ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1508


    ตอนที่ ๑๕๐๘

    สนทนาธรรม ที่ อ.สนม จ.สุรินทร์

    วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งชาวพุทธเราก็กราบไหว้บูชาสูงสุดยิ่งกว่าบุคคลใด สำหรับในวันนี้ไม่ทราบว่าแต่ละท่าน ซึ่งมีทั้งท่านพระภิกษุ และผู้ที่สนใจธรรมหลายวัย จะได้มีความสนใจที่ต้องการจะสนทนาเพิ่มเติม เพราะเหมือนกับการรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามเหตุตามผล และเป็นความเข้าใจของแต่ละท่านยิ่งขึ้น ถ้ามีก็ขอเชิญ

    ผู้ฟัง ช่วยบรรยายความหมายของธรรม

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งบางครั้งทุกคนจะได้ยินคำว่า กุศล สภาพที่ดีงามก็เป็นสิ่งที่มีจริง บางครั้งก็จะได้ยินคำว่าอกุศล ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่ดีงาม ก็มีจริง ดังนั้นธรรมเป็นคำที่กว้างมาก เพราะเหตุว่ามาจากคำว่าธาตุ หรือ ธา-ตุ หมายความถึงสิ่งที่มีจริง มีลักษณะที่เป็นลักษณะเฉพาะของธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนั้นๆ ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม คือตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง เพราะว่าไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสิ่งที่มีจริงแล้วไม่ใช่ธรรม สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม เห็น ขณะนี้จริง เป็นธรรม เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้จะต้องเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง หมายความว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่ทรงตรัสรู้ได้

    ขณะนี้มีเห็น เห็นเป็นธรรม ขณะนี้มีได้ยิน ได้ยินเป็นธรรม ขณะนี้มีเสียง เสียงเป็นธรรม ขณะนี้มีความขุ่นเคืองใจ ความขุ่นเคืองใจเป็นธรรม ขณะนี้มีความคิดนึกต่างๆ ความคิดนึกเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นเราทั้งหมด ก็คือเป็นธรรม ซึ่งแต่ละวัน แต่ละขณะก็มีการเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไป แล้วแต่ว่าขณะนี้เป็นธรรมอะไร และทุกท่านก็คงจะได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาซึ่งเป็นคำที่แปลง่ายๆ อนิจจัง ก็คือไม่เที่ยง หมายความว่าสภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดขึ้นปรากฏ สภาพธรรมนั้นต้องดับไป ไม่เที่ยง หมายความว่าไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ยั่งยืนได้

    สภาพธรรมในขณะนี้เองที่กำลังปรากฏเพราะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป นี่คือลักษณะของอนิจจัง ซึ่งเป็นสภาพที่เป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าไม่มีใครชอบลักษณะที่เพียงเกิดแล้วก็ดับ ไม่ยั่งยืน และก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะสภาพธรรมที่เกิดว่าไม่ให้ดับได้ แต่ว่าเพราะไม่รู้ความจริงก็เลยคิดว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คือขณะที่เกิดมาในโลก และก็ไม่เที่ยง เพราะเหตุว่าชีวิตแต่ละวันก็เปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสบายดี เดี๋ยวเจ็บไข้ แล้วก็จนถึงความเป็นอนัตตา คือบังคับบัญชาไม่ได้ ก็เข้าใจเพียงคร่าวๆ อย่างนี้

    แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงจนกระทั่งผู้ฟังสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาจนดับกิเลสได้ เพราะรู้แจ้งสภาพธรรมในขณะนี้ ประจักษ์ว่าสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้เป็นอริยสัจจธรรม เป็นความจริงของผู้รู้ที่สามารถรู้แจ้งจนกระทั่งดับกิเลสได้

    เพราะฉะนั้นก็ต้องเริ่มจากการที่ฟังและพิจารณาว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ถูกหรือผิดอย่างไร สิ่งที่มีจริงๆ เช่น แข็งเป็นธรรม มีจริงๆ ใครจะเปลี่ยนลักษณะที่แข็งให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แข็งก็เป็นแข็ง ถ้าขณะนี้หรือก่อนนี้จะมีความรู้สึกร้อน แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นลักษณะที่ร้อนเลย แต่ร้อนก็เป็นสิ่งที่มีจริง ขณะที่ทุกคนกำลังร้อน และรู้สึกในความร้อนนั้นก็เป็นความจริงทุกขณะ ซึ่งร้อนนั่นเองเป็นสภาพธรรมที่มีจริง

