ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1501
ตอนที่ ๑๕๐๑
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณสำราญ
วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ ส่วนหนึ่งที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยจะคำนึงถึงก็คือ ยังไม่ได้พิจารณาจริงๆ ว่า คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออะไร ทั้งๆ ที่เราก็นับถือมาตั้งแต่เกิด และศาสนาก็คือคำสอน พุทธศาสนาก็คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องไม่เหมือนคนอื่นในเรื่องที่พิเศษสุดคือ เรื่องที่ผู้อื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ ไม่สามารถที่จะสอนได้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมทั้งหมดตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่ไม่รู้ และเมื่อเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทรงเทศนาถึง ๔๕ พรรษา ๔๕ปี ไม่น้อยเลย ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงค่ำ จนกระทั่งถึงเมื่อทรงพักผ่อน แล้วตื่นก็ยังทรงพิจารณาว่าควรจะได้ไปสนทนา หรือว่าให้บุคคลใดได้เข้าใจธรรม
ชีวิตของพระองค์ทั้งหมดเป็นไปโดยพระมหากรุณา ที่ทำให้คนอื่นได้รู้ว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมือนคำสอนของคนอื่น คำสอนของครูบาอาจารย์ คำสอนของพ่อแม่ก็เป็นคำสอนที่ดี ตามกำลังปัญญาของท่านเหล่านั้น แต่ไม่มีใครจะมีกำลังปัญญาเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นน่าฟังไหม น่าศึกษาไหม หรือว่ายัง? แม้ว่าจะรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ประเสริฐสุด เหนือเทวดา หรือพรหม มนุษย์นั้นไม่ต้องพูดถึง แม้มนุษย์ เทวดา และยังพรหมอีก พระองค์ก็เป็นศาสดาของท่านเหล่านั้นทั้งหมด ด้วยพระปัญญาซึ่งเลิศกว่าบุคคลใดทั้งสิ้นเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี แต่ว่าคำสอนก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน และสอนสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์มาก เพราะเหตุว่า ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาความเห็นถูกต้อง หรือความเข้าใจที่ถูกต้อง
ถ้าเราจะแสวงหาทรัพย์สินเหมือนอย่างที่เราเคยต้องการ ทรัพย์สินนั้นก็มีวันหมด ไม่ได้เป็นของเรายั่งยืน เพราะตามข่าวที่เราได้ยินได้ฟังก็เห็นได้ว่า แล้วแต่ทรัพย์สินจะอยู่กับใครเมื่อไหร่ จะหายไปเมื่อไหร่ จะสูญไปเมื่อไหร่ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเมื่อทุกคนรู้แล้วไม่ลืมก็คือ ปัญญา เหมือนอย่างวิชาทางโลก ตอนที่เป็นเด็กๆ เราก็ไปโรงเรียน จากการที่เราไม่รู้อะไรเลย จนกระทั่งเราสามารถที่จะอ่านออกเขียนได้ เราลืมไหม เวลาเราอ่านออกเขียนได้แล้วลืมหรือเปล่า ไม่ลืม เราก็ยังอ่านออกเขียนได้อยู่
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ จะไม่ลืม แล้วจะเป็นความเข้าใจที่สามารถจะสืบทอดไปถึงชาติต่อไปด้วย เพราะว่าจริงๆ แล้วทุกคนต้องจากโลกนี้ไป วันหนึ่งวันใดช้าหรือเร็ว และทรัพย์สมบัติก็เอาไปไม่ได้ เกิดมาก็เกิดมาคนเดียว เวลาจะจากโลกนี้ไปก็จากคนเดียว อะไรที่จะเป็นที่รักของเราทั้งหมดตามเราไปไม่ได้เลย แต่ปัญญาความเข้าใจถูกความเห็นถูก แม้เพียงว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร สอนอะไร ถ้าเรามีความเข้าใจก็เหมือนเราไปโรงเรียน สิ่งนั้นก็สามารถที่จะตามเราไปได้ แต่อยากจะให้พวกเราได้พิจารณาคือ การสนทนา ไม่ใช่ว่าดิฉันพูดคนเดียว อย่างนั้นก็ไม่ใช่การสนทนา ก็คงจะต้องมีการคุยกัน อยากจะให้ทุกคนเริ่มจากการพิจารณา เพราะว่าการพิจารณาด้วยตัวเองเป็นเหตุของปัญญา ถ้าคนอื่นเขาพูดก็เป็นปัญญาของเขา แต่ถ้าเราฟัง เรามีโอกาสที่พิจารณา และก็เป็นความเห็นของเราเอง จะถูกหรือจะผิด มากน้อยอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่เราพิจารณาแล้วเป็นคำตอบของเราเอง
