ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1510


    ตอนที่ ๑๕๑๐

    สนทนาธรรม ที่ อ.สนม จ.สุรินทร์

    วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจว่าการเป็นพระอรหันต์เป็นได้อย่างไร และพระอรหันต์คือใคร พระอรหันต์ไม่ใช่พระโสดาบัน ไม่ใช่พระสกทาคามี และไม่ใช่พระอนาคามีด้วย แต่ว่าผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้วต่อไปก็จะถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้น คือพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นยังไม่ต้องกล่าวถึงพระอรหันต์ เพียงแต่กล่าวถึงพระโสดาบันบุคคล ถ้ามีใครสักคนหนึ่งบอกว่าเขาเป็นพระโสดาบันบุคคล จะเชื่อไหม หรือบอกว่าเป็นอรหันต์ไม่เชื่อ แต่บอกว่าเป็นพระโสดาบันเชื่อ

    ผู้ฟัง ไม่เชื่อ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่ต้องมีเหตุผลว่าทำไมไม่เชื่อ ก็เขาบอกแล้วยังไม่เชื่ออีกหรือ ทำไมถึงไม่เชื่อ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าพระโสดาบันคือใคร คือผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม และอริยสัจจธรรมคืออะไร เมื่อไหร่ถ้ายังไม่รู้และยังไม่รู้หนทางด้วยว่า จะอบรมเจริญปัญญาอย่างไรที่จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งแม้ว่าจะเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีลักษณะที่ปรากฏในขณะนี้ ให้ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการอบรม และความอดทนที่เป็นจิรกาลภาวนา เพราะว่าทรงแสดงไว้ว่าการที่จะสละความเป็นเรา จากเห็น จากได้ยิน จากคิดนึก จากทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นเราตั้งแต่เกิดมา แล้วในชาติก่อนๆ ก็ยังคงเป็นเรา และถ้าขณะนี้ชาตินี้ไม่อบรมเจริญปัญญาขึ้น ก็จะมีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา เพราะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปว่าเป็นเราอยู่เรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น จึงต้องมีปัญญาของตัวเองที่จะรู้ว่าหนทางที่ถูก ที่จะทำให้สามารถหยั่งถึงลักษณะที่เป็นจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ได้อย่างไร ถ้ารู้อย่างนั้นแล้ว ถ้าใครบอกว่าเขาเป็นพระอรหันต์ หรือว่าใครบอกว่าเขาเป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องเชื่อ แต่ให้เขาแสดงหนทางที่จะทำให้เป็นพระอริยบุคคล ถ้าเป็นหนทางที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรๆ ผู้กล่าวนั้นก็เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้

    ผู้ฟัง อย่างพระไตรปิฎก เราจะทราบได้อย่างไรว่าที่เขียนแล้วสืบๆ ต่อกันมา สืบจากของจริง ข้อความบางตอนอาจจะคลาดเคลื่อนได้ไหม

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าพระไตรปิฎกได้สืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน ใครจะเป็นผู้ที่สามารถรู้ได้ว่ามีการคลาดเคลื่อนบกพร่องตรงไหน และสมควรจะเชื่อตอนไหน ไม่สมควรจะเชื่อตอนไหน ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ หรือเปล่า ถ้ามีจริง ข้อความนี้มีในพระไตรปิฎกหรือเปล่า ที่จะรู้ว่าคลาดเคลื่อนหรือไม่คลาดเคลื่อน ก็คือศึกษาข้อความนั้นว่า ข้อความนั้นกล่าวถึงสัจจธรรมความจริง ให้ผู้ที่ได้ศึกษาได้ฟังในขณะมีโอกาสที่จะพิจารณาไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตัวเองขึ้นได้ไหม ถ้าได้ ข้อความนั้นต้องถูก ไม่ผิด

