ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1507
ตอนที่ ๑๕๐๗
สนทนาธรรม ที่ บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด
วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ เพราะว่ารูป รูปหนึ่งที่เกิดจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ดังนั้นระหว่างเห็นกับได้ยิน จิตเกิดดับเกินกว่า ๑๗ ขณะ ลองคิดดู รูปที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ อายุจะสั้นสักแค่ไหน เพราะว่ามีจิตเกิดดับคั่นระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินเกินกว่า ๑๗ ขณะ แต่เสมือนว่าจิตเห็นกับจิตได้ยินเกิดพร้อมกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจด้วย รูปที่กายทั้งหมด เกิดแล้วก็ดับ เร็วมาก รูปใดที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้ว ดับแล้ว
ดังนั้นคำว่าอารัมมณะ หมายเฉพาะสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริงซึ่งยังไม่ดับ เกิดขึ้นแล้วก็ปรากฏกับจิตใด รูปนั้น หรือสิ่งนั้นก็ตาม จะเป็นนามธรรมก็ได้ เป็นรูปธรรมก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ เป็นอารมณ์ของจิต คือเป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ นิพพานก็เป็นอารมณ์ของจิตได้ แต่ว่าเป็นอารมณ์ของจิตที่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงระดับขั้นที่คลายความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ คลายความติดข้อง ที่ว่าเบื่อหน่ายด้วยความไม่รู้จะไม่มีโอกาสที่จะรู้แจ้งนิพพาน แต่ถ้ามีปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมจะหน่ายจริงๆ ในการที่เห็น ได้ยิน ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป เมื่อไหร่สามารถที่จะทิ้งความติดข้องด้วยความเป็นเรา เมื่อนั้นก็สามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของนิพพานได้
เพราะฉะนั้น นิพพานจึงเป็นอารมณ์ของโลกุตรจิต จิตที่พ้นจากการมีโลกคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นอารมณ์ ก็เป็นการที่จะให้เข้าใจความหมายของอารมณ์ที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าในภาษาไทยใช้คำภาษาบาลี ซึ่งไม่ได้ตรงกับความหมายที่ถูกต้อง เเต่ใช้โดยความหมายที่ไกลจากภาษาบาลี เช่น ถ้าวันนี้เราอารมณ์ดี หมายความว่าเราเห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดี มีเรื่องราวคิดนึกทางใจที่ดี เราก็บอกว่าวันนี้อารมณ์ดี แต่อารมณ์จริงๆ ก็คือ สิ่งที่จิตกำลังรู้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้เป็นอารมณ์ของจิตเห็น เสียงขณะที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์ของจิตได้ยิน
คำถามข้อนี้ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาของหลายท่านที่ถามว่า การที่เราไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น และมีความสุขในชีวิตครอบครัว พ่อแม่ลูกหลาน เราจะต้องทำบุญให้ทานด้วยหรือ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพบ และเรามี ปรากฏได้มาด้วยสติปัญญา สมอง และสองมือของเรา
จริงๆ หรือ? เกิดมาเพราะสติปัญญา สมอง และสองมือของเราหรือเปล่า เริ่มต้นของการเกิดเป็นมนุษย์ก็เห็นได้แล้วใช่ไหมว่า แท้ที่จริงไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แต่ว่าเรายึดถือสิ่งที่มี ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ยึดถือว่าเป็นของเราหมด รูปร่างกายที่จริงก็คือเกิดมาได้อย่างไร แม้แต่เพียงว่าขณะนี้ กระทบแข็ง แค่แข็งมาอย่างไร มีแข็ง เราอาจจะคิดว่ามีแข็งเป็นของธรรมดา แต่ว่าผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ ความคิดของพระองค์ต่างกับบุคคลอื่น ต้องเป็นความละเอียด แม้แต่สิ่งที่มีที่แข็งเกิดจากอะไร มีขึ้นมาได้อย่างไร ไม่ใช่เราผ่านไปว่ามีแข็ง เเล้วทึกทักเลยว่าแข็งก็เป็นเรา แต่ว่าความจริงต้องมีการเกิดขึ้น แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่มีการเกิดอีกเลย ไม่มีร่างกายอีกเลย แต่สำหรับผู้ที่เกิดมา ถึงจะอยากไม่เกิด หรือว่าจะใช้คำว่าไม่อยากเกิด แต่ก็ต้องเกิด เพราะเหตุว่ากิเลสต่างหากที่ทำให้เกิด
อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ผู้ที่คุ้นเคยกับปฏิจจสมุปบาทก็จะได้ยินคำว่าอวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำดีชั่วต่างๆ และการกระทำที่ดีชั่ว ถ้าเป็นผลของกรรมดีไม่ได้จบลงเพียงแค่ชาตินี้ สิ่งที่เป็นเหตุต้องมีผล ผลนั้นอาจจะเป็นผลที่ได้รับในชาตินี้ก็ได้ หรือว่าในชาติหน้าก็ได้ หรือว่าถ้าชาตินี้และชาติหน้ายังไม่ให้ผล ก็จะให้ผลต่อๆ ไปในชาติอื่นๆ ได้ เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่แสนชาติ แต่แสนกัปป์ พระองค์ก็ยังทรงประชวร เพราะอะไร
ถ้าไม่มีอดีตกรรมที่ได้ทำมาแล้วเนิ่นนาน เพราะว่าจากการที่บำเพ็ญพระบารมี ทุกคนก็จะได้เห็นว่าทรงบำเพ็ญบารมีเหนือบุคคลอื่นทั้งสิ้น ทั้งทานทั้งศีลทั้งกุศลใดๆ ทั้งสิ้น ที่ปรารถนาจะให้ไม่เพียงแต่เป็นพระองค์เดียวที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมซึ่งรู้ยาก แต่ก็ยังทรงบำเพ็ญเพื่อถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงประกอบด้วยทศพลญาณ พระญาณทั้ง ๑๐ ซึ่งบุคคลอื่นไม่มี ที่สามารถจะทรงแสดงธรรมให้บุคคลอื่นได้เกิดความรู้ความเข้าใจ จนกระทั่งประพฤติปฏิบัติตามดับกิเลสได้ นี่ก็เป็นพระมหากรุณา หรือว่าในชาติก่อนๆ ก็เหมือนกัน ที่เราได้ทำมาแล้ว เเละในชาตินี้เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เราจะมีผลของกรรม คือ วิบาก เมื่อไหร่ ขณะไหน ขณะนี้เป็นคนที่ไม่ป่วยไข้ อาจจะสิ้นชีวิตลงในขณะนี้ก็ได้ อาจจะพิกลพิการในขณะนี้ก็ได้ มาจากไหน ถ้าไม่มีเหตุที่ได้กระทำไว้ก็จะไม่มีผลนั้นๆ เกิดขึ้นเลย
ถ้ามีความเข้าใจในเรื่องกรรมซึ่งเป็นเหตุ และผลของกรรม ก็จะรู้ได้ว่าทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่เกิด เกิดมากรรมทำให้มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย ใครทำให้ สองมือของเราทำหรือเปล่า สมอง สติปัญญาของเราทำหรือเปล่า แต่ว่าเราลืมคิดถึงสภาพธรรมว่า แม้มีสมอง มีสติมีปัญญา แต่สภาพธรรมที่เป็นผลจะเกิดขึ้นตามกรรมซึ่งเป็นกุศล และอกุศล เมื่อไหร่ก็ได้ทั้งสิ้น เราอาจมีสมอง มีสติมีปัญญา มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่ได้ใช้ทรัพย์สมบัตินั้นเลยก็ได้เมื่อเราป่วยไข้ หรือว่าเราต้องจากโลกนี้ไป
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า เรื่องของการไม่รู้ว่าชีวิตของเราควรดำเนินอย่างไร เช่น ที่ถามว่าเราไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ได้เบียดเบียนจริง แต่จิตเราเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าจิตของเราเป็นอกุศลมากๆ เราจะเบียดเบียนคนอื่นด้วยกำลังของอกุศลที่สะสมมา ได้ไหม บางคนอาจจะคิดว่าเราไม่ได้เบียดเบียนใคร วาจาของเราน่าฟังหรือเปล่า แม้แต่เพียงการที่จะขอให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดทำอะไรให้เรา เราใช้คำพูดอย่างไร ใช้คำพูดที่เขาฟังแล้วสบายใจ ยินดีเต็มใจพร้อมจะทำให้ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อรู้ว่าเราต้องการ เขาจะรีบทำทันที หรือว่าวาจาของเราไม่น่าฟังเลย เขาทำให้เพราะจำเป็นต้องทำให้ แต่ก็ไม่ได้ทำด้วยน้ำใจใคร่ที่จะทำให้เราจริงๆ
