เลยเรียกชื่อของธรรมโดยประเภทของบุคคล ซึ่งแต่ละคนในขณะนี้ก็เห็น แต่เราต้องมีชื่อให้รู้ใช่ไหม ไม่อย่างนั้นเราก็เรียกไม่ถูก เห็นไหน ได้ยินไหน ซึ่งก็เกิดแล้วก็ดับไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีชื่อสำหรับเรียกบุคคลต่างๆ เราอาจจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นช้าง เป็นแมว แต่จิตเป็นจิต

    เพราะฉะนั้นจิตเป็นสากล ไม่เป็นของใครเลย ไม่ว่าจะภพไหนภูมิไหน จิตเห็นก็คือเห็น ต้องทำหน้าที่เห็น จิตได้ยินก็คือต้องได้ยิน จะทำหน้าที่อื่นไม่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเป็นผู้ที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องใดๆ เลยทั้งสิ้นแล้วจะทำฌาน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่รู้ว่ากุศลคืออะไร เกิดขึ้นเมื่อไหร่ สงบอย่างไร ต้องประกอบด้วยสัมปชัญญะคือ ความรู้ที่ถูกต้องอย่างไร ก็ผ่านไปได้เลย คือใครก็ตามซึ่งยังไม่ได้ศึกษาโดยลำดับโดยละเอียด และจะหยิบยกข้อความแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังมา และพยายามที่จะทำ ก็จะต้องผิด เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้จริงๆ ว่าขณะนั้นคืออะไร นี่คือเรื่องความสงบของจิต

    สำหรับเรื่องของฌาน เป็นกุศลอีกระดับหนึ่ง ซึ่งสูงกว่าระดับของทาน ระดับของศีล และผู้ที่จะกระทำฌานได้ต้องเป็นผู้ที่เกิดด้วยผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา จึงสามารถที่จะถึงฌานจิตได้ เช่นเดียวกับญาณทั้งหลาย เป็นวิปัสสนา เป็นการเห็นแจ้งความจริงของสภาพธรรม จากการฟังพระธรรมมีความเข้าใจ มีการอบรม จนกระทั่งรู้หนทางที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ยินได้ฟัง

    ผู้ที่จะบรรลุญาณแต่ละขั้น ความเห็นแจ้งความจริงของสภาพธรรม ต้องเป็นผู้ที่เกิดพร้อมด้วยปัญญาซึ่งเป็นผลของกุศล ซึ่งกระทำด้วยปัญญา มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ก็เป็นเรื่องความละเอียดซึ่งก็จะเห็นความจริงตั้งแต่ต้น การที่เรามีกรรมต่างกัน การกระทำต่างๆ ก็จะเป็นเหตุให้ได้ผลต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลระดับที่จะทำให้ถึงฌานจิต หรือญาณต่างๆ จะขาดปัญญาไม่ได้เลย ก็เป็นเรื่องของฌานกับญาณ ถ้ามีความเข้าใจแล้วก็จะค่อยๆ อบรมกุศล แต่ก็ต้องรู้ว่ากุศลที่จะเป็นฌานจิตกับญาณไม่ใช่เพียงขั้นระดับของทานและศีลเท่านั้น

    มีคำถามจากท่านผู้ฟังที่ถามว่า ฆราวาสอย่างดิฉันไม่อยากมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จะปฏิบัติธรรมอย่างไร

    ถ้าไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก มีบุคคลเดียวคือพระอรหันต์ จากความเป็นปุถุชน ซึ่งยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ยังไม่ดับกิเลสอะไรเลยสักอย่างแล้วจะไม่เกิดอีก เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าการที่เราเกิดมา ใครก็ตามที่เกิดมา ให้ทราบว่าเพราะยังมีกิเลสจึงเกิด ถ้าดับกิเลสหมดไม่มีเชื้อที่จะทำให้เกิดอีกได้เลย เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสหมด ไม่เกิดอีก เช่นเดียวกับสาวกของพระองค์ ซึ่งเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็มีการอบรมเจริญปัญญา สามารถที่จะดับกิเลสได้หมดเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ก็ไม่ต้องเกิดอีกเมื่อนั้น

