ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1503
ตอนที่ ๑๕๐๓
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณสำราญ
วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ จิต เป็นสภาพที่มีลักษณะหนึ่งอย่างคือ รู้แจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ แต่เจตสิกจะเป็นความจำ จะเป็นความทุกข์ จะเป็นความสุข จะเป็นความเมตตากรุณา พวกนี้ แต่เวทนา คือความรู้สึก มีจริงๆ เป็นเจตสิกหนึ่ง หนึ่งเท่านั้นใน ๕๒ ซึ่งมีลักษณะต่างกันเป็น ๕ อย่าง คือ ดีใจโสมนัส เสียใจโทมนัส สุขทางกายทุกข์ทางกาย และความรู้สึกเฉยๆ ๕ อย่างนี้เป็นลักษณะของเวทนา เป็นสภาพธรรมที่เกิด และก็เป็นนามธรรม และก็ไม่ใช่เราด้วย คุณสำราญเป็นสัตว์โลกหรือเปล่า ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูปเกิดขึ้น จะมีคำว่าคุณสำราญไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ชื่อ แต่ต้องเป็นจิต เจตสิก รูป และก็สมมุติเรียกจิต เจตสิก รูปนั้นว่าคุณสำราญ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้หรือเป็นอะไรทั้งหมด ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นก็จะไม่มีคำเรียกสภาพธรรมนั้น เวลาที่ได้ยินคำหนึ่งคำใด เรียกสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็พอที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมอะไร สภาพธรรมจริงๆ อย่างเราเรียกว่าผม ทุกคนใช้คำว่าผม แล้วทุกคนก็เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร แต่ถ้าไม่มีรูปแข็ง รูปอ่อน รูปเย็น รูปร้อน รูปจริงๆ ที่เกิดขึ้น ผมจะมีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถึงแม้ไม่ใช้ชื่อว่าผม แต่รูปมี แต่ว่าจำเป็นต้องใช้คำ เพื่อที่จะให้ทราบว่าหมายความถึงรูปอะไร ฉันใด เวลาที่จะพูดหมายความถึงคนนั้นคนนี้ ชื่อนั้นชื่อนี้ แท้ที่จริงก็เป็นอนัตตา เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้น แล้วสมมุติเรียกให้รู้ว่าหมายความถึงสัตว์โลกไหน หรือว่าหมายความถึงอะไร ซึ่งต้องเข้าใจคำว่าธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม แต่ว่าเรียกชื่อต่างๆ เท่านั้นเอง
ผู้ฟัง วันนี้เรามาฟังเรื่องของการศึกษาพระธรรมเพื่อที่จะละความไม่รู้ว่า ไม่มีเรา มีแต่นามธรรม รูปธรรม ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เรา แต่ไม่ว่าจะตื่น จะทำอะไรก็ยังเป็นเราอยู่ ดังนั้นการศึกษาเริ่มต้นแล้วก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจ และมีความมั่นคง ต้องเริ่มศึกษาอย่างไร
ท่านอาจารย์ ฟังครั้งเดียวพอไหม ไปโรงเรียนไปวันเดียว แล้วจากนั้นก็ไม่ไปอีกเลย ก็ไม่มีความรู้อะไรใช่ไหม นี่ยังเป็นความรู้ทางโลก แต่ถ้าความรู้ทางธรรม ความรู้ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ หมายความว่าผู้นั้นต้องเรียนหรือฟังตลอดชีวิต ชาติเดียวพอไหม ถ้ายังไม่รู้ความจริงก็ต้องต่อไปอีกกี่ชาติ กี่ชาติก็ตามแต่ แต่ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีบุญในปางก่อน ที่ได้สะสมมาที่ผันมาให้ได้ยินเสียงซึ่งสามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เหมือนกับพืชซึ่งมี แล้วเริ่มปลูกลงดิน จะรดน้ำหรือไม่รดน้ำก็แล้วแต่ แม้ว่าจะมีพืชที่ใส่ลงไปในดินแล้ว แต่ไม่รดน้ำเลย ชาตินี้แค่ฟังหนเดียว เป็นอย่างไร ไม่โตแน่ใช่ไหม ก็อยู่ที่ว่าเราเห็นประโยชน์ของคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามากแค่ไหน เพราะว่าบางคนเขาจะบอกไม่มีเวลา ไม่ว่าง
ทำไมมีเวลาว่างสำหรับทำอย่างอื่น แต่ไม่มีเวลาที่จะฟังคำสอนที่จะให้เกิดปัญญาของเราเอง ซึ่งยากแสนยากที่จะได้ยินได้ฟังคำสอนจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าอีกไม่นานเลยคำสอนนี้จะหมดแน่นอน ถ้าไม่มีคนศึกษาดำรงไว้ซึ่งคำสอน คำสอนนี้จะอยู่ได้อย่างไร มีพระไตรปิฎกจริง แต่ไม่มีคนอ่าน หรือว่าไม่มีคนที่เข้าใจอย่างถูกต้อง พระศาสนาก็ดำรงอยู่ไม่ได้