    ผู้ฟัง แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นของจริง

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เป็นผลต้องมาจากเหตุที่สมควร ถ้าไม่มีปัญญาที่สมควรจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีเหตุสมควรที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุสมควรที่จะเป็นพระโสดาบัน ก็เป็นพระโสดาบันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุที่ถูกต้อง ซึ่งจะนำมาซึ่งผลที่ถูกต้อง โดยที่ไม่ใช่เพียงแต่ฟังผล และก็ไม่รู้ว่าเหตุมาจากไหน

    เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาเหตุคือหนทางปฏิบัติด้วยว่า หนทางนี้จะทำให้ปัญญาสมบูรณ์ขึ้นถึงระดับที่สามารถรู้แจ้งสัจจธรรมได้ไหม ขอประทานโทษ พลเมืองไทยมี ๖๐ ล้าน และมีผู้ที่ศึกษาเข้าใจธรรมเท่าไหร่ น้อยมาก และที่ได้ศึกษาแล้ว ศึกษาแล้วเข้าใจถูก เข้าใจผิด มีไหม บางคนก็เข้าใจผิด บางคนก็เข้าใจถูก เพราะฉะนั้นก็กรองมาถึงว่าแม้แต่จำนวนที่น้อยมากที่ศึกษา และที่จะเข้าใจถูกก็ยิ่งน้อยมาก เพราะฉะนั้นจะมีผู้ที่เข้าใจหนทางที่จะทำให้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ น้อยหรือมาก

    ผู้ฟัง น้อย

    ท่านอาจารย์ ความจริงคือความจริง ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ต้องอาจหาญร่าเริงที่จะเข้าใจถูกเห็นถูก เพราะว่าทุกคนต้องการสิ่งเดียวคือ ความเข้าใจถูกในสัจจธรรม ไม่ต้องการของหลอก ไม่จริง ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นสัจจธรรม เป็นของจริงก็สามารถที่จะทำให้ผู้นั้นเข้าใจถูกเห็นถูก และพิสูจน์ได้ว่าหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมมีหนทางเดียว

    เพราะขณะนี้มีสภาพธรรม แต่ทำไมไม่รู้ว่าสภาพธรรมขณะนี้เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว เป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน ทำไมไม่รู้ เเม้ว่าฟังเข้าใจก็ยังไม่ประจักษ์ เพราะว่ายังไม่ถึงระดับขั้นที่สติที่สามารถจะมีปัจจัยปรุงแต่ง ให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งกำลังปรากฏ แต่เมื่อมีปัจจัยเมื่อไหร่ สติปัฏฐานหรือสติสัมปชัญญะก็จะเกิด เมื่อสติสัมปชัญญะเกิดก็ค่อยๆ เข้าใจลักษณะนั้นทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะถึงการดับกิเลสเป็นพระโสดาบัน

    ถ้าเข้าใจหนทางอย่างนี้ แล้วบุคคลอื่นจะไม่มีหนทางที่ถูกต้อง เพียงแต่กล่าวว่านั่งเฉยๆ แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม หรือนั่งไปแล้วก็คิดไป ขั้นคิด ก็คิดว่าจะหยั่งถึงลักษณะการเกิดดับของสภาพธรรม ก็เป็นไปไม่ได้

    ใครสามารถที่จะบอกได้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ คือผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ด้วยการสนทนากัน ใครสามารถจะบอกได้ว่าใครเป็นอนาคามีบุคคล ก็คือผู้ที่เป็นพระอนาคามีบุคคลเมื่อสนทนากัน ปัญญาเกิดจากการฟังเป็นประการแรก จะอ่าน จะเขียน จะสนทนา จะอะไรก็แล้วแต่ แต่หมายความว่าเกิดจากการฟัง ความคิดความเห็นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ความเห็นของบุคคลอื่น ฟังใครมาก็ตามแต่ ต้องเทียบเคียงกับคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ตรงกับคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเชื่อใคร

    ผู้ฟัง ถามความเห็นอาจารย์ ประเด็นเรื่องภิกษุณี มีฝ่ายหนึ่งก็เห็นว่าภิกษุณีไม่น่าจะมีแล้วในโลกนี้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็แปลว่าภิกษุณีก็เป็นพุทธบริษัทฝ่ายหนึ่ง ก็น่าจะมีอยู่ จริงๆ แล้วความจริงเป็นประการใด