    จะกล่าวได้เลยว่าขณะนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้น และก็หมดไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ว่าไม่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงนี้ได้เพียงขั้นการฟังครั้งเดียว หรือว่าหลายๆ ครั้ง แต่ต้องเป็นการที่ปัญญาค่อยๆ เจริญจนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริง แล้วก็เป็นผู้ที่ยืนยันคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ที่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งและทรงแสดงนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง คือสภาพธรรมในขณะนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ก่อนที่เราจะภาวนาทำให้จิตใจของเราสงบได้นั้น ต้องมีวิธีอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่าพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นประโยชน์กับพุทธศาสนิกชนในข้อที่ว่า พุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใส มีศรัทธาไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งที่ยังไม่ทรงดับขันธปรินิพพาน พระองค์ทรงสนทนาธรรมกับบุคคลนั้น เพื่อที่จะให้ได้ตอบตามความคิดความเข้าใจของบุคคลนั้น เพื่อพระองค์จะได้ทรงแสดงธรรมให้บุคคลนั้นเข้าใจยิ่งขึ้น เพราะรู้จากคำตอบของบุคคลนั้นว่าเขามีความเข้าใจสักแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นเรื่องของบุญ เราอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก บุญคู่กับคำว่าบาป บาปก็คือสิ่งที่ไม่ดี บุญก็สิ่งที่ดี การกระทำสิ่งที่ไม่ดีเราก็บอกว่าทำบาป ถ้าทำสิ่งที่ดีเราก็บอกว่าทำบุญ นี่ก็เป็นพื้นฐานของชาวพุทธตั้งแต่ในครอบครัว แต่ว่าไม่เพียงพอที่จะเกิดความเข้าใจจริงๆ

    ถ้าถามว่า บุญอยู่ที่ไหน และก็บุญคืออะไร และบุญมีอะไรบ้าง เพราะว่าทาน การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นก็เป็นบุญ การละเว้นกายวาจาที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็เป็นบุญ การอบรมจิตใจให้สงบ ผ่องใส ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยา การประทุษร้าย ความเห็นแก่ตัวต่างๆ ขณะนั้นก็เป็นบุญ หรือว่าการอบรมเจริญปัญญาของเราเอง ไม่ใช่ของคนอื่น แต่อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงก็เป็นบุญ

    ถ้าเราเพียงแต่รู้จักคำ แต่ไม่เข้าใจความหมายจริงๆ ว่าคำนั้นหมายความถึงอะไร เช่นคำว่า ภาวนา หมายความถึงการอบรมให้สิ่งซึ่งยังไม่ได้เกิด เกิดขึ้น ต้องเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าสิ่งที่ไม่ดีทำไมจะไปอบรมให้เกิดขึ้น ให้มีขึ้น ก็ต้องเป็นสิ่งที่ดี แต่การอบรมให้สิ่งที่ยังไม่เคยเกิด เกิด ไม่ใช่เพียงขั้นทานขั้นศีล เพราะว่าขั้นทานขั้นศีลก็มีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ภาวนาต้องเป็นขณะที่มีปัญญา สามารถที่จะรู้ความละเอียดของสภาพจิตว่า ขณะใดที่จิตใจไม่เป็นกุศล ไม่เป็นบุญ คือขณะนั้นไม่ใช่การให้ทาน หรือว่าไม่ใช่การวิรัติทุจริต ขณะนั้นจิตใจเป็นไปในทางอกุศลอย่างละเอียด

    เพราะฉะนั้น ผู้นั้นต้องมีปัญญาที่จะรู้ว่าขณะใดที่ไม่ได้ให้ทาน ขณะใดที่ไม่ได้วิรัติทุจริต ขณะนั้นคิดอะไรบ้าง คิดถึงคนอื่นก็จะคิดด้วยความผูกพันติดข้อง คิดถึงมิตรสหาย คิดถึงญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ถ้าคิดถึงคนที่ไม่ชอบหรือคนที่เป็นศัตรู ขณะนั้นใจก็ไม่ผ่องใส จิตใจก็ขุ่นเคืองหยาบกระด้าง เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งๆ วันหนึ่งทุกคนต้องคิด ไม่มีใครเลยซึ่งไม่คิด แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังก็คิดตามไปด้วย หรือว่าขณะที่กำลังเห็นก็คิดตามสิ่งที่เห็นด้วย

