ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1505
ตอนที่ ๑๕๐๕
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณสุปราณี
วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ต้องเป็นไปตามการสะสม ตั้งแต่เช้ามาทำอะไรบ้าง หลายอย่างเลยใช่ไหม จิตทำ ไม่ใช่เรา เพราะว่ารูปไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย รูปไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น รูปสวย ผิวพรรณดี รูปรู้ไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ รูปไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น จิตเท่านั้นเห็น ชอบ ไม่ชอบ ปรุงแต่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เราตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าฟังธรรมก็คือฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่ความจริงก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจว่าธรรมที่มีจริงต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพหนึ่งไม่รู้อะไรเลย และอีกสภาพหนึ่งก็เป็นสภาพรู้ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย แต่สามารถจะเห็น ได้ยิน คิดนึกต่างๆ ทั้งวันก็เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้ วันต่อไปก็เป็นอย่างนี้ แต่จากโลกนี้ไปโดยไม่เหลืออะไร หรือว่าไม่สามารถที่จะเอาอะไรไปได้เลยสักอย่าง นอกจากการสะสมสืบต่อจากขณะหนึ่งที่เกิด สืบต่อไปอีกขณะหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ที่เราเกิดมามีนิสัยต่างกันเพราะว่าเราสะสมมาต่างกัน โลภะมาก โลภะน้อย โทสะมากโทสะน้อย เมตตามาก เมตตาน้อย ก็คือขณะที่หลังจากเห็นแล้วเป็นกุศล และอกุศล ก็สะสมสืบต่อ มีใครชอบให้ทานบ้าง มีใครรักษาศีล ศีลคือความประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่ไม่ประทุษร้ายเบียดเบียนคนอื่น ทานคือ การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่คนอื่น แม้เล็กน้อย ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราจะทอดกฐิน หรือจะทำบุญใหญ่หรืออะไรเลย เพียงแค่สิ่งที่ให้ด้วยความเห็นใจ หรือว่าต้องการให้คนอื่นได้รับประโยชน์ขณะนั้นไม่ได้หวังสิ่งใดๆ เลย แล้วก็ต้องมีการสะสมมากพอที่จะให้ เพราะว่าแม้แต่การให้ก็ไม่ง่าย บางคนก็ขี้เกียจ แม้แต่จะให้ก็ยังขี้เกียจเลย เอาไว้ก่อน หรือวันหลัง หรืออะไรอย่างนี้
แต่บางคนสะสมมาทนไม่ได้เลยที่จะไม่ให้ แม้เล็กๆ น้อยๆ ก็ขยันที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น นี่ก็คือการสะสมมา เพราะฉะนั้นเราเห็นอุปนิสัย แม้แต่พี่น้อง เพื่อนฝูง เราก็เห็นได้ว่านิสัยต่างกัน บางคนให้เก่งแต่กายวาจาไม่ดีเลย คือมีแต่กุศลเกิดกับทาน แต่ไม่มีกุศลอีกระดับหนึ่งคือศีล เพราะว่าศีล คือ เรื่องของกายกับวาจา ทุกคนมีใจ แต่ถ้าไม่มีรูปร่างกายก็ไม่มีทางแสดงออกเลยใช่ไหม มีแต่ใจอย่างเดียว แต่มีรูปด้วย มีทั้งนามธรรมและมีรูปธรรม
เพราะฉะนั้นไม่ได้มีแต่ใจ มีกายด้วย มีวาจาด้วย และทางออกของจิต ก็คือกายวาจา ถ้าทุกคนนั่งเฉยๆ รู้ไหมว่าเขาคิดอะไร เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลก็ไม่รู้ แต่ถ้าพูด รู้ไหม
ผู้ฟัง รู้
ท่านอาจารย์ บางคนพูดกับอีกคนหนึ่ง พูดประโยคเดียวกันไม่เหมือนกันเลย คนหนึ่งพูดด้วยความเมตตา มีน้ำเสียงที่มีน้ำใจในเสียง แต่อีกคนหนึ่งเหมือนสั่งเหมือนดุ ทั้งๆ ที่เป็นคำพูดธรรมดา เพราะฉะนั้นเป็นการสะสมขณะหนึ่งที่ทำ ต่อไปทำอีกๆ ๆ คนนั้นก็บังคับไม่ได้เลย จะต้องเป็นอย่างนั้นนานกว่าจะแก้ไขได้