    ท่านอาจารย์ ใครเป็นพระภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา พระมหาประชาบดีโคตมี ซึ่งหลังจากที่พระนางสิริมหามายาได้สวรรคตแล้ว น้องสาวของพระองค์คือ พระนางมหาปชาบดีโคตมีก็ได้เลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก และทรงมีเมตตารักใคร่เจ้าชายสิทธัตถะมากทีเดียว และเมื่อพระโพธิสัตว์คือเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม พระมหาประชาบดีก็ทรงปรารถนาที่จะบำเพ็ญอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต ทูลขออุปสมบท พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาต หรือทรงปฏิเสธในครั้งแรกๆ

    ผู้ฟัง ปฏิเสธ

    ท่านอาจารย์ ทำไมปฏิเสธ ต้องคิดถึงว่าทำไม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการมีภิกษุณีในครั้งนั้น พระองค์เป็นผู้ที่มีพระปัญญาคุณสูงสุด ไม่มีใครเทียบได้ มีพระมหากรุณา มีพระบริสุทธิคุณด้วย ลองคิดถึงว่าแล้วทำไมไม่ทรงอนุญาตให้พระมหาประชาบดีโคตมีบวช เมื่อได้ทูลขอครั้งแรก ต้องมีเหตุผล แล้วเราเป็นใคร เราอยากมี หรือว่าเราจะต้องพิจารณาว่า เพราะเหตุใดพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่ทรงอนุญาต

    เพราะฉะนั้นต้องมีเหตุผล เป็นเพศที่เหมาะควรแก่การที่จะสืบทอดพระศาสนา ในฐานะของบรรพชิตซึ่งเป็นประมุขของพุทธบริษัทหรือไม่ เรื่องนี้ก็ต้องเป็นสิ่งซึ่งมีความต่างกัน ระหว่างเพศชายกับเพศหญิง ก็จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของความเหมาะสมที่ทรงทราบว่า ผู้ที่จะนำสืบทอดพระศาสนาที่เป็นประมุขก็คือพระภิกษุ และการที่จะมีพระภิกษุณีก็จะเป็นการทำให้พระศาสนาอายุสั้นลง เพราะว่าก็คงจะเกี่ยวกับเพศซึ่งต่างกัน และต้องอยู่ใกล้ชิดกัน และก็การที่จะไปแสดงธรรมในที่ต่างๆ นั้นไม่เหมาะกับเพศของผู้หญิงเลย

    และอีกประการหนึ่งทุกคนก็คงจะทราบว่า ผู้ที่บวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาใหญ่ เป็นผู้ที่อบรมมาที่จะเจริญปัญญาในเพศของบรรพชิต ซึ่งเป็นผู้สละ ต้องสละจึงจะเป็นบรรพชิตได้ ถ้ายังไม่สละก็เป็นบรรพชิตไม่ได้เลย สละทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่สละวงศาคณาญาติ มารดาบิดา ลาภยศสรรเสริญสุขทุกอย่าง แม้แต่เกียรติยศซึ่งเคยมี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชาย ไม่ว่าจะมีตำแหน่งเสนาบดี หรือว่าเป็นอะไรมาก่อนก็ตามแต่ ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีจีวร เครื่องนุ่งห่มเพียง ๓ ผืน หรือว่ามีที่อยู่อาศัยก็เป็นโคนไม้ เรือนว่างหรือว่า กุฏี ที่มีผู้ที่มีศรัทธาอุทิศถวายทำให้

    แม้แต่อาหารก็แล้วแต่จะได้มา ซึ่งไม่เหมือนที่เคย เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้แสวงหาพระกระยาหารหลังจากที่ได้บรรพชา แต่ว่ายังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ยังไม่ได้ทรงตรัสรู้นั้น เมื่อได้รับอาหารบิณฑบาตครั้งแรก จะต่างกับที่เคยเสวยในพระราชวังไหม แต่ว่าทรงสละทุกอย่างเพื่อการที่จะดับกิเลสทั้งหลายได้

    เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของพุทธบริษัท ก็ต้องแล้วแต่ฐานะ คือถ้าเป็นบุรุษก็สามารถที่จะเป็นเพศบรรพชิต เป็นภิกษุได้ แต่สำหรับผู้หญิงในยุคนี้สมัยนี้ หลังจากที่ภิกษุณีได้หมดสิ้นไปแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะมีการบวชอย่างถูกต้องในพระธรรมวินัยได้ และอีกประการหนึ่ง แม้เป็นคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะเป็นพระโสดาบันได้ ท่านอนาถบิณฑิกะท่านก็เป็นพระโสดาบัน วิสาขามิคารมารดาผู้เลิศในการให้ทานก็เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามีก็ได้ เป็นพระอนาคามีก็ได้ เป็นพระอรหันต์ก็ได้

    แต่เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วก็จะต้องเป็นเพศบรรพชิต ภายในวันนั้น ไม่สามารถที่จะดำรงความเป็นคฤหัสถ์อีกต่อไปได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความห่างไกลกันมาก ระหว่างผู้ที่มีอัธยาศัยใหญ่ที่จะสละความสุขใดๆ ความสะดวกต่างๆ ในเพศของคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต สละลาภ สละยศ สละทุกอย่าง และทำไมต้องบวชเพื่ออะไร ในเมื่อสามารถที่จะเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือแม้พระอรหันต์ก็ได้

    ถ้าถามจริงๆ ว่าบวชเพื่ออะไร เพื่อสละ หรือว่าเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อฐานะหนึ่งฐานะใด อุบาสิกาพอไหม หรือต้องเป็นอะไร ถ้าเป็นอุบาสิกาก็ยังอยากจะเป็นอย่างอื่นหรือเปล่า ถ้าอยาก เป็นเรื่องละ หรือเป็นเรื่องต้องการ

    ผู้ฟัง คือว่าอย่างผู้เฒ่าผู้แก่ ตอนนี้ท่านก็อายุมากแล้ว จะให้ท่านไปนั่งฟังพระอภิธรรมจะเข้าใจตามได้ คงจะต้องใช้เวลาอีกนาน

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่า ถ้าเราไม่ใช้คำว่าอภิธรรม แต่ว่าให้ท่านเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้ไหม โดยไม่ต้องใช้คำนี้ ไม่ต้องให้ท่านปวดหัว ถ้าท่านคิดว่าได้ยินคำว่าอภิธรรมแล้วจะปวดหัว ความจริงคนที่ใช้คำพูดว่า เขารู้ธรรมแต่เขาไม่รู้อภิธรรม ถ้าคนที่เข้าใจแล้วจะเข้าใจได้ไหมว่าพูดผิดหรือพูดถูก เพราะว่าธรรมนั่นเองเป็นอภิธรรม หรือว่าเป็นปรมัตถธรรม จะต่างกันไม่ได้เลย เพียงแต่เขาไม่รู้ เขาก็คิดว่าอภิธรรมไม่ใช่ธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เรื่องอื่นรู้สึกว่าท่านจะเคยฟังกันมาแล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไรที่พระคุณเจ้าอยากจะให้พูดสั้นๆ ก็เข้าใจว่าท่านก็เคยฟังกันมาแล้ว

    และอีกประการหนึ่ง ความคิดของเรากับความคิดที่ถูกต้องในพระไตรปิฎกต่างกัน ถ้าเป็นบุคคลที่มีปัญญามากไม่ต้องฟังมาก ฟังสั้นๆ ท่านพระสารีบุตรฟังคาถาไม่กี่บาท ก็สามารถที่จะเป็นพระโสดาบันได้ เพราะฉะนั้นคำสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญญามาก ถ้าท่านจะยอมรับว่าท่าเป็นผู้มีปัญญามาก ท่านก็ฟังคำสั้นๆ