การที่พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้อยู่ที่พุทธบริษัทแต่ละคน ไม่ใช่อยู่ในตู้รักษาไว้อย่างดี เก็บเอาไว้ ระเบิดก็ทำลายไม่ได้ นั่นไม่ใช่เลย แต่ว่าเมื่อมีการศึกษา มีการเข้าใจเท่านั้นที่พระธรรมจะดำรงอยู่ได้ เพราะฉะนั้นที่ว่าพระศาสนากำลังเสื่อม หรือว่าจะดำรงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเหตุว่ามีผู้ที่สนใจที่จะศึกษาพระธรรมจริงๆ เป็นส่วนน้อย และเมื่อศึกษาแล้วต้องเป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ศึกษาเพื่อละความไม่รู้ และเพื่อละกิเลสด้วย แต่ถ้ามีการศึกษาเพื่อจะได้ จะได้บุญมากๆ จะได้ถึงนิพพานเร็วๆ ปัญญาก็ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะถามบางคนว่าให้ถึงนิพพานโดยไม่รู้อะไร ต้องการไหม เขาบอกต้องการ
ดังนั้นก็เป็นเรื่องซึ่งต้องเป็นผู้ที่ละเอียดและเป็นผู้ที่ตรง ปัญญาคือ ความรู้ถูก ความเห็นถูก คืออย่างไรก็ต้องพิจารณา มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้เข้าใจจริงๆ พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดแสดงเรื่องจริง เปิดดูในพระไตรปิฎก เรื่องตา เรื่องหู เรื่องจมูก เรื่องลิ้น เรื่องกาย เรื่องใจ วันนี้ใครไม่มีบ้างไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก มีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทรงแสดงสัจจธรรม ซึ่งผู้นั้นต้องรู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง ธรรมอยู่ที่ตัวเรา
ท่านอาจารย์ อยู่ที่ตัวเราทั้งหมดเลย ทรงแสดงเรื่องของโลภะ โลภะอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง อยู่ที่ตัวเรา
ท่านอาจารย์ แสดงเรื่องโทสะ โทสะอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง ก็อยู่ที่ตัว
ท่านอาจารย์ แสดงเรื่องเหตุปัจจัย ปัจจัยที่จะให้เกิดโลภะโทสะอยู่ที่ไหน ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันทุกวันทุกขณะซึ่งไม่เคยรู้เลย จากความไม่รู้ก็ได้รับแสงจากพระธรรม จากการฟังก็เริ่มมีความเข้าใจถูกในสภาพที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้ศึกษา เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจธรรมก็รู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหน ศึกษาธรรมคือศึกษาอะไร คือศึกษาสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงที่ได้ศึกษา ก็ตรง ธรรมคือธรรมดา มีสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏ ทรงแสดงไว้โดยละเอียดจนกว่าจะถึงความเป็นอนัตตาคือ ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ปัจจุบันนี้เราต้องอยู่ในสังคม พุทธบริษัทก็มีอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี อะไรทำนองนี้เป็นผู้สืบทอดศาสนา แต่เราจะมีองค์กรอย่างไรที่จะมาส่งเสริมทางศาสนาให้ดีกว่าทุกวันนี้
ท่านอาจารย์ หน้าที่ของเราทำเสร็จหรือยัง
ผู้ฟัง ยังไม่เสร็จ ผมเป็นห่วงคนอื่น
ท่านอาจารย์ จะโยนไปให้คนอื่นทำหน้าที่ของเขา หรือว่าเราก็ควรจะรับผิดชอบทำหน้าที่ของเราด้วย เพราะว่าแต่ละคนที่กล่าวว่าเป็นสังคมก็คือแต่ละหน่วย แต่ละคน ถึงจะเป็นสังคมขึ้นมาได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสังคมดีหมายความว่าแต่ละหน่วยดี ถ้าสังคมศึกษาธรรมก็เป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจพระธรรม แต่ไม่ได้จำกัดว่าต้องไปบังคับให้คนอื่นเป็นอย่างที่เราต้องการ ในเมื่อเราทำไม่ได้ ใช่ไหม แต่ถ้าเราทำ คนอื่นจะทำได้หรือไม่ได้ เรารู้เหตุว่าแต่ละคนต่างกันลิบลับ ไม่เหมือนกันเลย แม้แต่ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ คิดเหมือนกันหรือเปล่า นานาเรื่อง ถ้ามีโลภะความติดข้อง ความติดข้องระดับเดียวกันหรือเปล่า ก็ต่างระดับ ถ้ามีปัญญา ปัญญาระดับเดียวกันหรือเปล่า ก็ต่างกันอีก