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็น ว่ากุศลมีหลายระดับ กุศลขั้นทาน บางคนง่ายมาก แต่บางคนก็ยาก ถ้าคนที่ง่ายเพราะว่าเขาให้บ่อยๆ เป็นอุปนิสัยที่มีกำลัง สะสมจนมีกำลังเป็นทานุปนิสัย เวลาที่เราไปโรงเรียน และครูก็บอกว่าอุปนิสัยอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพราะเห็นว่าอาศัยการที่เคยทำบ่อยๆ สะสมมา เป็นสิ่งที่ทำให้มีกำลังที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอีกได้ ถ้าใครสะสมมาน้อยก็ไม่มีกำลังที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดอีกได้ ขั้นทานเป็นเรื่องการให้ก็มีหลายอย่าง ให้วัตถุก็ได้ หรือว่าให้ธรรมก็ได้เหมือนกัน
สำหรับศีลเป็นเรื่องของกุศลระดับขั้นแสดงออกของกายวาจา เพราะว่าถ้าไม่มีกาย ไม่มีใครรู้ว่าใจใครเป็นอย่างไร แต่เมื่อมีกายแสดงออก มีวาจาแสดงออก เรารู้ตัวเราใช่ไหม ว่าขณะที่พูดจิตของเราเมตตาหรือเปล่า ความเมตตาไม่ใช่ไปนั่งท่อง แต่หมายความว่ามีความเป็นเพื่อน คำว่าเพื่อนมีความหมายมาก ไม่ใช่เพียงรู้จักกัน รู้จักกันก็ยังไม่ใช่เพื่อน ใช่ไหม แต่ว่าเวลาที่เป็นเพื่อนคือ พร้อมที่จะช่วย มีความหวังดี เกื้อกูล แล้วก็ไม่มีการแข่งดี ไม่มีอะไรทั้งหมดที่ศัตรูทำต่อกัน นั่นจึงจะเป็นเพื่อน เพราะฉะนั้นถ้าใครเป็นเพื่อนของใคร คนนั้นก็มีบุญที่ได้ทำมาแล้ว หมายความว่ามีมิตรแท้ มีคนที่หวังดีจริงๆ ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังเขาก็ไม่ทำร้ายด้วยกาย ด้วยวาจา
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีความเป็นมิตรกับคนอื่น การพูดกับคนอื่นเราก็จะพูดโดยที่เราเองก็รู้สึกว่าเราคิดถึงผู้ฟัง แล้วก็ถ้ากลับกัน ถ้าเราเป็นคนฟัง ได้ฟังสิ่งที่เราพูดไม่ดี เราจะรู้สึกอย่างไรใช่ไหม เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นเรื่องสอนให้เรารู้จักว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ทั้งกายทั้งวาจา เป็นธรรมทั้งหมดตามเหตุตามปัจจัย นี้คือทรงแสดงธรรมทุกระดับขั้นสำหรับทุกคน ก็มีตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นปัญญาที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมสามารถที่จะดับกิเลสได้
การเกิดมาเพื่อที่จะฟังธรรมก็ดีซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การฟังธรรมไม่เหมือนกับฟังอย่างอื่น ฟังอย่างอื่นเราไม่ต้องคิด เราไม่ต้องไตร่ตรองเลย เพียงฟัง แต่ธรรมฟังแล้วต้องคิด ต้องเข้าใจ ข้อสำคัญที่สุดคือว่าปัญญาของผู้ฟังเองจะเกิด แล้วก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าฟังแล้วเชื่อ หรือฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ หรือฟังแล้วเพียงฟังเพื่อที่จะเป็นกุศลโดยที่ไม่เกิดความรู้ความเข้าใจ นั่นไม่ถูกไม่ตรงกับจุดประสงค์ของการฟัง ถ้าฟังก็คือไม่ว่าเราจะศึกษาเรื่องอะไรทั้งนั้น ฟังเพื่อเข้าใจทุกเรื่อง ยิ่งเป็นธรรม ฟังไม่ใช่เพื่อกุศล แต่เพื่อเข้าใจ ขณะที่เข้าใจเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาซึ่งสำคัญมากเลย เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องของเราเองที่ได้จากการฟังพระธรรม
ผู้ฟัง ที่บ้านตอนนี้มีแม่สามีอายุถึง ๙๐ กว่าแล้ว แต่ทำไมต้องโยนภาระไว้กับเราคนเดียว ได้มาฟังท่านอาจารย์พูดเรื่องทำกุศลกับคนแก่อะไรต่ออะไร ก็เหมือนกับเติมพลังให้เราเต็มใจที่จะทำ