เพราะฉะนั้นคำถามแรกก็ดูไม่ยาก คือถามว่า พระพุทธศาสนาหรือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากหรือง่าย แค่นี้
ผู้ฟัง ยาก
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ยากแน่นอน ถ้าไม่ยาก คนอื่นซึ่งไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สามารถตรัสรู้ได้อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว คนที่จะตรัสรู้ด้วยตัวเอง มีปัญญาเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีเลย มีแต่ผู้ที่เป็นสาวกคือ ผู้ฟังที่ฟังคำสอนนั้น และพิจารณาคำสอนที่ได้ยินได้ฟังจนกระทั่งเกิดปัญญาของตัวเอง เหมือนมรดกสำคัญที่สุด ที่จะได้รับจากใครก็ตาม ใครที่ให้ทรัพย์สินเรา ทรัพย์สินนั้นก็หมดไปได้
แต่ใครที่ให้ปัญญามีค่ากว่าอย่างอื่นหมด เพราะเหตุว่าถึงมีทรัพย์สิน เป็นทุกข์ไหม โศกเศร้าไหม เสียใจไหม เป็นห่วงเป็นกังวลไหม เดือดร้อนไหม แต่ถ้ามีปัญญา ทุกข์ที่มีอยู่ก็ลดน้อยลง เพราะมีความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ละเอียดขึ้น ถูกต้องขึ้นว่าอะไรคืออะไร มีความสามารถที่จะเข้าใจชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายได้ นี่เป็นเพียงคร่าวๆ ที่จะให้เห็นว่า เป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มาก ถ้าเพียงเรามีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม แต่ฟังด้วย คิดด้วย พิจารณาด้วย จนกระทั่งเป็นปัญญาของเราเองจึงจะเป็นประโยชน์
ถ้าใครก็ตาม ครูบาอาจารย์คนไหนเขาสอนแล้วเราไม่เข้าใจเลย ปัญญาของใคร ของครูอาจารย์ โดยที่คนฟังไม่มีปัญญาอะไรเลย แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการฟัง แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ปัญญาเป็นของสาวกผู้ฟัง ในครั้งก่อนฉันใด ในครั้งนี้ก็ฉันนั้น เพียงแต่ว่าถ้าเรามีความสนใจ และฟังธรรมซึ่งมีตั้งแต่ระดับขั้นทานศีล จนกระทั่งระดับของปัญญาที่สามารถจะรู้อย่างพระองค์ได้ แต่ไม่เท่าพระองค์ พระองค์หรือคนอื่นก็จะไม่คิดว่าจะไม่สามารถรู้ พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นรู้ ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่มีประโยชน์ รู้คนเดียวแต่ไม่ได้ช่วยให้คนอื่นรู้ด้วย จะมีประโยชน์กับคนอื่นไหม ก็ไม่มี แต่พระปัญญาคุณที่ได้สะสมพระบารมีมาพร้อมทั้งพระบริสุทธิคุณ ทำให้พระมหากรุณาคุณมากมาย ไม่ว่าผู้ฟังจะเป็นใคร จะฟังด้วยความเคารพไม่เคารพอย่างไร แต่พระมหากรุณาคุณก็เห็นว่า สิ่งที่เขาจะได้ยินได้ฟังจะเป็นประโยชน์กับเขา มากหรือน้อย ชาตินี้นิดหน่อย แต่ว่าถ้าสะสมต่อไปอีกก็เพิ่มขึ้นๆ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผู้ฟังจะเป็นใครทั้งสิ้นพระองค์ไม่หวั่นไหว แต่ว่ามีพระมหากรุณาที่จะแสดง บางคนไม่ได้ตั้งใจฟัง ฟังแล้วถามให้ตรัสซ้ำ หรือว่าให้ทรงแสดงธรรมนั้นซ้ำอีก ก็ทรงพระมหากรุณา และรู้ด้วยว่าคนๆ นั้นขณะนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะฟัง แต่ประโยชน์ของการฟังมาก จนกระทั่งไม่คำนึงถึงว่าผู้ฟังจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ก็มีพระมหากรุณาที่จะแสดงธรรมซ้ำ เพื่อที่จะให้เขาเข้าใจได้ นี่ก็จะเห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ จากการที่ทุกท่านเคยสวดมนต์
มีใครสวดมนต์บ้างไหม หรือไม่มี หรือทุกคนสวด คนไทยสวดใช่ไหม ถ้าเป็นชาวต่างประเทศเขาจะตรงไปที่คำสอน และเขาไม่สวดมนต์เลย เพราะว่าไม่มีภาษาบาลีที่เขาเคยได้ยินได้ฟังเหมือนเรา เมื่อเราเกิดมา เราก็เห็นพระภิกษุ แล้วก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ งานศพต้องสวดแน่ๆ ใช่ไหม งานทำบุญบ้าน หรืออะไรก็ตามต้องมีสวดมนต์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราชินแล้วเราคุ้นหู และรู้สึกเป็นของที่ไม่ยาก แต่ชาวต่างประเทศแปลไม่ออก ฟังแล้วก็ไม่รู้อะไร เขาจึงตรงไปที่ความเข้าใจธรรมเลย
เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่จะเข้ามาสู่พระศาสนา ก็มาโดยประการต่างๆ แต่ประโยชน์ที่ได้รับคือเข้าใจขึ้น มีความเข้าใจจากการฟังพระธรรม ซึ่งความเข้าใจ เราก็ยังมองไม่ออกใช่ไหมว่า จะเข้าใจอะไร มีอะไรที่จะต้องเข้าใจ มองออกไหมว่าจะเข้าใจอะไรดี หรือขณะนี้เราเข้าใจอะไรแล้วบ้าง เรายังไม่เข้าใจอะไรแล้วบ้าง แม้แค่นี้ เราก็คิดไม่ออกถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่ถ้าฟัง เราจะรู้เลยว่าทำไมเราถึงคิดไม่ออกว่า เราไม่เข้าใจอะไร แล้วเราควรจะเข้าใจอะไร ถ้าอย่างนั้นถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่เราควรจะเข้าใจ นี่ก็เป็นเรื่องของปัญญาทั้งนั้น ปัญญาของตัวเองที่เกิดจากการคิดด้วย
ถ้าคนที่ไม่ชอบคิด ชอบฟัง จะไม่คิด แล้วก็ลืมเพราะเพียงเเต่ฟัง แต่ถ้าคนชอบคิดจะรู้เลยว่า ฟังแล้วต้องคิดว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกหรือไม่ถูก ถ้าไม่ถูกก็ไม่ต้องเชื่อ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วต้องเชื่อ แต่ว่าถ้าไม่ถูกก็ไม่ต้องเชื่อ เพราะฉะนั้นคำถามที่มีใครถามก็ตาม ลองคิดดูว่าเราควรจะเข้าใจอะไร มีอะไรอีกในห้องนี้ในบ้านนี้ ที่ไหนก็ตามที่เราควรจะเข้าใจ คนที่เคยฟังมาแล้วพอจะคิดออก แต่คนที่ใหม่จริงๆ ไม่รู้จะคิดไปทางไหนว่า เราควรจะเข้าใจอะไร ซึ่งคนส่วนใหญ่ รวมทั้งดิฉันเองก็จะไม่ทราบถ้าไม่ได้ศึกษา แม้แต่เพียงว่าเราควรจะเข้าใจอะไร ก็คิดไม่ออกว่าเราควรจะเข้าใจอะไร แต่เมื่อศึกษาแล้วควรจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ
สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ก็อาจจะสูงเกินไป สำหรับความคิดของบางคนซึ่งสุขสบายแล้ว รับประทานอาหารแล้ว สนุกสนานแล้ว แล้วจะต้องมาเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องสืบสาวไปอีกว่าสิ่งที่มีจริงๆ คืออะไร ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไม่เอาคำตอบนี้ก็ได้ เข้าใจตัวเอง ชักใกล้เข้ามาหน่อยแล้ว ดีไหม หรือก็ไม่สนใจอีก เข้าใจคนอื่นดีกว่า ก็เป็นสิ่งซึ่งเราพิจารณาได้ เราคิดได้ แม้แต่เริ่มต้นทีเดียว การเข้าใจตัวเราเองคือเรารู้จักตัวเราหรือยัง เรารู้จักตัวเราแค่ไหน หรือว่าเรารู้จักคนอื่นละเอียดมาก เขาพูดอย่างนั้น เขาคิดอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น วันนั้นเป็นอย่างนี้ วันนี้เขาทำทุจริต วันก่อนเขาสุจริต ก็เป็นเรื่องคนอื่นทั้งหมดเลย แต่ตัวเองไม่เคยมีใครที่จะพิจารณา หรือรู้จักตัวเอง เพราะวันหนึ่งๆ รู้จักแต่คนอื่น
ถ้าอย่างนั้น ประโยชน์ ต้องคิดถึงประโยชน์ รู้จักใครจะมีประโยชน์กว่ากัน รู้จักตัวเองใช่ไหม รู้จักตัวเองมีประโยชน์กว่า การที่จะรู้ว่าคนอื่นไม่ดี เป็นเรื่องของเขา การที่จะรู้ว่าเราไม่ดี ประโยชน์คือเห็นความไม่ดีว่าเป็นสิ่งที่ควรละ มีใครบ้างที่ชอบคนไม่ดี ไม่มีใช่ไหม ทุกคนชอบคนดี แต่มีใครบ้างที่อยากจะเป็นคนดีเท่าที่จะเป็นได้ หรือลืมคิด ว่าแท้ที่จริงชีวิตของเราวันหนึ่งๆ ถ้าเรามีโอกาสเป็นคนดีอย่างที่ทุกคนชอบ จะเป็นประโยชน์กว่าเป็นคนไม่ดี ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ว่าพระธรรมทำให้เรารู้จักสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่ตัวเรา ถ้าเรารู้จักตัวเราจริงๆ เรารู้จักคนอื่นด้วยหรือเปล่า หรือรู้จักแค่ตัวเรา หรือว่าจากการที่เรารู้จักตัวเรา จะทำให้เรารู้จักคนอื่นด้วย มีอะไรที่ต่างกันระหว่างเรากับเขา เรามีสุข เขามีสุขได้ไหม หรือสุขเป็นของเราคนเดียว เรามีทุกข์ คนอื่นมีทุกข์ได้ไหม หรือต้องเป็นทุกข์ของเราคนเดียว หรือคนอื่นซึ่งกำลังมีความทุกข์ วันหนึ่งเราจะมีความทุกข์อย่างเขาเหมือนกันได้ไหม ก็ได้