การที่จะเบียดเบียนคนอื่นด้วยกายก็ได้ ด้วยวาจาก็ได้ แม้ใจของเราที่ไม่เมตตาคนอื่นในขณะนั้น แต่ขณะที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นวาจา ไม่ได้ทำออกมาด้วยกาย แต่ใจของเราในขณะนั้นเป็นอกุศล ซึ่งพร้อมที่ว่าเมื่อมีมากก็จะต้องมีการกระทำอกุศลกรรม ทุจริตต่างๆ ลองคิดดู ตอนเป็นเด็กไปโรงเรียน มีใครคิดจะทำทุจริตบ้างไหม ล้วนแต่ถูกสอนมาว่าเติบโตขึ้นก็จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ และวงศาคณาญาติ บริวาร ทั้งหมดเลยที่เรารู้จักได้รับการสั่งสอนอย่างนั้น
แต่ว่าเมื่อวัยเจริญเติบโตขึ้น โลภะเพิ่มขึ้น ความเห็นแก่ตัว การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นของเราเพิ่มขึ้น การกระทำของเราเป็นเครื่องแสดงว่าเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล แต่ก่อนที่การกระทำนั้นจะเกิดขึ้น อกุศลจิตต้องค่อยๆ สะสม ซึ่งจากตอนเป็นเด็กอาจจะดูเป็นผู้ที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่เมื่อโตขึ้นเริ่มมีความเห็นแก่ตัว หรือว่าคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้วก็ตาม ในฐานะหนึ่ง วัยหนึ่ง ก็อาจจะมีการที่ช่วยเหลือบุคคลอื่น หวังดีต่อคนอื่น แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงสภาพของฐานะต่างๆ มีความติดข้องในสิ่งนั้นมากขึ้น การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะน้อยลง หรือว่าการเห็นแก่ตัวจะเพิ่มขึ้น สิ่งนี้ก็ตามการสะสม บางคนจากนิสัยไม่ดีก็เกิดเปลี่ยนแปลงได้ บางคนจากนิสัยที่สะสมมาดีพอสมควร ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีได้
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น และมีความสุขในชีวิตครอบครัว พ่อแม่ลูกหลาน ก็มีความจำเป็นที่เราจะต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าบุญคืออะไร ขณะไหน แล้วก็บาป หรือว่าอกุศลกรรมคือในขณะไหน เราจะได้เป็นผู้ที่สะสมบุญ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนต้องการในแต่ละชาติก็คือ ต้องการผลของบุญ ต้องการเห็นรูปดีๆ และต้องการได้ยินเสียงดีๆ ต้องการกลิ่นดีๆ ต้องการรสดีๆ ต้องการกระทบสัมผัสดีๆ ไม่ต้องการเจ็บป่วยเลยสักนิดเดียว รู้สึกคันสักนิดก็ไม่ชอบไม่พอใจแล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราต้องการล้วนเป็นผลของบุญทั้งสิ้น แล้วเราจะเห็นได้ว่าบุญและบาป หรือกรรมเป็นสิ่งที่ปกปิด ขณะใดที่ทำ เราจะไม่รู้เลยว่าผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว จะให้ผลวันไหนในลักษณะอย่างไร ซึ่งมีความวิจิตรละเอียดมาก การให้ผลของกรรมเหลือเชื่อว่าจะเป็นไปได้อย่างนั้น แต่ก็ได้เป็นความจริงซึ่งทุกคนก็อาจจะอ่านตามหนังสือพิมพ์ เหตุการณ์ต่างๆ และก็รู้ว่าไม่มีใครสามารถจะทำอะไรให้ได้วิจิตรเท่ากับกรรม ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกุศล หรือทางฝ่ายอกุศล คงได้ยินได้ฟังเรื่องของผู้ที่ถูกสลากกินแบ่ง ๓๐ กว่าล้าน ใช่ไหม และก็คงจะได้ยินผู้ที่ติดอยู่ในลิฟท์ ก็เป็นเรื่องความวิจิตรของกรรมที่ทำได้ทุกอย่าง
ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องเหตุกับผล ในเรื่องของกรรมกับผลของกรรม ก็จะเป็นผู้ที่มีกุศลจิตมากขึ้น และละคลายอกุศลจิตให้เบาบางลง ตามคำถามที่ว่า เมื่อเรามีความสุขในชีวิตครอบครัว พ่อแม่ลูกหลาน เราจะต้องทำบุญให้ทานด้วยหรือ
ทาน คือการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น จะมากหรือจะน้อยไม่เป็นไร ในเมื่อสิ่งนั้นเป็นประโยชน์สำหรับผู้รับ จึงไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราจะทำทานใหญ่ แล้วเราจะทำทาน แต่ชีวิตประจำวันของเราทำได้เมื่อมีโอกาส
ข้อความในชาดก ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์กล่าวว่าท่านให้เมื่อมี เดือดร้อนไหม ไม่ต้องไปคิดอยากจะให้ แต่ขณะนั้นไม่มีจะให้ พยายามที่จะไปหามาเพื่อที่จะให้ นั่นก็เดือดร้อน แต่จะให้เมื่อมี เมื่อมีก็สามารถที่จะให้ได้ แต่ถ้ายังไม่มีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำตัวให้ลำบากเพื่อที่จะให้ และการให้ก็มีการให้หลายอย่าง ให้สิ่งที่เป็นวัตถุก็ได้ หรือว่าให้ความรู้ ความเข้าใจคนอื่นด้วยความเมตตาก็ได้