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจเรื่องกุศลแล้ว ความเข้าใจนั้นเองจะเป็นเหตุให้กุศลเจริญขึ้น เราไม่ทำอะไรเลยเพราะความเป็นตัวตนทำไม่ได้ แต่ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา เมื่อมีความเห็นถูก กุศลอื่นจะเจริญขึ้น ภาษาบาลีจะใช้คำว่า สุตตมยญาณ ญาณ (ยา-นะ) แปลว่าปัญญา สุตตะแปลว่าฟัง ปัญญาสำเร็จจากการฟัง คือฟัง ผลของการฟังให้สำเร็จคือเกิดปัญญาขึ้น เมื่อเกิดปัญญาแล้วกายก็ต้องดี วาจาก็ต้องดี แม้ว่าจะไม่ใช่ดีสมบูรณ์แบบพระอรหันต์ แต่ก็เริ่ม ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ขณะนั้น ไม่ใช่เราที่จะคิดว่าเป็นวิบาก ขณะนั้นก็เป็นความเห็นถูก และเวลาที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาถึงเรา กุศลจิตเกิดก็จะออกมาทางกายทางวาจา วาจาก็เป็นอีกอย่างหนึ่งไม่เหมือนวาจาของอกุศล กายก็เป็นอีกอย่างหนึ่งไม่เหมือนของอกุศล แล้วเราจะมีความรู้สึกปีติด้วยที่สามารถจะเกิดกุศลนั้นๆ ได้ ซึ่งถ้าไม่มีการฟังธรรม ไม่มีการเข้าใจ จิตของเราจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าเราสะสมอกุศลมามาก
สิ่งที่ทุกคนรักที่สุดคือตัวเอง รักสุดซึ้งอย่างไรๆ ถ้าอบรมเจริญปัญญาแล้วจะเห็นว่า ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากรูปที่ตัวก็ยังติดว่าเป็นของเรา การที่จะเอาความเป็นเราออกได้ยากแสนยาก เราอาจจะพูดได้ว่า ไม่ใช่เรา นั่นคือพูด แต่ว่าการที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราจริงๆ ไม่ใช่เพียงพูด แต่ต้องสามารถที่จะรู้ความจริงของลักษณะซึ่งเป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรมว่า ลักษณะนั้นจะเป็นเราได้อย่างไร เพียงแค่แข็ง จับตรงไหนก็แข็ง ตลอดศีรษะจรดเท้าตรงไหนเป็นเรา ก็ไม่มีเลยใช่ไหม
เพราะฉะนั้นปัญญาจะนำมาซึ่งทุกอย่าง เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นถูก นำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ถูก ทั้งทาน ศีล ภาวนา เป็นหน้าที่ของปัญญา ดังนั้นคนที่ได้แต่หวัง เมื่อไหร่เราจะเป็นคนที่ดีพร้อม แต่ไม่ฟังธรรม ไม่มีปัญญาเลย แล้วจะไปดีพร้อมได้อย่างไรใช่ไหม แต่ว่าขณะที่เราฟังเราค่อยๆ รู้จักตัวเรา เวลาที่จิตเป็นอกุศลก็ยังรู้ว่าเป็นอกุศลชนิดไหน และเวลาที่เกิดจิตเป็นกุศลขึ้นเปลี่ยนจากอกุศล เราก็รู้ว่านี่คือสภาพธรรมซึ่งมีเหตุปัจจัย ซึ่งไม่ใช่เราทั้งหมด ข้อสำคัญที่สุด เราต้องไม่ลืมคำว่าอนัตตา ต้องมีความมั่นคงมั่นใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้ มีเหตุมีปัจจัยก็เกิดขึ้น มีจิต มีเจตสิก มีรูปเท่านั้นเอง และก็ไปหลงเรียกยึดถือจิต เจตสิก รูปนั้นว่าเป็นเรา ทั้งนามธรรม และรูปธรรม แต่ความจริงไม่ใช่ของเรา เราก็จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความเบาสบายขึ้น
สนทนาธรรม ที่ บริษัท ทสท คอร์ปอเรชั่นจำกัด
วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ สำหรับการสนทนาธรรมก็จะเป็นประโยชน์มาก ถ้าท่านผู้ฟังที่ได้ฟังวิทยุ และมีความสงสัยปัญหาใดๆ ขอเชิญถามได้ทุกอย่างเท่าที่จะตอบกันได้
มีผู้ถามว่าขอทราบความหมายของกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมว่าหมายความว่าอย่างไร
ถ้าผู้ที่สนใจในเรื่องสติปัฏฐาน อาจจะคุ้นเคยกับคำว่ากาย เวทนา จิต ธรรม กายก็คือสิ่งที่เราเคยยึดถือว่า เป็นกายของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทุกคนมีกายในขณะนี้ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เราไม่เคยรู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเรา ความจริงเป็นอะไร แต่ถ้าทราบว่าถ้าเรากระทบสัมผัสตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจะมีลักษณะปรากฏ ลักษณะนั้นเป็นสภาพที่เราไม่เคยคิดเลยว่า กายของเราก็เพียงเท่านี้ คือมีลักษณะที่แข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ปรากฏกระทบได้ทางกาย ธรรมเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ และควรพิสูจน์ ไม่ใช่ว่าเพียงฟังแล้วก็เชื่อทันที แต่ในขณะนี้เองเราอาจจะคิดว่าเรามีตา มีผม มีแขน มีอะไรทุกอย่าง แต่ตามความจริงสิ่งที่มีจริงๆ ทันทีที่กระทบก็คือ สิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เท่านั้นเอง ทั่วทั้งกายที่จะรู้ได้โดยการกระทบ