แม้ว่าเจตสิกมี ๕๒ ปัญญาไม่ใช่จิต ชื่อต่างๆ ที่เราได้ยินในชีวิตประจำวันล้วนเป็นเจตสิกทั้งนั้น ขยันก็เป็นเจตสิก หรือเมตตา กรุณา พวกนี้ก็เป็นเจตสิก จิตมีหน้าที่อย่างเดียว คือเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอย่างไร จิตสามารถที่จะเห็น เป็นหน้าที่ของจิตอย่างเดียวคือ เห็นสิ่งที่ปรากฏ เห็นแจ้งด้วย ส่วนเจตสิกที่เกิดก็ทำหน้าที่แต่ละอย่าง เช่น เวทนา ก็ทำหน้าที่รู้สึกในสภาพที่ปรากฏที่เห็นในขณะนั้น เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็คือเราอยู่ในโลกคนเดียว หรือหลายคน
ผู้ฟัง หลายคน
ท่านอาจารย์ เวลาเห็น คนอื่นเห็นด้วย หรือว่าขณะที่เห็น ต่างคนก็ต่างเห็น เป็นจิตเห็นของแต่ละคน
ผู้ฟัง ต่างคนต่างเห็น
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เห็นด้วยกัน ไม่ใช่เห็นเดียวกับคนอื่น เกิดมา เกิดมาคนเดียว หรือหลายคน
ผู้ฟัง เกิดคนเดียว
ท่านอาจารย์ เกิดคนเดียว ตายคนเดียว เวลาคิด เราคิด ความคิดของเราเป็นจิตที่เกิดขึ้น คิดคนเดียว หรือคนอื่นก็มาคิดด้วยในขณะนั้น
ผู้ฟัง เราคิดคนเดียว
ท่านอาจารย์ เพราะคิด จึงคิดว่าอยู่กับหลายคน แต่ความจริงจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ เป็นโลกส่วนตัวแต่ละใบของแต่ละคน แม้แต่ความคิดที่ต่างกันนานาความคิดก็เพราะสะสมมาต่างๆ กัน เห็นสิ่งเดียวกัน คิดต่างกันตามระดับของความคิด เราเรียนต่อไปจะทราบว่ามีจิต ๘ ชนิดซึ่งเกิดกับโลภะ นี่อย่างย่อที่สุด เพราะ ๘ ชนิด ขยายออกไปตามความวิจิตรมากมายนับไม่ถ้วน แต่ด้วยพระปัญญาคุณจึงทรงประมวลลักษณะนานาชนิดเป็น ๘ ประเภท คืออย่างไรๆ ก็ไม่พ้นจาก ๑ ใน ๘ นั้น แต่ว่าความหลากหลายนั้นมีมาก เพราะฉะนั้นมนุษย์เราเกิดมาก็มีแค่สองตา สองหู มีจมูก มีปาก เหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ไม่เหมือน
ท่านอาจารย์ ไม่เหมือน เพียงแค่นี้มาจากไหน ตา หู คิ้ว จมูก ปาก พวกนี้มาจากไหน ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นต่างกัน นี่แค่ในห้องนี้ ออกไปนอกห้องนี้ เหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ไม่เหมือน
ท่านอาจารย์ ตามถนนหนทางเหมือนไหม ที่โรงเรียน ที่วัดก็ไม่เหมือน ประเทศก็ไม่เหมือน ทั่วโลกจะเหมือนกันไหม แสดงว่ากรรมวิจิตรแค่ไหน ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างต่างกันไปตามกรรม ก็เป็นเรื่องที่ถ้าศึกษาแล้วจะเข้าใจความเป็นมาตั้งแต่เกิดจนตาย และหลังตายแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นเรื่องที่ทรงแสดงโดยการตรัสรู้โดยละเอียด แต่ข้อสำคัญที่สุดอย่างไรๆ พื้นฐานต้องมั่นคง และไม่เปลี่ยนแปลง คือทุกอย่างเป็นธรรม ขีดเส้นได้เลยว่าทุกอย่าง แล้วธรรมมี ๒ อย่างคือ นามธรรมกับรูปธรรม นามธรรมมี ๒ อย่าง คือ จิตกับเจตสิก ส่วนรูปทุกชนิด ไม่ว่ารูปในอดีต เสียงในอดีต กลิ่นในอดีต จะเป็นนามธรรมไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นที่เราได้ยินบ่อยๆ เวลาไปวัด รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็คือ จิต เจตสิก รูป เป็นอภิธรรม เป็นปรมัตถธรรมคือ เป็นธรรมที่มีจริงๆ ใครจะเรียกชื่อหรือไม่เรียกอะไร สภาพธรรมนั้นก็เป็นอย่างนั้น จะใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาอะไร สภาพธรรมนั้นก็เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เป็นธรรม แต่ว่าจำเป็นต้องใช้ชื่อ มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร วันนี้รู้จักธรรมแล้วใช่ไหม ถามอีกครั้งหนึ่ง ธรรมอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง อยู่ที่ตัว ต้องศึกษาที่ตัวเรา
ท่านอาจารย์ อยู่ที่ตัว ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย ไม่ว่าทรงแสดงเรื่องโลภะก็อยู่ที่ตัว แสดงเรื่องเห็นก็อยู่ที่ตัว แสดงเรื่องคิดก็อยู่ที่ตัว เพราะฉะนั้นล้วนเป็นธรรมที่สามารถจะรู้ได้