    ต้องฟังไม่รู้จบจะฟังไปเรื่อยๆ มีโอกาสเมื่อไหร่ก็ฟัง สะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย วันนี้เข้าใจได้แค่นี้ ฟังต่อไปวันหน้าก็จะเข้าใจได้อีก ผู้ที่ฟังรายการวิทยุธรรมของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาซึ่งออกอากาศตั้งแต่พ.ศ.๒๕๑๐ ตอนแรกๆ ท่านก็บอกว่าท่านฟังมาตั้ง ๑๐ ปีก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ๒๐ ปีก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ เดี๋ยวนี้ค่อยเข้าใจขึ้น ท่านยอมรับว่าท่านมีปัญญาน้อย

    แต่ถ้าใครก็ตามที่ขอคำสั้นๆ คนนั้นต้องมีปัญญามหาศาล ข้อสำคัญก็คือว่าแม้คำสั้นนั้นเข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าจริงๆ แล้วทุกข์ทั้งหลายมาจากอวิชชา คือความไม่รู้ ถ้ามีความรู้ถูกต้องแล้วจะมีทุกข์ไม่ได้เลย และอวิชชานี้ก็มีมากมาย เป็นฐานของกิเลสทั้งหลาย ถ้ายังมีอวิชชาอยู่ตราบใดก็จะละกิเลสสักอย่างเดียวไม่ได้ จะละอิสสา ความริษยาก็ไม่ได้ จะละความผูกโกรธ ความอาฆาตพยาบาท หรือความขุ่นเคืองใจก็ไม่ได้ จะละความติดข้องผูกพันในลูกหลาน ในมิตรสหาย ในบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นที่จะละได้จริงๆ ก็คือสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอวิชชา ได้แก่ วิชชา หรือปัญญาเท่านั้น ที่จะทำให้แต่ละบุคคลมีความเห็นที่ถูกต้องขึ้น เมื่อมีความเห็นที่ถูกก็ค่อยๆ และความเห็นที่ผิด เมื่อความเห็นที่ผิดค่อยๆ ลดน้อยลง กิเลสทั้งหลายก็จะค่อยๆ เบาบางลงทีละเล็กทีละน้อยได้ จนกว่าสามารถที่จะดับได้เป็นสมุทเฉจ

    ผู้ฟัง ช่วยบอกแนวทางละโทสะกับโลภะ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วลองคิดดูว่าความโกรธเกิดแล้ว ทำอะไรได้ไหม เกิดแล้ว จะไม่ให้เกิดเป็นอย่างนั้นในขณะนั้นย่อมไม่ได้ เพราะเหตุว่าเกิดแล้ว แต่ว่าเมื่อความโกรธเกิดแล้ว ตัวอยากมาแล้ว อยากให้ไม่โกรธ หรือเข้าใจถูกต้องว่าลักษณะโกรธซึ่งเคยเป็นเรา ซึ่งเคยไม่ชอบ แท้ที่จริงแล้วก็คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะของความโกรธในขณะนั้นให้เป็นอื่นไม่ได้ และความโกรธก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ขุ่นใจนิดเดียว ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้นอกจากตัวเอง แต่ว่าถ้าโกรธมากขึ้นก็อาจมีลักษณะของหน้าตา ซึ่งคนอื่นก็พอจะสังเกตรู้ได้ว่าคนนี้ไม่ปกติเเล้ว โกรธแล้ว หน้าบึ้งหน้างอ และบางคนก็อาจจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสารพัดอย่าง ซึ่งเป็นระดับของความโกรธซึ่งเกิดขึ้น เป็นปกติของผู้ไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เราเลย แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แล้วถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้ความโกรธระดับนั้นเกิด ความโกรธระดับนั้นก็ไม่เกิด ก็ยังคงเป็นเพียงความขุ่นใจเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ ไม่ถึงกับความผูกโกรธ ความอาฆาต หรือว่าความโกรธอย่างรุนแรง