ทางตาเราเห็นเป็นสีสันวัณณะต่างๆ แต่ที่รู้ได้โดยการกระทบจะไม่พ้นจากเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว และสิ่งที่มีจริงที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ ก็คือมหาภูตรูป ๔ ได้แก่ ธาตุดิน เป็นลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง ธาตุไฟ เป็นลักษณะที่ร้อนหรือเย็น ธาตุลม เป็นลักษณะที่ตึงหรือไหว และธาตุน้ำ เป็นลักษณะที่เกาะกุมซึมซาบอยู่ในกลุ่มของรูปแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียด นี่คือสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่า ในตัวของเรานอกจากมหาภูตรูป ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งสามารถที่จะแยกกระจัดกระจายออกได้ เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดยิบ จริงไหม
ร่างกายซึ่งเป็นเรา แท้ที่จริงก็เหมือนกับกองฝุ่น และกองฝุ่นก็คือฝุ่นเล็กๆ ที่มาประชุมรวมกัน แล้วก็ยึดถือว่าเป็นกาย ก็คือส่วนของรูปที่กายที่จะปรากฏ เพราะว่าการที่สภาพธรรม สิ่งที่มีจริงในโลกนี้ทั้งหมดที่จะปรากฏได้ต้องมีทางปรากฏเพียง ๖ ทาง คือ ทางตาก็เป็นทางหนึ่งที่จะทำให้เห็นว่าโลกนี้เป็นอย่างไร สิ่งต่างๆ ที่กำลังปรากฏเหมือนเป็นโลก เป็นเรา เป็นบุคคลต่างๆ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็คือมองเห็นได้สำหรับผู้ที่มีจักขุปสาท คือมีตา สำหรับอีกทางหนึ่งก็คือหู ขณะนี้เสียงปรากฏ ถ้าไม่มีโสตปสาท คือรูปพิเศษที่สามารถจะกระทบเสียง เสียงจะปรากฏไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นอีกรูปหนึ่ง ก็คือเสียงปรากฏทางหู ทางจมูกก็มีกลิ่นปรากฏ ทางลิ้นก็มีรสปรากฏ ทางกายก็มีเย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหวปรากฏ ทางใจก็คิดนึก วันหนึ่งๆ จะไม่พ้นจากเห็น จากได้ยิน จากได้กลิ่น จากลิ้มรส จากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก เราอาจจะไม่ทราบว่าเราคิดนึกเรื่องอะไรบ้าง แต่ตลอดชีวิตของเรา เราจะคิดเรื่องสิ่งที่เราเห็น เรื่องเสียงที่เราได้ยิน สุขทุกข์ของเราทั้งหมดก็มาจากสิ่งที่มองเห็นทางตา ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจจิตของเราก็เป็นสุข ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเราก็เป็นทุกข์ ทางตาฉันใดทางอื่นก็ฉันนั้น ทางหูต้องได้ยินเสียง ถ้าเป็นเสียงที่น่าพอใจเราก็มีความสุข ถ้าเป็นเสียงที่ไม่น่าพอใจก็มีความทุกข์ ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน ทางจมูกก็มีกลิ่นต่างๆ มีกลิ่นหอมและกลิ่นที่ไม่หอมก็นำมาซึ่งสุขและทุกข์ได้
ดังนั้นสุขทุกข์ของเราทุกวันในชีวิตประจำวัน ก็ขึ้นอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็แสดงให้เห็นว่าทางที่จะมีสิ่งใดๆ ปรากฏ จะไม่พ้นจาก ๖ ทางนี้ เพราะฉะนั้นเห็นกายในกาย ก็คือว่าการที่จะเห็นจริงๆ ว่ากายเป็นกาย ก็เพราะอาศัยการกระทบสัมผัสแล้วสิ่งใดปรากฏ ขณะนั้นก็จะเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ที่เคยเป็นเรามาทั้งหมดตลอดชีวิต แท้ที่จริงก็คือเพียงลักษณะแข็งที่ปรากฏไม่ว่าจะกระทบส่วนหนึ่งส่วนใด
กายในกาย ทำไมต้องรู้ เพราะว่าเคยเห็นผิดเคยเข้าใจว่าเป็นเรา แต่ว่าผู้ที่ตรัสรู้ตามความเป็นจริงรู้ว่าเป็นอนัตตาทั้งหมด ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาต้องไม่เว้นอะไรเลย แม้แต่กายก็เป็นอนัตตา เพราะว่าเพียงปรากฏลักษณะที่แข็ง และถ้าประจักษ์ด้วยปัญญาที่สมบูรณ์ถึงขั้นที่จะรู้ความจริงยิ่งขึ้นคือ รู้ว่าแข็งนั้นเกิดแล้วดับ