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณสุปราณี
วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ เรื่องธรรม เป็นเรื่องที่ดูแล้วก็อนุโมทนาทุกคน เพราะว่าหาคนที่จะสนใจในยุคนี้ไม่ง่ายเลย ในยุคสมัยนี้เรามักจะสนใจเรื่องอื่น ผู้ที่มีครอบครัวมีกิจธุระก็ต่างสนใจในเรื่องครอบครัว ในเรื่องกิจธุระ แต่ยังมีผู้ที่ได้สะสมมาที่จะสนใจที่จะได้ฟังสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับเรา เพราะว่าผู้ที่จะให้ความรู้ในทางธรรมแก่เรา ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการตรัสรู้ เราก็นับถือพระพุทธศาสนากันมาตั้งแต่เด็กก็คงจะเป็นได้ แต่ว่าโอกาสที่จะได้ฟังธรรมว่าธรรมนี้ทรงแสดง คงจะยาก
เพราะเหตุว่าเรามักจะฟังเเค่เรื่องศีล หรือว่าเรื่องทานเท่านั้น แต่ว่าถ้าเป็นเฉพาะเรื่องทานเรื่องศีล ก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะใครๆ ก็พูดเรื่องทานได้ ใครๆ ก็พูดเรื่องศีลได้ แต่การที่เรากราบไหว้แม้ว่าจะปรินิพพานไปแล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี เห็นพระพุทธรูปที่ไหน เห็นวัดวาที่ไหน เราก็กราบไหว้ในพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า การเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งซึ่งคนอื่นเป็นไม่ได้
เพราะฉะนั้น พระธรรมของพระองค์ต้องไม่ใช่อย่างธรรมดาๆ อย่างที่เราคิดเองได้เลย แต่ต้องเป็นการยาก แล้วก็ต้องเป็นการที่จะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ให้ทราบว่าเป็นชีวิตจริงๆ ทั้งหมด ถ้าย้อนไปเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก็มีคนอย่างขณะนี้ ไม่ใช่ไม่มีคนใช่ไหม แต่ที่ประเทศอินเดีย และที่พระวิหารเชตวัน มีโอกาสที่จะได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ในกาลสมัยเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี แต่สมัยนี้ก็ยังมีพระธรรม แม้ว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมยังอยู่ จารึกเป็นพระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา ถ้าสนใจก็น่าจะลองอ่านดู เพราะว่าเมื่อดิฉันได้ยินคำว่าพระไตรปิฎก ก็อยากเห็นรูปร่างหน้าตาของพระไตรปิฎกว่าจะเป็นอย่างไร สมัยที่ดิฉันเรียนก็ยังไม่มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย มีแต่ภาษาบาลี
เมื่อถึงปี ๒๕๐๐ ได้มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ก็เริ่มที่จะจับพระไตรปิฎก เพื่อที่จะได้อ่านด้วยตัวเองว่า นี่เป็นพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนใดที่เข้าใจได้ เราก็อ่านแล้วพิจารณาเป็นประโยชน์ แต่ส่วนที่ลึกซึ้ง หรือว่าละเอียดมากยังไม่เข้าใจ ก็ทำให้สนใจที่จะฟังต่อไป เพื่อจะเรียนให้เข้าใจขึ้น แต่ว่าจะไม่ทอดทิ้งเลย เพราะรู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บ่อยๆ ๒๕๐๐ กว่าปียังไม่มีอีกสักองค์หนึ่งเลย และอีกนานแสนนานกว่าจะมีผู้ที่พร้อมด้วยพระคุณ บารมีที่ได้บำเพ็ญมาที่จะตรัสรู้ทุกอย่างในโลก ไม่เฉพาะโลกนี้โลกเดียว โลกไหนๆ ทั้งหมดในจักรวาล ปัญญาของพระองค์สามารถที่จะตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทุกอย่าง
ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงอย่างนี้ เราก็คงไม่ทอดทิ้งการที่จะได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ เพราะรู้ว่าพระธรรมเป็นเรื่องของชีวิตของเรา ถ้าพระธรรมไม่เกี่ยวกับชีวิตเราจะน่าฟังไหม ก็ไม่น่าฟังเลย แต่ทั้งหมดที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกเป็นเรื่องของทุกคนหมดเลย หัวข้อเรื่องที่เราจะสนทนากันว่า เราเกิดมาทำไม ก็น่าคิด เราเกิดมาทำไม เมื่อคืนนี้ทุกคนนอนหลับใช่ไหม เกิดมาหลับ แน่นอนเป็นชีวิตจริงๆ แล้วทุกคนก็ตื่น มีใครที่หลับแล้วไม่ตื่นบ้าง