เพราะฉะนั้น ถ้ารู้จักตัวเราเอง คนอื่นก็เหมือนกันทุกอย่าง เขาโกรธ เราก็โกรธเหมือนกัน เขาโลภ เราก็โลภเหมือนกัน เขาดี เราก็ดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ก็คือว่า สิ่งที่มีจริงไม่ได้เป็นของใครเลย ตอนนี้ชักจะไม่ค่อยจะยอมรับ? หรือว่าพอจะเข้าใจ?
ถ้าเราพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ เช่น ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ จะน้อยจะมากอย่างไรก็ตาม คนนี้ขุ่นเคืองใจกับคนนั้นขุ่นเคืองใจ ไม่ได้พูดถึงรูปร่างเรื่องราวอะไรเลย เพียงลักษณะที่ขุ่นเคืองใจ เป็นสภาพที่มีจริงๆ แล้วก็ไม่เป็นของใคร เมื่อมีปัจจัยคือเหตุที่จะให้เกิดก็ต้องเกิด จะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ มีใครไม่โกรธบ้างในที่นี้ ไม่มีใช่ไหม เป็นของธรรมดาหรือไม่ธรรมดา ธรรมดา ดีหรือไม่ดี
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ ไม่ดีอย่างไร เวลาโกรธขึ้นมาไม่มีใครมีความสุขแน่ ใช่ไหม ตัวเองก็เดือดร้อนมาก เพราะฉะนั้นคำถามหนึ่ง ซึ่งทุกคนมักจะถามเสมอคือ ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ใช่ไหม แต่ไม่มีหรอกที่จะไม่โกรธตราบใดที่มีกิเลส ยังมีความเป็นเรา ยังยึดถือทุกอย่างว่าเป็นเรา เวลาที่ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็เกิดความไม่พอใจขึ้น ดังนั้น สิ่งที่น่าพิจารณาคือ ธรรมที่เราได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ทุกคนก็เคยได้ยินคำว่าธรรมมาแล้วใช่ไหม แต่ธรรมก็คือธรรมดา คำพูดนี้ถูกหรือผิด ก็จะมาถึงอีกคำหนึ่งเเล้ว ธรรมที่เราได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ถ้าบอกว่าธรรมคือธรรมดา ถูกหรือผิด ถูกใช่ไหม ธรรมดาจริงๆ ทุกอย่าง เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ทรงแสดง คือแสดงเรื่องสิ่งธรรมดาๆ ซึ่งมี แต่ให้รู้ตามความเป็นจริงว่าสิ่งธรรมดาๆ ที่มี ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ จึงไม่ใช่ของใคร เมื่อมีเหตุปัจจัยเหมาะสมเมื่อไหร่ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น นี่คือการฟังธรรม คือฟังเรื่องธรรมดาๆ ที่มีอยู่จริงๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่ลำบากเเล้วใช่ไหมเพราะฟังเรื่องธรรมดา มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ความโกรธก็เป็นธรรมดา ความดีใจก็เป็นธรรมดา ทีนี้เราเริ่มคิด แล้วอะไรอีกเป็นธรรมดา
ถ้าคิดจะเป็นปัญญาของเราเอง แต่ถ้าคนอื่นตอบหมดก็เพียงฟังเขามา แต่ว่ารับได้แค่ไหน แล้วก็จริงแค่ไหน แต่ถ้าเรารู้ว่าธรรมคือธรรมดาจริงๆ คือสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมด เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงแสดงความจริงว่า เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ของใคร ซึ่งทางพระพุทธศาสนาที่เราเคยได้ยินได้ฟังบ่อยๆ คือคำว่าอนัตตา มาจากคำว่าไม่ใช่อัตตา อัตตา และมีคำปฏิเสธ รวมแล้วจาก อะ ก็เปลี่ยนเป็น อะนะ ก็เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น อนัตตาหมายความว่าไม่ใช่ของเรา มีอะไรเป็นของเราบ้าง ของเราจริงๆ ของเราแท้ๆ เลยมีไหม ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าของใคร
ผู้ฟัง เป็นอนัตตา
ท่าน อาจารย์ เราตอบโดยจำได้เพราะฟังมา ใช่ไหม แต่ถ้าเราจะคิดให้เป็นปัญญาของเราเองว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับบัญชาไม่ได้ ความหมายของอนัตตา ไม่อยากแก่ก็แก่ ไม่อยากเจ็บก็เจ็บ ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ต้องพลัดพราก ไม่อยากประจวบกับสิ่งที่ไม่รักก็ต้องประจวบ ทั้งหมดในโลกนี้ไม่ว่าจะเกิดกับใครเมื่อไหร่ก็เป็นธรรม คือเป็นธรรมดาจริงๆ ซึ่งใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ เรารับมาเป็นเพียงส่วนนี้ แต่ส่วนที่ละเอียดกว่านั้นอีก ถ้าจะให้ถามให้ตรงใจก็คือ ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า บังคับบัญชาได้ไหม เป็นของเราหรือเปล่าเป็นเราหรือเปล่าตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า