    ดังนั้นวันหนึ่งๆ มากด้วยความคิดที่เป็นอกุศล ไม่ใช่ที่เป็นกุศล จนกว่าปัญญานั้นสามารถที่จะรู้ว่าภาวนาคืออะไร ภาวนามีอะไร เมื่อจิตใจไม่สงบ บุคคลที่มีปัญญาในครั้งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรอง รู้ว่าถ้าจิตคิดถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้วไม่สงบ กับขณะที่คิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าคิดแล้วจิตใจสงบ เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นก็สามารถที่จะระลึกถึงสิ่งที่ทำให้จิตขณะนั้นเป็นกุศล แทนที่จะไปคิดในเรื่องของอกุศล ขณะนั้นเป็นภาวนาประเภทหนึ่ง ชื่อว่า สมถภาวนา หมายความถึงการอบรมจิตใจให้สงบ ซึ่งมีก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ที่บรรลุความสงบถึงขั้นฌานจิต แนบแน่น ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกเรื่องอื่นๆ ด้วยความเศร้าหมอง แต่ว่าระลึกถึงสิ่งที่จิตสงบขึ้น สงบขึ้น จนกระทั่งปรากฏลักษณะของสมาธิตามลำดับขั้น จากรูปฌานกุศลจนถึงอรูปฌานกุศล แต่ก็ไม่ใช่การรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่เพียงเพื่อที่จะให้จิตสงบอย่างบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สามารถที่จะมีปัญญา และอบรมจิตให้สงบ แต่ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ จนกระทั่งละคลายความไม่รู้แล้วก็มีปัญญาที่รู้แจ้งสภาพธรรม จนประจักษ์ลักษณะของอริยสัจจ์ ๔ ได้

    ด้วยเหตุนี้ ต้องมีความต่างกันของภาวนาเป็น ๒ อย่าง คือสมถภาวนาอย่างหนึ่ง และวิปัสสนาภาวนาอีกอย่างหนึ่ง สำหรับวิปัสสนาภาวนา หมายความถึงการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งแทงตลอด หยั่งถึงสภาพธรรมในขณะนี้ซึ่งกำลังเกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่ว่าทำอย่างไร แต่ต้องเป็นความเห็นถูกตั้งแต่ในขั้นต้นว่า การอบรมเจริญภาวนาสิ่งที่ยังไม่เคยเกิด ให้เกิดขึ้นนั้นมีอะไร และต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะได้ไม่สับสน เพราะเหตุว่าถ้าเพียงได้รับคำบอกเล่าว่าสมาธิ สมาธิคืออะไรก็ยังไม่รู้ และก็บอกให้ไปทำสมาธิก็ต้องทำด้วยความไม่รู้ เมื่อทำด้วยความไม่รู้ ความไม่รู้ก็เพิ่มขึ้น จนกระทั่งเมื่อจบแล้วก็ไม่รู้อย่างเดิม เพราะเหตุว่าทำไปด้วยความไม่รู้ ซึ่งในพระศาสนาคือพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงธรรมให้คนไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ทรงแสดงธรรมให้คนเห็นผิดเข้าใจผิด แต่ทรงแสดงธรรมให้คนที่เข้าใจผิด เห็นถูกขึ้น

    ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเราก็ไม่สามารถที่จะเทียบเคียงได้ว่า ที่เราเคยเข้าใจมาก่อน เคยฟังมาก่อน หรือเคยประพฤติมาก่อนนั้น ถูกผิดกับความเป็นจริงอย่างไร เป็นเรื่องของการศึกษาก่อน เพราะเหตุว่าการศึกษาหรือการที่จะเข้าใจพระธรรมนั้นมี ๓ ระดับขั้น