    ท่านที่ปรารถนาจะไม่เกิดก็จะต้องศึกษาพระธรรม เข้าใจพระธรรม อบรมจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ก็ไม่ต้องเกิดอีกเลย ท่านกล่าวว่าท่านไม่อยากจะเกิดอีก เพราะเห็นว่าการเกิดมาน่าเบื่อหน่าย เช่น ต้องทำภารกิจอะไรซ้ำๆ กันทุกวัน ภารกิจที่ซ้ำ ความจริงไม่ใช่ท่านทำ แต่ธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นทำกิจการงานของธรรมนั้นๆ เป็นธรรมทั้งหมดเลย และธรรมทุกอย่างเกิดแล้วต้องมีกิจการงาน ต้องทำ เมื่อทำกิจนั้นเสร็จก็จะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้เลย ทำกิจเสร็จแล้วก็ดับไป ดับไป

    เพราะฉะนั้นการที่ท่านว่า ท่านต้องทำภารกิจต่างๆ ซ้ำกันทุกวัน ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมก็จะมีปัญญาถึงกับเห็นว่า จิตที่ทำซ้ำกันทุกวันก็คือต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึก นี่คือหน้าที่ของจิต เจตสิก ไม่ใช่ตัวใครเลย จิต เจตสิก เกิดแล้วก็ดับ อย่างโทสะเกิดขึ้น ไม่ได้ตั้งอยู่นานเลย เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ถ้าโลภะเกิดขึ้น โลภะก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วโทสะจึงจะเกิดได้ เพราะว่า ๒ อย่างนี้จะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจ โลภะเกิด ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ โทสะเกิด ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจแล้วเป็นโทสะได้ไหม ลองคิด

    ธรรมเป็นเรื่องจริงคิดได้ และคำตอบถูกหมด ไม่ผิด เพราะเหตุว่าบางคนเห็นสิ่งที่น่าพอใจก็ไม่ชอบก็ได้ เพราะสะสมมาที่จะไม่ชอบในสิ่งนั้น เคยมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ของบางอย่างบางคนก็บอกว่าอร่อย แต่เราชิมเเล้วอาจจะบอกว่าไม่อร่อย ก็เป็นเรื่องของการสะสมของแต่ละคน แสดงให้เห็นถึงการเกิดดับสืบต่อของจิต เราจะย้อนกลับไปตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ เห็นไม่ทราบว่ากี่ขณะ แล้วก็เห็นอะไรบ้าง เห็นอย่างหนึ่งก็ขณะหนึ่ง เห็นอีกอย่างหนึ่งก็ขณะหนึ่ง เห็นข้างนอกก็อย่างหนึ่ง จิตขณะหนึ่ง เห็นข้างในก็อีกขณะหนึ่ง แม้ขณะนี้เองจิตเห็นก็เกิดดับสืบต่อ สลับกับจิตได้ยิน เป็นการสืบต่อของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก ซึ่งเกิดดับรวดเร็วที่สุด ไม่มีใครสามารถที่จะประมาณได้ว่ารวดเร็วสักแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่าจิตเป็นนายมายากล นักเล่นกล ทำสิ่งที่อัศจรรย์ต่างๆ ใช่ไหม เอานกออกมาจากหมวก เอามาได้อย่างไร มองไม่เห็นเลย แต่ก็ออกมาได้ ยังไม่เท่าความเร็วของจิต แสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในโลกนี้ด้วยความไม่รู้ สิ่งที่มีกับเรา เกิดขึ้นแล้วยึดถือว่าเป็นเรา ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมก็เริ่มที่จะเห็นความเป็นอนัตตา ความไม่เที่ยงของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    การเป็นเราแล้วเบื่อ กับการที่จะเห็นว่าเป็นธรรมด้วยปัญญา แล้วคลายความติดข้องในความเป็นเรา เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา นี่คือรู้ถูก เห็นถูก ก็จะต่างกับขณะที่เบื่อเพราะเป็นเรา จึงเบื่อที่จะต้องทำภารกิจซ้ำๆ กันทุกทาง

    ข้อต่อไปท่านก็บอกว่า เพราะว่าการทำงานก็มีการแข่งชิงดีชิงเด่นกัน ได้พบได้เห็นแล้วรู้สึกเบื่อมาก และคิดว่าถ้ากลับมาเกิดอีกก็ต้องเป็นเช่นนี้อีก ซ้ำไปซ้ำมา แค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องราวที่คิด ก็คิดแต่ในเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะรักจะชัง จะสุขทุกข์ ก็อยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เอง

    เพราะฉะนั้นถ้ายังคงมีกิเลสอย่างนี้อยู่ เหมือนกับชาติก่อนๆ ที่ผ่านมา เหมือนชาตินี้ และชาตินี้ก็จะผ่านไปถึงชาติหน้า ก็จะซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้เอง จะพ้นไปไม่ได้เลย จนกว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าอวิชชาไม่สามารถจะทำให้เราพ้นจากสังสารวัฎฏ์ได้ การที่จะพ้นจากสังสารวัฎฏ์ได้ก็ต้องเพราะปัญญาเท่านั้น