ผู้ฟัง บางคนบอกเป็น บางคนบอกไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ก็มีสองฝ่ายใช่ไหม ผู้ที่รู้แล้วบอกว่าไม่เป็น คือพระพุทธเจ้า ปัญญาของเรารู้พอที่จะเห็นว่าไม่ใช่ของเรา หรือไม่ใช่เราจริงๆ หรือยัง ฟังมาก็เห็นด้วยเลยที่ทรงแสดง ซึ่งละเอียดกว่านี้อีก แต่เราจะไม่ไปถึงความละเอียด เราเพียงแต่เอาเพียงความหมายทีละคำเล็กๆ น้อยๆ ไปว่า อนัตตาไม่ใช่เรา ไม่มีตัวเรา ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้
ถ้าอย่างนั้น ร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เป็นอนัตตาหรือเปล่า ก็มีคำตอบสองคำตอบใช่ไหม เป็นกับไม่เป็น ที่ถูกต้องของผู้รู้ ตอบว่าไม่เป็น แต่ผู้ที่ยังไม่รู้ถึงอย่างนั้น ยังเป็นอยู่ ก็ต้องตามความเป็นจริง จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมอีก เพราะว่าการเข้าถึงความหมายของอนัตตานั้นไม่ง่าย ต้องจริง ต้องละเอียด ต้องตรง ต้องละความเป็นอัตตา
เพราะฉะนั้นในขณะที่ความรู้ของเรายังไม่มากพอ เราก็จำได้ ถ้าพระท่านบอกว่าอนัตตา พระก็คือผู้ที่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแล้ว ก็กล่าวว่าอนัตตา ท่านบอกว่าอนัตตา เราก็จำว่าเป็นอนัตตา เราก็พอจะเห็นด้วย บังคับบัญชาไม่ได้ก็เป็นอนัตตา แต่ลึกลงไป ปัญญาของเรายังไม่ถึงระดับที่จะกล่าวโดยการประจักษ์แจ้ง โดยหมดความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้
เพราะฉะนั้น คำว่าอนัตตาเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น ธรรมเป็นธรรม ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ จะบังคับให้ไม่ทุกข์ก็ไม่ได้ จะบังคับให้สุขเกิดก็ไม่ได้ จะบังคับอะไรก็ไม่ได้ทุกอย่าง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะเห็นลักษณะที่เป็นอนัตตาได้ แต่ไม่พอ จะต้องหมดไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เป็นเรากำลังเห็น เป็นเรานั่ง จริงๆ แล้วที่ถูกต้องคือไม่ใช่เรา แต่เมื่อยังไม่รู้อย่างนั้นก็ค่อยๆ พิจารณาไป จากร่างกายตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ฟังไว้ก่อนว่าไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้ เกิดแก่เจ็บตาย วันนี้ไม่ทุกข์ พรุ่งนี้เจ็บได้ไหม เป็นโรคร้ายได้ไหม เพราะฉะนั้นก็คืออนัตตา แต่ยังกว้างมาก ยังไม่ละเอียดจนกระทั่งสามารถที่จะเชื่อด้วยความมั่นคงยิ่งกว่านั้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เห็น ทุกคนกำลังเห็น ไม่ใช่มีแต่รูปร่างกายที่นั่งใช่ไหม เห็นเป็นธรรมดาหรือเปล่า เป็นธรรมดาหรือไม่เป็นธรรมดา
ผูู้ฟัง เป็นธรรมดา
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเป็นธรรม ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นธรรมดา ซึ่งถ้าใช้คำว่าธรรม เมื่อกล่าวว่า เห็นเป็นธรรม เเล้วต้องบังคับบัญชาไม่ได้ ต้องไม่ใช่ของใครด้วย ถึงจะตรงกับความหมายของคำว่า อนัตตา ซึ่งตามความจริงถ้าสนใจฟังธรรมต่อไป ไม่ยาก แต่เป็นชีวิตจริง แล้วก็คิดได้เข้าใจได้ว่า เห็นขณะนี้ เกิด ไม่เที่ยง แล้วก็ดับ เกิดและก็ดับ เพราะว่าทุกคนมีจิต ถ้าไม่มีจิต ต้องอยู่ที่ไหน อยู่ป่าช้า ไม่ได้นั่งอยู่ที่นี่ เเต่ที่ยังนั่งอยู่ที่นี่เพราะยังมีจิต ไม่ใช่มีแต่เพียงรูป ถ้าไม่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่มีใครรู้ลักษณะของจิตเลย แต่จากคำสอน จิตต้องเกิดจึงจะมี ถ้าไม่เกิดจะมีได้ไหม สิ่งไหนก็ตามที่ไม่เกิดขึ้นมาจะมีได้ไหม เสียง