    ขั้นปริยัติศาสนา หมายความถึงศึกษาคำสอน และเข้าใจว่าคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ ปิฎก รวมทั้งอรรถกถาฎีกาไม่สามารถเพียงอ่าน ต่างคนต่างอ่าน ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกได้เลย แต่ต้องเป็นการศึกษาโดยลำดับขั้นจริงๆ ตั้งแต่ขั้นฟังแล้วพิจารณา ถ้าเป็นยุคนี้สมัยนี้ ถ้าใครจะหยิบพระไตรปิฎกขึ้นมาอ่าน ส่วนที่หนึ่งคือพระวินัยปิฎก สามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพของจิตซึ่งเป็นอกุศลตามลำดับเพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรต่างๆ

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาก็จะได้ประโยชน์สาระจากการรู้ว่า สิ่งใดควร ไม่ควร ทางกายทางวาจา แต่ว่ายังไม่สามารถที่จะอบรมภาวนาได้ หรือจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้เพียงอ่านพระวินัยปิฎก สำหรับพระสุตตันปิฎกก็คงจะมีหลายท่าน ส่วนใหญ่ในเมืองไทยเราก็จะมีการเทศน์ หรือการแสดงธรรมในส่วนของพระสุตตันปิฎก เป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นความประพฤติของบุคคลต่างๆ เช่น ความประพฤติของท่านพระองคุลิมาล หรือว่าท่านพระเทวทัต ท่านอนาถบิณฑิกะ ท่านวิสาขามิคารมารดา ก็เป็นชื่อที่คุ้นหูทั้งนั้นเลย แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้เพียงเข้าใจเรื่องราวในครั้งนั้น และเพียงเข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า แท้ที่จริงแล้วธรรมที่ทรงแสดงในพระสูตรที่ลึกซึ้งนั้นเป็นเรื่องของอภิธรรม คือธรรมที่ละเอียด เช่น เห็นในขณะนี้ คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมก็คิดว่าไม่เห็นมีอะไร ทุกคนก็เห็น

    แต่ผู้ที่เริ่มศึกษา จนกระทั่งผู้ที่ศึกษายิ่งขึ้น ก็จะยิ่งเห็นความละเอียดของชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งเห็น ต่างกับอีกชั่วขณะหนึ่งซึ่งได้ยิน ต่างกับอีกชั่วขณะหนึ่งซึ่งคิดนึก และทรงแสดงโดยการหยั่งถึงลักษณะของเห็นจริงๆ ว่าเป็นสภาพธรรมที่ต่างจากสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้นแม้ว่าเป็นธรรม ธรรมก็มากมายหลากหลายทั้ง ๓ ปิฎก ถ้าได้ศึกษาพระสุตตันปิฎกก็พอที่จะพิจารณาเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ว่าด้วยความเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด เช่น เป็นพระเจ้าพิมพิสาร หรือเป็นพระเจ้าสุทโธทนะ ท่านพระราหุลต่างๆ เหล่านี้ ต่อเมื่อใดศึกษาพระอภิธรรมก็จะเริ่มเข้าใจตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เคยได้อ่านหรือมีจริงทุกกาลสมัย คือไม่ว่าในกาลสมัยที่ยังไม่มีการตรัสรู้ เห็นก็มี ได้ยินก็มี คิดนึกก็มี และเมื่อทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมในสิ่งที่มีจริงๆ ที่ทุกคนพิสูจน์ได้ เช่น กำลังเห็น กำลังได้ยิน ทั้งหมดในชีวิตประจำวัน และสภาพธรรมไม่ได้มีอยู่เพียงแค่อดีตและปัจจุบัน แม้อนาคตก็จะเป็นอย่างนี้ อนาคต พรุ่งนี้ทุกคนก็เห็นอีก ได้ยินอีก มีสุขมีทุกข์อีก

    ถ้าจะกล่าวถึงธรรมโดยนัยของอภิธรรม คือสภาพธรรมที่ละเอียดยิ่ง แล้วก็เป็นสาระประโยชน์สูงสุด เพราะเหตุว่าเป็นการรู้ลักษณะที่แท้จริงของธรรม ธรรมที่เป็นอภิธรรม ไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อ แต่ก็มี เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คำที่ส่องถึงลักษณะความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ โดยที่ว่าแท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมนั้นแม้ไม่เรียกอะไรเลย สภาพธรรมนั้นก็มี เช่น เห็น คนไทยเราใช้คำว่าเห็น เข้าใจ แต่ถ้าจะไปพูดกับชาวญี่ปุ่นบอกว่าเห็น เขาก็ไม่รู้ว่าเราหมายความถึงอะไร แม้ว่าลักษณะที่เห็น เขาก็เห็น เราก็เห็น มนุษย์ก็เห็น เทวดาก็เห็น พรหมก็เห็น สัตว์เดรัจฉานก็เห็น ภูมิอื่นๆ ก็มี ก็เห็นได้