เพราะฉะนั้น การให้ก็สามารถที่จะกระทำได้ในชีวิตประจำวัน หรือว่าบุญอื่นๆ ซึ่งเป็นกุศลอื่นๆ ถ้ารู้ว่ากุศลมี ๑๐ ประการ ไม่ใช่เพียงแต่ทาน การให้วัตถุเพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่นเท่านั้นที่เป็นกุศล บุญอื่นก็เป็นกุศลได้ ก็จะเป็นผู้ที่มีกุศลมากกว่าอกุศล และก็คงจะไม่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะเรา เพราะเหตุว่าเราไม่มี แต่มีจิต เจตสิก ซึ่งเป็นกุศลและอกุศล แล้วก็มีการกระทำกรรมด้วยกุศลจิต หรืออกุศลจิต และกรรมนั้นก็ให้ผลสมควรแก่เหตุ จะให้เกินกว่าเหตุก็ไม่ได้ จะให้น้อยกว่าเหตุก็ไม่ได้ มากกว่าเหตุก็ไม่ได้ ตามสมควรจริงๆ
มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งเขียนมาบอกว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีการกระทำในชีวิตประจำวัน ในการเอื้อประโยชน์สุขให้แก่ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิด พอสมควรแล้ว และมีการฟังบรรยายธรรมตามโอกาส และรู้ตามภูมิปัญญาที่มีอยู่ เมื่อฟังการบรรยาย ฟังเรื่องกิจของจิต รู้สึกว่าละเอียด ท่านขีดเส้นใต้ และลุ่มลึก ท่านก็ขีดเส้นใต้อีก ทำให้รู้สึกท้อใจนิดๆ โชคดีที่ไม่ท้อใจมาก ทำให้รู้สึกท้อใจนิดๆ ว่าคงไปไม่รอดแน่ ไม่ทราบไปไหนที่ไม่รอด
แต่ถ้าฟังธรรม รอดกว่าไม่ฟังแน่ คงหมดปัญญาที่จะรู้ต่อไปแล้วท้อถอย ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพราะหวังผลมากเหลือเกิน แต่ถ้าเราคิดว่าจากความไม่รู้เลย และก็ได้รู้บ้าง จะดีกว่ายังคงไม่รู้เลยไหม และการเรียนทุกอย่างให้ทราบว่า เราจะรู้ทันทีจะเป็นไปได้อย่างไร จาก ก.ไก่ไปถึงบัณฑิต เป็นไปได้ไหม ต้องมีสระอา และต้องมีตัวอีกมากมาย ไม้เอกไม้โท แล้วเราทำไมถึงจะท้อถอยในเมื่อดีกว่าที่เราไม่เคยรู้
เพราะฉะนั้นขณะใดที่ท้อถอย ให้ทราบว่าเราหวังผลสูงมาก คือหวังว่าฟังแล้วจะหมดกิเลส ฟังแล้วจะไม่โกรธ ฟังแล้วจะเป็นคนดี ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย คิดถึงในอดีตอนันตรชาติแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว เราสะสมอะไรมาบ้าง การฟังธรรม เชื่อได้แน่ว่าเราคงจะได้เคยได้ฟังมาแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่มีเชื้อของความสนใจที่จะฟังพระธรรม เพราะว่าคงจะเป็นคนส่วนน้อยมาก แต่ส่วนน้อยที่มีความสนใจในการฟังเพราะรู้ประโยชน์ของการฟัง ก็เป็นเพราะเหตุว่าได้เคยฟังมาก่อน แต่ว่าจะน้อยหรือจะมากเป็นการที่รู้ได้ด้วยตัวเอง ถ้าฟังแล้วเข้าใจได้แล้วก็เห็นประโยชน์ นั่นคือเป็นผู้ที่ได้ฟังมาพอสมควร แต่ถ้าฟังแล้วรู้สึกว่ายาก หรือเข้าใจยาก แล้วก็ยังคงฟังต่อไปแม้ว่าจะท้อถอย ก็แสดงให้เห็นว่ากำลังสะสมพืชเชื้อของความเข้าใจที่แม้ยากก็ไม่ท้อถอย ทุกคนจะมีความท้อถอยถ้าหวังผล
แต่ถ้าการที่เราจะไม่หวังผลเลย คือ ฟังเข้าใจ ดีใช่ไหม ฟังอีก เข้าใจอีกก็ดีขึ้นอีก ฟังอีก เข้าใจอีกก็ดีขึ้นอีก ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ให้คิดถึงการบำเพ็ญบารมีของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขยแสนกัปป์ สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพระเจ้าผู้ยิ่งด้วยปัญญา แต่ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้เราได้ยินได้ฟังคำว่าธรรม ว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ของใคร เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดต้องดับ