เพราะฉะนั้นต้องเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สำหรับสภาพธรรมทั้งหมดที่มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป ธรรมต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา แม้แต่คำว่าสิ่งที่มีจริงเพราะเกิดขึ้นปรากฏ เช่น เสียง จริงเมื่อไหร่ จริงเมื่อเกิดปรากฏ และสิ่งที่เกิดปรากฏนั้นก็ดับด้วย ไม่มีสิ่งใดที่จะยั่งยืนได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องดับไป ก็สนทนาอย่างย่อๆ เท่าที่เวลามีจำกัด แต่ว่าการที่จะให้เข้าใจธรรมละเอียดต้องเริ่มตั้งแต่ว่าธรรมคืออะไร
มีคำถามของท่านผู้ฟังที่ถามมาว่าธรรมคืออะไร ทำไมต้องรู้เรื่องธรรม เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะว่าคงมีคนจำนวนน้อยที่สนใจธรรม ส่วนใหญ่แล้วจะไม่สนใจเลย สิ่งที่เขาสนใจในชีวิตคือสิ่งที่เขาปรารถนาต้องการ ความสุข ลาภยศ สรรเสริญ และก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้เรื่องธรรม แล้วก็ธรรมคืออะไร ที่ถามอย่างนี้ก็เพราะเหตุว่ายังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมคืออะไร เพราะเมื่อได้ยินคำว่าธรรม บางคนก็ต่อได้ธรรมโม ธรรม ธรรมโม ก็เลยไม่น่าสนใจ เป็นเรื่องคร่ำครึ หรือเป็นเรื่องเก่า แต่ธรรม ธรรมโม มาจากไหน มาจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อเราได้กราบไหว้บูชาพระองค์เป็นประจำ เราก็ควรที่จะได้ทราบว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษาเป็นประโยชน์สำหรับใคร เป็นประโยชน์สำหรับผู้ฟัง ถ้าผู้ไม่ฟังจะไม่รู้เลยว่า ใน ๔๕ พรรษาทรงแสดงอะไรไว้บ้าง แล้วก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งทุกระดับขั้น เพราะบางคนก็คิดว่าธรรมจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สูงอายุ แล้วก็คอยวันเวลาที่จะศึกษาธรรมเมื่อออกจากงานบ้าง ไม่ต้องทำอะไรบ้าง พ้นภาระเรื่องครอบครัวบ้าง
แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้วจะไม่รีรอ เพราะเหตุว่าเริ่มมีความเข้าใจถูกว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินคำนี้ก็ต้องคิด เพื่อที่จะได้เป็นความเข้าใจของตัวเองว่าได้เข้าใจคำนี้ถูกต้องไหมว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าทุกอย่างเป็นธรรม เห็นขณะนี้เป็นธรรมหรือเปล่า ต้องคิดแล้ว การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมที่ทรงแสดง เป็นหนึ่งไม่เป็นสอง คือไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนพระธรรมให้เป็นอย่างอื่นได้ เมื่อทรงแสดงพระธรรมจากการตรัสรู้ก็หมายความว่า รู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นธรรม จึงได้ทรงแสดงธรรม ธรรมในภาษาบาลีก็มาจากคำว่า ธาตุ หรือ ธา- ตุ
เวลาที่เราได้ยินคำว่าธาตุ เราเคยคิดว่าเป็นเราหรือเปล่า ธาตุไฟ ร้อน ธาตุไฟเป็นเราหรือเปล่า ธาตุต่างๆ ไม่ว่าเราจะเรียนจากวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น เราก็เรียนเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงก็คือว่าไม่เป็นของใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถที่จะยึดถือสภาพนั้นๆ ว่าเป็นเรา เช่น ได้ยิน มีจริงต่อเมื่อมีเสียงกระทบกับโสตปสาท รูปพิเศษในตัวซึ่งมองไม่เห็นเลย ทุกคนพูดคำว่าหู แต่ไม่รู้ว่าหูจริงๆ คืออย่างไร ทางแพทย์ก็อาจจะใช้คำอธิบายเรื่องของหู โสต ในวิชาการแพทย์ แต่ไม่ใช่จากการตรัสรู้ ไม่ว่าจะเห็นเมื่อไหร่ กี่ภพกี่ชาติ เมื่อวันก่อนหรือต่อไปข้างหน้า เวลาเห็นก็จะเห็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากเห็นแสง