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเห็นบนบก เอารูปร่างออกหมด เห็นในอากาศ เห็นในน้ำ เพราะปลาก็เห็น เห็นก็เป็นเห็น ซึ่งเห็นเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ว่าลึกลงไปกว่านั้น เห็นคืออะไร ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอบไม่ได้ และไม่สามารถที่จะแสดงถึงสัจจธรรมของสภาพธรรมที่มีจริงๆ

    ดังนั้นผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรมตามลำดับ ก็อยู่กับธรรม พบธรรม คิดเรื่องธรรม ทุกอย่าง แต่ไม่รู้จักธรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ ก็จะรู้ว่าธรรมมีอยู่ทุกแห่งไม่เคยปราศจากธรรม หนีธรรมไม่พ้นเลย ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออก ทางตะวันตก บนเขาต่างๆ เคยมีท่านผู้หนึ่ง ท่านบอกว่าแต่ก่อนท่านก็ไปแสวงหาธรรมทั่วทุกสารทิศ แต่เมื่อรู้จักธรรมว่าธรรมคืออะไร ไม่ต้องแสวงหาที่ไหนเลย ตรงไหนก็เป็นธรรมทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ถ้าสามารถที่จะเข้าใจแม้คำว่า ธรรม คำเดียว โดยตลอด โดยถ่องแท้สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคลได้ แต่ต้องตลอด โดยทั่ว โดยถ่องแท้ และโดยประจักษ์แจ้งด้วย ขอถามเด็กๆ ได้ไหมว่า ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่เห็นจริง

    ท่านอาจารย์ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ กล้าหาญ อาจหาญร่าเริงที่จะรู้ว่า เมื่อมีจริงและขณะนี้ธรรมที่มีจริงคืออะไร เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ก็ง่ายๆ ธรรมดา โกรธ เคยโกรธไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ โกรธเป็นธรรมไหม

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้โกรธมีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไหร่ มีจริงขณะที่เกิดขึ้นปรากฏ แต่ขณะใดที่หมดแล้วก็สิ่งอื่นเกิดต่อ สิ่งที่เกิดต่อก็คือสิ่งที่มีจริงอยู่ชั่วขณะที่เกิดปรากฏ แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นธรรมไม่ได้ยั่งยืน ธรรมที่เกิด แล้วก็ดับไป แต่ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงๆ คิดนึกมีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ หมดไปไหม หรือว่าคิดอยู่เรื่อยๆ

    ผู้ฟัง หมด

    ท่านอาจารย์ หมดแล้วก็คิดใหม่ ใช่ไหม แต่ละคำที่คิดก็ให้รู้ว่าไม่ใช่ของเก่าขณะเก่า เพราะฉะนั้นเรามักจะคุ้นเคยกับคำว่าแต่ละขณะหมดไป หมดไป แต่ว่าความจริงแต่ละขณะที่หมดไป คืออะไรหมดไป ก็คือธรรมแต่ละขณะที่เกิดนั่นเองที่หมดไป ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่มี ไม่ต้องมานั่งคิด ไม่ต้องมานั่งฟังธรรมอะไรเลย แต่เพราะว่าสิ่งที่มีจริงและมีโดยที่ไม่รู้ จึงต้องฟังให้เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้น เพื่อที่จะรู้ว่าไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหน ถ้าต้องการรู้ธรรมก็คือขณะนี้ที่กำลังปรากฏ และก็แสวงหาที่จะสนทนาศึกษาให้ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงให้มากขึ้น