แสดงให้เห็นว่าเราเริ่มมีปัญญาเห็นความจริง เห็นสัจจธรรมของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริง ซึ่งผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าจะได้ฟังอีกมากน้อยเท่าไรในชาตินี้ อาจจะสิ้นชีวิตไปก่อนที่จะได้ฟังอีกก็ได้ หรือว่าอาจจะได้ฟังอีกพอสมควรที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้น และก็จากโลกนี้ไปด้วยการที่มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะเหตุว่าผู้ที่ได้อบรมมามากอย่างท่านพระสารีบุตร อบรมมา ๑ อสงไขยแสนกัปป์ถึงความเป็นอัครสาวก เพียงฟังสั้นๆ ทำไมตรัสรู้ความจริงซึ่งเป็นอริยสัจจธรรม
ทุกขอริยสัจจะคือ สภาพธรรมขณะนี้เกิดดับ สมุทัย ความติดข้องเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าละความติดข้อง ไม่มีอีกเลย ตามลำดับขั้น เช่น ความติดข้องในความเป็นเรา ก็จะทำให้รู้แจ้งนิพพาน ดับการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้ ก็แสดงให้เห็นว่าการที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ยินได้ฟังธรรม ซึ่งก็เหมือนอย่างนี้ คือเห็นก็เห็นอย่างนี้ ได้ยินก็ได้ยินอย่างนี้ คิดนึกก็คิดนึกอย่างนี้ แต่สามารถประจักษ์ความจริงว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก เป็นสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับสืบต่อกัน นี่คือผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจึงสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งเป็นความจริงทุกกาลสมัย ซึ่งใครก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้ว
เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่ท้อถอย เพราะว่าก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะเป็นสาวก ซึ่งบางท่านก็แสนกัปป์ ท่านก็เป็นเหมือนอย่างผู้ที่เป็นปุถุชนนั่นเอง มีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ มีทุกอย่างเหมือนเรา แต่ว่าอาศัยการที่ได้ฟังและเห็นประโยชน์ ก็อบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ จนถึงชาติหนึ่ง ซึ่งทุกคนในที่นี้ถ้ายังคงสนใจศึกษาแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเหมือนท่านที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมมาแล้วได้ ก็คงจะไม่ท้อใจ ทีละนิดทีละหน่อย วันละเล็กวันละน้อย
ถึงแม้ว่าจะยังมีโลภะ อยากดูโทรทัศน์ อยากไปเที่ยว อยากซื้อของ อยากทำอะไร ก็เป็นชีวิตจริงซึ่งเป็นธรรม ข้อสำคัญที่สุดคือ สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วจึงปรากฏให้เห็นว่าเป็นจริงอย่างนี้ เมื่อเป็นจริงอย่างนี้ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ถ้าเรากำลังรับประทานอาหารอร่อย ความพอใจในรสอาหารเกิดแล้ว ใครจะไปห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้เพราะเกิดแล้ว เกิดแล้วที่จะพอใจระดับไหนก็เป็นระดับนั้น ไม่ว่าจะเป็นโลภะโทสะ แต่ละลักษณะก็ต้องเป็นตามที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดแล้วก็ดับแล้วด้วย สำหรับผู้ที่ปัญญาถึงความที่สามารถจะประจักษ์แจ้งในความเกิดดับของสภาพธรรม ก็จะรู้ว่าไม่ใช่เรา โดยเด็ดขาดเมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ก็มีผู้ที่ได้เห็นได้พบ และหลายคนก็ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เดินอยู่ในพระนครสาวัตถี หรือว่าพาราณสี หรือใกล้ๆ ที่ประทับ จะได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมจึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งนั้น ฉันใด ในครั้งนี้ก็ฉันนั้น คือถ้าเราเห็นพระพุทธรูป ไม่ทราบว่าเราคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือเปล่า แต่ว่าเราก็คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้เราระลึกถึง แต่ว่าเราจะสามารถรู้จักพระองค์ได้แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยตาในทุกกาลสมัย คือเมื่อได้เข้าใจพระธรรม