    ผู้ฟัง วิธีการระงับความโกรธที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน

    ท่านอาจารย์ ทุกคนก็คงจะไม่ชอบความโกรธเลยใช่ไหม เวลาความโกรธเกิดขึ้นก็หาวิธี แต่ว่าวิธีใดๆ เขาจะเขียนเป็นตำหรับตำรามากมายใช่ไหม นักปราชญ์ยุคไหนก็ตามแต่ก็มีวิธีระงับความโกรธ แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ว่าความโกรธเกิดจากอะไร จะระงับความโกรธหรือว่า จะดับความโกรธนั้นได้ไหม ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่าโดยมากเมื่อโกรธก็เพียงอยากไม่โกรธเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่ได้มีความรู้จริงๆ ว่าโกรธขึ้นมาได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นวิธีที่จะระงับก็คือต้องรู้จักความโกรธ และรู้เหตุของความโกรธด้วย เหตุของความโกรธก็คือความไม่รู้ สภาพธรรมที่เป็นเหตุใหญ่ที่เป็นอกุศล มี ๓ คือโลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง โลภะก็เป็นความติดข้องต้องการซึ่งละเอียดมาก และเราก็ไม่รู้ตัวว่าแท้ที่จริงที่เรามีชีวิตอยู่ทุกวัน เราอยู่ได้เพราะเรามีความต้องการ เราต้องการทุกอย่างโดยที่เราไม่รู้เลย ถ้ากลับไปบ้าน ลองดู ทุกอย่างในบ้านเป็นสิ่งที่เราต้องการมีไว้ในบ้านหรือเปล่า ถ้าเมื่อไหร่ไม่ต้องการก็ทิ้งออกนอกบ้านไปใช่ไหม แต่ทุกอย่างที่มีคือสิ่งที่เราต้องการ และทุกอย่างที่เราต้องการ หาอีก มีอีก มีแล้ววันนี้ก็ยังหาอีกเพิ่มอีก ก็คือความต้องการไม่มีวันจบ ซึ่งแสดงไว้ว่ายิ่งกว่ามหาสมุทร คือถมเท่าไหร่ไม่เต็ม ไม่ว่าจะให้สักเท่าไหร่ก็ไม่พอ แม้พระราชาซึ่งครอบครองอาณาจักรแล้ว ให้ภูเขาทองอีก ๒ ลูกก็ยังรับ คือกี่โลก กี่โลก ก็ปรารถนาทั้งหมด นี่คือโลภะ

    สำหรับโทสะก็คือ เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าไม่สบายใจ แต่ถ้าเราคิดว่าถ้าเราไม่มีความต้องการ ความทุกข์ของเราจะน้อยลงไหม ถ้าอาหารไม่อร่อยเราก็รับประทานได้ ไม่ใช่ต้องติดว่าอาหารต้องอร่อยทุกมื้อทุกจาน เราก็จะไม่เป็นทุกข์ใช่ไหม อย่างนี้ก็ได้อย่างนั้นก็ได้ ความทุกข์ของเราก็น้อยลงไป ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    แต่เหตุใหญ่ที่สุดก็คือโมหะ การไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดี ฝ่ายไม่ดี กุศลก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง อกุศลก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง แต่ว่าเมื่อไม่มีความรู้ว่าเป็นธรรม มีการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา

    ตราบใดที่ยังมีเราไม่พ้นทุกข์ และข้อสำคัญที่สุด ก็เห็นแต่มีคนถามว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เห็นถามว่าทำอย่างไรถึงจะไม่โลภ ทำอย่างไรที่จะไม่ติดข้อง ทำอย่างไรที่จะไม่ต้องการ ซึ่งความติดข้องต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสที่กระทบทางกาย เป็นเหตุของโทสะ ถ้าหมดเหตุคือ ไม่มีความยินดีติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เหมือนอย่างที่เป็น โทสะจะไม่เกิดเลย ก็ไม่มีใครถามจริงๆ ไม่เคยเห็นใครถามเลยว่าเมื่อไหร่จะหมดโลภะ แต่ว่าถามอยู่อย่างเดียวคือว่า เมื่อไหร่จะหมดโทสะ

    เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจถูก ควรจะเห็นอกุศลธรรมฝ่ายไม่ดีทั้งหมดว่าเป็นธรรมฝ่ายไม่ดี ซึ่งต้องละ แล้วก็ละได้ตามลำดับ ซึ่งลำดับแรกที่ละไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โลภะ แต่เป็นความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ดังนั้นการที่จะมีปัญญาแล้วก็ค่อยๆ ละกิเลสได้จริงๆ ก็จะต้องรู้ก่อนว่า ไม่มีใครสามารถที่จะละโลภะโทสะได้ โมหะก็ละไม่ได้ แต่ต้องละความเห็นผิดซึ่งเข้าใจว่าสภาพธรรมเป็นเราเสียก่อน ก็เท่ากับว่าละโลภะส่วนหนึ่งที่ยึดถือความเป็นเรา และก็ละความไม่รู้ส่วนหนึ่งด้วย

    ขอทบทวนความหมายของคำว่าอารมณ์ เพราะบางคนก็อาจจะเข้าใจว่า วันนี้คนนั้นอารมณ์ไม่ดีเลย หรือว่าตัวของท่านเองบางทีอาจจะเข้าใจวันนี้ท่านอารมณ์ดี แต่ว่าความหมายของคำว่าอารมณ์มาจากคำภาษาบาลีว่า อารัมมณะ หรืออาลัมพนะ หมายความว่าเป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพรู้ เมื่อจิตเป็นสภาพรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ด้วย ในขณะนี้กำลังมีสิ่งที่จิตเห็น ขณะที่เห็นเป็นนามธรรม เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นจิตที่สามารถเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่เห็นอะไรเลยเป็นรูป

    เวลาที่ได้ยินเพียงชื่อ รูปกับนาม เราก็อาจจะคิดว่าเราพอจะเข้าใจความหมายได้ แต่แท้ที่จริงแล้วลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นรูป เราจะยอมรับว่าเป็นรูปไหม เช่น ในขณะนี้มีเห็น แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และสิ่งที่ปรากฏมีจริงๆ ทุกคนก็ยอมรับ แต่ที่จะให้เข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสีสันวัณณะ เป็นความสว่าง เป็นรูปพรรณต่างๆ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นแต่เพียงสภาพของธรรมชนิดหนึ่งซึ่งไม่รู้อะไรเลย แต่มีจริงๆ เกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็กำลังมีจิตที่เห็นสิ่งนี้ด้วย

    เพราะฉะนั้นลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏทางตาก็คือ เป็นรูปพรรณสัณฐาน เป็นแสงสว่าง เป็นอะไรก็แล้วแต่ที่เราจะคิดนึก แต่สิ่งนี้แม้ไม่เรียกชื่ออะไรเลยก็เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และสภาพเห็นก็มี นี่คือการที่จะเข้าใจความหมายของธรรม ซึ่งเราใช้คำ ๒ คำว่า สภาพใดเป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมองเห็น หรือมองไม่เห็นก็ตาม สภาพนั้นทั้งหมดเป็นรูปธรรม เป็นธรรม ฝ่ายรูป

    ส่วนสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย เป็นนามธาตุ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนี้จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เจตสิกก็เกิดกับจิต ไม่เกิดกับรูปเลย เจตสิกต้องเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ชนิด โลภะเป็นเจตสิก สมาธิเป็นเจตสิก ปัญญาเป็นเจตสิก สติเป็นเจตสิก วิริยะความเพียรเป็นเจตสิก ทุกอย่างที่เราเรียกชื่อต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เป็นนามธรรมที่เป็นเจตสิก

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่ต่างกันคือ นามธรรมกับรูปธรรม แต่คำว่าอารมณ์หมายความถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จิตกำลังรู้ เสียงในป่า ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงนั้นเลย เสียงนั้นเป็นเสียง ภาษาบาลีใช้คำว่าสัททะ แต่ถ้าขณะใดจิตได้ยินเสียงหนึ่งเสียงใด เสียงที่จิตกำลังได้ยิน เราจะเรียกว่าสัททารมณ์คือ เสียงเป็นสัททะ แล้วก็เป็นอารมณ์ของจิตด้วยจึงเป็นสัททารมณ์ เพราะฉะนั้นความหมายก็ต่างกันเล็กน้อยคือ รูปมีจริงๆ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เกิดเพราะกรรมก็ได้ เกิดเพราะจิตก็ได้ เกิดเพราะอุตุความเย็นความร้อนก็ได้ เกิดเพราะอาหารที่รับประทานเข้าไปก็ได้ รูปทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้ และรูปก็เกิดดับเร็วมากด้วย แต่ว่ายังช้ากว่าจิต เพราะว่ารูปหนึ่งรูปที่เกิดจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 192
    14 ก.ค. 2568