เห็นสีที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ปรากฏทางหู เพียงหลับตา ไม่มีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้จะไม่ปรากฏเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างจากการตรัสรู้จะแสดงสภาพความจริงของสิ่งนั้นโดยละเอียด เช่น โสตปสาท เป็นรูป ซึ่งไม่มีใครไปจับต้องหรือจะไปมองเห็น แต่ว่ารูปนี้จะอยู่กลางหู แล้วก็เป็นรูปที่สามารถกระทบเสียงเท่านั้น ถ้าคนที่ไม่มีโสตปสาทรูปนี้ เป็นคนที่หูหนวก เสียงจะไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นการได้ยินมีจริง เสียงก็มีจริง แต่จริงชั่วขณะที่เสียงเกิดขึ้น เพราะถ้าเสียงไม่เกิด เสียงจะกระทบโสตปสาทไม่ได้ เมื่อเสียงเกิดจะกระทบตาก็ไม่ได้ จะกระทบกายก็ไม่ได้ ต้องกระทบกับโสตปสาท เป็นปัจจัยให้จิตซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลย แต่เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ซึ่งมีหลายชื่อ เรียกว่าวิญญาณ มโน มนะ หทยะ ปัณฑระก็ได้ ทุกชื่อมีความหมาย แต่รวมแล้วก็คือว่า เป็นลักษณะของนามธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่รูปธาตุใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าเป็นธาตุที่สามารถจะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ทางตาสามารถเห็น ทางหูสามารถได้ยิน ทางจมูกสามารถได้กลิ่น ทางลิ้นสามารถลิ้มรส ทางกายสามารถรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจก็สามารถที่จะคิดนึก เป็นนามธาตุ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลย ก็เป็นธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมคือทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมด ความโกรธเป็นธรรม ความโลภเป็นธรรม ความสุขเป็นธรรม การเห็นเป็นธรรม ความคิดเป็นธรรม ไม่มีอะไรซึ่งไม่ใช่ธรรม เพราะเหตุว่าความหมายของธรรมคือสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่เป็นของใครเลย เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังสภาพธรรมที่เพียงเกิดขึ้นทำกิจการงาน และดับทันที เป็นทุกข์ไม่ยั่งยืน เป็นอนัตตาคือไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ทุกอย่างในโลก ในชีวิตของเราจะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งถ้าศึกษาพระธรรมโดยละเอียด ก็คือศึกษาตัวเราและทุกอย่างรอบตัว
ถ้ามีความเข้าใจตัวเรา คนอื่นจะเหมือนเราไหม เขาก็เห็น เขาก็ได้ยิน เขาก็เป็นสุข เขาก็เป็นทุกข์ เขาก็คิด เขาก็วิตกกังวล เขาก็ห่วงใย เขาก็ติดข้อง ก็เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นต่างคนก็ต่างยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และก็มีการค่อยๆ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมจนเห็นจริงว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เช่น ได้ยินเมื่อสักครู่ ชั่วขณะหมดแล้ว คิดเมื่อสักครู่นี้ก็หมด ทุกอย่างที่เกิดต้องดับ ไม่มีสักอย่างเดียวซึ่งไม่ดับ แต่ว่าถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมจะไม่เห็นการเกิดดับอย่างรวดเร็วของสภาพธรรมแต่ละอย่างในขณะนี้เลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1501
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1502
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1503
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1504
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1505
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1506
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1507
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1508
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1509
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1510
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1511
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1512
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1513
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1514
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1515
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1516
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1517
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1518
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1519
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1520
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1521
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1522
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1523
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1524
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1525
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1526
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1527
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1528
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1529
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1530
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1531
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1532
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1533
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1534
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1535
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1536
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1537
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1538
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1539
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1540
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1541
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1542
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1543
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1544
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1545
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1546
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1547
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1548
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1549
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1550
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1551
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1552
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1553
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1554
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1555
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1556
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1557
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1558
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1559
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1560