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี เมื่อตื่นแล้วก็เห็น เพราะฉะนั้นก็เกิดมาหลับ เกิดมาตื่น เกิดมาเห็น เกิดมาได้ยิน เกิดมาได้กลิ่น เกิดมาลิ้มรส เมื่อสักครู่นี้เองเรารับประทานอาหาร ขณะนั้นก็มีการลิ้มรส เกิดมารู้สิ่งที่กระทบสัมผัส บางครั้งก็เป็นสุข แต่บางครั้งเวลาที่มีโรคภัยขณะนั้นก็เป็นทุกข์ และเกิดมาหลังจากนั้นคือคิดนึก นี่คือชีวิตประจำวัน เกิดมาเพื่อที่จะหลับแล้วก็ตื่น แล้วก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก แต่สิ่งที่เราเห็น เราไม่ใช่เห็นเฉยๆ เมื่อเห็นแล้วชอบหรือชัง หลีกเลี่ยงได้ไหม
เพราะฉะนั้นความชอบความชังมาจากสิ่งที่เห็น เวลาที่ได้ยินแล้วจะได้ยินไปเปล่าๆ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อย่างนั้น เมื่อได้ยินก็ชอบหรือชังอีก ได้กลิ่น ชอบหรือชัง ลิ้มรส อร่อยหรือไม่อร่อย รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส สบายหรือไม่สบาย ใจก็คิดนึกปรุงแต่งไปหมด เมื่อถึงกลางคืนหลับ ลืมหมด มีใครจำได้ว่าเมื่อวานนี้ทั้งวันที่เราเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง แต่ถึงกลางคืนก็ไม่เหลือเลย ไม่มีการที่จะรู้ว่าเราชื่ออะไร เราเป็นใคร เราอยู่ที่ไหน เรามีสมบัติ เรามีอะไรๆ มากมายแค่ไหน มีพี่น้องเพื่อนฝูงก็ไม่รู้เลย ไม่รู้อะไรเลย นี่คือความจริง
พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า จริงๆ แล้วที่เราเกิดมาแล้วก็เหมือนกับมีโลกปรากฏ มีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเหตุว่าเรามีจิตใจ ซึ่งไม่มีใครมองเห็นจิตใจเอง เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงไม่ได้หมายความว่าเราต้องมองเห็นเสมอไป หลายอย่างที่มีจริงที่เรามองไม่เห็น เช่น เสียง มองเห็นเสียงไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ไม่เห็น แต่เสียงมี กลิ่นมี มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มองเห็นจริงๆ มีทางเดียวคือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าหลับตา เรารู้ไหมว่าอะไรแข็ง หลับตาแล้วรู้ไหมว่าอะไรแข็ง
ธรรมเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ความคิดของเราอีกอย่างหนึ่ง ไม่ตรงกับธรรม แต่ถ้าตรงกับธรรมจริงๆ ต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนพิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังธรรม ไม่ใช่ฟังเฉยๆ แต่คิดไตร่ตรองจนกระทั่งเราเห็นด้วยว่า สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังถูกต้อง และเป็นความจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นลองอีกที เราหลับตามองไม่เห็น เราสามารถจะรู้สิ่งที่แข็งได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ได้ เพราะว่าสิ่งที่แข็งเรารู้ได้ทางกาย ถึงจะหลับตาแข็งก็ยังปรากฏได้ เมื่อเรามีกายปสาท สิ่งที่สามารถกระทบสัมผัสสิ่งภายนอกได้ เราหลับตาแล้วเราได้ยินเสียงไหม
ผู้ฟัง ได้ยิน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะแสดงให้เห็นว่า สิ่งเดียวที่จะปรากฏให้เห็นเพียงรูปชนิดหนึ่ง คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริง แต่อย่างอื่นนอกจากนั้นมองไม่เห็นเลยทั้งสิ้น จิตใจก็มองไม่เห็น ความโกรธก็มองไม่เห็น ความเมตตาก็มองไม่เห็น เสียงก็ไม่เห็น กลิ่นก็ไม่เห็น รสก็ไม่เห็น เห็นสิ่งเดียวคือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