ก็รู้ว่าไม่มีบุคคลอื่นที่จะสามารถแสดงพระธรรมได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นผู้นั้นต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราคงต้องเกิดอีกหลายชาติใช่ไหม คงไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวที่จะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องเกิดอีกเลย และในกาลข้างหน้า อีกนานก็จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งต่อไป เมื่อนั้นถ้าเราได้ฟังพระธรรมแล้วก็ได้เข้าใจพระธรรม พร้อมที่จะรู้จักพระองค์ เมื่อได้ฟังพระธรรมอีกครั้งหนึ่ง เราก็สามารถที่จะได้ปัญญาที่เข้าใจเพิ่มขึ้น จนถึงกาลที่อาจจะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ก็หวังว่าทุกท่านคงจะเป็นอย่างนั้น
สนทนาธรรม ที่ อ.สนม จ.สุรินทร์
วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๖
ท่านอาจารย์ กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพอย่างสูง และทุกท่านที่สนใจในธรรม ตามปกติธรรมดาเวลาที่ไปที่ต่างๆ ก็ไม่ทราบว่า แต่ละคนมีความสนใจในเรื่องอะไร เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากทั้ง ๓ ปิฎก พร้อมทั้งอรรถกถา และฎีกา แต่ก็เป็นชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดที่คิดว่า การฟังธรรมที่จะได้ประโยชน์ก็คือ การสนทนาธรรม หมายความว่าใครที่ต้องการเข้าใจธรรมส่วนไหน เพราะเหตุว่าธรรมก็คือชีวิตประจำวัน ไม่มีสักขณะเดียวซึ่งไม่ใช่ธรรม ในขณะนี้เป็นธรรมที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก และที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟัง เราก็อาจจะคิดธรรมตามความเห็นตามความเข้าใจ
พระธรรมมีมาก เพราะฉะนั้นบางคนก็จะอ่านบางเล่มบางข้อความ แต่ว่ายังไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดตั้งแต่ขั้นต้น เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีการศึกษาเพื่อจะพิจารณาเทียบเคียงว่า ตามที่เราเคยคิดเคยเข้าใจจะตรงตามธรรมที่มีจริงๆ ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงหรือเปล่า
สำหรับดิฉันเองได้ศึกษาธรรมมาก็มีความเห็นว่า ถ้าได้ฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ประโยชน์แท้จริงจากการฟังก็คือ เป็นความเข้าใจของเราเองยิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นความเข้าใจของคนอื่น ไม่ใช่เป็นความเข้าใจของผู้ที่พูดหรือว่าสนทนากัน แต่ต้องสนทนาด้วยการฟังและพิจารณาไตร่ตรองว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริงมากน้อยอย่างไร เพื่อที่จะได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ให้ตรงตามที่ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชน เพราะเหตุว่าถ้าเป็นพุทธศาสนิกชน และก็ไม่ได้สนใจในธรรม เราก็จะมีเพียงการกราบไหว้พระธรรม เช่น เมื่อสักครู่นี้เราก็มีการนมัสการคุณของพระรัตนตรัย แต่ไม่ทราบว่าจะมีสักกี่ท่านที่มีความเข้าใจในพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้เลิศในทุกทาง ทั้งในทางพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ
เพราะฉะนั้นถ้าเราได้มีโอกาส แต่ละครั้งที่จะได้พบปะสนทนาในเรื่องของธรรม ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้ได้เข้าใจพระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งชาวพุทธเราก็กราบไหว้บูชาสูงสุดยิ่งกว่าบุคคลใด
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1501
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1502
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1503
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1504
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1505
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1506
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1507
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1508
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1509
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1510
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1511
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1512
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1513
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1514
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1515
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1516
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1517
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1518
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1519
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1520
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1521
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1522
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1523
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1524
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1525
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1526
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1527
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1528
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1529
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1530
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1531
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1532
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1533
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1534
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1535
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1536
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1537
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1538
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1539
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1540
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1541
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1542
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1543
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1544
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1545
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1546
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1547
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1548
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1549
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1550
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1551
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1552
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1553
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1554
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1555
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1556
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1557
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1558
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1559
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1560