    ผู้ฟัง คือวิธีการปฏิบัติแล้ว ญาติโยมทั้งหลายรู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ คือจิตไม่ยอมเข้าสู่สมาธิ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วเราใช้คำนี้ตามภาษาไทย เพราะเหตุว่าถ้าเป็นความหมายในภาษาบาลี อารัมมณะ หรืออารมณ์ ที่เรานำมาใช้ในภาษาไทย หมายความถึงสิ่งที่จิตกำลังรู้ ถ้าพูดถึงธรรมแล้วเราก็จะเห็นได้ว่า ถ้ากล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรมเลย ธรรมหลากหลายมาก นับไม่ถ้วนทั้งในอดีตและขณะนี้ และก็ต่อไปข้างหน้า จะมีความวิจิตรอีกมากมายประการใดก็ตาม แต่เมื่อประมวลลักษณะที่ต่างกันเป็นประเภทใหญ่จะมีอยู่ ๒ อย่าง ซึ่งต่างกัน คือลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่สามารถจะรู้ ไม่สามารถจะคิด ไม่สามารถจะสุข จะทุกข์ จะจำ ได้เลย

    ถ้าโลกนี้มีแต่สภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ก็ไม่มีการเดือดร้อนใดๆ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุว่าธรรมไม่ได้มีแต่เฉพาะธรรมส่วนที่ไม่สามารถจะรู้อะไร ขอยกตัวอย่างเช่น แข็ง เราจะจับแข็ง แข็งก็คือแข็ง แต่แข็งไม่สามารถเห็น ไม่สามารถจะคิด ไม่สามารถจะรู้ได้ว่ามีคนกำลังมากระทบถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น แยกเป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลยนั้น ใช้คำบัญญัติว่า รูปะหรือว่ารูปธรรม ซึ่งในภาษาไทยเราชอบใช้คำภาษาบาลี แต่ต่างความหมาย คือไม่ตรงกับความหมายที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติคำนั้นสำหรับเรียกสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ซึ่งจะสับสนกันไม่ได้

    โดยสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม ถ้าไม่มีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่รูปธรรม โดยประการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าสภาพอีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีใครมองเห็น แต่มี เช่น โกรธ มีใครมองเห็นโกรธบ้าง แต่โกรธมี คิด ใครมองเห็นคิดบ้าง แม้ว่าคิดกำลังมี กำลังคิดก็ไม่มีใครมองเห็นคิด แต่คิดมี มีใครจำอะไรได้ไหม ขณะนี้ต้องมีความจำอยู่ตลอดเวลา จำสิ่งนั้นจำสิ่งนี้ ลักษณะที่จำจะกล่าวว่าไม่มีไม่ได้ แต่จำ ไม่มีใครมองเห็น แต่ก็จำ

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงซึ่งไม่มีรูปร่างลักษณะเลย ไม่เขียว ไม่แดง ไม่เหลือง ไม่ม่วง ไม่หวาน ไม่ขม ไม่มีรสใดๆ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีเสียง สภาพธรรมนั้นเป็นนามธรรม หมายความว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นต้องคู่กัน เมื่อมีนามธรรมเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ด้วย จะมีสภาพรู้โดยที่ไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้ หรือใครคิดว่าได้ การศึกษาธรรมอย่าเพิ่งตามๆ ไปโดยที่ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็นความเข้าใจของเราเอง แต่แม้แต่คำที่ได้ยินได้ฟัง ต้องคิดพิจารณาตามว่า เมื่อมีสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ด้วย จะมีแต่เฉพาะสภาพรู้โดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้

    ในทางธรรม สภาพธรรมที่รู้ที่ไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็น มี ๒ อย่าง ไม่ใช่อย่างเดียว คือจิตอย่างหนึ่ง กับเจตสิกอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในโลกนี้ ทุกวันตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่อดีตปัจจุบัน อนาคตก็จะมีเพียงจิต เจตสิก และรูป ๓ อย่าง

    ซึ่งถ้าคนที่ได้ผ่านหูในเรื่องของอภิธรรมก็จะทราบได้ว่า อภิธรรม หรือปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มีจริงๆ เป็นธรรมที่ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ๓ อย่าง แต่ต่างกันเป็น จิตหนึ่ง เจตสิกหนึ่ง รูปหนึ่ง แล้วชาวพุทธก็จะได้ยินอีกคำหนึ่งคือ นิพพาน เพราะฉะนั้นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ก็จะต่างเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นปรมัตถธรรมทั้งหมดมี ๔

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 192
    6 ก.ค. 2568