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม มีใครที่ได้ฟังธรรมแล้วเริ่มคิดใหม่ แทนที่จะอยากไม่โกรธเป็นเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นทันทีว่า ขณะนั้นเป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยชื่อต่างๆ โทสะ ปฏิฆะ พยาบาท พวกนี้ก็เป็นชื่อของสภาพธรรมที่หยาบกระด้าง ที่ไม่สบายใจขุ่นเคืองใจในขณะนั้น เพราะฉะนั้นถ้าขณะนั้นสามารถเข้าใจถูก เห็นธรรมไหม เห็นขั้นนี้ ยังไม่ถึงขั้นประจักษ์ในการที่ไม่มีเราเลย เเล้วสภาพธรรมนั้นเพียงเกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าเพียงเห็นด้วยความคิดที่เริ่มถูกต้องว่า ขณะนั้นเป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงชนิดหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นถ้าต่อไปจะทราบได้ สติสัมปชัญญะ หรือสติปัฏฐานไม่ใช่ขณะที่เราคิดว่าเราไปทำ เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นเรา แต่ขณะที่มีการสามารถเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นในลักษณะนั้นจริงๆ ว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าใครไม่เรียกไม่บอกว่าเป็นสติปัฏฐาน แต่ขณะนั้นไม่ได้มีอย่างอื่นเป็นอารมณ์เลย นอกจากมีลักษณะที่ปรากฏในขณะนั้น แล้วก็มีความเข้าใจถูก คือเริ่มรู้ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ขณะนั้นจึงเป็นตัวจริงของสติปัฏฐาน แต่ไม่ใช่เพียงชื่อซึ่งเราไปเรียก ไปใช้ว่าสติปัฏฐาน แต่แท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่สติปัฏฐาน

    อริยสัจจ์ทั้ง ๔ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องไม่ฟัง ไม่เข้าใจ ไม่ไตร่ตรอง และก็มีตัวตนที่พยายามที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นเป็นตัวเรา ไม่ใช่หนทางที่เจริญปัญญาละความเป็นเรา ด้วยการรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งมีจริงๆ แล้วก็เกิดจริงๆ แล้วก็ยับยั้งไม่ได้ ก็จะเข้าถึงความหมายของคำว่าอนัตตา เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่าเราจะกล่าวไปกี่ร้อยครั้งพันครั้งว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่เวลานี้ธรรมที่กำลังมีเป็นอนัตตาหรือเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งที่จะสะกิดใจให้รู้ว่า ถ้าใครอยากจะไม่โกรธ อยากจะไม่โลภ อยากทุกอย่างคือ ไม่อยากจะมีสิ่งที่ไม่ดี นั่นเป็นเพียงความอยากที่จะไม่มี หรือไม่อยากจะมี แต่ไม่ใช่ปัญญา

    เพราะฉะนั้นปัญญาก็คือสามารถเข้าใจถูกเห็นถูก โดยขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เริ่มรู้ลักษณะของสติว่า ขณะนั้นที่มีสภาพธรรมใดสภาพหนึ่ง ปรากฏลักษณะนั้นให้เข้าใจถูกต้อง ขณะนั้นเป็นสติสัมปชัญญะ และเป็นสติปัฏฐาน ถ้าไม่ใช่หนทางนี้ ก็ไม่ใช่หนทางของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องตามตำราหรือเปล่า หรือว่าเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ สติสัมปชัญญะที่สามารถรู้ถูก ระลึกถูก เข้าใจถูกก็ต้องเป็นสัมมามรรค หนทางถูกที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น

    ผู้ฟัง การสอนธรรมให้เข้าใจโดยง่ายคือ ให้รู้ตั้งแต่ประถมไปจนถึงวัยชรา นี่แตกต่างกันไหม