ถ้าไม่เกิดขึ้นมาจะมีเสียงได้ไหม กลิ่น ถ้าไม่เกิดขึ้นมาจะมีกลิ่นปรากฏได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เริ่มเข้าใจว่าต้องเกิด แต่เราไม่เห็นการเกิด ดังนั้นจิตก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีจิต แต่จิตเกิดแล้วดับทันที นี่คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่แสดงว่าปัญญาของพระองค์ต่างกับปัญญาของบุคคลอื่น สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม แล้วก็ทรงแสดงตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นมีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดแล้วก็ดับไป
นี่คือปัญญาของพระองค์ ถ้าจะติดตามฟังต่อไปก็จะได้ความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น ว่าอะไรเกิด เพราะปรุงแต่งอย่างไร และเมื่อเกิดแล้วก็ดับไป เริ่มที่จะเบาไหม บังคับจิตไม่ได้ เดี๋ยวจิตก็เป็นสุข เดี๋ยวจิตก็เป็นทุกข์ เดี๋ยวจิตก็คิด เดี๋ยวก็เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งไม่มีใครบังคับได้เลย ถ้าบังคับได้ทุกคนเป็นสุขเหมือนกันหมด ไม่ต้องเป็นทุกข์เลย แต่เพราะบังคับไม่ได้ จิตของแต่ละคนจึงต่างๆ ๆ ต่างกันไปตามการสะสม ตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งจิตต้องเกิดแล้วดับ เรื่องนี้เป็นสิ่งใหม่ ซึ่งถ้าวันนี้เพียงเราจะเข้าใจลักษณะของจิตเพิ่มขึ้น ถึงจะไม่มากก็ตาม แต่สามารถที่จะศึกษาให้ตรงกับที่เราเริ่มเข้าใจได้
ข้อแรกก็คือจิต ทุกคนมีจิต มีใครบ้างที่ไม่มีจิต ไม่มีคนหนึ่งมีจิตกี่ดวง กี่ขณะ เดี๋ยวนี้ ข้อสำคัญถ้าเราคิดว่าจิตเกิดและดับ วันนี้เราได้ประโยชน์แล้วจากคำสอนว่า ธรรมเป็นธรรมดา ทุกอย่างที่มีต้องเกิดจึงจะปรากฏ และเมื่อเกิดแล้วไม่เที่ยง ทุกอย่างต้องไม่เที่ยง ไม่ยกเว้นอะไรเลยทั้งสิ้น นี่คือความเป็นธรรม ที่เราใช้คำว่าสังขารธรรมที่เราได้ยินบ่อยๆ มีใครไม่เคยได้ยินคำว่าสังขารบ้าง
ผู้ ฟัง ไม่เคย
ท่านอาจารย์ ไม่เคยได้ยินเลย หรือว่าได้ยินเเต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ได้ยินอะไรก็เข้าใจคำนั้น มีประโยชน์ไหม หรือว่าได้ยินแล้วก็ไม่เข้าใจต่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ได้ยินแล้วต้องเข้าใจคำนั้นด้วย ถึงจะเป็นผู้ที่มีความเข้าใจ ไม่ใช่เป็นผู้ที่ได้ยินแล้วก็ยังคงไม่รู้ต่อไป
แต่ว่าจากการฟังพระธรรม คำตอบทั้งหมดมีในพระพุทธศาสนา นักวิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้หมด แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบได้หมดทุกอย่าง คนที่เรียน คนที่ฟังพระธรรมจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจของตัวเองว่า ทุกคนมีจิตแล้วก็มีร่างกาย ร่างกายก็ไม่ใช่จิต และสิ่งใดที่มีขณะนี้หมายความว่าสิ่งนั้นต้องเกิด และสิ่งที่เกิดแล้วต้องดับเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ จนกว่าได้ฟังพระธรรมแล้วก็ค่อยๆ เห็นจริง
ขณะนี้ทุกคนมีจิตกำลังเกิดดับ นี่คือคำใหม่ เรื่องใหม่ที่จะต้องเข้าใจ เพราะว่าจิตหลากหลาย ขณะที่เป็นจิตที่ดี จะเป็นขณะเดียวกับเป็นจิตที่ไม่ดีได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ขณะที่จิตขณะนั้นรู้สึกโกรธ กับจิตที่มีเมตตา จะเป็นธรรมชาติอย่างเดียวกันได้ไหม เกิดพร้อมกันได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็แสดงอยู่แล้วว่า จิตขณะหนึ่งต้องหมดไปก่อน แล้วจิตขณะต่อไปจึงจะเกิดได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1501
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1502
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1503
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1504
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1505
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1506
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1507
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1508
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1509
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1510
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1511
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1512
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1513
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1514
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1515
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1516
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1517
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1518
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1519
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1520
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1521
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1522
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1523
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1524
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1525
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1526
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1527
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1528
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1529
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1530
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1531
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1532
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1533
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1534
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1535
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1536
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1537
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1538
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1539
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1540
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1541
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1542
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1543
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1544
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1545
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1546
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1547
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1548
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1549
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1550
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1551
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1552
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1553
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1554
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1555
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1556
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1557
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1558
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1559
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1560