ดังนั้นความจริงที่เราจะพิสูจน์ได้ก็คือ เวลาหลับทำไมเราไม่เห็น หายไปหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลย เพราะฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ชั่วขณะจิตขณะเดียว ทีละหนึ่งขณะ เพราะถ้าเราไม่ฟังธรรม เราก็ไม่รู้จักจิต ทั้งๆ ที่จิตอยู่ที่เรา อยู่ที่ทุกคน แต่ว่าจากการตรัสรู้พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าจิต หรือสภาพธรรมใดๆ ทั้งหมด เราจะมองเห็น หรือมองไม่เห็นก็ตาม สิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับ จะไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลย ก่อนฟังธรรมเรารับได้ตามความคิดของเราเผินๆ ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่มีอะไรคงที่ เกิดแล้วก็ต้องโต โตแล้วก็ต้องแก่ เเก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย เรารู้เพียงแค่นี้ว่าไม่เที่ยงแค่นี้ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เราคิดว่าไม่เที่ยง เดี๋ยวป่วยไข้เดี๋ยวสุขสบาย เราคิดว่าแค่นั้นไม่เที่ยง เดี๋ยวฐานะเปลี่ยนแปลงจากยากจนเป็นมั่งมี จากมั่งมีเป็นยากจน เราคิดอย่างนั้น อย่างนี้ใครๆ ก็คิดได้ ใช่ไหม
แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจากการตรัสรู้ว่า จิต และทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในขณะนี้ ไม่เที่ยง โดยการที่เกิดแล้วก็ดับ หมดสิ้นไปเร็วมากทุกขณะ เมื่อสักครู่เรารับประทานอาหาร อาหารนั้นอยู่ที่ไหน หาได้ไหม ไม่มี เสียง ได้ยินแล้วหายไปไหน เสียงก็หายไปอีก จิตที่ได้ยินเสียงไม่ใช่จิตที่คิดนึก เพราะฉะนั้นจะแสดงให้เห็นว่าทรงรู้ลักษณะของจิตใจอย่างละเอียดยิบ ละเอียดมาก และแสดงไว้ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย จิตใจมีกี่ชนิด กี่ประเภท แล้วก็เกิดดับรวดเร็วขนาดไหน
เพราะฉะนั้น เมื่อฟังธรรมต้องเข้าใจว่าความไม่เที่ยงสั้นมาก ทันทีที่เกิดและดับ นั่นถูกต้อง และสามารถที่จะประจักษ์ได้ แต่ต้องอบรมเจริญปัญญาถึงระดับขั้นที่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ อริยสัจจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วก็จะดับกิเลสได้ แต่การที่เราอยู่เฉยๆ แล้ววันไหนเราจะดับกิเลสได้เองโดยเป็นตัวเรา เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าต้องเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งคือปัญญา
เวลาที่ฟังธรรม ต้องเริ่มเข้าใจคำแรก คือธรรม ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งนั้นมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างๆ แล้วสภาพธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ของใครเลย เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็หมดไป เกิดแล้วก็หมดไป เกิดแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นในภาษาธรรมที่เราได้ยินบ่อยๆ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีใครไม่เคยได้ยิน ๓ คำนี้บ้างไหม อนิจจังพูดบ่อยๆ ทุกขัง อนัตตา โดยมากตอนจานแตกแล้วบอกอนิจจังก็เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่เป็นทุกข์ต้องเพราะไม่เที่ยง ๓ อย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของจริงของสภาพธรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดและดับ ไม่คงที่ ไม่คงทนเลย เราอยากให้ทุกอย่างเที่ยง เกิดมาแล้วไม่อยากตาย ไม่มีใครอยากจากโลกนี้ไปเลย จะสุขจะทุกข์อย่างไรก็ทนได้ แต่ยังไม่อยากจากสิ่งที่เราเคยเห็น เคยได้ยิน เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา เป็นมิตรสหายเป็นเพื่อนฝูง แต่ทุกคนต้องจาก เพราะว่าจิตเกิดดับอย่างเร็ว แล้วก็จะถึงวาระสุดท้ายคือ เมื่อจิตนั้นเกิด ดับแล้วก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายมีธรรม ๒ อย่าง สภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย สิ่งที่มีจริงๆ แต่รู้อะไรไม่ได้ เช่น แข็ง แข็งไม่รู้อะไรเลย แข็งไม่เห็น แข็งไม่คิด แข็งไม่โกรธ แต่สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งเราก็มองไม่เห็น แต่เป็นจิตซึ่งมีลักษณะต่างๆ กัน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1501
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1502
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1503
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1504
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1505
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1506
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1507
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1508
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1509
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1510
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1511
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1512
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1513
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1514
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1515
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1516
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1517
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1518
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1519
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1520
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1521
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1522
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1523
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1524
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1525
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1526
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1527
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1528
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1529
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1530
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1531
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1532
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1533
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1534
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1535
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1536
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1537
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1538
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1539
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1540
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1541
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1542
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1543
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1544
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1545
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1546
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1547
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1548
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1549
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1550
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1551
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1552
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1553
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1554
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1555
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1556
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1557
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1558
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1559
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1560