    ท่านอาจารย์ ธรรมมีอยู่แล้ว เข้าใจหรือยัง เท่านั้น เพราะฉะนั้นจะให้เข้าใจธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต้องเริ่มจากครอบครัวไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเราจะมีครอบครัวไหม และเราก็คืออะไร เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด แต่เมื่อไม่รู้ก็เป็นเรา และก็เป็นครอบครัวของเรา เป็นโลกของเรา แต่ความจริงทุกคนเกิดมาคนเดียว หรือว่าเกิดมาหลายคนพร้อมกัน ในขณะที่เราเกิดเเล้วรวมกันเป็นเรา ขณะเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นคนเดียวขณะที่กำลังเห็น หรือว่ามีคนอื่นมาร่วมเห็นในขณะที่เราเห็น ในขณะเดียวกันนี้ด้วย เกิดมาคนเดียว อยู่คนเดียว เห็นคนเดียว ได้ยินคนเดียว คิดคนเดียว ตายคนเดียว

    แต่มีความเข้าใจว่าอยู่กับโลกทั้งโลก อยู่กับคนอื่นมากมาย อยู่กับวงศาคณาญาติ ถ้าไม่คิด จะมีแต่เห็นแล้วก็หมดไป ถ้าไม่มีสัญญาความจำ ก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ถ้าไม่มีสภาพของเจตสิกอื่นๆ ที่จะปรุงแต่ง ก็จะไม่มีการรักกันชังในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วก็เป็นสภาพธรรมนั่นเองที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ต้องรู้ความจริงนี้ จะด้วยวิธีไหน อย่างไรก็ตามแต่ แต่ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ก็คือว่า ยังไม่ได้เข้าใจธรรม ยังไม่ได้ศึกษาธรรม ยังไม่ได้ฟังให้เข้าใจด้วย แต่อาจจะคิดว่าสิ่งที่ได้ฟังทำให้เข้าใจ แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่เข้าใจธรรมจริงๆ ขณะนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าเข้าใจธรรม เพียงแต่เข้าใจเรื่องราวของกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เท่านั้นเอง ที่เกิดมา นี่ใครเกิด

    ผู้ฟัง ก็มีบิดามารดา

    ท่านอาจารย์ มิได้ บิดามารดา ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม ไม่มีธรรม อะไรจะเป็นบิดามารดา หรือว่าขณะนี้ถ้าไม่มีธรรม อะไรจะเป็นเราที่อยู่ตรงนี้ ถ้าไม่มีธรรมก็ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นแม้แต่ที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เพราะเหตุว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่ให้ดับก็ไม่ได้ จะให้เป็นอย่างนี้ไม่ให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ จะให้เป็นอย่างที่ต้องการก็เป็นไปไม่ได้ ลักษณะของธรรมที่กล่าวว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่าธรรมแต่ละอย่างมีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงหรือว่าแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย

    ลักษณะของโลภะคือสภาพที่ติดข้อง ต้องการ อยากได้ ตรงกันข้ามกับลักษณะของโทสะ จะเปลี่ยนลักษณะของโทสะให้เป็นโลภะไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาเกิด อะไรเกิด ถ้ายังไม่ได้เข้าใจตรงนี้ก็ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไปปฏิบัติ ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งนั้นเลย เพราะว่ายังไม่เข้าใจตรงนี้ ขณะเกิด อะไรเกิด ทุกคนเกิดมาแล้ว ขณะที่เกิด อะไรเกิด

    ผู้ฟัง เราเกิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม จะมีเราไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแท้ที่จริงเเล้วก็คือ สภาพธรรมเกิด ถ้าเป็นแต่เพียงรูปธรรมไม่ชื่อว่าสัตว์บุคคล แต่ว่าเมื่อเป็นนามธรรมด้วย มีจิต และเจตสิก สภาพที่เกิดกับจิต เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน เมื่อมีจิต เจตสิก พร้อมรูปเกิดขึ้น ก็บัญญัติว่าเป็นคนเกิด สัตว์เกิด เทวดาเกิด พรหมเกิด แต่ต้องมีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็น จิต เจตสิก รูป

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 192
    14 ก.ค. 2568